Custom Search

May 4, 2009

วันฉัตรมงคล (ร.9) : วันมหามงคลของชาติ


วสิษฐ เดชกุญชร
มติชน
วันที่ 05 พฤษภาคม พ.ศ. 2552


วันนี้เป็นวันสำคัญของชาติ เป็นวันฉัตรมงคล
คือวันครบรอบปีของพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
หรือพิธีเสด็จขึ้นครองราชย์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร.9
ที่จริงวันทรงครองราชย์หรือเริ่มรัชกาลนั้น
คือวันที่ 9 มิถุนายน 2499

แต่ขณะนั้นยังทรงพระเยาว์และกำลังทรงศึกษาอยู่ในต่างประเทศ
พระราชพิธีบรมราชาภิเษกจึงมิได้มี
จนกระทั่งถึงวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ.2493

ทุกประเทศมีวันสำคัญปีหนึ่งๆ หลายวัน
ที่เรียกหรือถือว่าเป็นวันสำคัญก็เพราะว่า

ในวันนั้นมีเหตุการณ์ที่คนในประเทศ
ถือว่ามีความสำคัญทางประวัติศาสตร์บ้าง

ทางวัฒนธรรมบ้าง ที่คนในประเทศนั้นควรจดจำหรือระลึกถึง
วันสำคัญของประเทศไหนก็ถือ
เป็นเอกลักษณ์ของประเทศนั้นและคนชาตินั้น

เมื่อถึงวันสำคัญนั้นๆ ก็มีกิจกรรมเพื่อเป็นเครื่องหมายของวันนั้น
เช่นการเฉลิมฉลอง เป็นต้นที่ว่า "วันสำคัญ" นั้น
บางทีเราก็สักแต่ถือตามๆ กันไป
โดยไม่ได้นึกถึงจริงๆ ถึงความสำคัญของวันนั้น

ทั้งๆ ที่การนึกหรือระลึกถึงอาจทำให้เราเกิดความภาคภูมิใจ
ที่นำไปสู่ความรักความกลมเกลียวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ซึ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการธำรงสังคมหรือชาติวันฉัตรมงคลในรัชกาลใด
ก็เป็นวันที่เกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลนั้นโดยเฉพาะ
เพราะฉะนั้นวันนี้จึงเป็นวันที่คนไทยควรจะทบทวนความจำ
และระลึกถึงพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร
ว่าตั้งแต่เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นต้นมาจนถึงวันนี้
ได้ทรงประกอบพระราชกรณียกิจอะไรและอย่างใดบ้าง
ในฐานะที่ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ของราชอาณาจักรไทยหรือประเทศไทย
ถ้าทบทวนความจำกัน ก็จะระลึกได้ว่า
ในรัชกาลนี้พระราชกรณียกิจมีมากมายล้นเหลือ

ในหลายสิบด้าน พระราชกรณียกิจที่ต้อง
ทรงทำในฐานะที่ทรงเป็นพระมหากษัตริย์นั้น

ก็ส่วนหนึ่ง แต่ที่ต้องยอมรับว่ามีประโยชน์ด้วย
อย่างมหาศาลแก่ชีวิตของคนไทยนั้น

คือพระราชกรณียกิจที่อาจเรียกได้ว่าพระราชกรณียกิจพิเศษ
ที่ทรงทำด้วยความสมัครพระทัย
พระราชกรณียกิจพิเศษเหล่านี้เกิดขึ้นจากการที่ได้
เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมประชาชนทั่วประเทศอย่างใกล้ชิด
ทำให้ได้ทรงเห็นและตระหนักในทุกข์ของประชาชน
และกลายเป็นความผูกพันและห่วงใยอันลึกซึ้ง
และยืนยาวที่ทรงมีต่อประชาชน

ความผูกพันและห่วงใยนี้เองที่ทำให้
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงอยู่นิ่งไม่ได้

ต้องทรงทุ่มเทพระวรกายและพระราชหฤทัย
คิดค้นหาทางอยู่ตลอดเวลาที่จะทำให้
ประชาชนคลายทุกข์และอยู่ดีกินดี

เพราะประชาชนคนไทยส่วนใหญ่เป็นเกษตรกร
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงสนพระทัย
โดยเฉพาะในเรื่องดินและน้ำ

อันเป็นปัจจัยสำคัญของเกษตรกรรม
ทรงศึกษาด้วยพระองค์เองจนทรงมีความรู้แตกฉาน
ทรงสามารถที่จะร่วมกับเจ้าหน้าที่และนักวิชาการ พิจารณาแก้ปัญหา
และพระราชทานความคิดเห็น
ที่นำไปสู่โครงการตามพระราชดำริ
ที่มีอยู่ประมาณ 3,000 โครงการทั่วประเทศ

เกี่ยวกับการเมืองนั้น
ทรงถือพระองค์ว่าอยู่เหนือการเมือง
และเป็นหน้าที่ของรัฐสภาแต่ละสมัยและรัฐบาลแต่ละชุด
แต่เพราะเมืองไทยมีวิกฤตการณ์ทางการเมืองหลายครั้ง
บางครั้งก็รุนแรงจนกลายเป็นการปะทะกันด้วยกำลังระหว่างฝ่ายที่ขัดแย้งกัน
มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ
ในกรณีเช่นนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร.9 จึงต้องทรงระงับเหตุ
แต่การระงับเหตุก็เป็นไปแต่ในรูปของการพระราชทาน
พระราชดำรัสพระราชทานสติ

แนะนำผู้เกี่ยวข้อง ให้ยุติความรุนแรง หันหน้าเข้าหากัน
และกลับไปสู่ความเป็นปกติดังเดิม
วิกฤตการณ์ทางการเมืองทำให้เกิด
รัฐประหารและยึดอำนาจการบริหารบ้านเมืองหลายครั้ง

แต่ทุกครั้งผู้ยึดอำนาจได้ก็ไม่มีทางเลือก
ต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือร่างรัฐธรรมนูญใหม่
เป็นเหตุให้เมืองไทยมีรัฐธรรมนูญมากถึง 17 ฉบับ
ที่อาจจะนึกไม่ถึงกันก็คือ
ทุกฉบับยอมรับความเป็นประมุขของพระมหากษัตริย์
ในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย
หรือยอมรับระบอบที่เรียกในภาษาอังกฤษว่า
constitutional monarchy

(ราชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญ)
เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเปลี่ยนรัฐบาลกันอย่างไรเพียงใด
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร.9 ก็ยังคงดำรงฐานะ
เป็นพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญ

พระราชอำนาจถูกกำหนดและจำกัดโดยรัฐธรรมนูญมาโดยตลอด
ระบอบประชาธิปไตยแบบที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
ได้รับการพิสูจน์ด้วยกาลเวลา ว่าเป็นระบอบที่ประชาชนคนไทยยอมรับ
แม้บางยุคบางสมัยจะมีผู้พยายามนำระบอบอื่นเข้ามาใช้กับเมืองไทย
แต่ประชาชนก็ปฏิเสธ
และถ้าผู้นิยมระบอบอื่นนั้นใช้กำลังบังคับ ประชาชนก็ต่อสู้

ในการต่อสู้ที่เคยเกิดขึ้นแล้วนั้น
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร.9 ไม่เคยทรงทิ้งประชาชน
และประทับอยู่กับประชาชนตลอดจนพ้นวิกฤตกาล
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร.9
ไม่เคยทรงตั้งพระองค์เป็นเจ้าระบอบใดๆ ทั้งนั้น

เคยตรัสว่า หากเมืองไทยเปลี่ยนระบอบการปกครอง
ไปเป็นแบบที่ไม่มีพระมหากษัตริย์

เมืองไทยก็จะมีพลเมืองใหม่อีกคนหนึ่ง ชื่อ "ภูมิพลอดุลยเดช"
วันฉัตรมงคลปีนี้ คนไทยจึงควรถือเป็นวันมงคลของชาติ
และทำแต่สิ่งที่เป็นมงคลแก่ตนเองและแก่บ้านเมือง
ด้วยการน้อมรำลึกถึงการอุทิศพระวรกาย
และพระราชหฤทัยอันใหญ่หลวงและยาวนาน

ที่พระราชทานแก่คนไทยและเมืองไทย
หากนึกไม่ออกว่า ในวันมหามงคลวันนี้
จะสนองพระมหาเมตตาธิคุณและพระมหากรุณาธิคุณอย่างไร
ก็ควรทำด้วยการงดเว้นไม่ทำความชั่ว
ทำแต่สิ่งที่เชื่อว่าเป็นความดี

และทำใจของตนให้สงบและสะอาด
ไม่ยอมให้มัวหมองเพราะกิเลส

แล้วน้อมเกล้าฯ อุทิศผลบุญที่ได้
ถวายเป็นพระราชกุศลทำวันฉัตรมงคลให้เป็นมงคล

จะป้องกันและไล่สิ่งที่เป็นอัปมงคลแก่ชาติบ้านเมืองได้อย่างแน่นอน

หน้า 6