เรื่อง:อิมเมจ
นับได้ 25 ปีแล้ว นิติพงษ์ ห่อนาค หรือ‘ดี้’ เป็นนักแต่งเพลง เป็นพี่ชาย เป็นน้องชาย เป็นเจ้านาย เป็นลูกน้อง เป็นศิลปิน เป็นผู้บริหาร เป็นทุกอย่างเท่าที่เขาจะเป็นได้เพื่อบริษัทจีเอ็มเอ็มแกรมมี่ฯ แต่นับได้ห้าปีกว่าๆ เท่านั้นที่เขาเป็น‘พ่อตังเม’ของเด็กหญิงหัวเราะเก่งคนหนึ่ง ที่ถอดใบหน้ามาจากเขาจนเพื่อนแซวกันว่าถ้าเอาตังเมไปวางไว้หน้าตึกแกรมมี่ ไม่ว่าใครก็จะส่งเธอกลับถูกบ้าน ทว่าห้าปีกว่านี้ เขาเป็นนักเล่านิทาน เป็นเพื่อนเล่น เป็นคุณครู เป็นตู้เอทีเอ็ม และเป็นตัวของตัวเอง
ลูกสาวเป็นอย่างไรบ้างคะ
ตังเมเป็นเด็กที่พูดรู้เรื่องมากครับ แต่บางทีชอบทำเหมือนฟังไม่รู้เรื่อง แต่จริงๆ รู้เรื่อง อาจจะเล่นเกมยื้อไปนิดหนึ่ง ดูการ์ตูนมากไปหน่อย ผมจะบอก หยุดเลยเธอ เวลาหมดแล้ว มาอ่านหนังสือกับพ่อมา พอพูดว่าอ่านหนังสือกับพ่อเท่านั้นแหละ เขาจะรีบมาเลย เอาเป็นว่าเฉพาะตอนนี้นะ เฉพาะตอนห้าขวบกว่านี่...เขาไม่ได้ชอบดูการ์ตูนมากนัก สิ่งที่เขาชอบที่สุดคืออ่านหนังสือกับวาดรูป และผมพอใจเขามาก
ในเรื่องนี้เลี้ยงอย่างไรให้ลูกชอบอ่านหนังสือกับวาดรูป
ผมไม่ปล่อยให้เขาหันหน้ามาแล้วไม่เจอใคร ไม่ปล่อยให้เขามองกี่ทีพ่อแม่ก็ไม่เคยอยู่บ้าน ถ้าเป็นครอบครัวนานๆ เจอกันที เด็กเขาก็เลยต้องอยู่กับทีวีไง เพราะไม่มีอย่างอื่น แต่เผอิญตังเมญาติโกโหติกาเยอะ คนโน้นคนนี้ช่วยกันเลี้ยง มีพ่อแม่เหมือนเป็น chain เป็น pool น่ะ เพื่อนข้างบ้านหลายบ้านก็เป็นเพื่อนกันทั้งพ่อทั้งแม่ ลูกก็เป็นเพื่อนสนิทกัน เรียนโรงเรียนเดียวกัน กลับบ้านก็เล่นด้วยกันอีก ก็เลยเป็นพ่อเป็นแม่ร่วม ลูกๆ ก็เลยมีหลายพ่อหลายแม่ ให้เขามีมนุษยสัมพันธ์กับคนจะช่วยได้มาก เขาจะรู้จักสิ่งมีชีวิต และพอไปเล่นกับสิ่งไม่มีชีวิต เขาก็จะรู้จักความแตกต่าง และรู้จักวิธีเล่นกับมันพอสนุก จากนั้นก็ไปเล่นอย่างอื่นได้ ตอนนี้ในฐานะพ่อ ผมว่าตัวเองยังทำได้ดีอยู่ แต่วันหนึ่งข้างหน้า ไม่รู้ต้องรับมืออะไรอีกแค่ไหน ก็ต้องรอดูกันต่อไป
ถ้าวันหนึ่งน้องอยากมีมือถือ บอกว่าเพื่อนๆ มีกันหมดเลย คุณพ่อจะทำอย่างไรก็ให้เขา
เป็นสิ่งที่ง่ายที่สุด ในเมื่อถ้าเขาบอกว่าเพื่อนมีกันหมดเลย เราต้องถามตัวเองแล้ว เพราะเหตุมันอยู่ที่สภาวะแวดล้อมที่เราเอาเขาไปอยู่ บางโรงเรียนตอนผมเข้าไปสำรวจ จะนานาชาติ หรือไทยก็ตาม หลายโรงเรียนให้เด็กใช้ของฟุ่มเฟือยมาก โดยไม่ได้คิดว่าเป็นหน้าที่ที่ต้องอบรม ทางบ้านเลี้ยงมาอย่างนี้ โรงเรียนก็ปล่อยไป สมมติโรงเรียนมีเด็กรวย 80 เปอร์เซ็นต์ที่ใช้ของหรูหรา อีก 20 เปอร์เซ็นต์มันก็ต้องกลับบ้านไปขอพ่อขอแม่ แล้วถ้าเกิดพ่อแม่ให้ไม่ได้ ลูกก็จะมีปมด้อย เป็นความทุกข์ ก็ต้องให้เขา ยังไม่ควรให้ก็ต้องให้
คุณดี้เองก็จะทำอย่างนั้นด้วยหรือ
ทำ ถ้าผมเอาลูกไปอยู่ในสภาพแวดล้อมอย่างนั้น ผมก็ต้องรับผิดชอบการตัดสินใจตัวเอง หาให้ได้ก็จะหาให้ เพราะลูกจะได้เป็นคนปกติในสังคมที่เขาอยู่ แต่โรงเรียนที่ผมเลือกให้ลูกอยู่ไม่เป็นอย่างนั้นนะครับ ที่เลือกให้เรียนที่นี่เพราะเป็นโรงเรียนอยู่ในหมู่บ้าน ไม่ต้องเดินทางไกล เป็นโรงเรียนนานาชาติอเมริกันก็จริง แต่ความเป็นอเมริกันมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีของเขาที่ผมเห็น คือเขาไม่ค่อยมีสิ่งฟุ่มเฟือยมาอวดกัน บางโรงเรียนรวยๆ มัธยมฯสามก็เริ่มหิ้วแบรนด์เนม มีนาฬิกาแพงๆ มาโชว์ พ่อแม่ขับรถโก้มาแข่งกัน ผมเห็นมากับตา แต่ที่นี่เด็กทุกคนมอมหมด พ่อแม่ ฝรั่งไทย ใครก็ตาม จะมีฐานะหรือเปล่าไม่รู้ แต่นุ่งขาสั้นรองเท้าแตะไปรับลูกกัน เลยกลับกลายเป็นว่าประเทศผู้นำด้านวัตถุนิยม กลับวัตถุนิยมน้อยกว่าสังคมเมืองของเรา วัตถุนิยมของอเมริกันไม่เหมือนคนไทย เขาไม่ใช้แบรนด์เนม แต่เขาต้องการความสะดวกสบายถูกต้อง ตามแบบอเมริกันเวย์ ซึ่งบางทีก็อาจน่าหมั่นไส้ไปอีกแบบ แต่ผมคิดว่าถ้าเลือกได้ อยากให้ลูกอยู่ในสังคมที่โตมาแบบกล้าพูดกล้าทำ เรียนรู้ในสิ่งที่มนุษย์ควรรู้ มีอีคิว ช่วงหลังผมพอจะมีเวลาว่างเยอะขึ้น ก็จะสอนลูกเอง ตอนนี้ผมสอนให้ลูกรู้จักพระพุทธเจ้า สอนให้สวดมนต์ ผมดีใจที่เขาสนใจ ถามตลอด พระพุทธเจ้าเดินมาแล้วทำไมมีดอกบัวล่ะคะ ผมก็ต้องสอนในระดับที่ให้เด็กวัยนี้ยังมีจินตนาการ ผมคงไม่บอกว่าไม่จริงหรอกลูก มันไม่มี มันเป็นไปไม่ได้ คงไม่ดี จินตนาการถูกตัดทิ้งฉับเลย ก็ต้องมีวิธี ก็พระพุทธเจ้าเป็นคนสำคัญไงลูก เป็น Angel ต้องผนวกนิยายไปก่อน
รู้ได้อย่างไรคะว่าจังหวะไหนควรใส่อะไรในชีวิตเขา หรือพอเป็นพ่อแล้วจะรู้เอง
ตังเมเขาเหมือนเด็กแอดวานซ์เล็กน้อย อ่านการ์ตูนธรรมดา เขาจะรู้สึกว่าสู้การ์ตูนพ่อไม่ได้ คือการ์ตูนผมจะมีมุขแรงๆ ผมเล่านิทานแบบถือว่าลูกเป็นรุ่นเดียวกันกับเรา การ์ตูนผมมีเตะก้านคอ กรรมการลงไปนับ ตังเมมันหัวเราะกลิ้งเลย สโนว์ไวท์ไปเจอกับมิคกี้เม้าส์ แล้วชวนกันไปคุ้ยขยะกินอะไรอย่างนี้ ผมชอบทำให้แฟนตาซีไม่ใช่เรื่องสวยงามอย่างเดียว จะจินตนาการทั้งทีก็ต้องไปให้ได้หมดทุกเรื่อง ไม่ได้ถึงกับยัดเยียดนะ ที่สำคัญคืออยากให้เขาขำแค่นั้นแหละ
ปกติเล่านิทานนี่คิดสด หรือพล็อตไว้ก่อน
สด สดสิ ไม่รู้จะไปพล็อตตอนไหน เพราะมันเล่นขอแบบ...พ่อเล่านิทานให้ฟังเดี๋ยวนี้เลยค่ะ ไอ้พ่อก็ด้นกันไป ที่เขาพูดกันน่ะจริงนะ การที่พ่อแม่มีโอกาสได้ใกล้ชิดลูก สังเกตลูก มันมีผลดีกับลูกเห็นได้ชัด แต่ก็ไม่ใช่ว่าเลี้ยง 24 ชั่วโมงตลอดเวลา ผมเคยเห็นพ่อแม่บางคนที่ไม่จ้างพี่เลี้ยง ไม่เอา ฉันจะเลี้ยงเอง ลาออกจากงานมาเลี้ยงลูก ประเภทนั้นผมเห็นบางตอนแม่จะมีความรู้สึกไม่เป็นอิสระ และลึกๆ จะโทษลูก ฉันไม่ได้มีอิสระเพราะเธอ เวลาสั่งสอน หรืออบรม จะมีอารมณ์ส่วนตัวเข้าไปปน ลูกเขารู้สึกได้ รับรู้ได้ แล้วมันจะสะสมต่อไปในอนาคตนะครับการเลี้ยงลูกไม่ใช่เรื่องสนุก เพราะฉะนั้นผมถึงคิดว่าถ้ามีพี่ป้าน้าอาคอยช่วยกัน แม่ก็จะได้ไปช็อปปิ้งไปออกกำลัง ทำอะไรของแม่เอง โลกสมัยใหม่ไม่ใช่แม่มานั่งเพ้ออยู่บ้านแล้วปล่อยให้พ่อไปมีเมียน้อย ไม่ใช่แล้ว พ่อแม่ต้องมีความสุขของตัวเองด้วย เพราะอะไร เพราะทุกเวลาที่เราอยู่กับลูกควรเป็นเวลาที่มีคุณภาพ ไม่มีทางที่เราจะอยู่กับลูกแล้วสนุกกับมันทั้งวัน เจ็ดวันต่อสัปดาห์ ไม่มีทาง แต่บางทีมันแบ่งเบากันได้ เอ้า เรื่องนี้เธอช่วยดูหน่อย เอ้า น้าคนนี้ช่วยเรื่องนี้หน่อย พ่อควรมีโลกของพ่อ แม่มีโลกของแม่ ลูกมีโลกของลูก แล้วจากนั้นก็มีโลกของพ่อกับแม่ และโลกของเราทั้งหมดร่วมกัน ผมว่ามันกำลังลงตัวดี ผมโชคดีที่มีโอกาสได้ทำแบบนั้น ในขณะที่หลายครอบครัวอาจจะไม่มีทางให้เลือกอย่างผมผมไม่สนับสนุนคำพูดที่ว่าลูกคือทุกสิ่งทุกอย่าง ลูกไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่าง แต่เป็นอย่างแรก และอย่างที่ใหญ่ที่สุด คิดแค่นี้เขาก็โตมาโอ.เค.แล้ว เราต้องมีอย่างอื่นสำคัญในชีวิตเราอีกเยอะ
หลังจากเลี้ยงน้องตังเมมา มีเรื่องไหนผิดคาดบ้างไหมคะ
ผมนับว่าตัวเองโชคดี ไม่ถึงกับผิดคาดอะไร ลูกออกมาแล้วปกติทั้งร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ ตังเมเป็นเด็กอารมณ์ดีมาก น้อยครั้งที่จะเห็นเขาร้องไห้ เป็นปีๆ มาแล้วนะ เคยโดนชนขอบประตูหัวแตก ก็ตกใจร้องไห้นิดหนึ่ง พาไปเย็บสดหกเข็ม ตอนนั้นอายุสามขวบหน่อยๆ ตอนเย็บนี่เชื่อไหม เขาร้องเพลงเฉยเลย แม่เขาไม่อยากให้ตกใจ ก็บอกลูกร้องเพลงกันนะ แม่ชวนเขาก็ร้องตาม เป็นคนเข้มแข็งมาก ไม่รู้ไปเอาความถึกมาจากไหน ตั้งแต่จำความได้ ยาทุกเข็มที่หมอฉีด ตังเมไม่เคยร้องไห้ ไม่เคยกลัวหมอฟัน ตอนนี้รู้สึกว่ามันชักจะอารมณ์ดีเกินเหตุ แต่นั่นก็คือสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกโชคดี
ตังเมได้นิสัยมาจากพ่อไหมคะ
คงแบ่งๆ กันไปนะ ขึ้นอยู่กับว่านิสัยนั้นดีหรือไม่ดี (หัวเราะ) ถ้าไม่ดี ผมก็บอกภรรยาว่านี่นิสัยเธอ เกี่ยงกันไปมา แต่ปัญหาคือพ่อกับแม่มันดันนิสัยเหมือนกันมาก เห็นตรงกันจนเราต้องเตือนๆ กัน เรื่องอะไรที่ฉันโมโหสิบ เธอช่วยอย่าโมโหบวกเข้ามานะ มันต้องมีใครดึงใครบ้าง เห็นตรงกันมากบางทีไม่ดีหรอก เพราะถ้าเห็นตรงกันในเรื่องไม่ดี มันก็จะเป็นดับเบิลไม่ดี เช่น ขับรถอยู่ เฮ้ย ไอ้นี่มันปาดหน้าเรา ทุเรศจริงๆ เลย แฟนก็เออใช่ ทุเรศมากๆ ต่อยเลยๆ...คือมันไม่น่าจะต้องโมโหกันขนาดนั้นไง น่าจะต้องมีใครสักคนบอกว่าใจเย็นๆ
แสดงว่าคู่ของคุณดี้ไม่ใช่ Opposite Attract ประเภทเติมสิ่งที่ขาด
เติมสิ่งที่ขาด มันเป็นคนละประเด็นกับความต่างกันนะ ถ้าเติมสิ่งที่ขาด ส่วนใหญ่เป็นความขาดแคลนทางอารมณ์ ซึ่งคนเราจะเหมือนกันหรือต่างกันก็เติมให้กันได้ หมดกำลังใจ ท้อถอย ถ้ารักกันมันเติมให้กันเอง การสร้างขวัญและกำลังใจ เป็นเป้าหมายในชีวิต นี่คือการเติม แต่การต่างไม่เกี่ยวกับการเติม ผมว่าการต่างกันมากทำให้ชีวิตคู่ค่อนข้างเหนื่อยกว่าคู่ที่ต่างกันน้อย แต่เหมือนหรือต่างไม่ได้เป็นตัวยืนยันว่าจะยาวหรือจะสั้น คนเหมือนกันบางทีชีวิตคู่ก็สั้น เพราะสามีเป็นคนเจ้าชู้ สร้างปัญหานอกบ้าน เหมือนกันแค่ไหนก็คงอยู่ไม่ยืด อะไรแบบนี้
แล้วอะไรคือรากฐานที่ทำให้ชีวิตคู่คุณยืนยาว
ถ้าหลักของผมเลยคือการรู้จักรับผิดชอบหน้าที่ตัวเอง
ไม่ใช่ความรัก?
ความรัก ความโรแมนติกมันเป็นแค่สินบน ในบรรดาสัตว์โลกนะ มีแต่มนุษย์นี่แหละที่พระเจ้าต้องจ้างให้สืบพันธุ์ สัตว์ที่เขาว่าฉลาดๆ อย่างมนุษย์ ถ้าไม่มีสินบนในการสืบพันธุ์ ก็ไม่อยากเข้าหา ไม่อยากเข้าใกล้ ขี้เกียจทำ มันเหนื่อย ต้องมีความโรแมนติกยื่นมาก่อน มีความต้องตาต้องใจ มีความถูกใจกัน หน้าตานิสัยใจคอ ทั้งสิ้นทั้งปวงไปจบที่การสืบพันธุ์เพื่อให้มีลูกต่อไป แล้วทีนี้ยังมีมนุษย์บางส่วนจะเอาแต่สินบนไง แต่ไม่ยอมสืบพันธุ์ เล่นกับคนน่ะเล่นยาก พระเจ้ายังเวียนหัวพอเราเข้าใจมัน...เข้าใจไม่ได้แปลว่ารอดนะ...แต่ผมเข้าใจว่าความรัก วาเลนไทน์ โรแมนติก อะไรพวกนี้มันเป็นแค่สินบน ถ้าเรารู้หน้าที่ของเรา รู้ว่าทำอะไรแล้วใครจะเสียใจบ้าง มันก็ไม่ทำ พวกที่เอาแต่รักๆๆ แต่ไม่รู้หน้าที่เนี่ย ถามว่ารักเป็นหรือเปล่า บางคนได้แต่บอกว่ารัก แต่ถ้ามึงไม่รักกูมึงตาย อย่างนี้ผมไม่เรียกว่ารัก ความรักถ้าใช้เป็น มันสวยงามและลึกซึ้งกว่า เพราะประกอบไปด้วยความเคารพกัน เชื่อถือกัน ไว้ใจกัน เข้าใจกัน และต้องให้คนที่เรารักมีโลกของเขาด้วย ชีวิตหนึ่งเกิดมาสั้นนัก เธออยากทำอะไรทำเถอะ ฉันอยากทำอะไรก็จะทำเหมือนกัน แต่อย่าทำอะไรที่มันเกินขอบเขตความรู้สึก หรือทำให้อีกฝ่ายหนึ่งเสียใจ น้อยอกน้อยใจ แล้วอย่ามาถามว่ามันอะไรบ้างล่ะ ที่ทำแล้วเขาจะเสียใจ คิดเป็นไหม เรื่องแค่นี้ ถ้าคิดไม่เป็นก็อย่ารักกัน ที่ผมพูดว่าหน้าที่รับผิดชอบ มันคือตรงนี้แหละ หน้าที่รักให้เป็น มันประกอบไปด้วยความไว้ใจ ความเคารพกัน มันคือพื้นฐานของความเป็นเพื่อน ซึ่งจะแข็งแรงมาก สังเกตไหมว่าเราจะทะเลาะกับเพื่อนน้อย เพราะมันไม่มีเรื่องงี่เง่ามาปน เพราะฉะนั้นเบสิกคือเพื่อน เพื่อนมักจะรู้หน้าที่ว่าเราควรทำอะไรกับเพื่อนอยู่เสมอ แต่พอเริ่มเป็นแฟน เป็นผัวเมีย มันมักมีเรื่องอะไรแบบที่เพื่อนเขาไม่ทะเลาะกัน ในระดับเบสิกจะตีกันบ้างทะเลาะกันบ้างในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แปรงสีฟันเธอไม่ล้าง ไม่อาบน้ำ ตดเหม็น คนเรามันจะมีความชุ่ยสักอย่างสองอย่างในชีวิตอยู่แล้ว มันก็หงุดหงิดกันแค่นั้น แล้วจบ แต่ถ้าเบสิกดี มันจะไม่หงุดหงิดไปถึงระดับความสัมพันธ์ที่เรามัดกันไว้แข็งแรงมาก ด้วยความที่ต่างคนต่างรู้หน้าที่ว่าใครทำอะไร
จริงๆ แล้วคุณว่ามนุษย์มีธรรมชาติของการอยู่คนเดียวหรือเปล่า
ถ้าโดยธรรมชาติ เขาสั่งให้คนต้องสืบพันธุ์ มันต้องมีคู่ นี่พูดไม่ได้หยาบคายนะ เพราะเขาให้อวัยวะเรามา ถ้าคุณไม่ได้ใช้ ถ้ามนุษย์ส่วนมากเป็นอย่างนี้ วันหนึ่งมันก็อาจค่อยๆ ลีบเล็กลงตามประสากฎการกลายพันธุ์หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ยุคนี้ถ้าพูดเชิงสังคม ไม่ใช่ธรรมชาติ ผมว่าการอยู่คนเดียวแล้วรู้จักตัวเอง ก็เป็นสุข เพราะภาระน้อย การมีลูกมีเมียมันมีความชื่นใจ เหมือนเป็นยาอะไรสักอย่าง เอาไว้ชื่นชูใจ แต่มันมีราคาที่ต้องจ่าย ซึ่งคนสมัยนี้ไม่ค่อยอยากจ่าย เขาไม่อยากมีภาระ ผมอยากจะใช้คำว่า...เห็นแก่ตัว แต่ก็แรงไป เอาเป็นว่ารักตัวเองมากขึ้น มีการแข่งขันมากขึ้น เพราะคนมันเยอะขึ้น โลกหมุนเร็วขึ้น ต้องแข่งต้องต่อสู้ มีเรื่องราวให้ทำเยอะ เพราะฉะนั้นเขาจะรักตัวเอง ดูแลตัวเอง ใส่ใจตัวเองมากขึ้นจนกระทั่งไม่มีที่ทางความคิดสำหรับการดูแลคนอื่น หรือเอาใครมาเป็นภาระ เป็นคนโสดมากขึ้น แต่งงานช้าลง มันคงเป็นวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปเท่านั้นเอง
มันบ่งชี้อะไรน่ากลัวไหม เราไม่มีคู่ แต่ยังมีเซ็กซ์กันเหมือนเดิม
นั่นเป็นการฉกฉวยโอกาสทางความสุข เอาแต่สินบนแต่ไม่เอาภาระ เป็นการโกงธรรมชาติไง รักกันมีเซ็กซ์กัน ธรรมชาติบอกว่าฉันให้ความสุขเธอในการมีเพศสัมพันธ์ เธอก็ต้องมีลูกออกมา แล้ว‘เลี้ยง’ด้วย (เน้น) แต่มนุษย์โกงธรรมชาติจนเป็นเรื่องปกติ แค่คุมกำเนิดก็โกงธรรมชาติแล้ว ถามว่าน่ากลัวไหม ผมว่าคนทำให้ประวัติศาสตร์น่ากลัวอยู่แล้วทุกยุคทุกตอน ไปตรวจดูเถอะ ตั้งแต่มีโลกจนถึงทุกวันนี้ น่ากลัวทุกตอน แต่น่ากลัวแบบไหนต่างหาก สิ่งที่เกิดใน พ.ศ.นี้ ที่ว่ามันมั่วกันจัง มีเอดส์มีอะไร มันเคยเกิดขึ้นแล้วทั้งนั้นในสมัยกรีก โรมัน มันถึงได้มีการล้มหายตายจาก เผ่าพันธุ์ล่มสลายในที่สุด แล้วก็มีสิ่งเกิดขึ้นใหม่ ว่ากันใหม่ มีล้มมีเปื่อย ตอนนี้ผมว่าเราน่าจะกำลังเปื่อยอยู่ อีกเดี๋ยวก็ถูกกินได้แล้ว
การเติบโตผ่านความเข้าใจเหล่านี้ไปแล้ว คุณยังแต่งเพลงรักโรแมนติกให้เด็กๆ ได้อยู่หรือคะ
ผมใช้คำว่า‘ยากขึ้น’สภาวะจิตใจและอารมณ์มันเปลี่ยนไป เพราะฉะนั้นส่วนใหญ่ที่เขียน ผมจะเริ่มแอบแทรกวิธีคิดแบบผู้ใหญ่เข้าไปในเพลงโดยไม่ได้ตั้งใจ คือไม่ใช่เพลงที่พูดถึงแต่อารมณ์กันอย่างเดียว เพราะแต่งอย่างนั้นแล้วรู้สึกไม่อินอย่างไรชอบกล เหมือนมันไม่พอ แต่ก็อยู่ในกระบวนการที่ต้องปรับตัวเองเหมือนกัน เผลอๆ ก็ต้องไปแอบคิดถึงคนอื่น แอบคิดถึงสมัยยังเป็นเด็กๆ หรือแอบคิดถึงใครก็ไม่รู้ จินตนาการขึ้นมา ถ้าต้องทำ มันยังทำได้อยู่ คนอายุหกเจ็บสิบก็ยังมีอารมณ์พวกนี้อยู่เลย นักแต่งเพลงหรือศิลปินสมัยก่อนถึงใช้เป็นข้ออ้างในการมีเมียเยอะไง
เป็น Muse ในการทำงาน
ไม่งั้นจะคิดงานไม่ออก ต้องสร้างแรงบันดาลใจ แต่จริงๆ แล้วคนเราจินตนาการเองได้นี่ มีจินตนาการไว้ทำไมถ้าไม่ใช้ แล้วหาเรื่องให้คนอื่นเดือดร้อน
แต่อาจจะแต่งเพลงได้โดนกว่า ถ้าเราใช้ประสบการณ์จริง ไม่ใช่จินตนาการ
ก็อาจจะใช่ สมัยหนึ่งมันอาจจะง่ายที่คนเป็นเมียหลวงจะยอมรับพฤติกรรมนี้ หวานอมขมกลืนไปได้ทุกอย่างก็ราบคาบ คนเป็นเมียน้อยก็รู้จักนอบน้อมถ่อมตน ทำตัวเล็กๆ เมียหลวงก็แล้วแต่พี่ค่ะ แต่สมัยนี้ไม่ง่ายอย่างนั้นนะ ผู้หญิงรู้สิทธิ์ เมียหลวงรู้ว่าตัวเองควรต้องได้อะไร ส่วนผู้หญิงที่ผู้ชายไปแอบเล็กแอบน้อยไว้ ผู้หญิงพวกนั้นก็ไม่ติ๋มนะ เธอต้องจ่ายฉันเดือนละเท่านั้นเท่านี้...เอ่อ ผมว่ามันชักไม่สนุกแล้วล่ะ มีอารมณ์สวยงามมาเป็นนักแต่งเพลงไม่ได้อยู่ดี เป็นศิลปินก็สร้างงานไม่ออก เพราะมีเรื่องเครียดมากกว่า แค่จะกินของอร่อยๆ แค่นั้น แต่มีปัญหาตามมาสารพัด จินตนาการเอาเองปลอดภัยที่สุด แต่เขาถึงได้บอกไงว่าศิลปินหรือพวกใช้ความคิดสร้างสรรค์อะไรก็แล้วแต่ ถ้าชีวิตมันราบเรียบ ไม่ค่อยมีความขรุขระ มันจะตีโจทย์ไม่ค่อยแตก ไม่รู้เป็นอย่างไร
อย่างนี้แปลว่าคุณอกหักมาเยอะ
เยอะอยู่แล้ว ผมอกหักเรี่ยราดมาตลอด บางทีอกหักคนเดียวไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำ แต่ผมว่ามันเป็นอกหักที่ขำขันดี ผมหลงรักคนง่ายนะ แต่ไม่ได้ผูกพันอะไรกัน บางคนรู้ตัว บางคนไม่รู้ตัว ซึ่งก็ไม่ใช่กิจของเขานี่ มันเป็นกิจของผมเอง รักเธอสักฤดูหนึ่งก็โอ.เค. พอแล้ว (หัวเราะ)
ช่วงนั้นแต่งเพลงได้เยอะไหมคะ
ยังๆ ตอนนั้นยังไม่ได้แต่ง ยังเด็กๆ อยู่ แต่ความรู้สึกพวกนี้มันเอามาใช้ได้ตลอด ทุกวันนี้ยังซ้อมอกหักอยู่เลย อย่างที่บอก โอ...ทำไมเราไม่มีคนๆ นี้มาอยู่ใกล้ๆ เรามั่งน้า...เพ้อๆ ไป (หัวเราะ)
คุณมานั่งสร้างจินตนาการเองอย่างนี้ จะสร้างได้อีกนานหรือคะ
ไม่รู้เหมือนกัน แต่ทุกอย่างมันก็ต้องสร้างทั้งนั้นแหละ คนทำงานแบบนี้แล้วสร้างไม่เป็น ต้องเจอของจริงตลอด ชีวิตคงสะบักสะบอมน่าดู ไม่ได้เป็นมนุษย์มนากับเขาหรอก
เป็นไปได้ไหมให้เพลงโตตามตัวเราจริงๆ
เป็นไปได้ จริงๆ มันก็น่าจะเป็นอย่างนั้นนะ คนเราคงมีรอบของมันล่ะมั้ง วิธีคิดเปลี่ยน ผมก็พยายามใส่อะไรเข้าไปอยู่เรื่อยๆ ผมตั้งใจไว้ด้วยว่าจะทำอย่างนั้น ส่วนมากคนที่เอาเพลงมาให้ผมแต่ง ไม่ค่อยมีโจทย์หรอก แค่บอกว่าแต่งให้ใครร้อง ที่เหลือให้ไปนั่งจินตนาการเอาเอง เหมือนไม่มีใครเขากล้าบอกโจทย์
การแต่งเพลงอย่างเป็นอาชีพ มีความกดดันมาเกี่ยวข้องด้วยไหมคะ
มีสิ ทำงานแล้วเอาความสุขใจสบายใจเป็นหลักคงจะหายาก แต่อย่างน้อยผมก็รู้ว่าสิ่งที่ทำเป็นสิ่งที่ผมถนัด และทำได้โดยไม่ฝืน แต่ถามว่าผมฟังเพลงตัวเองไหม ไม่ค่อยได้ฟังนะ เพราะรสนิยมส่วนตัวไม่ได้เป็นแบบนั้น งานก็เป็นงาน ยกตัวอย่างอย่างไรดี พอผมแต่งเสร็จ เมื่อกลายมาเป็นผู้ฟัง ผมก็จะไม่เลือกฟังเพลงรุ่นนี้ ผมจะฟังเพลงรุ่นของผมไง
แต่คุณดี้ก็สามารถแต่งเพลงให้เด็กรุ่นนี้ฟัง
ใช่
มันไม่ขัดแย้งกับตัวเองหรือคะ
ไม่ มันเป็นงานที่สนุกด้วยซ้ำ การเป็นผู้เขียนกับเป็นผู้ฟัง ผมเล่นคนละบทบาท ตอนเขียนก็เขียนสนุก อยากให้มันเป็นอย่างไร สร้างเรื่องอย่างไร ฟังแล้วได้ Feel อย่างไร แต่ถึงจะชอบมันอย่างไร ผมก็ไม่ใช่แฟนเพลงอีตานิติพงษ์ ห่อนาค นี่เลย
เป็นไปได้ไหมว่าเมื่อก่อนอาจจะเคยเป็น แต่ตอนนี้งานของเรากับตัวตนเราห่างจากกัน
(คิด)...เมื่อก่อนก็ไม่เป็นนะ เอาอย่างนี้ ผมอยู่ในวงเฉลียง ผมไม่เคยฟังเพลงเฉลียงเลยจนกว่าจะต้องแกะแล้วร้องหรือเล่นในคอนเสิร์ต เพราะผมเองก็ไม่ได้เป็นแฟนวงเฉลียง ผมไม่เคยเขียนเพลงเสร็จแล้วเอาเพลงมาใส่ซาวน์ดฺอะเบาต์แล้วฟังอย่างเพลิดเพลิน ไม่เคยเลย ถ้าเกิดจะฟังคือนั่งตรวจทานดูว่าสมบูรณ์ลงตัวหรือยัง มีอะไรบกพร่องบ้าง
แล้วทำไมไม่ลองคิดจะแต่งเพลงที่ตัวเองจะชอบมันแน่ๆ
ผมชอบตอนแต่งทุกเพลงนะ ต้องแบ่งหัวโขนก่อน ชอบตอนแต่ง แต่พอแต่งเสร็จ ก็จบ ไม่เอามานั่งฟังอีก ผมว่าคนทำก๋วยเตี๋ยวเขาก็คงไม่อยากกินก๋วยเตี๋ยวที่ตัวเองทำมั้ง หรือเปล่าไม่รู้นะ แต่เขาคงต้องเป็นคนชอบกินก๋วยเตี๋ยว เหมือนผมก็ชอบฟังเพลง แล้วเพลงที่ผมชอบก็จะเป็นเพลงสมัยผมเป็นวัยรุ่นน่ะสิ วัยที่กำลังหัดชอบสาว สิบหกสิบเจ็ด ก่อนเข้ามหาวิทยาลัย ผมว่าเป็นธรรมชาตินะ เพลงที่จะติดตราตรึงใจมากที่สุดคือเพลงสมัยเราเป็นวัยรุ่น แล้วมันจะติดตามเราไปตลอดชีวิต ยกเว้นว่าเป็นคนประเภทนักฟังเพลงอย่างเอาเป็นเอาตาย อันนั้นอาจเป็นอีกเรื่อง เขาไม่ได้เปลี่ยนนะ แต่คนแบบนั้นจะชอบฟังเพลงใหม่ และเอามาเปรียบกับของเดิม ไม่ได้ฟังแบบเจาะลึก ผมชอบอย่างฟิวชั่นแจ๊ซ เป็นแจ๊ซที่ค่อนข้างพ็อพหน่อย มีทำนองหลัก มีบางส่วนอิมโพรไวส์ สำหรับผมมันมีสีสันสดใสมากกว่าแจ๊ซอย่างนิวออร์ลีน หรือแจ๊ซดิบๆ ที่ชอบมากๆ ก็อย่าง ชัค แมนจิโอเน่ บ๊อบ เจมส์ หรืออย่างเดฟ กรูซิ่น ก็ใช่ พ็อพยุคเจ็ดศูนย์ทั่วไป เพลงที่ผมมีอดีตกับมัน สมัยเป็นนักดนตรีผมต้องเล่นมัน จำเนื้อจำคอร์ด ทุกวันนี้ให้เล่นก็ยังเล่นได้ร้องได้ แต่เนื้อเพลงที่ตัวเองแต่งแท้ๆ จำแทบไม่ได้
เคยแต่งเพลงสักเพลงโดยไม่ได้ให้ใครร้องไหมคะ แต่งขึ้นมาเอง แต่งเพราะอยากแต่ง
อืม...(คิดนาน) ไม่รู้จะทำไปทำไม (หัวเราะ) ขนาดแต่งเพลงให้ลูกผมยังไม่แต่งเลย หลายๆ คนที่เป็นนักแต่งเพลง เวลามีลูกเขาจะแต่งให้ลูกกัน แต่ผมรู้สึกไปอีกทาง คือถ้าจะแต่ง ผมจะแต่งตอนเขาโต แต่งให้เขาฟังรู้เรื่อง แต่งตอนเล็กๆ นี่จริงๆ ไม่ได้แต่งให้ลูก แต่แต่งให้ตัวเอง นี่ผมไม่ได้บอกว่าใครผิดนะ เขาอาจจะรู้สึกกับมันมากจนต้องเขียนมาเป็นเพลง อันนี้คือระบายความรู้สึกตัวเอง แต่ถ้าถามผม ผมแต่งให้ตอนโตดีกว่า ให้เขาฟังเราแล้วเข้าใจด้วย ผมมีพล็อตแล้วล่ะ ผมจะแต่งให้เขารู้ว่า พ่อรู้ว่าวันหนึ่งเธอจะต้องไปจากพ่อ
แสดงว่าความรู้สึกส่วนตัวอย่างนี้ เหมือนคุณไม่ได้ต้องการจะเอาออกมาขาย
ก็ไม่เชิง เอาเป็นว่าผมไม่ได้ขายความเป็นตัวผมร้อยเปอร์เซ็นต์ มันต้องมีความเป็นศิลปินคนนั้นด้วยไง เรื่องราวชีวิตส่วนตัวของผมล้วนๆ ผมยังไม่ขาย ผมอาจจะยังไม่ถึงขั้นนั้นก็ได้มั้ง หรือผมอาจจะข้องใจว่าใครจะอยากซื้อด้วยหรือ
เพลงที่คุณชอบ มีอิทธิพลกับเพลงที่คุณแต่งไหม
มี ทุกอย่างรอบตัวเรามีอิทธิพลกับเราหมด ถ้าสังเกต จะเพลง หนัง หรือคนใกล้ตัว เพื่อนฝูง ทุกอย่างเป็นส่วนผสมอยู่ในเพลงของผมทั้งนั้น มันผสมกันอยู่ในแทงค์ แทงค์คือหัวผม เวลาใช้ก็ไม่ได้หยิบใช้เป็นอันๆ ผมบอกไม่ได้ว่าตรงนี้ได้มาจากไหน ส่วนใหญ่มันคิดออกมาได้เอง จากส่วนผสมในถัง ไม่รู้อะไรปนกับอะไรบ้าง
มีคนประเภทไหนไหมคะที่คุณคิดว่าแต่งเพลงไม่ได้แน่ๆ
เหมือนทุกคนเตะบอลได้ ผู้หญิงก็เตะได้ เตะแล้วลูกบอลมันก็กลิ้งไง แต่มืออาชีพเขาเตะแล้วมีไซด์ก้อย ไซด์โป้ง เข้าประตู นั่นเป็นนักบอลอาชีพ ส่วนแต่งเพลง ทุกคนแต่งได้หมด เด็กสองขวบก็แต่งได้ โน้ตสักสี่ห้าตัว เดี๋ยวก็เป็นเพลงแล้ว แต่จะเอาไปให้ผู้คนยอมรับวงกว้างได้ อาจต้องเป็นมืออาชีพ ผมว่าความเป็นมืออาชีพคือทำแล้วมีคนยอมเอาสตางค์มาให้เรายังชีพ เมื่อนั้นแหละ แต่จะเป็นมืออาชีพมากหรือน้อย นานหรือสั้น ขึ้นอยู่กับความสม่ำเสมอ และการยอมรับของสังคมผมพูดอย่างไม่อ้อมค้อมนะ บางทีเราแค่พูดเอาใจผู้คนว่าพรสวรรค์มันไม่มีจริงหรอก ต้องพรแสวงสิ ต้องฝึกหัดเยอะๆ ทุกคนฝึกเยอะๆ ก็ทำได้ แต่ผมขอยืนยันว่าพรสวรรค์มีจริงครับ แต่ต้องฝึกปรือด้วย บางคนฝึกเท่าไหร่ก็ไปไม่ถึง ทุกคนมันมีหลายระดับในหลายเรื่อง กับบางคนที่อยากแต่งเพลงมาก แต่เขาอาจจะไม่รู้ตัวว่าเขาควรจะไปขายไอติม เพราะขายแล้วมันจะรุ่งเรืองมาก สิ่งที่ผมเชื่อคือทุกคนมีพรสวรรค์ด้านใดด้านหนึ่ง ถ้าหาเจอ แล้วมันโชะ ก็จะประสบความสำเร็จ แต่มันไม่ง่ายที่จะหาเจอ ตอนเด็กๆ ตอนเริ่มทำงาน ผมถึงเป็นคนที่ทำทุกอย่าง อะไรทำได้ทำๆๆ ไม่ใช่นั่งเฉยๆ แล้วฝันว่าฉันต้องเป็นนั่นให้ได้ นี่ให้ได้ โดยไม่เคยรู้ว่าตัวเองทำได้จริงหรือเปล่า ต้องลองทำดู แล้วถ้ามันเป็นทางของเรานะ มันจะมีครรลองของมันมาเอง แต่ละคนไม่เหมือนกันหรอก
ตอนแรกที่อยู่เฉลียงก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเป็นนักแต่งเพลงหรือคะ
ไม่เคย ทุกวันนี้ยังไม่นึกฝันว่าจะเป็นนักแต่งเพลงเลย มันมาของมันเอง แล้วนานๆ เข้าเราก็จะมีลายมือของเราเอง ผมเคยพยายามเลี่ยงไปใช้นามปากกาอื่น ชาวบ้านยังจับได้อีก
คุณว่าลายมือคุณเป็นอย่างไร
ไม่แน่ใจเหมือนกัน ต้องไปถามพวกที่เขาจับได้ แต่ถ้าให้เดา น่าจะเป็นเรื่องของภาษา และวิธีคิดบางอย่าง ผมไม่ยอมปล่อยให้เพลงมันเรียบๆ ไม่ปล่อยให้ภาษากลอนพาไป ผมมักจะมีประเด็นพูด และมีสตรอว์เบอร์รี่ชัดเจนบนหน้าเค้ก ไม่ชอบปล่อยให้หน้าเค้กว่างๆ โล่งๆ เขียนสวัสดีปีใหม่แค่นั้นจบ ไม่มี ผมต้องมีลูกอะไรสักลูก เชอร์รี่แดงๆ หรืออะไรก็ได้ที่มันเป็นจุดให้คนเขามอง
เคยผ่านภาวะเป็นศิลปินจัดไม่อยากเอาใจตลาดบ้างไหม
ตอนนี้กำลังจะเริ่มภาวะนั้น เพราะตลาดเริ่มห่างจากตัวเราแล้ว ถึงจุดหนึ่งเราจะเริ่มไม่อยากทำเพลงที่เขากำลังนิยมอยู่ทุกวันนี้ คนที่ทำงานได้นานในสาขานี้ แปลว่าเขาต้องปรับตัวได้มาก เพลงรุ่นใหม่ ถามว่าผมรู้จักไหม รู้จัก ฮิป-ฮอปก็ชอบ ไม่ได้ปฏิเสธ แต่ผมเริ่มรู้สึกแล้วว่าวัยเรากับรสนิยมคนฟังรุ่นนี้มันเริ่มสวนทาง
ถึงกับสวนทางเลยหรือ
ผมอาจใช้คำแรงไป เอาเป็นว่ามันไปกันคนละเส้นกัน เพลงที่ผมฟังแล้วชอบคือเพลงสมัยไม่เกินยุคเจ็ดศูนย์ พอมารุ่นหลังแปดศูนย์ รู้สึกผมชอบร็อบบี้ วิลเลียมส์คนเดียว นอกนั้นก็ฟัง แต่ไม่ใช่แฟนเพลง เหมือนกันกับผมทำงานยุคแปดศูนย์ แฟนเพลงผมก็จะอยู่ในยุคนั้น ยุคนี้ไม่มีใครได้เป็นแฟนผมจริงๆ หรอก เพราะเขาฟังรุ่น 2000 แล้วไง
ที่ยังเหลือก็เยอะนะคะ
ก็ยังเหลือ แต่ไม่ใช่คนกลุ่มใหญ่แล้ว เป็นคนกลุ่มที่ จะอย่างไรก็ขอตามเสพเพลงเก่า เป็นเรื่องธรรมดาของโลกนี้ ยกตัวอย่างวง The Eagles ต่อให้แต่งอัลบั้มใหม่มา แฟนเพลงก็จะชอบไม่เท่าเพลงเก่าๆ ของเขา ของเกิดมาแล้วก็เสื่อม อะไรก็ตามในโลกมันเป็นอย่างนั้น แฟนเพลงลดน้อยถอยลงตามวัย แฟนเพลงเราโตขึ้น เขาก็มีอย่างอื่นต้องทำ มีงานมีการ มีลูกต้องเลี้ยง มีบิลต้องจ่าย ไม่มีเวลามาหลงใหลฟูมฟายเหมือนสมัยเป็นวัยรุ่น เราต้องเข้าใจตรงนี้ให้ได้ ว่าถึงเวลาวันหนึ่ง สิ่งที่เราคิด กับสิ่งที่แฟนเพลงปัจจุบันคิดเริ่มไม่ตรงกันแล้ว อาจจะเริ่มคุยกันไม่ค่อยเข้าใจ ถ้าต้องทำนะ คือผมต้องกระชากวัย ผมต้องแต่งตัวฮิป-ฮอป หรือแต่งตัวแบบแบงค์วงแคลชน่ะ ทีนี้วัยขนาดผม คุณคิดว่าอย่างไรล่ะ ผมว่าไม่ควรนะ ถ้าแต่งฮิป-ฮอปแล้วดูดีก็ไม่มีใครว่า แต่ส่วนมากจะดูน่าเกลียดไง เพราะมันแก่แล้ว ถ้ายังจะทำไปเรื่อยๆ ผมว่าหนึ่งฝืนตัวเอง สอง...ไม่เนียน
เคยลองฝืนดูบ้างไหม
เคย ไม่ถึงกับไม่แฮปปี้ ผมไม่เคยไม่แฮปปี้กับงานตัวเองนะ แต่เอ่อ...ต้องไปรื้อฟื้นความทรงจำอันยาวนานของตัวเอง เหมือนแต่งเพลงให้กอล์ฟกับไมค์น่ะ ให้ทำ ถามว่าทำได้ไหม ได้ แต่อาจจะสู้เด็กรุ่นใหม่ไม่ได้ เพราะพวกเขาเพิ่งผ่านความรู้สึกนั้นมา หรืออาจจะยังรู้สึกอย่างนั้น เพราะฉะนั้นให้เขาแต่งมันจะเนียนกว่า ถ้าเขาสามารถบรรยายความรู้สึกเขาได้ดีนะ
อาชีพนักแต่งเพลงก็มีวันเกษียณน่ะสิคะ
เขาเรียกว่าลดความนิยมลงดีกว่า ตามลำดับ ตามวัย ตามเวลา ตามธรรมชาติ คุณจะแต่งจนแปดสิบก็ไม่มีใครว่าหรอก แต่จะมีคนรับเหลือกี่คนไม่รู้ แต่ถ้านักร้องระดับใหญ่อย่างใหม่ หรือมาช่า ใครๆ ก็มองว่าอย่างไรก็ต้องเป็นนิติพงษ์ ห่อนาคแฟนตัวจริงก็อาจจะคิดอย่างนั้น แต่กลุ่มเป้าหมายเขาก็ต้องเคลื่อนตัวตามวัย คนฟังใหม่หรือมาช่าอาจไม่ใช่เด็กสิบห้าสิบหกแล้ว ป่านนี้สามสิบแล้ว ทั้งคนแต่ง คนร้อง คนฟัง มันต้องเคลื่อนไปด้วยกันทั้งหมดนี่แหละ ยอดขายเคยเยอะระดับล้าน อาจจะลดลงเป็นระดับแสน ถ้าไม่นับของปลอมที่มันมาทำลายสถิตินะ มันก็อาจลดลงไปตามกราฟ เพราะอย่างที่บอกว่าเป้าหมายเราเขาพ้นวัยรุ่น เขาก็ไปทำมาหากินกันมากขึ้น มีชีวิตจริงมากขึ้น
แล้วตอนนี้คุณดี้ยังบริหารบริษัทเพลงที่จีเอ็มเอ็มอยู่หรือเปล่าคะ
ตอนนี้บทบาทบริหารลดลงแล้ว เนื่องจากผมไม่สามารถเข้าไปในเกมการแข่งขันที่รุนแรงดุเดือดได้ ต้องให้นักบริหารตัวจริงแล้วล่ะ แล้วที่จีเอ็มเอ็ม ก็มีคนเก่งแบบนี้เยอะ ตัวผมถนัดทำเพลง ถ้าเกมเป็นเกมปกติ สู้รบกันตามปกติ ผมคงยังเป็นแม่ทัพต่อไปได้ แต่เมื่อเกมเปลี่ยนรูปไปขนาดนี้ ทุกคนลงความเห็นตรงกันว่า...พี่ดี้ เชิญแต่งเพลงอย่างเดียวดีกว่า (หัวเราะ)ถ้าเอาหัวมาสู้รบหยิบอาวุธ ผมเองก็รู้ว่าผมไม่เหมาะ ธุรกิจเพลงในตอนนี้ การสู้รบเข้าสู่ระดับตะลุมบอนแล้วนะครับ เราต้องให้พวกบู๊แล้ว ไม่ใช่บุ๋น มีปัญหานอกวงจรรุมเร้าอย่างหนักมาก ซึ่งมันบังคับให้เราต้องลงไปดิ้นสู้ฟัด พอถึงจุดนี้ผมต้องปล่อยมือแล้ว ผมวางมือในเชิงบริหาร คุณจะเรียกมันว่าอะไรก็ได้ เรียกว่าวางมือก็ได้ หรือจะเรียกว่าล้มเหลวก็ได้ สำหรับผมไม่ได้มีความหมาย เพราะถ้าผมฝืนขอเล่นเกมแบบนั้นต่อไป หนึ่ง ไม่ใช่ทางแล้ว สอง ผมยังต้องทิ้งงานที่คนอื่นเองก็ทำไม่ได้ดี เพราะฉะนั้นมันไม่เกิดประโยชน์กับใครทั้งสิ้น คนเราควรทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์มากที่สุดกับทุกฝ่าย
เล่าได้ไหมคะว่าสถานการณ์มาถึงขั้นตะลุมบอนได้อย่างไร
มันเกิดขึ้นจาก...ดิจิตอลนี่แหละ เป็นตัวหลัก ธุรกิจรอบโลกที่เกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญาในตอนนี้อยู่ในขั้นตะลุมบอนกันหมด เทคโนโลยีพวกนี้มันเพิ่มโจทย์การต่อสู้ของเรา คือสู้คู่แข่งด้วย และสู้กับสิ่งชั่วร้ายพวกนี้ด้วย จริงๆ คู่แข่งเองกลับลดน้อยลง เพราะบริษัทเล็กๆ น้อยๆ สู้ไม่ไหว ตายไปเอง เหมือนลมแรงน่ะ ตึกหลังใหญ่เท่านั้นถึงยังต้านลมอยู่ได้ แต่ก็ต้องสู้ยิบตาเลยนะ ถ้าไม่สู้แบบกองโจรวันต่อวัน เราเองก็อาจจะพังได้เหมือนกัน ผมมองว่าใช้วิธีตัดคนที่เกินจากความต้องการออกไป ลดต้นทุน ลดทุกอย่าง เพื่อให้ผลประกอบการออกมายังพอดูได้อยู่ ถ้าไม่ใช้วิธีนี้ ยังทำงานกันสนุกๆ เป็นพี่เป็นน้องเฮฮาเหมือนเมื่อก่อน ผมว่าเราวูบแน่ ซึ่งเราวูบไม่ได้ เพราะเราเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ เราต้องดูแลผลประโยชน์ผู้ถือหุ้นอีกไม่รู้เท่าไหร่
เพราะต้องต่อสู้ขนาดนี้ มีผลให้คุณภาพงานเพลงลดลงด้วยไหม
ตอบได้ทั้งถูกและผิด มันเป็นคนละเรื่องเดียวกัน มันทั้งใช่และไม่ใช่ งงไหม (หัวเราะ) คุณภาพต้องอยู่กับว่าใครเป็นคนวัด ถ้าเป็นเรื่องนี้ผมเป็นทนายได้ทั้งโจทย์และจำเลย ผมเองเห็นด้วยว่าเพลงมันซ้ำซาก ด้วยความง่ายจนบางทีดูเหมือนชุ่ย เกลื่อน ดาษดา เข่ง กระบุง คำพวกนี้ผมมีเป็นลังเลย ยิ่งเดี๋ยวนี้มีประกวดเรียลิตี้โชว์ ยิ่งทำให้กระบุงเข้าไปอีก เกิดง่าย ตายง่าย เกิดพร้อมกันสิบคน ตายไปเก้า มันถาโถมเข้ามา สังเกตดูให้ดีว่าในทีวีน่ะ ไม่รู้ผมเป็นคนเดียวหรือเปล่า แต่ผมเริ่มจำไม่ได้แล้วว่าดารานักร้องคนนี้ชื่ออะไร ตาแตก ขนาดนี่ผมทำงานวงการบันเทิงนะ เพราะฉะนั้นถามว่าจริงไหมที่คุณภาพแย่ลง จริงครับแต่ตอบว่าไม่จริงก็ได้ เขาก็พัฒนาไปอีกแบบหนึ่ง เป็นเพลงที่เหมาะกับวัยอีกวัยหนึ่ง ในเมื่อคนส่วนใหญ่ของประเทศตอนนี้เขาชอบกันแบบนี้ จริงหรือเปล่า ถ้าไม่มีใครชอบ ก็คงไม่มีใครทำออกมาให้ฟังมั้ง ทำแล้วคนเขาชอบ ยังประโยชน์ให้ธุรกิจธุรกรรมดำรงอยู่ได้ ก็แปลว่านี่อาจเป็นสิ่งที่ต้องเป็นไปในยุคนี้ มันคงเป็นยุคๆ จากนั้นก็ด่ากันต่อๆ มา ยุคนี้ด่าคนยุคโน้น คนยุคโน้นก็ด่าคนยุคนี้ เพราะฉะนั้นนี่คือคำตอบที่ผมบอกว่า ไม่จริงหรอก มันไม่ได้แย่ไปกว่าที่มันควรจะเป็น คุณจะพูดว่าแย่หรือดีก็ได้ ลองคิดว่าถ้าผมเกิดยุคนี้ ผมอายุสิบห้า ผมเองก็คงชอบวงนั้นวงนี้เหมือนกันมั้ง ถ้าเด็กมันสวนกลับมา หรือชี้หน้ากลับมา เรียกพี่ หรือลุง เพลงสมัยลุงที่ร้องเสียงใหญ่ๆ แล้วผู้หญิงร้องเสียงแหลมปรี๊ดน่ะ ถามว่ามันร้องเหมือนๆ กันไหมครับลุง เราตอบเขายากเหมือนกันนะ เพราะไปฟังเข้าจริงๆ มันก็ร้องเหมือนๆ กัน เราเปิดเพลงสี่สิบปีที่แล้วให้ฟัง เขาอาจจะบอกว่าอัดเสียงก็แย่ คุณภาพเพลงแย่ สมัยก่อนไม่มีเครื่องช่วย บางตอนนักร้องเสียงเพี้ยนก็ถือว่าเป็นธรรมชาติ แต่ถ้าเป็นเด็กสมัยนี้มันอาจชี้ว่านี่ไง ร้องเพี้ยนด้วย อัดก็ไม่ดี เถียงกันไม่จบ เพราะฉะนั้นอย่าเถียงกัน พี่เต๋อ (เรวัต พุทธินันทน์) เคยบอกคำหนึ่ง เพลงน่ะไม่มีดี ไม่มีเลว ไม่มีต่ำ ไม่มีสูง มีแต่ใครชอบ หรือไม่ชอบ เท่านั้นเอง
สมัยที่คุณเริ่มทำงาน คุณเคยเดาล่วงหน้าไหมว่าวันหนึ่งเพลงจะเดินมาถึงจุดนี้
ไม่เคย ถึงผมชอบประวัติศาสตร์ แต่ผมเป็นคนไม่สนใจอดีต ไม่ใช่ว่ามีอะไรเจ็บปวดนะ แต่ผมเฉยๆ ไม่ว่าจะดีจะเลว มันก็ผ่านไปแล้วน่ะ วันหน้าจะเป็นอย่างไร ผมดูจากแค่วันนี้เท่านั้น บวกลบไม่เกินปีหนึ่งจากวันนี้ คิดไกลๆ กว่านั้นไม่มีประโยชน์ที่จะคิดต่อ (เสียงโทรศัพท์มือถือคุณดี้ดัง ริงโทนเป็นเพลงค้างคาวกินกล้วย) นี่มันต้องอย่างนี้ สมัยที่พี่เต๋อชวนผมทำงาน แกบอกว่าเฮ้ย อาชีพนี้มั่นคงแล้วว่ะ มาทำงานกับพี่ได้ไหม มาแต่งเพลงกัน ธุรกิจนี้ ดี้เชื่อพี่เหอะ เงินเป็นสิบล้านเลยนะ...นั่นขนาดพี่เต๋อเป็นคนมองไกลแล้วนะ แต่ยังมองมาไม่ถึงวันนี้ เพราะวันนี้มันพัวพันหลายพันล้าน
สุดท้ายอาชีพนักแต่งเพลง คุณดี้ว่ามั่นคงไหม
ถามผมวันนี้นะ ชักจะไม่แล้ว เพราะมันโดนรังแกเยอะเกินเหตุ แกรมมี่ยังอยู่ได้เพราะไม่ได้ทำเพลงอย่างเดียว มีหลายธุรกิจอุ้มชูเกี่ยวเนื่องกันอยู่ มันถึงยังอยู่ได้ มีเป้าเหมายชัดพอสมควร แต่โดยตัวเพลงเอง มันเรียวลงเยอะ น้อยลงเยอะ เค้กก้อนเล็กลงเรื่อยๆ เกิดจากหลายสาเหตุ สาเหตุแรกแน่นอนเรื่องเอ็มพีสาม คือคนเขายังฟังเพลงกันอยู่นะ แต่เขาไม่ซื้อ เพราะกรรมวิธีได้ฟรีทั้งหลายทั้งปวงในอินเตอร์เน็ต เมื่อก่อนเพลงอาจจะเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นของสังคม คนนี้ออกอัลบั้มนี้ เดี๋ยวก็ล้าน คนนั้นออก เดี๋ยวก็ล้าน เพลงเป็นสิ่งบันเทิงที่ได้รับความสนใจมากที่สุด แต่เดี๋ยวนี้เพลงเป็นเหมือนอากาศไปแล้ว เด็กรุ่นใหม่ฟังเพลงกันเป็นอากาศ ฟังฟรี เหมือนหายใจได้ฟรีๆ
เขาอินกับมันน้อยลง ทำนองนั้นหรือเปล่า
อาจจะเป็นเพราะมันเยอะ ถามว่าเพลงจำเป็นสำหรับชีวิตไหม จำเป็นมาก ยิ่งสำหรับวัยรุ่น แต่มันเหมือนหายใจเข้าออกฟรีน่ะ เขาไม่เคยต้องรู้สึกขอบคุณอ็อกซิเจนจริงไหม เพราะเดี๋ยวก็มีคนโน้นคนนี้ออกมาใหม่ จนกระทั่งลายตา กลายเป็นระบบเพลงแบบใช้แล้วทิ้ง
ขาดเพลงที่เป็นมาสเตอร์พีซ
ใช่ มาสเตอร์พีซสร้างไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง เพราะมันไม่ Sell itself มีหลายคนพยายามทำอย่างนั้น แต่ล้มเหลว ถ้าวัดกันที่ยอดขายนะ แล้วถ้าไม่วัดที่ยอดขาย ถามว่ามาสเตอร์พีซแปลว่าอะไร แปลว่ามาสเตอร์เบตหรือเปล่า ผมหมายความว่า เวลาคุณบอกว่าคุณทำงานมาสเตอร์พีซ คนทำน่ะกำลังมาสเตอร์เบชั่นตัวเองหรือเปล่า ทำสนองอะไรบางอย่างของตัวเอง ทำเองแล้วฟังเอง หรือฟังในวงจำกัดแค่ไม่กี่คน แล้วสรรเสริญกันว่ามันเป็นมาสเตอร์พีซอันยิ่งใหญ่ แต่มีคนรับรู้อยู่หยิบมือเดียว ถามว่านี่คือมาสเตอร์พีซหรือเปล่า ในขณะที่เพลงบางเพลง คนซื้อกันทั้งบ้านทั้งเมือง ฟังแล้วสนุก มีความสุข แต่นักวิจารณ์บอกว่าเป็นงานขยะ สรุปมันมาสเตอร์พีซไหม ยื้อกันไปยื้อกันมาอยู่แค่นี้ นานๆ ทีสองอย่างนี้ถึงจะมาบรรจบกัน นอกจากเยอะด้วยเพลงแล้ว มันมีเรื่องตื่นเต้นอย่างอื่นอีกเยอะมาก เดี๋ยวนี้ทุกอย่างมัลติมีเดียหมด คุณต้องมีโทรศัพท์อันหนึ่ง มีไอ้นั่นไอ้นี่ คนสมัยนี้มีเครื่องมือเยอะมาก แล้วน่าอัศจรรย์ที่ใช้พร้อมกันหมดเลยเชื่อไหมว่าผมเคยทำตัวแบบนั้นมาแล้ว อยากลองดูว่ามันจะเป็นอย่างไร เห็นเด็กมันทำกัน ผมเปิดคอมพิวเตอร์ มีสองจอ เปิดโน้ตบุ๊กอีกตัวหนึ่ง เปิดโทรทัศน์ไว้ด้วย จอมอนิเตอร์จอนี้ออนไลน์อินเตอร์เน็ตไว้ จอนี้ต่อออนไลน์ดูแคมฟรอก อยากรู้ว่ามันจะเป็นอย่างไร โทรศัพท์อยู่ในมือด้วยนะ ดูสรยุทธด้วย เช็กเมล์ด้วย โทรศัพท์ก็คุย แล้วยังมีหนังสืออีกเล่มหนึ่ง
เกิดอะไรขึ้นคะ
ไม่รู้เรื่องห่าอะไรเลย (หัวเราะ) รู้พอเลาๆ อ๋อ มันมีระเบิดอีกแล้วที่สามจังหวัดภาคใต้ โห ไอ้แคมฟรอกนี่มันเซ็กซ์จัง ทำไมโป๊ขนาดนี้วะ เดี๋ยวนี้ให้เห็นหน้าด้วยนะ เป็นเรื่องน่าตกใจของคนยุคผมมากว่าเขาคิดอะไรอยู่ เขาไม่หวาดกลัวสักนิดเลยหรือว่าวันหนึ่งเขาอาจต้องพยายามปิดบังมัน เมื่อเขามีลูกมีผัวต่อไป เอ หรือเขาไม่เคยคิดจะมีลูกมีผัว...สักพักโทรศัพท์มา เรื่องงาน เอ้าคุยๆๆ กลับมาอินเตอร์เน็ต เข้ากูเกิ้ลไปไหนแล้ว กลับมาดูข่าวกีฬา จบไปแล้ว ดูจอกลางนั่งทำงาน ก็ทำไม่ได้ เพราะเบลอ สมัยก่อนสักสามสิบห้าปีที่แล้ว ฟุตบอลคิงส์คัพเขาเตะบอลกันที่สนามศุภฯ ถ่ายทอดกันทางวิทยุ โอ้โห เราฟังแล้วนึกภาพตาม ลุ้นแทบขาดใจ เดี๋ยวนี้เป็นอย่างไรรู้ไหม วันหนึ่งผมนั่งอยู่ในรถ เปิดวิทยุฟังบอล เชื่อไหมว่าไอ้คลื่นนั้น โฆษกพากย์ฟุตบอลพร้อมกันอยู่หกคู่! ทีมไทยลงสนามแล้วครับ เสื้อน้ำเงิน ตอนนี้อยู่ในช่วงสิบนาทีแรกยังศูนย์ๆ อยู่ ต่อไปลิเวอร์พูลนะครับ ตอนนี้นำแมนยูฯอยู่สองลูก ผลทางบุนเดสลิก้ากำลังมันเลยครับ นาทีที่สิบบาเยิร์นนำไปสามลูกแล้วครับ ตัดกลับมาที่...คนฟังอย่างผมสมองจะแตก แต่เด็กรุ่นใหม่เขาอาจจะอินก็ได้ เพราะเขาชินแล้ว แต่ผมเป็นประเภทพูดทีละคน ทำทีละอย่าง แต่เอาให้ลึก เอาให้ชัด เอาให้เสร็จ ผมไม่ทำหลายอย่างแต่ไม่เสร็จสักอย่าง การได้รับข้อมูลเยอะๆ ทำให้รู้เรื่องราว ไม่ตกรถไฟ คนฉลาดถ้าประมวลเป็นจะกลายเป็นคนเก่ง แต่ข้อเสียคือถ้าจับประเด็นไม่แม่น จะกลายเป็นไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันไม่ใช่หน้าที่ของใครไงที่จะตัดสินใจว่ายุคสมัยไหนควรเป็นอย่างไร ผมค่อนข้างแอนตี้นะ กับคนที่ชอบบอกว่าเด็กรุ่นใหม่มันเป็นอย่างนี้ มันใช้ไม่ได้ มันทำลายวัฒนธรรมไทย ผมต่อต้านเพราะอย่างแรก ผู้ใหญ่อย่างมึงนั่นแหละ ที่ทำให้พวกเขาเป็นแบบนี้ ผู้ใหญ่อย่างมึง จริงๆ ก็กูด้วย ที่ทำให้สภาพแวดล้อมเป็นอย่างนี้ สอง มันเป็นอย่างนี้ทุกยุคนั่นแหละ มันแค่เปลี่ยนหน้าตาไป เปลี่ยนวิถีไป หลักๆ ก็กินขี้ปี้นอนเหมือนกัน
แต่ความหมายของกินขี้ปี้นอนสมัยนี้อาจจะหยาบกว่าเมื่อก่อน
เพราะมันต้องการความเร็ว ถ้าเป็นเมื่อก่อนในระบบเกษตรกรรม เราไม่รีบร้อน ตอนผมไปอินเดีย ที่นั่นยังเป็นสังคมเกษตรกรรม เครื่องบินลงที่พุทธคยา คนเป็นร้อยเลยนะ แต่มี ตม.คนเดียว แล้วเขาค่อยๆ ทำ พลิกไปพลิกมา แล้วค่อยปั๊ม ฮัมเพลงเย็นใจเชียว ผมต้องคอยบอกเพื่อนๆ ที่ไปด้วยกัน อย่าหงุดหงิด อย่าหงุดหงิด เรามาแสวงบุญ เรารีบ แต่เขาไม่รีบนี่ เขาอยู่ตรงนี้ กูจะปั๊มกี่คนต่อนาที มันก็ยี่สิบสี่ชั่วโมงเหมือนกัน ลองคิดจากมุมเขาสิ เราจะเข้าใจอะไรมากขึ้น เราไปอยู่ในเงื่อนไขเขา ต้องเข้าใจ เราต่างหากที่รีบ แต่ทีนี้ลองไม่รีบสิ เขาค่อยๆ ปั๊ม เราก็ค่อยๆ รอ
โลกโดยรวมมันรีบขึ้น บางคนโทษวิถีอเมริกัน แต่ถ้าถามมุมผมนะ
อเมริกันมันยังไม่บ้าเท่าสังคมเมืองกรุงเทพฯ เขาเมกเซ้นส์กว่า เหมือนเขามีม้าเอาไว้ขี่ แล้วก็มีขี้ม้าด้วย เราเอาม้าเขามา ไม่ค่อยได้ขี่หรอก แต่ตักขี้ม้าจัง ในขณะที่ประเทศอย่างญี่ปุ่น เลียนแบบอเมริกันจนได้เรื่อง เพราะเขาใช้ม้าเป็น ใช้ขี่ แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันต้องมีขี้ม้าตามมา ขึ้นอยู่กับว่าเขาจะสร้างระบบมาจัดการกับขี้ม้าอย่างไร
ขี้ม้าคืออะไร
เศษซากทางวัฒนธรรม มีอะไรมากูเอาหมด ไม่ปฏิเสธสักอย่าง ทุกอย่างบนโต๊ะเลยเต็มไปหมด จอทีวีมีเจ็ดสิบกว่าช่อง โทรศัพท์ต้องมี บางคนมีสองสามเครื่อง จากโลกเคยหมุน แท่ก แท่ก แท่ก แท่ก ตอนนี้มันค่อยๆ เร็วขึ้น จนตอนนี้เร็วจี๋เลยนะ
คุณว่าวันหนึ่งโลกจะเบรกดาวน์ไหม
ผมเชื่อว่ามันจะเบรกดาวน์ แต่โดยวิธีไหนนึกไม่ออก และคนที่จะเบรกดาวน์โลกแบบนี้ได้ ผมเชื่อสองอย่างคือเกิดจากฝีมือมนุษย์ คือในที่สุดอาจเกิดสงครามครั้งใหญ่ ให้คนตายกันสักครึ่งโลก สองเกิดจากฝีมือธรรมชาติ ซึ่งเขาก็เริ่มแหย่ๆ เราแล้ว มันเหมือนเป็นการล้างไพ่น่ะ โลกคงยังไม่แตกหรอก มันก็อยู่ของมัน ล้างไพ่ก่อนแล้วค่อยเล่นกันใหม่ แต่เกมหน้าจะมีใครเล่นบ้างก็ไม่รู้ ไม่รู้ผมจะโชคดีมีโอกาสอยู่ทันวันล้างไพ่หรือเปล่า ผมว่าโชคดีนะ การได้ตายร่วมกับคนอีกพันล้านคน ผมถือว่าเป็นเรื่องไม่น่ากลัว เป็นประสบการณ์ร่วม คุณลองถามตัวเองสิว่าถ้าเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นจริง เราควรจะเป็นคนตายหรือเป็นคนอยู่ดี
ถ้าพูดแค่ธุรกิจเพลง คุณดี้ว่ามันใกล้ถึงจุดระเบิดหรือ
ยังไม่แน่ใจแฮะ เมื่อวานดูรางวัลแกรมมี่ อวอร์ดส์ ผมเห็นว่าอเมริกัน ประเทศซึ่งเกิดมาไม่กี่ร้อยปีนี้เอง ปรากฏว่าทำไมวัฒนธรรมอเมริกันตอนนี้แข็งแรงกว่า มีรากกว่าวัฒนธรรมปัจจุบันของคนไทย ซึ่งถือเหลือเกินว่าประเทศเกิดมายาวนาน แต่วัฒนธรรมไทยกลับถูกตีความหมายว่าต้องไประบำรำฟ้อน เอาไว้ให้นักท่องเที่ยวมาดู ผมมองว่ากระทรวงวัฒนธรรมยังทำได้ไม่สำเร็จ วัฒนธรรมคือความเป็นอยู่ และทัศนคติ แกรมมี่ อวอร์ดส์เมื่อวานนี้ ผมดูแล้วประทับใจมาก เนื่องจากรากของเพลงเขาแข็งแรง ความกลมเกลียวตั้งแต่โทนี่ เบ็นเน็ตต์ จนถึงดิกซี่ ชิคส์ เขาอยู่บนเวทีเดียวกันได้ ในการจัดงานพวกนี้ เขาเอาดนตรีคลาสสิกวงออร์เคสตราเป็นเบสิกของงาน ไม่ว่าจะฮิพฮอพมาจากไหน แต่คลาสสิกคือรากวัฒนธรรมของเขา นักดนตรีคลาสสิกมีงานทำอยู่เสมอ เพราะจะเด็กจะแก่เขาเข้าใจได้ประเทศทุกประเทศที่ผมไป ผมเห็นรากวัฒนธรรม อินเดีย อียิปต์ เพลงใหม่ล่าสุดของเขาน่ะ กลิ่นแขกหึ่งเลย จะเป็นยุคไหน สไตล์ไหน ก็กลิ่นแขกหึ่ง แต่เพลงเราจะมีกลิ่นไทยก็เฉพาะในลูกทุ่ง เพลงสมัยใหม่เรากลับเน้นที่ว่าทำอย่างไรจะเหมือนฝรั่งมากที่สุด คนกลับมีการแบ่งแยกเดียดฉันท์กันระหว่างลูกทุ่งกับสตริง
พอผมดูแกรมมี่ อวอร์ดส์ ผมก็ชื่นใจ เออ เขาทำอย่างไรวะ มันสมานฉันท์กันจัง
พวกฮิป-ฮอปขึ้นมาร้องเพลงของเจมส์ บราวน์ที่เพิ่งตายไป นักร้องใหม่เอี่ยมเลย ร้องเพลงเก่ามาก เพลงเมื่อห้าสิบปีก่อนมันยังอยู่ ในขณะที่แนวดนตรีบ้านเรามันเคลื่อน และไม่เคลื่อนอย่างต่อเนื่อง เมื่อไม่ต่อเนื่อง ก็เลยหาจุดมาแจมกันไม่เจอ ในที่สุดก็เลยต้องลงท้ายด้วยการด่ากันสตีฟวี่ วอนเดอร์ ขึ้นเวที คนนี้ทำงานเพลงมาสี่สิบปี พวกข้างล่าง ดาราลูกเด็กเล็กแดงยืน Standing Ovation กันเป็นแถว เขาเคารพไง ซึ่งมันก็น่าเคารพจริงๆ เวลาเด็กๆ ขึ้นไปรับรางวัล เพลงเขาก็ดีจริงๆ เพราะเขามีราก ไม่ว่าจะฮิป-ฮอปหรือร็อก มันนับถือกันและกัน คนรุ่นเก่าก็จะ เฮ้ย เด็กแม่งเยี่ยม เพราะเขามีรากเดียวกัน และรากนั้นแข็งแรงมาก คนรุ่นเก่าถึง Standing Ovation เด็กได้โดยไม่เคอะเขิน
คุณคิดว่าเมืองไทยพยายามอยู่หรือเปล่า มีการชื่นชมความต่างของกันและกัน
ฝรั่งอเมริกันเขาชอบกันโดยไม่กระแดะน่ะ ของเราถ้าไม่ใช่งานบุญงานกุศล ไม่มีหรอก รุ่นเก่ารุ่นใหม่มาอยู่เวทีเดียว เราแยกกันแล้วด่ากันด้วย เป็นอย่างนี้มายาวนานแล้ว
ตอนนี้คุณคิดว่าทางรอดวงการเพลงในอนาคตเป็นอย่างไร
ผมเชื่อว่าเขาหาทางออกในเชิงการทดแทน เราทำเพลงมาตั้งแต่สมัยแผ่นเสียงเป็นแผ่นใหญ่ๆ สีดำ จนมาเป็นคาสเส็ตต์ จนเป็นซีดี ซึ่งก็จะหมดยุคอยู่แล้ว วันต่อไปอาจเป็นแคปซูลฉีดเข้าเลือด มีเพลงสักหมื่นเพลงอยู่ในนั้น กดที่หูทีหนึ่งดังเลยก็ได้ พอถึงตรงนั้นมันจะมีการทดแทนตามไปเอง ฟังน่าสนุกออกนะ (หัวเราะ) คนที่รู้ทันดิจิตอล เขาไม่ต่อต้านมันแล้ว เขาไม่มานั่งง้อให้คนซื้อซีดีกันแล้วล่ะ เขากลายเป็นไปพวกเดียวกับมันไปเลย คุณจะดาวน์โหลดกันใช่ไหม จัดให้ เราต้องรู้พฤติกรรมคนส่วนมากก่อน ผมว่าคนไม่ได้เสียดายเงินหรอก แต่ขี้เกียจ ส่วนหนึ่งที่ยอดขายตกเพราะไม่มีร้านให้ซื้อ ต้องเดินไปห้าง แล้วก็ไม่รู้จะมีเพลงที่อยากได้หรือเปล่า ถ้าฉันอยากได้เพลงที่เก่ากว่านี้สักสองปีก็หาไม่เจอแล้ว ทำให้วงจรสั้นเข้าไปใหญ่ บังคับให้คนต้องฟังแต่เพลงใหม่ๆ เพราะสามเดือนเพลงชุดนั้นก็จะตายแล้ว คนอยากฟังเลยไม่รู้จะไปเสพที่ไหน พอมีเรื่องดาวน์โหลดเข้ามา คิดดูสิ คุณสามารถหาเพลงได้ตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ บางเพลงไม่มีใครรู้จัก ถามรอบตัว ผมคิดว่าผมอาจรู้จักมันอยู่คนเดียวในโลก พอไป Search หาในอินเตอร์เน็ต...เจอ
คุณจ่ายเงินหรือเปล่า ผมจ่ายค่าสมาชิก ทำทุกอย่างถูกต้อง แต่ผมก็ไม่รู้อยู่ดีว่าไอ้เว็บฯที่มันเอามาให้โหลด มันจ่ายตังค์ให้กับเจ้าของลิขสิทธิ์ได้ครบถ้วนหรือเปล่า
แต่ถ้ามีให้จ่ายกับไม่จ่าย คนก็เลือกจะไม่จ่ายอยู่ดีนะคะ
ผมเชื่อว่าถ้าโหลดแล้วสะดวกสบาย คนจ่ายนะ เด็กดาวน์โหลดเพลงมาลงโทรศัพท์น่ะ แพงจะตาย ตั้งสามสิบห้าสิบบาท ยังเสียกัน ถ้ามันเป็นเรื่องของความเสน่หาแล้วไม่แพงเกินไป เขาจ่าย แต่ขอว่าอย่าให้ยาก อย่าให้ยุ่ง อย่าให้เสียเวลา และอย่าแพงเกิน นโยบายใหม่ก็เลยทำขายเป็นเพลงๆ ไง เอาทีละเพลง ไม่เวิร์กไม่ไปต่อ นี่คือการพยายามตามเกม นี่แหละคือการตะลุมบอนชนิดหนึ่ง ซึ่งคงจะมีเด็ดๆ ตามมาอีกมากมาย ซึ่งบอกตรงๆ ว่าผมไม่ถนัดเลย
แต่ล่าสุดได้ยินว่าจะมีคอนเสิร์ตยี่สิบห้าปีนิติพงษ์ ห่อนาค สำหรับแฟนเพลงคุณโดยเฉพาะ
จริงๆ แล้วต้นคิดไม่ได้มาจากผมนะ ผมไม่กล้าคิดทำอะไรบูชาตัวเองขนาดนั้นหรอก ใครเป็นอย่างไรไม่รู้ แต่ผมรู้สึก...ยืยยย! ตอนนี้ก็เริ่มนิดๆ แล้ว กรีนเวฟเคยจัดไปทีหนึ่งแล้ว ตอนนั้นผมคิดว่า เอาดิ ท่าทางจะมันดีนะ เราก็ดังดีเหมือนกันเว้ย ภรรยาผมเห่อมาก แต่พอเอาเข้าจริงๆ เปิดกรีนเวฟฟัง เจอสปอตที่มีชื่อผมทุกเบรกๆ ไม่ฟังแล้ว ไม่เอา ไม่กล้า เลี่ยนฉิบหาย ผมบอกพี่ฉอด (สายทิพย์ มนตรีกุล ณ อยุธยา) อย่าให้ผมทำอะไรนะ ขอร้อง พี่ฉอดบอกไม่ได้ ต้องร้องเพลงหนึ่ง ผมเลยขอร้องเพลงที่ตัวเองไม่ได้แต่ง ไม่งั้นคงเลี่ยนจนอ้วก คราวนี้ก็เป็นอีกเจ้าหนึ่งในแกรมมี่อยากจะจัด เขาคิดว่าถึงเวลาน่ะ ไทมิ่งก็สวยดี เอาให้เบ็ดเสร็จครบวงจร มีรวมฮิต บ็อกซ์เซ็ตอย่างดี มีคอนเสิร์ต เห็นเขาว่าจะจัดช่วงกลางกรกฎาฯ แต่คราวนี้ผมคงไม่ร้อง คงนั่งดูอยู่เฉยๆ ผมถามคนจัดว่าให้กูทำอะไรบ้าง เขาบอกมึงนั่งดูเฉยๆ พอคอนเสิร์ตเขาเสร็จแล้วมึงก็ขึ้นไปบนเวที ทำเป็นแกล้งน้ำตาซึมๆ
นี่คือหนทางทดแทนที่คุณว่าด้วยหรือเปล่า เหมือนเอางานเก่าที่ยังขายได้มาขาย
จะมองอย่างนั้นก็ได้ แต่อย่างหนึ่งที่ผมว่ามันปลอมกันไม่ได้คือโชว์บิซ คอนเสิร์ตยังคงเป็นของจริง คุณไม่สามารถดูคอนเสิร์ตภาพเสมือนได้ เพราะฉะนั้นเขาคงไม่ถึงกับไปควานหาเอ็มพีสาม แล้วคนรุ่นแฟนเพลงของนิติพงษ์ คงไม่ใช่เซียนคอมพิวเตอร์กันขนาดนั้น ผมคิดว่าน่าจะเป็นประมาณผม คือชอบอะไรที่จับต้องได้ อย่างบ็อกซ์เซ็ต บัตรคอนเสิร์ต มันก็เป็นธุรกิจด้วยนั่นแหละ แต่มันก็เป็นการเอาใจคนแก่ที่สมัยนี้ไม่ค่อยมีคนเอาใจ
อีกสิบปีเอาอีกสักทีไหมคะ
คงไม่มีใครจำได้แล้วล่ะ มาเล่นกันเองที่บ้านผมดีไหม สุดท้ายแล้ว เรื่องพวกนี้มันก็ไม่พ้นการอวยกัน สรรเสริญ เชิดชู บูชา ผมไม่เอาล่ะ ด่ากันยังทำหน้าง่ายกว่า