Custom Search

Oct 1, 2008

มุมมองของ... อภิรักษ์ โกษะโยธิน

http://www.futurebangkok.net
8 ตุลาคม 2550

ในการประกาศผลรางวัล Thailand Corporate Excellence Awards 2006
ซึ่งดำเนินมาครบรอบ 6 ปี ผมและคุณวรรณวีรา รัชฎาวงศ์
กรรมการบริหารสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย
ได้มีโอกาสร่วมสัมภาษณ์ท่านผู้นำ 6 ท่าน
ลงในรายงานการประกาศผลรางวัลฯ ...

สำหรับสัปดาห์นี้เรามาเรียนรู้มุมมองของคุณอภิรักษ์ โกษะโยธิน
ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
Q : คุณอภิรักษ์เป็นผู้จุดประกายการจัดงานนี้เมื่อ 6 ปีที่แล้ว มีที่มาอย่างไรครับ
A : ในตอนนั้นทางสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA)และ
สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ (SASIN) มีการพูดคุยกันว่าต้องการ
ให้ผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็กได้เรียนรู้จากองค์กรชั้นนำ จึงมีการจัดตั้งคณะทำงาน
และก็จัดทำแผนงานและแนวทางการคัดเลือกกันขึ้นแนวคิดนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่
บริษัทข้ามชาติหลายแห่งมักจะมีแนวคิดเรื่องการถ่ายทอดองค์ความรู้ซึ่งกันและกันอยู่แล้ว
ในขณะนั้นก็เริ่มมีบริษัทไทยจำนวนมากที่ประสบความสำเร็จในระดับชาติ
แต่ว่ายังมีจำนวนน้อยในระดับโลก ในการจัดการสมัยใหม่หากเราได้ศึกษ
และเรียนรู้แนวคิดใหม่ๆ จากองค์กรที่ประสบความสำเร็จก็น่าจะเป็นทางลัดที่ดี
Q : คิดว่าอะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้องค์กรเหล่านี้ได้รับรางวัลครับ
A : น่าจะมาจากการที่ฝ่ายจัดการได้ทุ่มเทและให้ความสนใจในการพัฒนาองค์กร
และบุคลากร การลงทุนในการวิจัยและพัฒนาต่อเนื่อง
ตลอดจนการใส่ใจในเรื่องของการตอบแทนต่อสังคมหรือ CSR
(Corporate Social Responsibility)องค์กรเหล่านี้มองระยะยาว
ไม่ได้คิดจะทำเงินในระยะสั้นๆ เท่านั้น พวกเขามองการพัฒนาต่างๆ ที่กล่าวมาว่า
เป็นการลงทุนมิใช่เป็นค่าใช้จ่าย
เราเห็นชัดเจนว่านี่เป็นการเติบโตที่ยั่งยืนและก่อให้เกิดผลดีกับทุกฝ่ายทั้งภายใน
และภายนอกองค์กร
Q : มีคำแนะนำสำหรับองค์กรที่ยังไม่ได้รางวัลอย่างไรครับ
A : ขอให้มองระยะยาวอย่ามองแค่เป้าหมายระยะสั้นเช่นยอดขาย
และส่วนแบ่งการ
ตลาดเพราะว่ามันไม่ยั่งยืน
องค์กรชั้นนำเหล่านี้เขาทำธุรกิจ
ในขณะเดียวกันก็มุ่งพัฒนาไปด้วยพร้อมๆ กัน
พวกเขารักษาสมดุลทุกๆอย่างในเวลาเดียวกัน
ทำให้พวกเขาฟันฝ่าวิกฤตมาได้หลายครั้ง
องค์กรขนาดกลางและเล็กก็สามารถเป็นเลิศได้
พวกเขาสามารถที่จะคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ โดยอาจจะไม่จำเป็นต้องทุ่มเทงบมากมาย
ใน New Economy ขนาดไม่ใช่ข้อจำกัด มันเป็นเรื่องของภาวะผู้นำ แนวคิด นวัตกรรม
และความเร็ว
Q : คุณอภิรักษ์ทำงานทั้งภาคเอกชนและรัฐ ช่วยกรุณาแนะนำเรื่องภาวะผู้นำหน่อยครับ
A : ประการแรกผู้นำต้องสามารถกำหนดวิสัยทัศน์ระยะยาวและสั้นได้อย่างชัดเจน
ประการที่ 2 ถนนไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ระหว่างทางต้องเผชิญอุปสรรค
ผู้นำต้องมีความมานะบากบั่นที่จะฟันฝ่าอุปสรรค หากผู้นำไม่หนักแน่น องค์กรก็ลำบาก
ในโลกธุรกิจมีการแข่งขัน ในราชการมีความผันผวนทางการเมืองประการที่ 3
ผู้นำกระตุ้นให้คนคิดริเริ่มสิ่งใหม่ๆ และนวัตกรรม มันอาจจะเป็นมุมมองใหม่กับเรื่องเดิมๆ
หรือในโลกธุรกิจก็อาจจะเป็นการ Relaunch หรือการเปิดตัวใหม่อีกครั้งหนึ่ง
สำหรับผลิตภัณฑ์เดิม หรืออาจจะเป็นการเปิดตัวครั้งแรก (Launch)
ของผลิตภัณฑ์ใหม่ ในการทำงาน องค์กรควรจะเปิดโอกาส
และกระตุ้นให้คนคิดออกนอกกรอบ
เวลาเราพูดถึงนวัตกรรม คนอาจจะจำกัดเพียงว่านวัตกรรมนั้นมีแค่การวิจัยและพัฒนาใหม่ๆ
ซึ่งต้องใช้งบประมาณมาก ซึ่งไม่จำเป็นประการสุดท้าย ผู้นำต้องคำนึงถึงสังคมด้วย
เราจะสังเกตเห็นได้ว่า เริ่มมีความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ สำหรับสิ่งแวดล้อมและสังคม
องค์กรควรจัดสรรงบประมาณที่พอสมควร เพื่อสนับสนุนสังคม
โดยเฉพาะคนที่ด้อยโอกาสกว่า ยิ่งคุณมีตำแหน่งใหญ่โตมากขึ้นเพียงใด
ยิ่งองค์กรคุณประสบความสำเร็จมากเพียงใด
คุณต้องคำนึงและตอบแทนสังคมมากยิ่งขึ้นเพียงนั้น
Q : คุณอภิรักษ์พูดถึงการต่อสู้กับปัญหาและอุปสรรค ช่วยขยายความหน่อยครับ
A : ในชีวิตของคนทำงาน เรามีวันดี และวันที่เครียด
พวกเราคนทำงานทุกคนต้องเจอะเจอปัญหาและอุปสรรคเป็นธรรมดา
เราอาจจะหงุดหงิดได้ ท้อถอยได้ เป็นช่วงๆ
แต่ละคนก็มีวิธีรับมือกับปัญหาและอุปสรรคที่แตกต่างกันออกไปสำหรับผม
ในขณะที่ทำงานภาคเอกชน ผมคำนึงถึง
Accountability คือความมุ่งมั่นรับผิดชอบที่ตกลงและได้รับมอบหมายมา
เมื่อจะทำอะไรก็ต้องทำให้ถึงที่สุดตามเป้าหมายปัจุบันยิ่งต้องมี Accountability
มากขึ้น เพราะให้บริการคนกว่าสิบล้านคนใน กทม.
แน่นอนว่าปัญหาและอุปสรรคมีมากกว่า
แต่ว่าผมตระหนักตั้งแต่ก่อนจะเข้ามารับราชการแล้วว่า
ผมเลือกเส้นทางนี้เพราะมีอุดมการณ์ที่ต้องการทำงานเพื่อสังคม"
>>>สำนักข่าวไทย<<<
“อภิรักษ์” เปิดตัวทีมงานร่วมสร้างอนาคตให้กรุงเทพฯ 18 คน
ชื่อดังจากทุกสาขาอาชีพ
“นพ.เฉก-พญ.ชนิกา-นวลพรรณ ล่ำซำ-ดร.วรากรณ์
-แทนคุณ-ดร.การดี-ดร.สมชาย-ดร.ต่อตระกูล”
ส่วนจะให้ทีมงานชุดนี้เป็นรองผู้ว่าฯ หรือไม่
ให้รอฟังการแถลงหลังการเลือกตั้ง
ย้ำเดินหน้าหาเสียงจนถึงโค้งสุดท้าย
ไม่หวั่นกระแสจะได้ใบเหลือง
นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร(กทม.)
หมายเลข 5 เปิดตัวทีมงานขับเคลื่อนนโยบายสร้างอนาคตให้กรุงเทพฯ
ประกอบด้วย ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้เชี่ยวชาญจากสาขาอาชีพ แพทย์ พยาบาล วิศวกร
ด้านบริหารธุรกิจ การตลาดการเงิน เยาวชน นักการศึกษา ผู้พิการ
จำนวน 18 คน คือ

๑.นพ.เฉก ธนะสิริ ขับเคลื่อนนโยบายด้านสาธารณุสข
๒.ศ.เกียรติคุณ พญ.ชนิกา ตู้จินดา อดีตคณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
๓.นพ.พูลชัย จิตอนันตกูล ด้านหลักประกันสุขภาพ
๔.นายภานุมาศ สุขอัมพร ผู้แทนผู้พิการ
๕.นางนวลพรรณ ล่ำซำ ผู้แทนสตรีนักธุรกิจ
อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.)
ด้านการศึกษา
๗.ศ.ปรีชา เถาทอง ศิลปินผู้ทรงคุณวุฒิ ดูด้านศิลปะ
๘.นายแทนคุณ จิตต์อิสระ ตัวแทนคนรุ่นใหม่ขับเคลื่อน
๙.ด้านการทำประโยชน์ เพื่อสังคม รศ.มานพ พงศทัต
๑๐.ดูด้านผังเมือง- วิศวกรรม รศ.ดร.ต่อตระกูล ยมนาค
อดีตนายกสมาคมวิศกรรมสถานแห่งประเทศไทย
๑๑.ดร.ศุภชัย ตันติคมน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรโครงสร้างขับเคลื่อนด้านผังเมือง
๑๒.นายวินิจ สุรพงษ์ชัย ด้านการบริหารธุรกิจ-การตลาด
ดูด้านการประชาสัมพันธ์ของกรุงเทพฯ
๑๓.ศาสตราภิชานไกรฤทธิ์ บุณยเกียรติ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารธุรกิจและการตลาด
๑๔.รศ.ดร.สมชาย ภคภาสวิวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านเศรษฐกิจและการเงิน
๑๕.นายวัชรา ตันตริยานนท์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจและการเงิน
๑๖.ผศ.ดร.การดี เลียวไพโรจน์ ผู้อำนวยการศูนย์ให้คำปรึกษาทางธุรกิจ
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ดูแลด้านเศรษฐกิจ
๑๗.ส่วนผู้แทนเยาวชนมีนายสุทธิกร กิ่งแก้ว
นักศึกษาปริญญาโท มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์
และ ๑๘.น.ส.สุภัทกิตติ เจตทวีกิจ เป็นตัวแทนด้านเยาวชน
นายอภิรักษ์ กล่าวว่า การเปิดตัวทีมงานฯ ครั้งนี้ เพื่อแสดงถึงความตั้งใจใน
การพัฒนากรุงเทพฯ และผลักดันนโยบายต่าง ๆ ให้สำเร็จ อย่างไรก็ตาม
ตนยังไม่เปิดเผยว่าทีมงานชุดนี้ จะเป็นทีมรองผู้ว่าฯกทม.หรือไม่
ต้องรอหลังการเลือกตั้งในวันที่ 5 ตุลาคมก่อน
แต่ทุกคนผ่านการคัดเลือกมาด้วยความเหมาะสม ตนมั่นใจว่า มีความพร้อมทุกด้าน
ในการผลักดันแก้ปัญหา กทม.


ส่วนอีก 5 วันโค้งสุดท้ายการหาเสียงนั้น
จะตระเวนปราศรัยใหญ่ในทุกพื้นที่ของ กทม.
และวันที่ 3 ตุลาคมจะปราศรัยใหญ่ครั้งสุดท้ายที่อุทยานเบญจสิริ
นายอภิรักษ์ กล่าวว่า การที่มีกระแสข่าวอาจได้รับใบเหลือง
เนื่องจากปัญหาป้ายหาเสียงนั้น
ตนไม่กังวล เนื่องจากมั่นใจว่า ไม่ได้ทำผิดกฎหมายการเลือกตั้ง
และยังคงเดินเท้าหาเสียงเหมือนผู้สมัครรายอื่นๆ

รางวัลโครงการ “3 คุณธรรมนำไทย” (ซื่อสัตย์ สามัคคี มีวินัย)
จัดโดย ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาพลังแผ่นดินเชิงคุณธรรม
สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน)
(25 มีนาคม 2552)
ประเภทการประกวดออกแบบโปสเตอร์ ระดับอุดมศึกษา
นางสาว ปวีณพร วิจิตรานุช ภาควิชาออกแบบนิเทศศิลป์
นางสาว คุณานันต์ มนูสุทธิพงศ์ ภาควิชาออกแบบนิเทศศิลป์
















สถาบันองค์ความรู้แห่งเอเชีย
(Asian Knowledge Institute AKI)
โดยมี คุณ
อภิรักษ์ โกษะโยธิน
เป็นผู้ก่อตั้งและประธานสถาบันฯ
จะจัดงานแถลงข่าวเปิดตัว
“Asian Knowledge Institute”
แหล่งสร้างผู้นำทางธุรกิจยุคใหม่แห่งเอเชีย
และสถานที่แลกเปลี่ยนความคิดและประสบการณ์ของผู้นำธุรกิจนานาชาติ


เมื่อวันที่ 29 มกราคมที่ผ่านมา
ได้มีการเปิดตัวสถาบันสถาบันองค์ความรู้แห่งเอเชีย
(Asian Knowledge Institute)

โดยนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี
เป็นประธานและผู้ก่อตั้งสถาบัน ได้กล่าวถึง
The New Asia – The Rise of GEN-A โดยได้กล่าวว่า
“ในงานสัมมนานี้เป็นการฉายภาพในมุมกว้างของอนาคตที่กำลังจะมาถึง
ในภาพของเอเชียยุคใหม่ กระบวนทัศน์ใหม่และรูปแบบ
ในการดำเนินชีวิตและการทำธุรกิจที่จะถูกท้าทายมาก ขึ้น
นอกจากนี้การค้นหาพลังของคนเอเชียหรือ Gen – A
ซึ่งกำลังมาเป็นศูนย์กลางอำนาจทางเศรษฐกิจโลก”

ทั้งนี้ นายอภิรักษ์ ยังกล่าวถึงความสำคัญของคนเอเชีย
ที่จะกระจายไปทั่วทุกมุมโลก
และกำลังเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน ผ่านสังคมออนไลน์
ที่กำลังเข้ามามีอิทธิพลในชีวิตของเรามากขึ้น
ไม่ว่าจะเป็น Facebook Twitter
โดยเฉพาะกลุ่มของ GEN – A
หรือ Generation Asia ที่กำลังมีบทบาทมากขึ้น
โดยเฉพาะของคนรุ่นอายุ 18-35 ปี
ที่นับว่าเป็นคนรุ่นใหม่ที่เป็นกำลังขับเคลื่อนที่สำคัญ
ทางเศรษฐกิจ การเมือง และ สังคมในเอเชียต่อจากคนในยุคเบบี้บูม
หรือคนในวัย 50-60ปีที่กำลังเกษียณตัวเองออกไป
คุณอภิรักษ์ยังกล่าวอีก ว่า
คนในวัยนี้เป็นวัยที่ต้องการมีเอกลักษณ์ของตัวเอง
มีพื้นที่สำหรับการแสดงออกของตนเอง
ขณะเดียวกันรูปแบบการทำงานซึ่งแต่เดิม
เป็นการทำงานที่เน้นทักษะในการทำงาน (Skill Job)
กำลังจะเปลี่ยนไปโดยคนรุ่นนี้จะเน้นไปที่
การใช้ความสามารถเฉพาะตัว(Talent Job)
พร้อมกับต้องการความยืดหยุ่นในการทำงาน
ไม่จำเป็นต้องมีเจ้านาย
ต้องการความอิสระ ไม่ต้องการยึดติดกับสถานที่ทำงาน
สามารถทำงานในสถานที่ต่างๆได้ทั่วโลก ตั้งแต่
ที่บ้าน ร้านกาแฟไปจนถึงก้าวออกจากประเทศของตนเอง
ไปยังเวทีที่ตนเองสามารถแสดงออกได้
และสุดท้ายสามารถตอบแทนคืนกลับสู่สังคมได้
ในงานนี้ยังมีผู้บริหาร ขององค์กรชั้นนำทั้งมา
ร่วมแสดงวิสัยทัศน์ของ เอเชียในปี 2020 ไม่ว่าจะเป็น

รศ.ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
มาบรรยายเรื่อง The Future of Asia – Business Landscape
ได้กล่าวว่า “ในอีก 10 ปีข้างหน้า GDPโลกจะอยู่ที่เอเชียถึง 50%
แต่ด้วยประเทศที่มีความแตกต่างทั้งฐานะและทุนเป็นอย่างมาก
โดยเฉพาะจีนและอินเดียในศตวรรษที่ 21 นี้
จะเป็นการกลับมาครั้งยิ่งใหญ่ของอดีตยักษ์ใหญ่ที่เคยรุ่งเรืองมากในยุค โบราณ ”

ในหัวข้อเดียวกันนี้มี วิทยากรอีกท่านคือ Mr.Ranu Dayal
จาก บริษัทที่ปรึกษา Boston Consulting Group
ได้กล่าวถึง ในอนาคตอันใกล้นี้จีดีพีของจีนกำลังจะท้าทายสหรัฐอเมริกา
ในภาคการบริโภคจะขยับมาที่เอเชียมากขึ้น
พร้อมกับที่บริษัทในเอเชียจะก้าวขึ้นมาในระดับโลกมากขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นบริษัท Haier, TATA, Suntech, CIMC เป็นต้น

จากนั้นได้มีการบรรยาย หัวข้อ
“NEW Dimension of Asian Wave – 2020
Marketing and Social Networking”
โดย Mr.Hester Chew ประธาน McThai
ได้กล่าวถึงแนวโน้มของคนในเอเชียที่กำลังจะเกิดขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโครงสร้างอายุของคนในเอเชียที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป
พร้อมกับพฤติกรรมการบริโภคข้อมูลข่าวสารผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์
และ อินเตอร์เน็ตของคนรุ่นใหม่ในเอเชีย นำไปสู่การประกอบธุรกิจในรูปแบบใหม่
พร้อมกันนี้ยังกล่าวถึงการก้าวขึ้นมาของจีนและอินเดีย
ในทศวรรษหน้าที่จะเป็น สิ่งท้าทายต่อคนเอเชียและโลกมากขึ้น

พร้อมกับวิทยากรอีกท่าน คือ คุณพรทิพย์ กองชุน
ผู้จัดการฝ่ายการตลาด Google Thailand
ได้ให้ภาพที่ Google มองถึงคลื่นเอเชียครั้งนี้ว่า
แนวโน้มของเทคโนโลยีที่จะเข้ามามีบทบาทในชีวิต
ประจำวันจะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลง
พฤติกรรมของคนเอเชียนั้นมีอยู่ 6 ด้านที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป ได้แก่

Mobile Internet,
Maps, Clouding Computing,
Everything is Connect, Social Networking,
Internet as Primary Platform for Media
จากปัจจัยเหล่านี้ทำให้ผู้ประกอบการ
ต้องปรับตัวมากขึ้นและจะสร้างโอกาสนี้ ได้อย่างไร

และปิดท้ายงานสัมมนานี้ ด้วย ดร.การดี เลียวไพโรจน์
ผู้อำนวยการศูนย์ให้คำปรึกษาทางธุรกิจ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
พูดในหัวข้อ AKI Index – Asian Wave
ได้ให้ภาพแนวโน้มการใช้internetจาก 8 ประเทศ ในการเข้าสู่internet
เพื่อค้นหาเรื่องที่สนใจจากการสำรวจพบว่ามี 3 เรื่อง
ที่คนในเอเชียให้ความสนใจ คือ ด้านสังคม ด้านบันเทิง
และ ด้านไอทีและคอมพิวเตอร์
ซึ่งลำดับความสนใจแตกต่างกันออกไปแต่ละประเทศ

จากการสัมมนาในวันนี้ใน ปี 2020 จะเป็น
ยุคที่เอเชียก้าวขึ้นมาท้าทายโลกตะวันตกอย่างแท้จริง
บทบาทของเอเชียในเวทีโลกจะทวีความสำคัญมากขึ้น
พร้อมกับกลุ่มคนรุ่นใหม่จากเอเชียกำลังก้าวขึ้นมา
เป็นแรงผลักให้เอเชียก้าวไปข้างหน้าได้เร็วขึ้นผ่านการติดต่อทาง Internet
สังคมออนไลน์ สื่อออนไลน์ พร้อมกับเครือข่ายของคนเอเชียทั่วโลก
ที่กำลังเป็นเรี่ยวแรงสำคัญที่จะกลับมา ร่วมกันพัฒนากับคนในเอเชียร่วมกัน
ความรุ่งโรจน์ของเอเชียเป็นทั้งโอกาสและความท้าทายที่สำคัญต่อคนในเอเชียที่
จะปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงนี้ได้อย่างไร
ไม่เช่นนั้นอาจตกขบวนรถไฟความเร็วสูงที่ชื่อเอเชียก็เป็นได้