หลังจากชุด ‘เฉลียงหลังบ้าน’
ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงในเฉลียง
เมื่อมีข่าวการออกเทปชุดใหม่ ‘แบ-กบาล’
โดยจะไม่มีนิติพงษ์ ห่อนาค และศุ บุญเลี้ยง
ที่ขอแยกตัวออกไปจากเฉลียงอย่างเงียบๆ
ท่ามกลางความกังขาของแฟนเพลง
นิติพงษ์บอกถึงเหตุผลที่เขาออกจากเฉลียงว่า
“ไม่รู้จะเล่นอะไรแล้ว พอแล้ว ไม่ได้กดดันอะไร
คือตอนนั้นทำงานที่แกรมมี่มาตั้งแต่ อื่นๆ อีกมากมาย
กลับไปออกชุดเอกเขนกก็ยังต้องขออนุญาตเขาไป
บอกว่าขอไปออกเทปกับเพื่อนหน่อยนะเอาสนุก เขาก็ไม่ว่าอะไร
พอชุดต่อไปเขาก็บอกว่า
เฮ้ย ไม่เอาแล้วนะ มันเกินสนุกแล้ว
มันเริ่มจะเป็นภาระ เพราะเรามีอาชีพอยู่แล้ว
เฉลียงให้มันเป็นอดีตไปแค่นั้นให้คนเขาจำเล่น
ผมออกไปเงียบๆ เพราะไอ้จุ้ยก็ออกด้วยพอดี
พร้อมๆ กันแต่ไม่ได้นัดกันนะออกไปแล้วก็ยังเจอกัน
ยังกินข้าวกันอยู่เหมือนเดิม
แต่กูไม่เอาด้วยแล้วนะ
จิกมันก็ไม่ว่าอะไร ที่เหลือก็ทำกันต่อไป”
ขณะที่ศุ บุญเลี้ยง กล่าวถึงสาเหตุที่เขาออกจากเฉลียงว่า
“พี่ดี้เขาเลิก ก็เลยเลิกด้วย
จะมาออกกันคนละทีก็ใช่ที่นะก็เลยออกไปพร้อมๆ
กันซะให้หมดรุ่นไป
ช่วงนั้นมีอะไรต้องทำหลายอย่างด้วย
ไม่ค่อยว่าง ก็เลยพอดีกว่า”
ส่วนวัชระให้ความเห็นเรื่องการแยกไปของนิติพงษ์และศุ ว่า
“ดี้กับจุ้ย มันไม่ได้ไปไหน
เพียงแต่ว่าไม่ได้มาร้องเพลงกับเฉลียงด้วยเท่านั้นเอง
เพราะทุกคอนเสิร์ตมันก็มาตลอด มาดู มาเฮกัน ผลัดกันมา
ก็ไม่รู้เมิงจะออกไปทำไม ไหนบอกไม่ว่างไง...
แล้วเมิงมาทำไม?”
ในสายตาของแฟนเพลงนั้น ภาพของเฉลียงทั้ง 5 คน
ดี้-นิติพงษ์ เจี๊ยบ-วัชระ จุ้ย-ศุ บุญเลี้ยง
เกี๊ยง-เกียรติศักดิ์ และแต๋ง-ภูษิต ไล้ทอง
คือสัญลักษณ์ของเฉลียง ความเป็นเฉลียง
หากเฉลียงเป็นสินค้าชนิดหนึ่ง พวกเขาทั้ง 5 คนก็คือ
‘เครื่องหมายการค้า’ ที่คุ้นหน้าคุ้นตาผู้บริโภคอย่างดียิ่ง
และผู้บริโภคก็เชื่อว่า พวกเขาทั้ง 5 คนนี้ก็คือ
เฉลียงที่สมบูรณ์แบบที่สุด เมื่อขาดคนใดคนหนึ่ง(หรือสองคน)
เฉลียงก็ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นเฉลียงเหมือนเดิมอีกต่อไป...
แต่ไม่ว่าใครจะพูดหรือวิพากษ์กันไปอย่างไร
ต้นปี 2532 เฉลียงก็ออกงานใหม่ ‘แบ-กบาล’
โดยมี นก-ฉัตรชัย ดุริยประณีต
อดีตพนักงานธนาคาร เข้ามาเป็นสมาชิกน้องใหม่
ฉัตรชัย เป็นเด็กหนุ่มที่มี ‘ไฟ’ ทางด้านดนตรีอยู่เต็มเปี่ยม
อย่างน้อยนามสกุล ‘ดุริยประณีต’ ของเขาก็ยืนยันได้
เป็นอย่างดีว่าไม่ธรรมดา เพราะต้นตระกูลดุริยประณีต
นั้นมีคุณูปการต่อวงการดนตรีไทยอย่างยิ่งยวด
เป็นตระกูลหลักที่ก่อตั้งวงดนตรี ‘บ้านบางลำพู’
ในอดีตจนกลายเป็นชุมชนดนตรีไทยที่ยิ่งใหญ่
และเก่าแก่ของกรุงเทพฯ ในทุกวันนี้
นอกจากนี้ ตระกูลดุริยประณีต
ยังเกี่ยวโยงเป็นเครือญาติกับตระกูลดนตรีอื่นๆ
อีกหลายสายด้วยกัน ได้แก่ดุริยพันธ์, เขียววิจิตร,
รุ่งเรือง, พิณพาทย์ และโตสง่า เป็นต้น
เฉลียงน้องใหม่คนนี้จึง
สืบสายเลือดนักดนตรีมาอย่างเข้มข้นทีเดียว
ชื่อของ "ฉัตรชัย ดุริยประณีต"
ถ้าเป็นแฟนเพลงที่ติดตามผลงานของเขามาเนิ่นนานสักเท่าใด
ก็คงรู้ดีในฐานะนัก แต่งเพลงที่ผลิตผลงานให้กับศิลปินคนแล้วคนเล่า
อีกสถานะหนึ่งของเขาคืออดีตศิลปินคนหนึ่งแห่งวงเฉลียง
คุณนก ฉัตรชัย ซึ่งในที่นี้เรียกว่า "นกเฉลียง" เพื่อคลายความสับสน
เป็นคนเชื้อสายนักดนตรีตั้งแต่รุ่นคุณทวดคุณตาคุณยายมาสู่รุ่นหลาน
จบการศึกษาระดับปริญญาตรี
จากคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี รั้วโดม
เมื่อเรียนจบก็ทำงานเป็นหนุ่มแบงก์ตามสายที่เรียนมา
พอเข้าสู่ถนนธุรกิจเพลงไทยสากล
เขาจึงเลือกเส้นทางสายนี้และแจ้งเกิดได้อย่างสง่างาม
กับบทบาทผู้อยู่เบื้องหน้าและเบื้องหลัง
ผลงานชิ้นแรกๆที่ทำให้มิตรรักแฟนเพลงจดจำชื่อเขาได้...อีกนาน
ก็คือ งานแต่งเพลงให้กับดารานักร้อง "พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง"
ที่เพิ่งออกอัลบั้มชุดแรกในชีวิต
บทเพลง ตัวสำรอง, (เจ็บนี้)อีกนาน, ความสุขเล็กๆ
ล้วนเป็นเพลงสร้างชื่อให้กับคุณอ๊อฟ
ผู้ถ่ายทอดเสียงร้อง และคุณนกเฉลียง
ผู้ขีดเขียนบทเพลงเหล่านี้
แต่ความจริงแล้ว....
มันไม่ใช่ผลงานการประพันธ์
เพลงชิ้นแรกของเขาที่ออกสู่สาธารณชน
อย่างที่นักค้นข้อมูลหลายท่านเข้าใจ
สิ่งหนึ่งที่คนในยุคนี้ไม่ค่อยได้รู้เกี่ยวกับตัวเขา
กำลังจะเปิดเผยสู่พวกคุณก็ที่นี่
ผลงานชิ้นแรกชิ้นนั้น เกิดขึ้นเมื่อช่วงปี พ.ศ.2528
สมัยนั้นพี่นกยังเป็นนายแบงก์
เขาได้เขียนเพลงให้กับนักร้องหญิงท่านหนึ่ง
ท่านนั้นก็คือคุณ... "วารุณี สุนทรีสวัสดิ์"
ฉัตรชัย ดุริยประณีต (8 ธันวาคม พ.ศ. 2505)
เป็น นักดนตรี นักแต่งเพลงอิสระ
สมาชิกวงเฉลียง
เป็นชาวกรุงเทพฯ
จบการศึกษาระดับประถมศึกษาที่โรงเรียนประสาทวิทยา
มัธยมที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา จบการศึกษาปริญญาตรี
จากคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
หลังจากจบการศึกษาทำงานที่ธนาคารไทยพาณิชย์
จนกระทั่ง ประภาส ชลศรานนท์ ชักชวนให้เข้าวงการ
หลังจากได้ฟังตัวอย่างเพลง ตัวสำรอง และ อีกนาน
ทำให้ได้ทำงานในทีมแต่งเพลงของบริษัท คีตา
และได้เข้ามาเป็นสมาชิกอีกคนหนึ่งของเฉลียง
หลังจาก นิติพงษ์ และ ศุ ยุติบทบาทลง
ขึ้นเวทีกับเฉลียงครั้งแรกในฟรีคอนเสิร์ตที่ เซ็นทรัล ลาดพร้าว