1 มกราคม 2553
ศิลปะการทำงานให้มีความสุข
1)ทำงานที่ใจรัก เพราะถ้าเราทำงานที่ใจรัก
ทุกๆวันจะเป็นวันแห่งความสุข
เราไม่ต้องรอว่าความสุขจะมาถึงเราวันเสาร์วันอาทิตย์
แต่ทุกวันที่เราทำงานจะเป็นวันแห่งความสุขของเรา
เพราะว่าเราทำด้วยความรัก
2)ทำงานทุกชิ้นให้เต็มที่ให้ดี
เพราะเมื่อเราสร้างงาน งานจะย้อนกลับมาสร้างคน
งานคือเวทีแสดงออกซึ่งศักยภาพ
ในการทำงานของเราทุกครั้งที่เราทำงานให้เต็มที่
และทำอย่างดีที่สุดคนก็จะเห็นคุณค่าของเราว่ามีมากน้อยเพียงไร
ดังนั้นเมื่อเราตั้งใจสร้างงาน งาน 1 ชิ้นก็จะย้อนกลับมาสร้างคน
3) ทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต โปร่งใส
เพราะเมื่อเราทำงานด้วยความสุจริตโปร่งใสก็ไม่ต้องมานั่งระแวงภัย
ที่จะตามมาในอนาคตซึ่งเกิดจากการตามจับผิด
โดยหน่วยงานของทางการต่างๆ
ถ้าเราทำวันนี้ให้ถูกต้องก็ไม่ต้องนั่งกังวลว่าวันวานมันจะผิด
4) เป็นนักประสานสิทธิ อย่ามัวแต่
ทำงานจนหลงลืมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมงาน
ไม่มีใครเก่งอยู่ได้คนเดียว
แท้ที่จริงเราจะต้องอาศัยผู้ร่วมงานจากทุกฝ่ายอยู่เสมอ
ดังนั้นอย่ามัวแต่ทำงานแต่จงทำคนด้วย
เพื่อก่อให้เกิดสภาวะงานก็สัมฤิทธิ์
ชีวิตก็รื่นรมย์ คนก็สำราญ งานก็สำเร็จ ใครทำงานได้อย่างนี้
คนๆนั้นจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในการทำงาน
จนกล่าวได้ว่า งานก็สัมฤทธิ์ชีวิตก็รื่นรมย์
ถ้าไม่ได้ทำงานที่เรารักจะมีความสุขหรือเปล่า
ถ้าไม่ได้ทำงานที่เรารัก วิธีคิดที่ดีคือการมองเชิงบวก
เวลาเจองานหนักก็ให้บอกตัวเองว่านี้คือการฝึกตัวเอง
เวลาเจอปัญหาซับซ้อนก็บอกตัวเองว่า
ยิ่งปัญหาซับซ้อนเราก็ยิ่งได้เรียนรู้มากขึ้น
เวลาเจอเจ้านายที่ละเมียดละไมเหลือเกินก็ให้บอกตัวเองว่า
นายที่รอบคอบแบบนี้จะฝึกเราให้สมบูรณ์แบบ
ฉะนั้นถ้าเรามองเชิงบวกให้เป็น
ถึงแม้เราจะไม่ได้ทำงานที่เรารักแต่เราก็จะมีความสุขเสมอ
ในเมื่อไม่มีสิ่งที่เราชอบ
เราก็ควรชอบสิ่งที่เรามี
เพราะในโลกนี้ไม่มีใครได้อะไรอย่างใจหวัง
และจะไม่มีใครพลาดหวังทุกอย่างไป
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราจะทำมีแง่ดีแง่งามอยู่เสมอ
ขอให้เรามองให้เห็น
ถ้ามองเห็นเราก็จะเป็นสุขกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
วิธีการมองเห็นทำอย่างไรถึงจะมองเห็นกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
คุณสมบัติที่จะเปลี่ยนทุกข์ให้เป็นสุขนั้น มี 2 อย่าง
1)สังเกต สังเกตหาแง่ดีแง่งามของสิ่งต่างๆ ที่เราทำอยู่ให้เจอ
เช่นงานของพระอาจารย์เป็น
งานที่ต้องเดินทางบ่อยมากไปเทศน์ไปสอนตลอด
หลายคนก็บอกว่าเหนื่อยมาก
ถ้ามาถามพระอาจารย์จะบอกว่ามันเหนื่อยก็จริง
แต่มีความสุขมากเพราะได้เดินทางไปทั่วโลก ได้เจอผู้คนล
ได้พบภูมิประเทศใหม่ๆได้สานสัมพันธ์ใหม่ๆตลอดเวลา
ฉะนั้นในความเหนื่อยเราก็ได้เดินทางท่องไปทั่วทั้งโลก
นี่คือแง่ดีแง่งาม แต่ส่วนใหญ่คนมักจะมองอยู่จุดเดียวมองแค่ว่า
เรากำลังเหนื่อยหนักจริงๆเหนื่อยก็แค่ส่วนหนึ่ง
แต่ส่วนที่ดีเมื่อพิจารณาจริงๆแล้วมันมีมากกว่า
ให้เราสังเกตอย่างนี้ รู้จักสังเกต
รู้จักพินิจ พิจารณา เราจะเห็นความแตกต่างเสมอ
2. สังกาให้ตั้งคำถาม
ว่าเราจะสร้างสรรค์งานที่เราทำอยู่ให้ดีขึ้นได้อย่างไร
ถ้าเราถามว่า ทำไม ทำไม ทำไม
ก็จะเกิดนวตกรรมใหม่ๆขึ้นมาทุกครั้งไป
กาลิเลโอก็ดี นิวตั้นก็ดี ประสบความสำเร็จในชีวิตเพราะว่า
เขาชอบตั้งคำถามว่าทำไม นั่นแหละเคล็ดลับในการทำงาน
ทำงานที่ชอบแต่เงินเดือนน้อยมองอย่างไรให้เป็นสุข
ถ้าเงินเดือนน้อยก็ต้องลดการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นของเราทิ้งไป
แทนที่จะไปเรียกร้องเงินเดือนให้สูงขึ้นกว่าจะได้ก็ช้ามาก
ก็ใช้วิธีปรับวิธีในการบริโภคของเราลง ที่จะบริโภคต่างความอยาก
ซึ่งเติมอย่างไรก็ไม่เต็มมาบริโภคตามความจำเป็น
ดีกว่ามุ่งประโยชน์ใช้สอยอย่างมุ่งประโยชน์ใช้สวย
ถ้าเราจับจ่ายใช้สอยในการถือหลักประโยชน์ใช้สวยมีเท่าไหร่ก็ไม่พอ
แต่ถ้าเราถือหลักจับจ่ายใช้สอย
คือจำเป็นแค่ไหนก็จับจ่ายใช้สอยแค่นั้น
พอกินพอใช้ ถึงแม้ไม่รวยแต่ก็ไม่ถึงขั้นตกต่ำย่ำแย่
แทนที่เราจะเรียกร้องเงินเยอะๆ
ทำไมเราไม่ลดหรือเปลี่ยนวิธีในการบริโภคของเราแทน
บริโภคต่างตัณหาทำให้เรามีเงินเท่าไหร่ก็ไม่พอใช้
แต่บริโภคตามปัญญาถึง
เงินไม่มากมายอะไรแต่เราก็มีความสุขตามอัตภาพ
วิธีการแก้ปัญหาในที่ทำงาน
ทั้งโดนนินทา โดนแกล้ง
ถือว่ามารไม่มีบารมีไม่เกิด เวลาที่เราทำงานต้องมีอยู่แล้ว
คนแกล้งคนไม่พอใจคนอิจฉาตาร้อนให้เราถือหลักว่า
1)มารไม่มีบารมีไม่เกิด
2) สิ่งใดเกิดขึ้นแล้วสิ่งนั้นกำไรเสมอ
3) อยู่ใต้ฟ้าอย่ากลัวฝน เกิดเป็นคนอย่ากลัวคำนินทา
4) ถูกชมก็เข้าท่าถูกด่าก็ไม่เลว
เหล่านี้เป็นคติที่พระอาจารย์ใช้
ทำงานอยู่เสมอจึงสามารถรับมือได้ทุกกระบวนท่า
กว่าจะผ่านปัญหาไปได้ต้องฝึกฝนตัวเองอย่างไร
จะต้องทำตัวให้หนักแน่นดังแผ่นผา
ลมมาพัดก็ไม่ปลิวไปตามลม ฝนสาดก็ไม่เปื่อยสลาย
แดดส่องก็ไม่ละลายไปกับแสงแดด
ฉะนั้นทำตัวให้หนักแน่นดั่งแผ่นผา
เราก็จะอยู่ในทุกสภาวะของชีวิต
กรณีสำหรับคนที่ตกงานมีวิธีคิดอย่างไรไม่ให้เครียด
1.ต้องหางานทำ
2.หาแล้วไม่ได้ต้องสร้างงานขึ้นมา ตกงานได้แต่อย่างให้ใจตก
เพราะถ้าใจตกชีวิตจะตกต่ำทันที
ดังนั้นไม่ต้องเสียใจ คนที่รวยที่สุดในโลกตอนนี้
สตีฟ จอบส์ ก็เคยตกงาน แต่ว่าเค้าตกงานแล้วไม่ตกใจ
จึงลุกขึ้นมาสร้างบริษัทใหม่ในที่สุดก็ประสบความสำเร็จได้
ฉะนั้นเราตกงานได้แต่ไม่ได้หมายความว่า
ความรู้ความสามารถของเราตกไปด้วย มันยังอยู่กับตัวเรา
ก็เอาความรู้ความสามารถที่อยู่
ในเนื้อในตัวเราลุกขึ้นมาสร้างงานใหม่
ทำอย่างนี้แล้วเราจะประสบความสำเร็จได้
โอกาสยังคงมีเสมอสำหรับผู้ที่ไม่ปิดกั้นตัวเอง
ต้องหาความรู้เพิ่มเติมให้ถือหลักพึ่งตนเอง
อย่ารอพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ในบรรยากาศที่บ้านเมืองอยู่
ในสถานการณ์ที่ไม่ปกติการพึ่งตนเองสำคัญที่สุดเลย
ถ้ายังไม่ได้งานแล้วหันไปพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผิดหรือเปล่า
เอาวันเวลาที่ไปบนบานสานกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น
มา พินิจ พิจารณาหาช่องทางทำกิน
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยเราได้ในทางจิตวิทยาคือ
ทำให้เราเคลิ้มๆแต่ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาที่แท้จริง
พูดอีกอย่างหนึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นยาทา
การใช้ปัญญาเป็นยากิน การรักษาโลกต้องใช้ยากิน
การใช้ยาทาก็เป็นการรักษาแต่ภายนอก
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ถ้าศักดิ์สิทธิ์จริงประเทศไทยจะมีคนจนไหม ไม่มี
ประเทศที่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากที่สุดในโลกคืออินเดีย
ปรากฎว่ามีประชากรกว่าร้อยล้านคนตกงาน
นี้คือบทเรียนของการรอพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ฉะนั้นให้หันมาพึ่ง ลำแข้ง ลำขา สติปัญญาของตัวเองจึงจะดีที่สุด
น้อยใจทำงานมานานแล้วไม่มีโบนัส มีวิธีคิดอย่างไร
ถ้าโบนัสไม่มาเอาเท่าที่มีก่อนก็ได้
มีคนอีกมากที่ตกงานแต่เรายังมีงานทำ
มองเป็นก็จะเห็นธรรม แต่ถ้ามองไม่เป็นก็จะมาน้อยใจ
เวลาที่เรารู้สึกแย่มองคนที่แย่กว่าเรา แล้วเราจะรู้สึกว่าเรายังได้เปรียบอยู่
ถ้าเป็นพวกที่บ้างานหนักจะทำอย่างไร
ต้องแสวงหาทางสายกลาง พวกที่เป็นโรค Workaholic ทั้งหลาย
จะต้องแสวงหาทางสายกลางในการทำงาน
การทำงานต้องประสานกับคุณภาพของชีวิต
คือผลสัมฤิทธิ์ของมือทำงานระดับอาชีพ
การทำงานประสานกับคุณภาพของชีวิตคือผลสัมฤทธิ์ของคนทำงานมืออาชีพ
ฉะนั้นอย่างเป็นคนบ้างานจนหลงลืมคุณภาพของชีวิต
จะต้องรักษาสมดุลของงานสมดุลชีวิตให้ลงตัวพอเหมาะพอดี
สัดส่วนสมดุลย์ในการทำงาน
ใช้ทางสายกลางในการทำงานและการดำรงชีวิต 50-50
คืองานกับชีวิตจะต้องสมดุลกันในลักษณะ 50-50
บ้างานมากเกินไปสิ่งที่ได้กลับมาก็คือความเครียดและสุขภาพไม่ดี
บ้าใช้ชีวิตมากเกินไปสิ่งที่ได้กลับมาก็คือจะอดตายเอา
ไม่มีเงินกิน ไม่มีเงินใช้
ฉะนั้นต้องให้ทั้งสองส่วนมาสมดุลย์กัน 50-50
นั่นคือทางสายกลางสำหรับคนทำงาน
ประสบการณ์ของพระอาจารย์มี
คนบ้างานจนถึงขั้นเสียชีวิตบ้างหรือเปล่า
มีลูกศิษย์ที่ทำงานหนัก เงินเดือนแค่ 50,000
แต่ทำงานเหมือนตัวเองได้เงินเดือน 3 แสน
ผลคือเป็นโรคมะเร็งและรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลหมอบอกว่า
ไม่พบสาเหตุจากพันธุกรรม พบอยู่สาเหตุเดียวคือแบกความเครียดนานเกินไป
เงินที่หามาทั้งชีวิตต้องนำมารักษาโรคมะเร็งทั้งหมด
ฉะนั้นสาเหตุหลักของมะเร็งในตอนนี้คือความเครียด
นี่คือตัวอย่างของโรค Workaholic โรคบ้างาน
ทำงานมากเกินไป
สุดท้ายต้องไปใช้เงินในโรงพยาบาล ไม่ได้ใช้เงินอย่างมีความสุข
อยากให้หลวงพ่อแนะนำวิธีผ่อนคลาย
ในการทำงานของพวกมนุษย์เงินเดือน
ถ้าเราทำงานแล้วคุณภาพชีวิตไม่ดีแสดงว่า
เรากำลังเดินผิดทางมันกำลังสุดโต่ง
ฉะนั้นเวลาทำงาน อย่ามัวแต่
ทำงานให้สังเกตคุณภาพชีวิตของตัวเองด้วย
เมื่อเราทำงาน มีเวลากินข้าวกับครอบครัวไหม
เรามีเวลาพักผ่อนวันเสาร์วันอาทิตย์ไหม
เรามีเวลาอยู่กับลูกและภรรยาไหม
เรามีเวลาไปเที่ยวต่างจังหวัดบ้างหรือเปล่า
ถ้าสิ่งเหล่านี้ได้หายไปในชีวิตแสดงว่าคุณได้เสียสมดุลย์ชีวิตไปแล้ว
ถ้าไม่ปรับมาสู่ทางสายกลางแสดงว่าอนาคตอันใกล้คุณกำลังป่วย
เอาเงินที่หามาทั้งชีวิตมาใช้ในโรงพยาบาล
นี่เป็นโรงอารยธรรมที่กำลังเกิดขึ้น
กับมนุษย์ในยุคทุนนิยมทั่วโลก ที่อเมริกา
ที่ญี่ปุ่นป่วยด้วยโรค Workaholic เป็นอันดันต้นๆของโลก
ประเทศไทยอันดับต้นๆของเอเชีย
เพราะเราเครียดจากการเมือง เครียดจากเศรษฐกิจ
เครียดจากแข่งขันในระบบทุนนิยมด้วย
ดังนั้นใครที่เป็นโรคบ้างานจะต้องระมัดระวังถามตัวเองด้วยว่า
เรามีภาวะสมดุลย์งานสมดุลย์ชีวิตแล้วหรือยัง
อย่าทำงานจนป่วยตาย อย่าหลงเสน่ห์อบายมุข
อย่ามีความสุขจนลืมศีลธรรม
งานจำเป็นต่อชีวิตหรือไม่
งานจำเป็นต่อชีวิตเพราะทุกคนต้องกินต้องใช้
แต่ต้องไม่ลืมว่าถ้าไม่มีชีวิตมีงานก็ศูนย์เปล่า
ความหมายของ"งาน"ในแบบของพระอาจารย์
งานของเราก็คือการทำให้เขามีความสุข
ทุกวันอาตมามีความสุขมากเพราะ
เป็นงานที่ไม่ได้ทำร้ายใครเลย อาตมาไปเทศน์ไปสอน
ไปบรรยายก็เหมือนเป็น
การเอาความสุขไปโปรยให้กับคนทั่วทั้งสากลโลก
ฉะนั้นทุกๆวันที่เดินทางออกจากวัดอาตมามีความสุขมาก
ทำงานเหมือนแสงเดือนแสงตะวันที่ชโลมผืนโลก
ทำไปไม่หวังผลประโยชน์
หวังแค่ประโยชน์สุขที่เกิดขึ้นกับมนุษย์
อาตมามีความสุขที่เห็นคนอื่นมีความสุข
เป็นความสุขที่เกิดขึ้นจากการทำให้คนอื่นมีความสุข
เรียกว่าให้สุขแก่ท่านสุขนั้นถึงตัว
ฉะนั้นชีวิตการทำงานของอาตมาก็ถือว่ามีความสุข
เพราะได้ทำงานที่ตัวเองรัก
และปรัชญาในการทำงานของอาตมาก็คือ
งานของเราคือการทำให้เขามีความสุข
งานที่ดีที่สุดคืออะไร
งานที่จะทำให้เราอยู่ได้ในทางเศรษฐกิจ
และมีชีวิตที่มีความร่มเย็นในจิตใจ
คืองานในอุดมคติที่มนุษย์ทุกคนพึ่งสร้างสรรค์พัฒนาขึ้นมาให้ได้
ย้ำอีกครั้งหนึ่งคือ สามารถอยู่ได้ในทางเศรษฐกิจ
มีชีวิตที่ร่มเย็นในจิตใจ
เรียกว่าในทางกายภาพก็อยู่ได้ในทางใจก็เป็นสุข
สุดท้ายให้ศีลให้พรในวันปีใหม่เกี่ยวกับการทำงาน
ในโอกาสปีใหม่ก็ขอมอบพร 4 ประการให้กับคนไทย
พลังทั้ง 4 เพื่อความสวัสดีของชีวิตคนไทย
1.พลังปัญญาของให้คนไทยลดความรู้สึกลงกลับมาใช้เหตุผลให้มากขึ้น
2. พลังความเพียรขอให้คนไทยพึ่งตนเองลดการพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์
3. พลังความสุจริตขอให้คนไทยร่วมกันต่อต้านคอรัปชั่นทุกรูปแบบ
แล้วหันมาเชื่อมั่นในความสุจริตโปร่งใส
4 .พลังความสามัคคี ขอให้คนไทยเลิกเห็นแก่ตัวจนไม่เห็นหัวคนอื่น
มาถือหลักธรรมใหม่ๆว่า ส่วนไหนๆก็ไม่ยิ่งใหญ่เท่าส่วนรวม
ลด ละ เลิก การแบ่งแยก ไทยเหลือง ไทยแดง ไทยน้ำเงิน
ให้เหลือเป็นไทยแลนด์ที่เป็นหนึ่งเดียว
เท่านี้ชีวิตก็จะมีความสุข คนไทยทั้งประเทศก็จะมีความสุข
เพื่อความสวัสดีของคนไทยให้เป็นพรปีใหม่ของเราชาวไทยทุกๆคน
ภาพประกอบ: ชัย ราชวัตร