เหนือสิ่งอื่นใด
- เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (ร.๙) เนื่องในโอกาสฉลองสิริราชสมบัติครบ 70 ปี 9 มิถุนายน 2559
- พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (ร.๙) ณ วันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๔๙
- The 60th Anniversary Celebrations of his Majesty King Bhumibol Adulyadej's Accession to the Throne
- 63 ปี "พระเจ้าอยู่หัว ร.๙" ผู้นำที่ไม่เหมือนใครในโลก นำพาประเทศ "อยู่ดีมีสุข"
- Supreme Artist
- เศรษฐกิจพอเพียง : Sufficiency Economy พ.ศ. ๒๕๖๓
- ทศพิธราชธรรม ๑
- ทศพิธราชธรรม ๒
- ๑๐๐ ปี สวรรคตกาลสมเด็จพระปิยมหาราช
- ร.๙ ทรงห่วงเหตุการณ์ประเทศเพื่อนบ้าน
- พระบรมราโชวาท ร.๙
- "พูดแล้วต้องทํา" พระบรมราโชวาท "ในหลวง ร.๙" ทรงเตือน-ครม.
- ร. ๙ ทรงพระราชทานแก่พลเอกสุจินดา คราประยูร และพลตรีจำลอง ศรีเมือง
- ร.๙ ทรงรับสั่งรมต.ถวายสัตย์ฯ
- ร.๙ ทรงมีพระบรมราโชวาทแก่ตุลาการทหาร
- พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร.9 ทรงป้องกันน้ำท่วม ปีพุทธศักราช ๒๕๓๘
- “ในหลวง ร.๙” ทรงฝากองคมนตรีปลูกฝังคนไทยเอื้อเฟื้อ นึกถึงส่วนรวม
- “ในหลวง ร.๙” เสด็จฯ ทอดพระเนตรดนตรีที่ศิริราช
- "ในหลวง ร.๙" เสด็จเปิดประตูระบายน้ำคลองลัดโพธิ์-สะพานภูมิพล 1,2
- ในหลวง ร. ๙ เสด็จฯทอดพระเนตรคอนเสิร์ตแจ๊ส
- ๕ ธันวาคม ๒๕๕๒
- น้อมรำลึกพระมหากรุณาธิคุณ"ในหลวง ร.๙"กับ"ภูมิสารสนเทศ"
- ในหลวง ร.๙ ทรงพระราชทาน ส.ค.ส.2554 แก่พสกนิกรชาวไทย
- 'ในหลวง ร.๙' ทรงมีพระราชดำรัสให้คนไทย ทำหน้าที่ ไม่ประมาท มีสติ : ๕ ธันวาคม ๒๕๕๓
- วันฉัตรมงคล (ร.๙)
- ๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๙
- พระราชดำรัสสุดท้าย ในหลวง รัชกาลที่ 9
- ๑๒ สิงหา วันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
- "สมเด็จย่า"
- เจ้านายเล็กๆ ยุวกษัตริย์
- อาลัยพระพี่นางฯ
- ในหลวงรัชกาลที่ ๙ โปรดให้นายโคฟี อันนัน เฝ้าถวายรางวัลฯ (๒๕ พ.ค.๔๙)
- "พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร" มีพระราชดำรัสเกี่ยวกับการวิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์
- พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล
- ศิลปาชีพ : ประจักษ์พยานของความรัก ผูกพัน และห่วงใย
- เพลงสรรเสริญพระบารมี
- ชีวิตที่หมุนไปไม่หยุดยั้ง...พระอารมณ์ขันของพระเทพฯ
- ถ้าเดินเรื่อยไปย่อมถึงปลายทาง นิทรรศการภาพถ่ายฝีพระหัตถ์สมเด็จพระเทพรัตนฯ
- สมเด็จพระเทพฯ กับการส่งเสริมไอที เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
- สมเด็จพระเทพฯ สนพระทัยเมล็ดพันธุ์ช่วยหล่อเลี้ยงประชากร
- เครือข่ายกาญจนาภิเษก
- สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
- ทรงพระเจริญ
- ของขวัญจากก้อนดิน
- ต้นไม้ของพ่อ
- รูปที่มีทุกบ้าน
- นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ
- ติโต
- ไม่มีวันไหนที่ไม่คิดถึงในหลวงรัชกาลที่ ๙
- พระราชนิพนธ์ พระมหาชนก ที่ทุกคนพึงอ่าน
- โครงการแก้มลิง
- ทำไมเรารัก "พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร"
Custom Search
Jun 6, 2009
สันโดษ
คอลัมน์ รื่นร่ม รมเยศ
เสฐียรพงษ์ วรรณปก
มติชน
ภาพ/เรื่อง
วันที่ 07 มิถุนายน พ.ศ. 2552
เรื่อง ที่คนไทยเข้าใจผิดมากเรื่องหนึ่งในหลายเรื่องคือ
สันโดษนี่แหละครับ คนส่วนมากมักเข้าใจกันว่า
สันโดษคือความมักน้อย จึงมีคำพูดติดปากว่า "มักน้อยสันโดษ"
แล้วก็เข้าใจต่อไปว่า คนที่สันโดษคือคนที่ไม่ทำอะไร ไม่ต้องการอะไร
ปล่อยชีวิตไปตามเรื่องตามราว เรียกว่า
คนไม่เอาไหนนั่นแหละ คือคนสันโดษ
เมื่อ เข้าใจอย่างนี้ก็พาลพาโลหาว่า
พระพุทธศาสนาสอนสิ่งที่ขัดต่อการพัฒนาคนและสังคม
มีอย่างหรือชาติกำลังต้องการพัฒนาคน
ยังมาสอนไม่ให้ต้องการอะไรมากๆ ไม่ให้สร้างสรรค์
สอนให้มักน้อยสันโดษอยู่ได้ มีอยู่สมัยหนึ่ง
คือสมัยท่านจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ คุณหลวง
(อย่าให้เอ่ยชื่อเลยนะครับ เอาเป็นว่า "คุณหลวง" ก็แล้วกัน)
ผู้เป็นที่ปรึกษาคนสำคัญของท่านนายกฯสฤษดิ์ ประกาศว่า
ธรรมะของพระพุทธเจ้ามีมากมายที่ดีๆ
แต่บางข้อก็ไม่เหมาะกับสังคมยุคพัฒนาพระไม่ควรนำไปสอนชาวบ้าน
เช่น สันโดษ เป็นต้น พอคุณหลวงประกาศออกมา
พระสงฆ์องค์เจ้า "เต้น" เป็นการใหญ่
มีการเทศนาชี้แจงว่าไม่ใช่อย่างนั้น สันโดษจริงๆ มิใช่ความมักน้อย ไม่อยากได้อะไร
ไม่อยากสร้างสรรค์อะไร ทำให้มีการ "ตื่นตัว"
หาทางอธิบายธรรมให้ชาวบ้านเข้าใจมากขึ้น ซึ่งจะว่าไปแล้ว
ก็เป็นผลดีและน่าขอบคุณคุณหลวงเป็นอย่างยิ่ง
หาไม่แล้วพระท่านก็คงไม่ใส่ใจจะมาทำความเข้าใจกับชาวบ้าน
ปล่อยให้เขาเข้าใจผิดๆ ถูกๆ ไปตามเรื่อง
ว่างๆ ผมอาจจะประกาศอย่างคุณหลวงขึ้นมาบ้างก็ได้
เผื่อจะช่วย "กระตุ้น" ให้พระคุณเจ้าท่านหันมา
สนใจอธิบายธรรมะให้ชาวบ้านเขาเข้าใจได้มากกว่านี้
บอกกันตรงๆ ว่าวงการพระศาสนาของเรายังต้องการพระนักเทศน์
นักบรรยาย นักเขียนที่คนอยากฟัง
อยากอ่านมากกว่าที่มีอยู่ กองทัพทั้งกองทัพ
มีขุนพลทหารฝีมือดีอยู่เพียงสามสี่คน
จะไปสู้รบกับใครได้ครับ
ความจริง สันโดษกับมักน้อยมันคนละเรื่องกัน
ความมักน้อยเป็นคำแปลของคำบาลีว่า "อปปิจฺฉตา"
พระพุทธองค์ทรงสอนพระให้ปฏิบัติเกี่ยวกับปัจจัยสี่คือ
เครื่องนุ่งห่ม อาหาร ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค
ว่าสิ่งเหล่านี้ให้พระต้องการแต่น้อยพออาศัยยังชีพ
เพราะชีวิตพระมิใช่ชาวบ้านจะได้สะสมสิ่งเหล่านี้ไว้มากมาย
ส่วน สันโดษ หรือสนฺตุฏฐี นั้นหมายถึง
ความภาคภูมิใจในผลสำเร็จที่ตนได้สร้างสรรค์ขึ้นมาด้วยความสามารถ
ด้วยความพากเพียรพยายามของตนในทางสุจริตชอบธรรม
ฟังดูดีๆ จะเห็นว่าคนสันโดษหรือคนที่ขยันหา
ขยันสร้างสรรค์ (ยถาลาภ) ทุ่มเทกำลังกาย กำลังสติปัญญาเต็มที่ (ยถาพล)
ในสิ่งที่สุจริตถูกต้องตามกฎหมายและศีลธรรม (ยถาสา รูปฺป)
เมื่อได้ผลสำเร็จขึ้นมาแล้วก็ภาคภูมิใจในผลสำเร็จนั้น ธรรมะ
ที่ตรงข้ามกับสันโดษคือ ความโลภและความเกียจคร้าน
คนโลภและขี้เกียจคือคนที่ไม่สันโดษ
ท่านเห็นหรือยังว่า สันโดษขัดขวางหรือส่งเสริมการพัฒนาล่ะขอรับ
ดังนั้น ธรรมะที่สนับสนุนสันโดษ มีอยู่ 2 อย่างคือ
ความไม่โลภกับความเพียร คนสันโดษจึงมีคุณสมบัติสองประการนั้นคือ
เป็นคนไม่โลภและเป็นคนพากเพียรพยายามสูง
คนไม่สันโดษคือคนโลภนั้นเอง คิด ดูให้ดีจะเห็น
คนที่อยากได้อะไรด้วยอำนาจความโลภมักจะไม่ชอบทำงาน
เช่น คนโลภอยากได้สองขั้น (แค่ขั้นละไม่กี่ร้อย อยากกันจริง)
ก็คอยดูว่าเจ้านายชอบอะไร เช่น ชอบเอ๊าะๆ ชอบอาบ อบ นวด
ก็พาเจ้านาย (เฮงซวย) ไปลงอ่าง บริการให้เสร็จ
ถ้าคนอยากได้สองขั้นเป็นเอ๊าะๆ เสียเอง ก็ยอมพลีกายแลก
อย่างนี้งานการไม่ต้องทำหรือทำบ้างไม่ทำบ้าง
ถึงเวลาเจ้านายเฮงซวยก็ให้สองขั้นเอง คิดเอาก็แล้วกัน
เมื่อคนโลภก็มักจะขี้เกียจ ไม่ทำงาน เมื่ออยากได้แต่ไม่อยากทำงาน
ก็ต้องหาโอกาสโดยทางลัดหรือโดยวิธีที่ทุจริตผิดกฎหมายบ้านเมืองและศีลธรรม
คนชนิดดังกล่าวมานั้นแหละ
ทางพระท่านเรียกว่า คนไม่สันโดษ
ส่วนคนที่มีลักษณะตรงข้ามเรียกว่า คนสันโดษ คิดเอาก็แล้วกัน (อีกแล้ว) ว่า
คนประเภทไหนที่สังคมต้องการ เพื่อความเข้าใจที่แจ่มชัดชนิดแจ้งจางปาง
ขอสรุปลักษณะของคนที่มีความสันโดษดังต่อไปนี้
1.คนสันโดษ จะต้องเป็นคนทำมาหาเลี้ยงชีพด้วยความขยันหมั่นเพียร
ด้วยสติปัญญาเท่าที่มีและโดยวิธีการอันชอบธรรม
2.คนสันโดษ จะไม่อยากได้ของของคนอื่นหรือของที่ไม่ชอบธรรม
จะไม่ทุจริตเพราะปากท้องหรือผลประโยชน์ส่วนตัว
3.คนสันโดษ เมื่อหามาได้ก็ใช้สอยเท่าที่จำเป็น
และใช้ด้วยสติปัญญา ไม่เป็นทาสของวัตถุ
4.เมื่อไม่ได้ เมื่อสุดวิสัยที่จะได้ ก็ไม่เดือดร้อนกระวนกระวาย
ยังคงปฏิบัติหน้าที่ของตนต่อไป ไม่ยอมให้ความผิดหวังครอบงำใจ
5.หาความสุขได้จากสิ่งที่เป็นของตน หรือเป็นสิทธิของตน
สามารถดำรงชีวิตที่มีความสุขตามฐานะ
6.มีความภูมิใจในผลสำเร็จอันเกิดจากกำลังของงาน มีความอดทน
สามารถรอคอยผลสำเร็จอันจะพึงเกิดขึ้นจากการกระทำของตน
7.มีความรักและภักดีในหน้าที่ของตน มุ่งปฏิบัติเพื่อความก้าวหน้าของงาน
เรียก "ทำงานเพื่องาน" อย่างแท้จริง
8.ไม่ถือเอาสิ่งที่ตนหามาได้ สมบัติของตนหรือความสำเร็จของตน
มาเป็นเหตุยกตนข่มผู้อื่น คุณสมบัติ ที่กล่าวมา
เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการพัฒนาประเทศชาติใช่หรือไม่
ถ้าใช่ ก็อยากอภิปรายไม่ไว้วางใจ
เอ๊ย ! อยากเรียนถามว่า ที่ประเทศชาติไม่ค่อยพัฒนาเท่าที่ควรจะเป็น
เพราะมัวแต่สอนสันโดษ หรือเพราะไม่สอนสันโดษกันแน่
หน้า 6