Custom Search

Jan 7, 2009

ถ้าไม่เกี่ยวเนื่องสัมพันธ์ก็จะน่ารำคาญ

วรากรณ์ สามโกเศศ
มติชน
วันที่ 08 มกราคม พ.ศ. 2552

ความสัมพันธ์ของสรรพสิ่งในโลกนี้อยู่บน
พื้นฐานของความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กับ
สิ่งอื่น(relevant)
สิ่งใดที่ขาดลักษณะเช่นนี้
สิ่งนั้นก็จะหมดความสำคัญไปโดยปริยาย
มีหลายตัวอย่างที่น่าขบคิด
ตัวอย่างแรก
สาเหตุหนึ่งที่นักเรียน นักศึกษา
ในบ้านเราส่วนหนึ่งเห็นว่าห้องเรียนเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย
ก็เพราะเขารู้สึกว่าสิ่งที่เขา "ถูกสอน" (ไม่ใช่เรียนรู้) นั้น
มันไม่เกี่ยวเนื่องสัมพันธ์ (ไม่ relevant) กับชีวิตของเขา
ผู้สอนไม่ได้อธิบายหรือไม่สามารถอธิบายได้ว่าสิ่งที่สอนนั้น
มันช่วยทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของเขาดีขึ้นได้อย่างไร
โรคหนึ่งที่เกิดขึ้นในห้องเรียนของบ้านเราก็คือนักเรียน นักศึกษา คิดว่าเรียนไปเพื่อสอบ
สิ่งที่เรียนในห้องจึงเป็นไปเพื่อให้สามารถตอบข้อสอบได้
มิได้เรียนไปเพื่อทำให้ชีวิตจริงนอกห้องดีขึ้นดังนั้นจึงท่องบ่นไปเพื่อสอบ
โดยมิได้รู้ว่าจะนำไปใช้ในชีวิตประจำวันให้คุณภาพชีวิตสูงขึ้นได้อย่างไรนักเรียน
นักศึกษาเหล่านี้คิดว่าการ "ถูกสอน" นั้น
เป็นเพียงเกมในห้องเรียนเพื่อสอบให้ได้คะแนนดี
เขามองไม่เห็นการเชื่อมต่อของสิ่งที่เรียนในห้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นนอกห้อง
ส่งที่เรียนจึงไม่ relevant กับตัวเขา
และผลที่เกิดตามมาคือการไม่อยากเรียนและไม่ตั้งใจเรียน
"สิ่งที่เกิดขึ้นในห้องเรียน"
(ไม่ได้หมายถึงห้องเรียนสี่เหลี่ยม แต่หมายถึงการเรียนรู้ที่ไม่ทางการนอกห้องเรียนด้วย)
มีความสำคัญยิ่งยวดต่อคุณภาพการศึกษา การมีเนื้อหา
วิธีการเรียนการสอนใหม่ๆ และคำอธิบายของผู้สอนที่เหมาะสม
ทำให้เกิดความเชื่อมต่อเกี่ยวเนื่องเช่นนี้ขึ้นมาได้
ตัวอย่างที่สอง การละเล่นของท้องถิ่นหลายอย่างโดยเฉพาะอย่างยิ่งลิเก
กำลังจางหายไปทีละน้อยจากสังคมไทยเรา
ทั้งนี้ ก็เพราะผู้ดูเห็นว่าการละเล่นเหล่านี้ไม่ relevant กับตัวเขา
หรือกับชีวิตของเขาความสนุกสนานจากการบันเทิงจากคาราโอเกะ DVD
เกมอินเตอร์เน็ต ฯลฯ เป็นสิ่งซึ่ง relevant กับชีวิตของเขามากกว่า
อีกทั้งใกล้ตัวเขาดูทันสมัยเหมาะสมกับตัวเขา
และง่ายต่อการเข้าใจการซื้อเทปคาสเซ็ทหรือแผ่น DVD
เพลงก็เป็นสิ่งที่ไม่ relevant ไปแล้วเพราะเทคโนโลยี
เนื่องจากผู้ฟังสามารถหามาฟังได้ในราคาถูกหรือฟรี
โดยการดาวน์โหลดหรือก๊อบปี้จากเพื่อนตัว
อย่างที่สาม ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ลูกในบางครอบครัวเลวร้าย
เพราะลูกเห็นว่าคำสอน คำพูด หรือคำแนะนำของพ่อแม่ไม่ relevant กับชีวิตของเขา
(จริงๆ ในบางครอบครัวก็อาจเป็นเช่นนั้นจริงๆ
โดยเฉพาะในกรณีที่พ่อแม่สอนอย่างแต่ทำอีกอย่างหนึ่ง)
การไม่มีเวลาให้ลูก การไม่มีงานอดิเรกหรือสิ่งใดที่กระทำร่วมกับลูก
(ปลูกผัก ทำสวนครัว ปลูกต้นไม้ ต่อจิ๊กซอร์
ร้องเพลงคาราโอเกะ ดูหนัง กินข้าวด้วยกัน ดูโทรทัศน์ด้วยกัน
หรือใช้เวลาร่วมกัน เช่น เดินทางเที่ยวด้วยกัน)
เป็นปัจจัยที่ทำให้พ่อแม่ลูกพูดกันคนละภาษา ไม่เข้าใจกัน
และนำไปสู่ข้อสรุปของลูกว่าความคิดของพ่อแม่ล้าสมัย
และไม่ relevant กับตัวเขา
ตัวอย่างที่สี่ มนุษย์ทุกคนไม่ต้องการเป็นคนที่ไม่ relevant กับคนอื่นๆ ในสังคม
เขาต้องการเป็นคนที่มีความสำคัญต่อชีวิตของคนอื่น
มนุษย์ต้องการมีความสัมพันธ์ชนิดที่คนอื่น
เห็นความสำคัญของตัวเขาการที่มนุษย์ถวิลหาการยอมรับจากคนอื่น
ชอบให้คนอื่นจำหรือเรียกชื่อตัวเอง ชอบให้คนอื่นฟังตน
ชอบให้คนอื่นให้เกียรติตน ก็เป็นอีกลักษณะหนึ่งของการเป็นคน relevant
คนอกหักอาจปวดใจเพราะเข้าใจว่าคนรักไม่ต้องการ
แต่แท้จริงแล้วลึกลงไปกว่านั้นความเจ็บปวดมาจากการถูกปฏิเสธ
และการถูกปฏิเสธก็คือการเป็นคนไม่ relevant นั่นเอง
คนที่พูดจาเพ้อเจ้อ ขาดหลักการไม่อยู่กับร่อยกับรอย
พูดจาไม่น่าเชื่อถือเสมือนเด็กเลี้ยงแกะ ก็จะกลายเป็นคนไม่ relevant ไปในที่สุด
เพราะมนุษย์คนอื่นจะเห็นว่าเขาเป็นส่วนเกินที่ไม่มีประโยชน์ต่อเขาและคนอื่นๆ
ในการเมืองปัจจุบัน การประท้วงของกลุ่ม นปช.
ไม่ว่าในรูปแบบใดกำลังจะเข้าข่ายของการเป็นสิ่งไม่ relevant ในสังคมไทย
ซึ่งกำลังเพรียกหาความสมานฉันท์ ความสามัคคี
การร่วมมือกันแก้ไขวิกฤตเศรษฐกิจที่กำลังคืบคลานมาอย่างรวดเร็ว
หากกลุ่ม นปช. ยังเดินไปในทิศทางเช่นที่กระทำตอนปลายปีก่อน
อีกไม่ช้าไม่นานเชื่อได้ว่าจะกลายเป็นสิ่งที่ไม่ relevant กับสังคมไทย
กลายเป็นสิ่งน่ารำคาญไปในที่สุด
หากพรรคเพื่อไทยเดินรอยตามพี่ชายพ่อแม่เดียวกันที่คลอดออกมาก่อน
คือกลุ่ม นปช. ก็จะน่าเสียดายมาก
เพราะระบอบประชาธิปไตยต้องการฝ่ายค้านที่เข้มแข็ง
(สุภาษิตอังกฤษบอกว่า The government gets
what the opposition deserves
หรือแปลง่ายๆ ว่าฝ่ายค้านแค่ไหนรัฐบาลก็แค่นั้น)
การเปลี่ยนแปลงจากศักยภาพของการเป็นพรรคฝ่ายค้านที่เข้มแข็ง
กลายเป็นสิ่งน่ารำคาญของสังคมไทยเท่ากับ
เป็นการไม่ส่งเสริมระบอบประชาธิปไตยซึ่งเป็น
สิ่งที่กลุ่มและพรรคเรียกหามาตลอด
หน้า 6