วรากรณ์ สามโกเศศ มติชน วันที่ 04 มิถุนายน พ.ศ. 2552
ต้นไม้ ใหญ่หน้าตาประหลาดมีชื่อว่า Baobab ซึ่งดูราวกับธรรมชาติทำงานผิดพลาดโดย เอารากกลับขึ้นมาอยู่บนดิน ส่วนลำต้นและใบทิ่มอยู่ใต้ดิน กำลังเป็นต้นไม้ดังทั่วโลก เพราะความมีประโยชน์ในเกือบทุกส่วนของมัน
Baobab เป็นชื่อตลาดที่รู้จักกันมากที่สุด ชื่อพันธุ์ (Genus) ของมันคือ Adansonia มีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 8 species แหล่งดั้งเดิมของ 6 species อยู่ใน Madagascar (เกาะใหญ่อยู่ทางตะวันออกของทวีปแอฟริกา) และอยู่บนแผ่นดินใหญ่ของแอฟริกาและออสเตรเลีย (ทางตะวันตกเฉียงเหนือของทวีป) อีกแห่งละหนึ่ง species
Baobab เป็นต้นไม้มหัศจรรย์โดยแท้มันสูงได้ถึง 5-30 เมตร ลำต้นมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 7-11 เมตร (ในจังหวัด Limpopo ประเทศ South Africa ต้นที่เชื่อว่าใหญ่ที่สุดในโลก ลำต้นมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 15 เมตร) เชื่อว่ามีอายุอยู่ได้นับพันปี
แต่ที่อัศจรรย์กว่านั้นก็คือทุกส่วน ของมันไม่ว่าเปลือก ใบ เนื้อไม้ ผล มีคุณประโยชน์มาก จนผู้รักสุขภาพในโลกตะวันตกกำลังบ้าคลั่งนับตั้งแต่ปี 2008 เป็นต้นมา สารพัดสินค้าที่ใช้วัตถุดิบจาก Baobab หลั่งไหลเข้าสู่ตลาด
และเชื่อว่าอีกไม่นานนักคลื่น Baobab ก็คงจะมาถึงบ้านเรา คล้ายกับ "คลื่นน้ำลูกยอ" "คลื่นชาเขียว" ฯลฯ ที่ผ่านมา
ใครที่เคยดูภาพยนตร์ เรื่อง The Lion King คงจำภาพต้นไม้ประหลาดนี้ได้ที่ตัวละครชื่อ Rafiki ใช้เป็นบ้าน และในหนังสือคลาสสิคแปลจากภาษาฝรั่งเศสที่เข้าใจว่า ปัจจุบันนักศึกษาใน หลายมหาวิทยาลัยไทยถูกบังคับให้อ่านคือ "Little Prince" (Le Petit Prince) โดย Antoine de Exupéry กล่าวถึงต้น Baobab ว่าโลกที่ Little Prince อาศัยอยู่นั้นเล็กเกินกว่าที่จะให้ต้น Baobab อยู่
Baobab ไม่ได้ไร้ใบตลอดเวลาจนดูประหลาด เหมือนในภาพ สำหรับ Baobab สายพันธุ์ Adansonia digitata ในแอฟริกาไร้ใบประมาณ 9 เดือน ใน 1 ปี ในช่วงฤดูฝนมันจะดูดซับน้ำได้สูงถึง 120,000 ลิตร มาเก็บไว้ในลำต้นสู้กับความแห้งแล้ง เพื่อมันจะสามารถอยู่รอดได้คงทน และมีอายุอยู่ได้นานกว่าต้นไม้อื่นๆ
คนแอฟริการู้จักประโยชน์ของ ต้น Baobab มานับพันปี ก่อนที่คนตะวันตกจะมาตื่นเต้นคนแอฟริกาใช้ใบของมัน ที่มีลักษณะเป็นช่อใบเรียวมน 5 ใบเป็นอาหารโดยบริโภคกันทั้งดิบ เป็นใบแห้งหรือเป็นผง
ในไนจีเรียใช้ใบ Baobab มาทำเป็นซุป ผลของมันยาวประมาณ 18 เซนติเมตรแต่ละลูกห้อยยาวลงมา ดูไกลๆ เหมือนหนูตายห้อยหัว (จึงมีชื่อเรียกว่า Dead-rat Tree ด้วย) ผลมีเปลือกแข็งหุ้ม ภายในเป็นเมล็ดๆ มีเนื้อขาวหุ้มคล้ายน้อยหน่า และมีเนื้อสีขาวเป็นปุยอยู่ด้วย
ส่วนที่เป็นปุยสีขาวนี้คนแอฟริกัน เรียกว่าขนมปังลิง (monkey"s bread) เขาเอาไปผสมนมหรือข้าวต้ม ข้าวโพดต้มเละเป็นอาหาร บ้างก็เอาน้ำเชื่อมสีแดงราดลงบนเนื้อและนำมาขายเป็นขนม ส่วนที่เป็นเมล็ดก็เอามาตำเพื่อทำให้ซุปข้นขึ้น หรือเอามาคั่วเพื่อกินเล่น หรือบีบเอาน้ำมัน ลำต้นซึ่งชุ่มฉ่ำด้วยน้ำถูกกรีดมาใช้เป็นเชือก สีย้อมผ้า ตลอดจนเป็นยาพื้นบ้าน
หลายปีที่ผ่านมามีงานวิจัยเกี่ยวกับประโยชน์ ของ Baobab มากพอควร พบว่าผลของมันนั้นในน้ำหนักเท่ากันมีวิตามินซีมากกว่าส้มถึง 6 เท่า อุดมด้วย Antioxidants (สารป้องกันโรคมะเร็ง) Potassium/ Phosphorus เหล็ก โซเดียม แมงกานิส Zinc แม็กนีเซียม และสารพัดวิตามินไม่ว่าจะเป็น B1/ B2/ B6 Niacine ฯลฯ อย่างไม่น่าเชื่อ
งานวิจัยยืนยันความเชื่อของคนพื้น เมืองแอฟริกาว่าเปลือกของลำต้น สามารถลดการอักเสบ แก้โรคท้องเสีย (โดยเฉพาะผล Baobab) การสูญเสียน้ำ ฯลฯ ได้เป็นอย่างดี
การศึกษาพบ ว่าผล Baobab มีเส้นใย (fibre) ซึ่งช่วยกระตุ้นการเติบโตของแบคทีเรียในลำไส้ซึ่งช่วยในการย่อยอาหาร กระตุ้นภูมิต้านทาน ป้องกันโรคท้องเสีย ฯลฯ
ความจริงที่พบนี้ทำให้ เกิดการผลิตผงแป้งจากเส้นใยของผล Baobab ในโรคตะวันตก มีการสกัดน้ำมันจากเมล็ด จากใบ จากลำต้น มาใช้ในการผสมน้ำผลไม้ นม นมเปรี้ยว บิสกิต ขนมเค้ก เครื่องดื่ม ซีเรียลสำหรับอาหารเช้า energy bars ช็อกโกแลต ไอศครีม ฯลฯ โดยอ้างสารพัดสรรพคุณ
อย่างไรก็ดี ทางการ EU และสหรัฐอเมริกายังมิได้อนุมัติการนำเข้าผล Baobab (เมื่อกลางปี 2008 EU ได้อนุมัติการนำเข้าเนื้อแห้งของผล) อีกไม่นานทั้ง EU และสหรัฐอเมริกาก็คงจะอนุมัติ และต่อไปคนยุโรปและอเมริกันก็คงจะได้บริโภคผล Baobab สดๆ กัน
Baobab เป็นต้นไม้ขึ้นตามธรรมชาติ ยังไม่เคยมีการปลูกกันเป็นสวนหรือเป็นไร่ เมื่อ Baobab เป็นที่นิยมมากขึ้น การปลูกเป็นสวนคงจะเกิดขึ้น ปัจจุบันไม่ทราบว่ามีการปลูก Baobab กันหรือไม่ในประเทศไทย แต่เชื่อได้ว่าในเวลาอีกไม่นานคงจะเกิด "คลื่น Baobab" เหมือน "คลื่นต้นสัก, คลื่นกฤษณา, คลื่นตะกูยักษ์" ฯลฯ ที่เคยเกิดขึ้นในบ้านเรา
การไร้การควบคุมการนำเข้าต้นไม้ของทางการบ้านเรา ทำให้เกิดความกังวลว่าหาก Baobab เกิดติดอันดับ มีการปลูกเป็นสวนเหมือนยูคาลิปตัส น้ำซึ่งเป็นทรัพยากรที่ขาดแคลนอยู่แล้ว จะยิ่งหนักหนายิ่งขึ้นในบ้านเราในอนาคต เพราะ Baobab น่าจะเป็น "ตัวดูดน้ำ" ที่ร้ายกาจ แย่งชิงน้ำมาสะสมไว้ในลำต้น ได้เก่งกว่าต้นไม้อีกหลายพันธุ์
ถึงแม้ Baobab ให้คุณค่าแก่ชาวโลกในด้านโภชนาการ แต่ก็อาจสร้างต้นทุนมหาศาลได้เช่นกัน หากชาวโลกมีความต้องการผลิตภัณฑ์มาก ขึ้นจนต้องเกิดการปลูกเป็นสวนเป็นไร่ เข้าทำนอง "โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี" กล่าวคือชาวโลกต้อง "จ่าย" สำหรับผลิตภัณฑ์ด้วยการขาดน้ำสำหรับพืชอื่น
ในหนังสือ Little Prince ถึงแม้ว่าโลกจะไม่มีที่เพียงพอสำหรับ Baobab แต่ Little Prince ก็แนะนำว่าการดูแลโลกเป็นงานที่หนักและเหนื่อย แต่ก็เป็นงานที่ง่ายหากจัดการได้ดี
คำถามเชิง proactive (คือคิดป้องกันก่อนเกิดปัญหา) ก็คือหาก Baobab กลายเป็นต้นไม้สำคัญขึ้นมาจนมีคนปรารถนาปลูกกันมากมายในบ้านเรา เราจะเตรียมรับมือกับปรากฏการณ์นี้อย่างไร
หน้า 6
| |
|
|
|