Custom Search

Mar 10, 2009

ชีวิตต้องเดินหน้า


นฤตย์ เสกธีระ
คอลัมน์ แท็งก์ความคิด
มติชน
18 มค. 52

ครั้งหนึ่ง ชักชวนครอบครัวไปออกกำลังกาย
ณ สวนลุมพินีด้วยสังขารที่ทรุดโทรมเร็วกว่าวัย
และน้ำหนักตัวที่พุ่งทะยาน
ทำให้ต้องงดเว้นการออกกำลังกายด้วยวิธีวิ่งเปลี่ยนมาใช้วิธีเดินอย่างองอาจแทน
เพราะผู้รู้เขาว่าไว้ การออกกำลังกายของคนเรามี 2 แบบแบบหนึ่ง
คือออกกำลังกายแอโรบิค มีประโยชน์ต่อหัวใจ ระบบหายใจ
และหลอดเลือดอีกแบบหนึ่ง
คือออกกำลังกายเพื่อให้กล้ามเนื้อแข็งแรงการออกกำลังกายแบบแอโรบิค
ประกอบด้วย การวิ่ง การเดิน การว่ายน้ำ ขี่จักรยานส่วนการออกกำลังกายอีกแบบหนึ่ง
คือ การเล่นกีฬาทั่วๆไป เช่น ตีเทนนิส เล่นฟุตบอล เป็นต้น
ในการออกกำลังการแบบแอโรบิคนั้น
ต้องออกกำลังกายติดต่อกัน 30-60 นาทีถึงจะได้ผลส่วนจะออกกำลังกายด้วย
วิธีเดิน วิ่ง ว่ายน้ำ หรือขี่จักรยาน
ผลที่ได้ก็มีแตกต่างกันดังนั้น
การเลือกวิธีเดินด้วยเวลา 1 ชั่วโมงต่อวัน
จึงเป็นหนทางที่น่าจะเหมาะสมที่สุดในตอนนั้น
และการใช้วิธีเดิน ยังมีข้อแถมให้กับเราอีกด้วยเพราะ
"การเดินทำให้เราเก็บรายละเอียดรอบๆ ตัวได้ดี"
ขณะที่เดิน เราสามารถมองเห็นคนที่มาออกกำลังกายได้ทั่วถึง
เห็นคุณพี่ คุณน้อง หัวเราะต่อกระซิกกันเห็น
คุณอา คุณน้า คุณป้า คุณลุง เพลิดเพลินกับการใช้พละกำลัง
ในการออกกำลังกายเห็นอาแป๊ะ อาม่า
ที่แม้จะมีอายุหลายสิบปี แต่สามารถเคลื่อนไหวอย่างกระชุ่มกระชวย
นอกจากนี้ ยังสังเกตเห็นความเหมือนและความต่างของผู้คนที่มาออกกำลัง
ความต่าง คือ กิจกรรมในการออกกำลังกายบางคนเลือกวิ่ง
บางคนเลือกเดิน บางคนเลือกขี่จักรยาน เป็นต้นส่วนความเหมือนคือ
"ทุกคนล้วนเคลื่อนที่ไปข้างหน้าครับ"
เพื่อนคนหนึ่งที่นิยมใช้บริการสวนลุมพินีเคยเล่าประสบการณ์ให้ฟัง
เขาเล่าว่า อาม่าคนหนึ่งแกป่วยเป็นอะไรไม่ทราบ
เวลาเดินต้องค่อยๆ กระเถิบไปช้าๆ ตอนแรกที่หลายคนมองเห็น
ทุกคนรู้สึกเห็นห่วง กลัวว่าแกจะตายระหว่างออกกำลังกาย
เพราะแค่เดินยังเดินแทบไม่ได้แต่ที่ไหนได้....พอเวลาผ่านไป
อาม่าคนนั้นกลับเดินได้ดีขึ้น เดินได้เร็วขึ้น
จากคืบ...เป็นก้าวจากช้า....เป็นเร็วเพื่อนคนเดียวกันนี้บอกว่า
"แม้อาม่าจะป่วย แต่ก็ไม่เคยยอมแพ้ต่อชีวิต"
"มุ่งมั่นกับการเดินออกกำลังกายจนชนะความเจ็บไข้" พฤติกรรมเช่นนี้
ต้องขอแสดงความนับถือครับเพราะพฤติกรรมของอาม่า
ไม่เพียงแต่จะทำให้ตัวเองพ้นจากอาการป่วย
แต่ยังทิ้งหลักการดำรงชีวิตไว้สอนผู้คน
"นั่นคือ...ทุกชีวิตต้องเคลื่อนที่ไปข้างหน้า...."
การเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างมุ่งมั่น
อาจเปลี่ยนแปลงสิ่งเลวร้ายในชีวิตให้กลับเป็นดี
แม้บางทีเราจะเคลื่อนที่ไปได้ช้า
เหมือนอาม่าคนนั้นแต่ก็ขอให้เดินหน้าไปเถอะครับ...อย่าหยุดนิ่งเพราะ
"การหยุดนิ่งมันทำให้ชีวิตเราแย่ลง"
เหมือนเด็กนักเรียนบางคนที่ท้อแท้ต่อการเรียนวันๆ
บอกแต่ว่า สมองไม่ดี สู้ใครเขาไม่ได้
แล้วพาลเลิกเรียนหนังสือไปเลยหรืออย่างผู้ใหญ่บางท่าน
ปล่อยตัวเองให้ตกอยู่ในอารมณ์เดียวกันท้อแท้-เบื่อหน่ายวันๆ
โทษตัวเองว่าโง่ โทษโชคชะตาว่าเลวร้ายปล่อยปละละเว้นการทำงาน
ทำตัวเองให้ล่องลอยไปวันวันคนแบบนี้แหละที่เขาเรียกว่า "พวกหยุดนิ่ง"
พวกเหล่านี้แหละครับที่ไม่ต้องบอก ก็เดากันได้ว่า
อนาคต...ชีวิตจะย่ำแย่ขนาดไหนไม่เหมือนพวกที่คิดแบบอาม่า
มุ่งมั่นจะเดินไปข้างหน้า ตามกำลังที่ตัวเองมี
"ใครมีกำลังน้อย... ก็เคลื่อนที่ไปช้าๆ" "ใครมีกำลังมาก
จะเคลื่อนที่เร็วก็ไม่ว่ากระไร"แต่ที่สำคัญขอให้เคลื่อนไปข้างหน้าก็แล้วกัน
อย่างเด็กนักเรียนที่บ่นท้อแท้และโทษตัวเองว่าสมองไม่ดี
อ่านหนังสือไม่จำหากเด็กคนนั้นเปลี่ยนความคิด
จากการหยุดนิ่งเปลี่ยนเป็นเคลื่อนที่ไปข้างหน้ามุ่งมั่นอ่านหนังสือเล่มนั้น
รอบแรกไม่จำ ก็อ่านรอบที่สอง...อ่านรอบที่สามเชื่อเถอะครับว่า
ในที่สุดแล้ว เด็กคนนั้นก็ต้องจำได้หรืออย่างผู้ใหญ่คนทำงานที่กำลังท้อแท้-เบื่อหน่าย
"แทนที่จะมัวโทษตัวเอง โทษฟ้า โทษลม โทษดวงชะตา"
ลองเปลี่ยนความคิดเคลื่อนที่ไปข้างหน้า
ตามกำลังที่ตัวเรามีพยายามทำงาน และสร้างผลงานของเราไปเรื่อยๆ
ใช้เวลาที่มีอยู่พัฒนาฝีไม้ลายมือให้เจ๋ง
"อะไรที่บกพร่องก็ค่อยๆ ฝึก อะไรทำดีอยู่แล้วก็ต่อยอดให้ดีขึ้น"
เชื่อว่า หากเราทำเช่นนี้ได้ เราจะมีนิสัยที่เปลี่ยนไป
"จากคนที่หยุดนิ่ง กลายเป็นคนที่เคลื่อนที่ไปข้างหน้า"
"และมีแต่คนที่เคลื่อนที่ไปข้างหน้าเท่านั้นแหละครับ
ที่สามารถเดินเข้าสู่เส้นชัยได้"ส่วนจะช้า หรือเร็ว
คงต้องขึ้นกับกำลังที่เรามี....
สวัสดี
หน้า 17