Custom Search

Jan 7, 2009

เปิดความในใจ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร อยากให้ กทม.เป็นมหานครระดับโลก

https://www.facebook.com/Sukhumbhand.P


http://teetwo.blogspot.com/2009/02/blog-post_21.html
http://teetwo.blogspot.com/2012/07/blog-post_19.html


ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 05 มกราคม พ.ศ. 2552
สัมภาษณ์พิเศษ
http://www.suksmile.com/index.php?mod=article


หม่อมราชวงศ์สุขุมพันธุ์ บริพัตร หรือคุณชายหมู
ผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.)
เป็นอีกหนึ่งขุนพลในพรรคประชาธิปัตย์ที่เคยเป็น
รองเลขาธิการพรรค
และอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
เมื่อการเมืองเกิดการพลิกผัน
คณะกรรมการบริหารพรรคจึงมีมติส่งชื่อ
คุณชายลงเลือกตั้งในสนาม กทม.แทน
ซึ่งศึกเลือกตั้งจะมีขึ้นในวันที่ 11 มกราคม 2552 ที่จะถึงนี้
ล่าสุดโพล 2 สำนัก (เอแบคโพลล์ และดุสิตโพล) ระบุตรงกันว่า
ชื่อนี้เริ่มมาแรงเมื่อได้จังหวะ
ประชาชาติธุรกิจได้ถามความในใจของผู้สมัครเชื้อสายเจ้าท่านนี้
ถึงสิ่งที่เขาอยากให้ กทม.เป็นและควรจะเป็น
แม้ว่าผมจะแพ้หลุดลุ่ย หรือชนะ แบบท่วมท้น
แต่สิ่งหนึ่งที่อยู่ในใจผมมานานในฐานะคนกรุงเทพฯ
ผมอยากเห็นความเจริญก้าวหน้าทางด้านจิตใจ
และวัตถุไปพร้อมๆ กัน
อยากให้คนกรุงเทพฯมีคุณภาพชีวิต ที่ดีขึ้น
ทั้งด้านความเป็นอยู่ การศึกษา และสิ่งแวดล้อม
ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องร่วมใจ บูรณาการ
เราได้วางโรดแมป 12 ปีไว้แล้วเพื่อสร้าง
มหานครระดับโลก กทม.
มีศักยภาพมหาศาลทั้งด้านเศรษฐกิจ คุณภาพของคน ประวัติศาสตร์
สถาปัตยกรรมและศิลปวัฒนธรรม
อนาคตกรุงเทพฯจะต้องเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน
เป็นศูนย์แห่งการเรียนรู้ที่ไม่ใช่แค่รู้ในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยเท่านั้น
แต่ว่าได้เรียนรู้ชีวิตนอกห้องเรียนด้วย สิ่งเหล่านี้ผมอยากสนับสนุน
คำว่า มหานครระดับโลก ต้องมี
สิ่งแวดล้อมที่ดีไม่ใช่มีความเจริญก้าวหน้าทางด้านวัตถุอย่างเดียว
เช่น มีพื้นที่สีเขียวมากพอๆ กับคนกรุงเทพฯที่อาศัยอยู่
ระดับมาตรฐานโลกพื้นที่สีเขียวต้องเฉลี่ย 4 ตารางเมตรต่อประชากร 1 คน
ก่อนผู้ว่าฯ อภิรักษ์ (โกษะโยธิน) เข้าไปทำงาน
สถิติอยู่ที่ 2 ตารางเมตรกว่าๆ เท่านั้น 4 ปีเพิ่มเป็น 3 กว่าๆ
ยังไงจะต้องดึงให้ถึง 4 ตารางเมตรขึ้นไป จะได้เป็นมาตรฐานโลก
นี่คือสิ่งที่ผมกับพรรคได้วาดภาพไว้ เราต้องเดินหน้าไปอย่างนี้
ต้องเพิ่มพื้นที่ สีเขียวอีก 5,000 ไร่ให้เป็นมาตรฐานโลก
ในเรื่องของชีวิตสีเขียวในมหานครระดับโลก
จะต้องมีระบบขนส่งมวลชนที่เป็นเลิศ
และเชื่อมโยง โครงข่ายถึงกันหมดเพื่อให้การเดินทางคล่องตัว
และเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจโดยรวม
ฉะนั้น เราต้องตั้งธงเลยว่า กรุงเทพฯจะต้องเป็น
ศูนย์กลางของการขนส่งและการท่องเที่ยวระดับโลกไปด้วย
ซึ่งเป็นเรื่อง ใหญ่ที่จะช่วยพลิกฟื้นเศรษฐกิจให้กลับมาคึกคักได้
ตอนนี้เราให้ทางจุฬาฯทำวิจัยอยู่
วันนี้มีเป้าตรงนี้ก็จริง แต่เรื่องปัจจุบันผมปฏิเสธไม่ได้ว่าบ้านเมืองวุ่นวายมา
หลายปีแล้ว การเมืองสับสนและขัดแย้ง ไม่นิ่ง เศรษฐกิจตกต่ำมาก
ภารกิจแรกของผมอยากคืนรอยยิ้ม ให้กับกรุงเทพมหานค
มันเป็นสัญลักษณ์ สิ่งที่ผมต้องการทำ คืออะไร จะต้อง พลิกฟื้นเศรษฐกิจ
สร้างชีวิตที่มีคุณภาพ ขณะนี้เศรษฐกิจเราตกต่ำอย่างมาก กทม.มีปัญหามาก
จะรอรัฐบาลกลางไม่ได้ รัฐบาลไม่รู้จะอยู่หรือไป อยู่ก็มีปัญหา
ถ้าจะไปจะไปยังไง รัฐบาลใหม่ขึ้นมาจะมีกำลังวังชาแค่ไหน กทม.รอใครไม่ได้
ต้องเดินหน้าต่อไปเพื่อชาว กทม.
สิ่งที่ผมต้องการทำ คือ พลิกฟื้นเศรษฐกิจของกรุงเทพฯด้วยวิถี กทม.
แยกกับการแก้ปัญหาระดับชาติ
ประการแรก เบิกจ่ายงบประมาณให้ เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
ขณะนี้มีส่วนเกินอยู่ มีรายได้ที่จัดเก็บสูงกว่ารายจ่ายที่จ่ายไป
ประการที่ 2 จะนำเงินคงคลังบางส่วนออกมาอัดฉีดระบบเศรษฐกิจ
โดยที่จะต้องไม่กระทบกระเทือนศักยภาพการคลังของ กทม.
ประการที่ 3 เปิดพื้นที่ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
เพื่อผู้ค้ารายย่อยจะได้มีเงินจับจ่ายใช้สอย
ที่ทำล่าสุดคือลานคนเมืองหน้า กทม.
สามารถทำที่อื่นได้ด้วย เช่นทางวัดจะขอพื้นที่ได้มั้ย
สำนักงานทรัพย์สินฯ
แม้แต่ของเอกชนจะขอเช่าเพื่อเปิดเป็นตลาดนัดและตลาดน้ำด้วยสำคัญนะ
ไม่ใช่คนไทยเท่านั้น มีต่างชาติด้วย
ในระดับครอบครัวสำคัญมาก รายได้จากการขายของเล็กๆ น้อยๆ
ด้วยฝีมือและจินตนาการของตัวเอง
ประการที่ 4 เป็นสิ่งสำคัญที่สุดเพราะตัวเงินมหาศาล รายได้ของ กทม.ทั้งหมด
ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐและเอกชน จากการ ท่องเที่ยว ปีหนึ่ง 3 แสนล้านบาท
เกือบครึ่งมาจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ตรงนี้หายไปเยอะ ไม่ใช่เจ้าสัว
โรงแรมเดือดร้อนเท่านั้น เดือดร้อนทั่วไปหมด
เราต้องพยายามพลิกฟื้นการท่องเที่ยวอย่างเร่งด่วน
เราต้องโรดโชว์ และสิ่งหนึ่งที่จะทำในเรื่องของการท่องเที่ยว
คือ เรื่องเมืองแฝด ทราบหรือไม่ว่ากรุงเทพฯเป็นเมืองแฝดกับเมืองหลวงหลายประเทศ
เช่น กรุงโจว ปักกิ่ง ลอสแองเจลิส แต่เราไม่เป็นเมืองแฝดกับประเทศมุสลิม
เพื่อนบ้านเราก็มี เรามีมิตรประเทศที่ดีในหลายประเทศ
จะสร้างความสำคัญในเมืองหลวงสำคัญของมุสลิม เช่น ดูไบ
และมีกิจกรรมเชื่อมโยงร่วมกันกระตุ้นความสนใจ
นี่คือสิ่งที่ผมต้องการทำเพื่อพลิกฟื้นเศรษฐกิจ ซึ่ง กทม.สามารถทำได้
หน้า 7


สุขุมพันธุ์เปิดตัว 24 ทีมงาน หน้าเก่าทีมอภิรักษ์-ถ้า ชนะพร้อมดึง “แก้วสรร”ร่วมงาน

ไทยรัฐ [8 ม.ค. 52]


เมื่อวันที่ 7 มกราคม ที่โรงแรมสยามซิตี้ ม.ร.ว. สุขุมพันธุ์ บริพัตร

ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. หมายเลข 2 พรรคประชาธิปัตย์

แถลงข่าวเปิดตัวคณะทำงานผู้ ทรงคุณวุฒิ 6 ด้านในการบริหารงาน กทม.
ทั้งหมด 24 คน ได้แก่ด้านสังคมและการแพทย์
1. พญ.ชนิกา ตู้จินดา กรรมการแพทย์สมาคมแห่งประเทศไทย
2. พญ. มาลินี สุขเวชชวรกิจ อดีตรองผู้ว่าฯ กทม.
3. นายสนิท อักษรแก้ว ประธานสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย
4. นายภานุมาศ สุขอัมพร ผู้แทนคนพิการ และ
5. นายวิทิต มันตาภรณ์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ด้านศิลปวัฒนธรรม
1. นายปรีชา เถาทอง ศิลปินแห่งชาติ
2. นายเพชร โอสถานุเคราะห์
ผู้ก่อตั้งหอศิลปมหาวิทยาลัยกรุงเทพ


ด้านการศึกษาและการพัฒนามนุษย์ ได้แก่
1. หม่อมดุษฎี บริพัตร ณ อยุธยา (มารดาของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์)
ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาและการศึกษาเด็ก
2. นายวรากรณ์ สามโกเศศ อดีต รมช.ศึกษาธิการ
3. นายวัลลภ สุวรรณดี
อดีตรองผู้ว่าฯ กทม.
4. นายดนัย จันทร์เจ้าฉาย
ประธานเจ้าหน้าที่บริษัทดีซี คอนเซาท์แต้น และ
5. ร.ต.ท. เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง
อดีตนักฟุตบอลทีมชาติ


ด้านเศรษฐกิจ ได้แก่
1. นายเกียรติ สิทธิอมร อดีตประธานหอการค้านานาชาติ
2. นายสุกิจ ก้องธรนินทร์ อดีตรองผู้ว่าฯ กทม.
3. นางการดี เลียวไพโรจน์ อดีตโฆษก กทม.
4. นายเดโช เอี่ยมชีรางกูร ประธานสหกรณ์แท็กซี่ สุวรรณภูมิ
5. นายวิโรจน์ จุนประทีปทอง กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัทห้าง
สรรพสินค้าตั้งฮั่วเส็ง จำกัด และ
6. นายชิงชัย หาญเจนลักษณ์ กรรมการผู้ทรง
คุณวุฒิด้านการค้าระหว่างประเทศ
ด้านผังเมืองและคมนาคม ได้แก่
1. นายสุเมธ ชุมสาย ณ อยุธยา ศิลปินแห่งชาติ สาขาสถาปัตยกรรม
และที่ปรึกษาด้านผังเมือง เกาะรัตนโกสินทร์
2. นายมานพ พงศทัต ผู้เชี่ยวชาญด้านสถาปัตยกรรมและวิศวกรรม
3. นายประกอบ จิรกิติ อดีตรองผู้ว่าฯ กทม. และ
4. นายธีระชน มโนมัยพิบูลย์ อดีตรองผู้ว่าฯ กทม.
ด้านกฎหมาย ได้แก่
1. นาย บัณฑิต ศิริพันธุ์ และ
2. นายปรีชา สุวรรณทัต อดีต ส.ส.


ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์กล่าวว่า ตนจะให้หม่อมดุษฎีมาเป็นที่
ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิด้านการพัฒนาคุณภาพการศึกษา
ซึ่งจะไม่รับเงินเดือนใดๆ ทั้งสิ้น
ส่วนรายชื่อ ของบุคคลที่ดำรงตำแหน่งรองผู้ว่าฯ และที่ปรึกษานั้น
ต้องรอให้พรรคมีความลงตัวเรื่องของการจัดตำแหน่งที่ปรึกษา
และเลขานุการของรัฐมนตรีก่อน อย่างไรก็ตาม
เบื้องต้นตนก็มีรายชื่อบุคคลที่ดำรงตำแหน่งรอง
และที่ปรึกษาอยู่ในใจแล้ว ผู้สื่อข่าวถามว่า
หากได้รับเลือกตั้ง แล้วจะเชิญนายแก้วสรร อติโพธิ
เข้ามาร่วมงานด้วยหรือไม่ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์กล่าวว่า
ตนจะถามนายแก้วสรรว่าอยากมาช่วยงานด้านการตรวจสอบทุจริตหรือไม่
เพราะถ้ามีคนที่ตงฉินอย่างนายแก้วสรร
ก็จะช่วยเป็นหูเป็นตาให้งาน กทม.ไม่มีเรื่องการทุจริต.














สงครามชิงกรุงเทพ : สงครามชิงเมืองไทย


ก็คงรู้กันแล้วนะครับว่าการรณรงค์เพื่อหาเสียงสนับสนุนผู้สมัครรับเลือกตั้ง
เป็นผู้ว่าราชการ กรุงเทพมหานครได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว และมีใครบ้างที่จะสมัครรับเลือกตั้ง
โดยกำเนิดผมเป็นคนจังหวัดอุดรธานี ไม่ได้เป็นคนกรุงเทพ ฯ แต่ผมก็เหมือน ๆ
กับคนรุ่น ราวคราวเดียวกับผมอีกเป็นอันมาก ที่เมื่อเกิดและเรียนจบชั้นมัธยมในต่างจังหวัดแล้วต้องเข้ามา
เรียนต่อในชั้นที่สูงขึ้นในกรุงเทพ ฯ เพราะบ้านนอกไม่มีที่ให้เรียน
และอย่างในกรณีของผมเมื่อ เรียนจนจบมหาวิทยาลัยแล้ว ก็หางานทำในกรุงเทพ ฯ
ต้องย้ายสำมะโนครัวมาอยู่กรุงเทพ ฯ และ กลายเป็นคนกรุงเทพ ฯ ไป
ผมเป็นคนกรุงเทพ ฯ มานานเป็นเวลากว่า ๕๐ ปีหรือครึ่งศตวรรษ
เพราะฉะนั้นจึงมีความ ผูกพันกับกรุงเทพ ฯ มากเป็นธรรมดา
แต่ผมไม่เคยนึกว่าจะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องและผูกพันกับราช การบริหารกรุงเทพ ฯ
เพราะผมเลือกการเป็นตำรวจเป็นอาชีพ กรมตำรวจ
เป็นส่วนหนึ่งของราชการบริหารส่วนกลาง ส่วนกรุงเทพ ฯ นั้นอยู่ในราชการบริหารส่วนท้องถิ่น
แต่แล้วผมก็ได้เข้าไปมีส่วนรู้เห็นราชการบริหารกรุงเทพ ฯ
เริ่มตั้งแต่สมัยคุณอภิรักษ์ โกษะ โยธิน เป็นผู้ว่าราชการ
เมื่อท่านตั้งอาจารย์ ดร.สิปนนท์ เกตุทัต (ล่วงลับไปแล้ว)
เป็นประธานคณะ กรรมการประเมินการทำงานของผู้ว่าราชการกรุงเทพ ฯ
และผมรับเชิญจากอาจารย์สิปนนท์ไปร่วม เป็นกรรมการด้วยผู้หนึ่ง
ต่อมาก็เมื่อคุณชาย ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ุ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพ ฯ
เชิญให้ผมไปเป็น ประธานคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนการทุจริตและประพฤติมิชอบ
ในการบริหารราชการกรุงเทพ มหานคร (สสท.กทม.) และผมรับเชิญ
ถ้าจะดูประวัติความเกี่ยวข้องระหว่างผมกับผู้บริหารกรุงเทพ ฯ แล้ว
และเลยดูไปถึงการที่ ผมรับเชิญจากคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ไปเป็นประธานคณะกรรมการปฏิรูประบบงานตำรวจ
ในสมัยที่ท่านเป็นนายกรัฐมนตรี ใคร ๆ ก็คงนึกว่าผมเป็นสมาชิกพรรค
หรือสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ แต่ที่จริงผมไม่เคยเป็นสมาชิกพรรคนั้นเลย
ที่เคยสนับสนุนและลงคะแนนเสียงให้พรรคประชา ธิปัตย์ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรบางสมัยนั้น
ผมก็ไม่ได้ทำด้วยความเลื่อมใสหรือนิยม ยินดีในพรรคประชาธิปัตย์
แต่ทำด้วยเหตุผลส่วนตัว เพราะคนในพรรคที่ผมรู้จักนับถือหรือเลื่อมใส ต่างหาก
เช่นคุณอภิสิทธิ์และคุณชายสุขุมพันธุ์
เพราะความรู้จักนับถือและผูกพันส่วนตัวดังที่ได้เขียนไปแล้ว
และเพราะพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องแล้ว
คราวนี้ผมจึงตัดสินใจแน่นอนที่จะสนับสนุนและลงคะแนนเลือก
คุณชายสุขุมพันธ์ุ เป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพ ฯ อีกสมัยหนึ่ง
เหตุผลประการแรกของผมคือ ขณะที่ผมทำหน้าที่เป็นประธาน สสท.กทม.อยู่
ผมได้เห็น และตระหนักในความอุตสาหะมุ่งมั่นอันแน่วแน่ของคุณชายสุขุมพันธ์ุ
ที่จะอุทิศตัวเองทำหน้าที่ผู้ว่า ราชการ กทม.ให้ดีที่สุด
ข้อที่คนอื่นเห็นเป็นข้อเสียของคุณชาย คือความไม่เป็นคนช่างพูด และด่า
ใครไม่เป็นนั้น สำหรับผมกลับเป็นคุณสมบัติที่ผมเห็นว่า
ทำให้คุณชายเป็นนักการเมืองน้ำดีชนิดที่ หาได้ยากสำหรับคนกรุงเทพ ฯ และคนไทย
เหตุผลประการที่สองคือ ผมเห็นว่าคุณชายสุขุมพันธุ์เป็นผู้ว่าราชการ กทม.ที่ “ผ่านศึก”
คือ ได้พิสูจน์ตนเองแล้วว่า มีความสามารถที่จะเผชิญวิกฤตการณ์ที่ทำความฉิบหายร้ายแรงที่สุดให้แก่
กรุงเทพ ฯ คือมหาอุทกภัยในปี พ.ศ.๒๕๕๔ ตลอดเวลาของวิกฤตการณ์นั้น
ถ้าเปรียบเทียบกับ การสงคราม คุณชายก็เป็นแม่ทัพที่ออกรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับทหารทุกชั้น
อย่างไม่เห็นแก่ความ เหนื่อยยากหรืออันตราย ยิ่งกว่านั้น
คุณชายยังต้องรบสงครามสองด้านในเวลาเดียวกัน
คือนอกจากจะรบกับน้ำแล้ว ยังต้องรบกับรัฐบาลพรรคเพื่อไทย (หรือ (พ.ต.ท.)ทักษิณ ชินวัตร)
ที่คอยขัดขวางหรือรังควานด้วยเหตุผลทางการเมือง และคุณชายก็ทำได้สำเร็จ แม้จะบอบช้ำ บ้างเป็นธรรมดา
เหตุผลประการที่สามของผมเป็นเหตุผลทางการเมือง ผมเห็นว่า
ขณะนี้รัฐบาลของ น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร (หรือของ(พ.ต.ท.)ทักษิณ ชินวัตร)
กำลังดำเนินนโยบายแบบประชานิยม ใช้วิธี เอาใจคนด้วยการแจกเงินในรูปต่าง ๆ เช่น
รับจำนำข้าว คืนภาษีสำหรับรถยนต์คันแรก เป็นการ ผลาญเงินงบประมาณของชาติก้อนมหาศาล
แต่ซ่อนเงื่อนไขไว้ การดำเนินนโยบายแบบนี้
ผมเห็น ว่าในไม่ช้าจะทำลายเศรษฐกิจของประเทศลงอย่างย่อยยับ
และจะเป็นผลเสียหายร้ายแรงมหาศาล แก่บ้านเมือง
ถ้าคนของพรรคเพื่อไทย (หรือของ(พ.ต.ท.)ทักษิณ)
ได้เป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ผมก็กลัวและแน่ใจว่ารัฐบาลของพรรคเพื่อไทย
(หรือของ(พ.ต.ท.)ทักษิณ) จะต้องฉวยโอกาสยึดเอา งบประมาณของ กทม.
ประมาณกว่า ๕ หมื่นล้านบาท (ซึ่งคือเงินของคนกรุงเทพ ฯ และของผมด้วย)
ไปหว่านและผลาญเพิ่มจากที่กำลังทำอยู่กับงบประมาณของชาติ
ทำความฉิบหายซ้ำซ้อนหนักลงไป อีกให้แก่บ้านเมือง

เราไม่ต้องการข้าศึกทั้งที่เปิดเผยและที่ปลอมแปลงตัวมา
แต่ต้องการคนที่เคยรบกับข้าศึกมา แล้ว
ไปทำหน้าที่แม่ทัพเพื่อรบกับข้าศึกที่กำลังเขมือบเมืองไทยอยู่ในขณะนี้

ด้วยเหตุผลข้างต้น ผมจึงจะลงคะแนนเลือกตั้งคุณชาย ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร
เป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครอีกวาระหนึ่ง ขอเรียกร้องเชิญชวนท่านผู้อ่านให้ทำด้วย
หากท่านเห็นแก่ บ้านเมือง ท่านต้องออกไปใช้สิทธิ์ออกเสียงลงคะแนน
ให้คุณชายสุขุมพันธุ์ มิฉะนั้นเราอาจจะเสีย กรุงเทพ ฯ ให้แก่ข้าศึกไป
กรุงเทพมหานครเป็นปราการสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในสงครามชิงเมืองไทย
ถ้าเสียกรุงเทพ ฯ ให้แก่ข้าศึกศัตรู ก็เกือบจะเท่ากับเสียเมืองไทยทั้งประเทศ.

โดย วสิษฐ เดชกุญชร (Vasit Dejkunjorn) 
เมื่อ 20 มกราคม 2013 เวลา 21:19


http://www.hiclasssociety.com/hiclass/pr-news.php?sub_id=468
ภาพของหม่อมราชวงศ์ สุขุมพันธุ์ บริพัตร ที่คนทั่วไปรับรู้คือสุภาพบุรุษผู้มีบุคลิกอ่อนโยน เพียบพร้อมชาติตระกูลอันสูงส่ง ดีกรีการศึกษาจากสถาบันชั้นนำของโลก กับประสบการณ์ทำงานในภารกิจสำคัญทั้งในวงวิชาการและการเมืองระดับชาติ ซึ่งหนึ่งในนั้นภาพที่ติดตราตรึงใจคือการยอมเป็นตัวประกันเพียงหนึ่งเดียวแทนตัวประกันทั้ง 5 คนที่ถูกจับโดยกลุ่มก๊อดอาร์มี่ครั้งบุกยึดสถานเอกอัครราชทูตพม่าเมื่อปี 2542 เวลาผ่านมาเกือบครบหนึ่งทศวรรษจากรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หม่อมราชวงศ์สุขุมพันธุ์ เปลี่ยนจากสมรภูมิการเมืองระดับชาติมาสู่สนามการเมืองท้องถิ่น


*ย้อนเหตุการณ์ระทึกขวัญครั้งที่ท่านเป็นตัวประกันในกับกองโจรก็อตอาร์มี­่