Custom Search

Apr 28, 2011

วงนั่งเล่น

วงนั่งเล่น hi5

http://en-gb.facebook.com/nanglen


  ส ม า ชิ ก ว ง นั่ ง เ ล่ น
เป๋า-กมลศักดิ์ สุนทานนท์ (Lead Vocal)
ตุ่น-พนเทพ สุวรรณะบุณย์ (Nylon Guitar)
เต้ง-ธนิต เชิญพิพัฒนสกุล (Drums)
พง-อิศรพงศ์ ชุมสาย ณ อยุธยา (Keyboard)
ป้อม-เกริกศักดิ์ ยุวะหงษ์ (Percussion)
แตน-เศกสิทธิ์ ฟูเกียรติสุทธิ์ (Keyboard)
ตู๋-ปิติ ลิ้มเจริญ (Acoustic Guitar)
เก่ง-เทอดไทย ทองนาค (Electric Guitar)
โอ-ศราวุธ ฤทธิ์นันท์ (Bass)















































Apr 22, 2011

ชวนน้องดูหนัง หลังสอบเอ็นท์ :ภาพยนตร์ "ขอบคุณที่รักกัน"


www.utcc.ac.th/nitadegang
www.facebook.com/NitadeGangFanPage
http://twitter.com/#!/nitadegang




นิเทศฯม.หอการค้าไทย จับมือ สสส และไฟว์สตาร์
ชวนเด็กม.ปลายดูหนังฟรีหลังเอ็นท์ 2 พ.ค. นี้เ
ปิดโรงหนังสกาลา
ฉายหนังรอบพิเศษ “ขอบคุณที่รักกัน” ปั๊บ โปเตโต้ – สายป่าน แสดงนำ

พร้อมเสวนาแบบสบายๆ ในหัวข้อ“ขอบคุณ ความรัก กำลังใจ”


ผศ.ดร.รุ่งรัตน์ ชัยสำเร็จ คณบดีคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
เปิดเผยว่า คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
ได้ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
และบริษัท ไฟว์สตาร์ โปรดักชั่น จัดกิจกรรม "ชวนน้องดูหนัง หลังสอบเอ็นท์"
ในวันจันทร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ.2554 ตั้งแต่เวลา 09.00 น.
ณ โรงภาพยนตร์สกาลา สยามสแควร์ โดยจัดฉายภาพยนตร์รอบพิเศษ
เรื่อง "ขอบคุณที่รักกัน"
นำแสดงโดย ปั๊บ โปเตโต้ - สายป่าน อภิญญา
ซึ่งเป็นภาพยนตร์แนวสร้างสรรค์สะท้อนความสัมพันธ์ในครอบครัว
การให้ความรักและกำลังใจ



ผศ.ดร.รุ่งรัตน์ กล่าวว่า กิจกรรมที่คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
จัดขึ้นในครั้งนี้
เพราะต้องการสร้างความอบอุ่น
และให้กำลังใจกับนักเรียนมัธยมปลาย

ในช่วงหลังสอบเอ็นทรานซ์และกำลังรอฟังผล สอบ
“เรา ต้องการให้น้องๆมัธยมปลาย ซึ่งเครียดจากการรอฟังผลสอบเอ็นท์
ได้คลายกังวล และมีกำลังใจต่อสู้ต่อไป
ไม่ว่าผลสอบจะออกมาเป็นอย่างไรก็ตาม” ผศ.ดร.รุ่งรัตน์ กล่าว

คณบดีคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวต่อไปว่า
ในงานนี้นอกจากการฉายภาพยนต์แล้ว ยังมีเสวนา
ในหัวข้อ “ขอบคุณ ความรัก กำลังใจ”

แขกรับเชิญคือ คุณปั่น ไพบูลย์ เขียวแก้ว
นักแสดงนำจากภาพยนตร์ คุณแมพ วงศธร ควันธรรม

นักจัดรายการวิทยุรุ่นใหม่ ศิษย์เก่าคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
และคุณพ่อหมึก โรจ (วิโรจน์) ควันธรรม นักจัดรายการวิทยุชื่อดัง

ผู้ สนใจสามารถลงทะเบียนลุ้นรับบัตรและรับ ของขวัญ IPad ได้ที่ www.utcc.ac.th/nitadegang
หมดเขตลงทะเบียน 28 เมษายน 2554
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.facebook.com/NitadeGangFanPage
หรือ โทร.084-945-7003














Apr 20, 2011

หนูดี วนิษา เรซ 3

หนูดี วนิษา เรซ 2



http://teetwo.blogspot.com/2007/09/blog-post_10.html
http://teetwo.blogspot.com/2011/04/3.html

http://www.mfu.ac.th
มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง(มฟล.) ได้รับเกียรติจากสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) และโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ ในการจัดโครงการส่งเสริมและพัฒนาอัจฉริยะภาพด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์สำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น กลุ่มมหาวิทยาลัยในเขตภาคเหนือ ณ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย โดยเริ่มโครงการตั้งแต่วันที่ 22-26 ตุลาคม ที่ผ่านมา

ซึ่งหนึ่งในกิจกรรมที่จัดในโครงการนี้ได้แก่การบรรยายพิเศษโดย “คุณหนูดี” วนิษา เรซ ผู้เชี่ยวชาญและที่ปรึกษาด้านอัจฉริยภาพ (เพียงคนเดียวในไทย) ผู้ชนะล้านที่ 15 รายการ "อัจฉริยะข้ามคืน" ผู้นำเสนอแนวคิด " คนทั่วไปก็สร้างและฝึกฝนให้เป็นอัจฉริยะได้เช่นกัน" และผู้เขียนหนังสือ "อัจฉริยะสร้างได้" ที่กำลังได้รับความนิยมสูงสุดในขณะนี้ เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ที่ผ่านมา ณ หอประชุมสมเด็จย่า มฟล. ตั้งแต่เวลา 09.00-11.30 น. ซึ่งได้รับความสนใจจากนักเรียน นักศึกษา อาจารย์ และบุคคลทั่วไป เข้ารับฟังจำนวนกว่า 1,700 คน

ช่วงแรกของการบรรยาย “คุณหนูดี” ได้กล่าวถึงการเจริญเติบโตของสมอง ซึ่งหลายคนเข้าใจผิดว่าสมองของคนเราจะเจริญเติบโตเต็มที่เมื่ออยู่ในช่วงวัยเด็กตอนปลาย แต่จริงๆ แล้วสมองของคนเราจะพัฒนาเต็มที่เมื่ออายุ 25 ปี ซึ่งทำให้ผู้ที่เข้าร่วมฟังการบรรยายที่ยังเป็นเยาวชนต่างรู้สึกว่าตนเองยังสามารถพัฒนาความสามารถได้อีกหลายด้าน

สำหรับคำว่า “อัจฉริยะ” ของคุณหนูดี หมายถึง ความสามารถในการเข้าใจตนเองและสิ่งแวดล้อมของตนเองได้เป็นอย่างดี สามารถแก้ปัญหากับสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ “คุณหนูดี” ยังได้กล่าวกับบรรดาครู ผู้ปกครองด้วยว่า ความเป็นอัจฉริยะมีอยู่ในเด็กทุกคน เพียงแต่ว่าจะต้องได้รับการส่งเสริมอย่างถูกต้องและถูกจังหวะ และอย่าตัดสินความเป็นอัจฉริยะของเด็กแต่ละคนด้วยบรรทัดฐานของบุคคลอื่น

นอกจากนี้ “คุณหนูดี” ยังได้แนะนำหลักการง่ายๆ ที่จะบำรุงสมองให้พร้อมทำงานอย่างมีประสิทธิภาพเช่น การดื่มน้ำบริสุทธิ์อย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว เพราะสมองของคนเราจะมีน้ำเป็นส่วนประกอบถึง 80% นอกจากนี้ยังแนะนำให้เด็กๆ หลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟ และน้ำอัดลม เพราะนอกจากจะไม่ดีต่อสุขภาพแล้ว กาแฟและน้ำอัดลมยังไปทำลายประสิทธิภาพการทำงานของสมองอีกด้วย “คุณหนูดี” ได้แนะนำให้ทุกคนรับประทานอาหารจำพวกโปรตีนในตอนเช้า และมื้อเย็นควรเป็นอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรน เพื่อให้สอดคล้องกับการทำงานของร่างกาย

สุดท้าย “คุณหนูดี” ได้แนะนำให้ทุกคนไม่ว่าจะอยู่ในวัยใดก็ตามใช้สมองให้เต็มที่ อย่ากังวลถึงประสิทธิภาพของตนเอง เพราะการกังวลจะเป็นตัวปิดกั้นการทำงานของสมองและขีดความสามารถในการเป็นอัจฉริยะของตน


ด้านนักเรียนที่เข้าร่วมการบรรยายอย่าง ด.ช.อุกฤษ เกเย็น นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/1 โรงเรียนแม่สายประสิทธิศาสตร์ อ.แม่สาย จ.เชียงราย หนึ่งในนักเรียนที่เข้าร่วมโครงการส่งเสริมและพัฒนาอัจฉริยะภาพด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ กล่าวว่า “ที่จริงแล้วผมติดตามผลงานของพี่หนูดีมาตลอดตั้งแต่ที่พี่หนูดีเป็นผู้ชนะเลิศล้านที่ 15 ของรายการโทรทัศน์แล้วครับ ผมชอบในความเก่งของพี่หนูดีมาก ทำให้ผมรู้สึกภูมิใจแทนคนไทยทั้งชาติว่าคนไทยก็เก่งได้ไม่แพ้ชาติอื่นๆ การเข้าร่วมฟังในวันนี้ผมจะนำความรู้ที่ได้รับไปใช้ให้เกิดประโยชน์ที่สุดในชีวิตประจำวันของผมครับ”

น.ส.ลาตีปะ แวอาลี นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตพัทลุง คณะวิทยาศาสตร์ วิชาเอกสถิติ ชั้นปีที่ 4 นิสิตที่เข้าร่วมการสัมมนาประจำปีของสภานิสิต-นักศึกษาทั่วประเทศ ครั้งที่ 14 ณ มฟล. ได้เข้าฟังการบรรยายของคุณหนูดี กล่าวว่า “รู้สึกดีใจที่ได้เข้ามารับการบรรยายของคุณหนูดี ทำให้ตัวเองได้รู้จักการทำงานของสมองเพิ่มมากขึ้น ได้รับเคล็ดลับต่างๆ ในการเสริมสร้างและพัฒนาขีดความสามารถของสมองของตนเอง รวมไปจนถึงร่างกายของตนเองด้วย และคุณหนูดียังมีวิธีการบรรยายที่ไม่น่าเบื่อทำให้ทุกคนที่เข้าร่วมฟังมีส่วนร่วม ทำให้เรื่องที่ฟังดูยากในการปฏิบัติเป็นเรื่องง่ายๆ ที่ทุกคนสามารถทำได้ในชีวิตประจำวัน”



--------------------------------------------------------------------------------














Apr 17, 2011

A49 GROUP














A49 INTERNATIONAL
LIMITED





ที่มา: http://www.prakard.com/default.aspx?g=posts&t=292511

ร่องรอยเท้า ที่เรา (9) เดิน
เล็ก-ประภากร วทานยกุล เล่า 9 โปรเจกต์ 9 หลักคิดการทำงาน ของบริษัทสถาปนิก A49 ในวาระพิเศษ 40th Anniversary 49GROUP

เรื่อง ประภวิษณ์ สิงขรอาจภาพ ณัฐวุฒิ เตจา




Apr 10, 2011

'ป๋าเปรม'เปิดบ้านสี่เสาเทเวศร์ ทหารตบเท้าขอพรปีใหม่ไทย

บรรยายพิเศษโดย รศ.ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ

มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตตรัง (http://www.trang.psu.ac.th) ได้รับเกียรติจากรองศาสตราจารย์ ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (http://www.dpu.ac.th) มาบรรยายพิเศษให้แก่นักศึกษาในหัวข้อ “4 ปี มีแต่รักและอกหัก” ณ ห้องประชุมใหญ่ อาคารเรียนรวม 1 ในการนี้ท่านรองอธิการบดี วิทยาเขตตรัง รองศาสตราจารย์ ดร.ปิติ ทฤษฎิคุณ และคณบดีคณะพาณิชยศาสตร์และ การจัดการ ผู้ช่วยศาสตราจารย์พักตรา คูบุรัตถ์ ให้การต้อนรับและกล่าวต้อนรับวิทยากร โดยกิจกรรมดังกล่าวได้รับการตอบรับ จากนักศึกษาเข้าฟังบรรยายเป็นจำนวนมาก

Apr 7, 2011

โทษของการดื่มสุรา


แอลกอฮอล์นั้น นักเคมีเรียก ethyl alcohol หรือ ethanol (CH3CH2OH) แอลกอฮอล์ธรรมชาติเป็นผลิตภัณฑ์ที่หลงเหลือจากการหมัก มนุษย์เรารู้จักแอลกอฮอล์มานานนับพันปีแล้ว ในรูปแบบของเหล้าองุ่น เบียร์ และนํ้าผึ้ง ในสมัยคริสต์ศตวรรษ ที่ 16 นักกายวิภาคศาสตร์ชื่อ Vesalius ได้ตรวจพบว่า คนที่ดื่มแอลกอฮอล์มากมักจะเป็นโรคร้ายนานาชนิดที่สําคัญๆ ได้แก่ โรคตับวาย เป็นต้น

คนติด สรุายาเมามักจะเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจวาย

มะเร็งกระเพาะ ตับแข็งและเส้นเลือดในสมองแตก คนขับรถที่เมามักจะขาดพลังควบคุมสติสัมปชัญญะ ทําให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน หญิงมีครรภ์ที่ดื่มแอลกอฮอล์จะแท้งลูกในท้อง หรือหากไม่แท้งทารกที่คลอดออกมาจะมีร่างกายและสติปัญญาที่บกพร่อง

ภัยอันตรายทั้งหลายเหล่านี้ทําให้แพทย์สรุปได้ว่า แอลกอฮอล์เป็นสาเหตุสําคัญอันดับสองรองจากบุหรี่ที่ทําให้คนเราเสียชีวิตก่อนถึง

เวลาอันควร

งานวิจัยของ Pakhen Erg แห่ง Neurological Research Laboratory ที่เดนมาร์ก ฉบับที่ตีพิมพ์ในวารสาร Lancet ประจําเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2538 ได้ชี้ให้เห็นว่า แอลกอฮอล์มิได้ฆ่าหรือทําลายเซลล์ประสาทในสมองแต่อย่างใด มันเพียงแต่ทําให้เนื้อเยื่อที่เชื่อมต่อระหว่างเซลล์ประสาทเหล่านั้นเสื่อม สมรรถภาพเท่านั้นเอง เขาพบ

ว่า จํานวนเซลล์เนื้อเยื่อในสมองของคนติดเหล้าจะน้อยกว่าจํานวนเซลล์เนื้อเยื่อในสมองของคนไม่กินเหล้า 11%
และในสมองส่วนที่ทําหน้าที่จํานั้น จํานวนเซลล์เนื้อเยื่อสมองของคนติดเหล้าน้อยกว่าของคนที่ไม่ติดเหล้า 80%
กลไกการออกฤทธิ์ต่ออวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย

การออกฤทธิ์ของสุรา คนส่วนมากมักเข้าใจผิดว่าสุรานั้นจะออกฤทธิ์ต่อร่างกายเมื่อถูกดูดซึมเข้า กระแสเลือดเท่านั้น แท้ที่จริงแล้วมันออกฤทธ์ทำลายตั้งแต่อวัยวะแรกที่สำผัสจนตลอดตามเส้นทาง เดินของ

สุราที่ผ่านเข้ามาในร่างกาย ซึ่งสามารถอธิบายตามลำดับขั้นตอนได้ดังต่อไปนี้

1.ปากและลำคอ

เมื่อสุราเข้าปากและลำคอจะไปออกฤทธิ์ต่อผิวอวัยวะภายในช่องปากทำให้เกิด การระคายเคืองชิ้นเยื่อบุที่ละเอียดอ่อนในปากและหลอดอาหาร มักมีอาการร้อนซู่เมื่อผ่านลงไป

2.กระเพาะอาหารและลำไส้ สุราเมื่อผ่านลงสู่กระเพาะจะมีผลกับผนังชั้นนอกสุดที่เป็นชั้นที่จะปก ป้องกระเพาะอาหาร จะทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก ถ้าอาการเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน

เกิดอาการอักเสบของเยื่อบุชั้นในสุดของผนังหรือกระเพาะอาหารหรืออาจทะลุ ลำไส้เล็กได้ นอกจากนั้นสุรายังเป็นอุปสรรคกับการดูดซึมอาหารบางชนิด เช่น วิตามินB1, กรดโฟลิก ,ไขมัน วิตามินบี6,วิตามินบี 12 และกรดอะมิโนต่าง ๆ

3.กระแสเลือด ร้อยละ95 ของสุราที่เข้าสู่ในร่างกาย จะถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือด โดยผ่านเยื่อบุในกระเพาะอาหาร และลำไส้ส่วนดูโอดีนั่มอย่างรวดเร็ว เมื่อถึงกระแสเลือดจะเข้าไปในเซลล์และเนื้อเยื่อต่าง ๆ

ในร่างกายอย่างรวดเร็ว แอลกอฮอล์ทำให้เซลล์ของเลือดเกาะเป็นก้อนเหนียว การไหลเวียนจึงช้าลง และปริมาณออกซิเจนลดต่ำลงด้วย สุราทำให้โลหิตจาง โดยจะไปลดการสร้างเม็ดเลือดแดง ทำให้ความเม็ดเลือดขาวทำลายแบคทีเรียช้าลง และทำให้การแข็งตัวของเกล็ดเลือดช้าลงด้วย

4. ตับอ่อน แอลกอฮอล์จะทำให้เซลล์ของตับอ่อนระคายเคือง และบวมขึ้น สุราทำให้การไหลของน้ำย่อยไม่สามารถที่จะเข้าไปในลำไส้เล็กได้ ทำให้น้ำย่อยย่อยตัวตับอ่อนเอง ทำให้เกิดเลือดออกอย่าง

เฉียบพลันและการอักเสบของตับอ่อน พบว่า 1ใน5 จะเสียชีวิตไปในครั้งแรก เมื่อมีปัญหาเกี่ยวกับตับอ่อน การสร้างอินซูลินขาดหายไป และทำให้เป็นเบาหวานในที่สุด

5. ตับ แอลกอฮอล์มีอิทธิพลต่อเซลล์ของตับ ทำให้เกิดการบวม ทำให้น้ำดีซึมผ่านไปทั่วตับ เป็นเหตุให้ตัวเหลือง รวมทั้งส่วนขอบตาและผิวหนังเป็นสีเหลืองด้วย ทุกครั้งที่ดื่มสุรานั้น เซลล์ของตับจะถูก

ทำลายเป็นผลให้ตับแข็ง การเสี่ยงต่อการเป็นโรคตับมีถึง 8 เท่า เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ดื่มสุรา

6. หัวใจ แอลกอฮอล์ทำให้กล้ามเนื้อของหัวใจบวม ทำให้เกิดเป็นพิษกับหัวใจมีการสะสมของไขมันมากขึ้น และทำให้การเผาผลาญช้าลงไปด้วย


7. กระเพาะปัสสาวะและไต แอลกอฮอล์ทำให้เยื่อบุของกระเพาะปัสสาวะบวม ทำให้ไม่สามารถยืดได้ตามปกติ การระคายเคืองของไตทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำมากขึ้น


8. ต่อมเพศ ต่อมอัณฑะจะบวม ทำให้ความสามารถทางเพศลดลง


9. สมอง เป็นอวัยวะที่ไวต่อฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ซึ่งเห็นได้ชัดเจน ก่อให้เกิดพิษแบบเฉียบพลันและเรื้อรัง


9.1 พิษแบบเฉียบพลัน ได้แก่ Alcoholic intoxication แบ่งออกเป็นพิษในระดับมากน้อยแตกต่างกันไป ตามระดับของแอลกอฮอล์ในเลือดดังนี้

ระดับแอลกอฮอล์ (มิลลิกรัม/100มิลลิลิตร)
30 mg% - ทำให้เกิดการสนุกสนานร่าเริง
50 mg% - เสียการควบคุมการเคลื่อนไหว
100 mg% - แสดงอาการเมาให้เห็น เดินไม่ตรงทาง
200 mg% - เกิดอาการสับสน
300 mg% - เกิดอาการง่วงซึม
400 mg% - เกิดอาการสลบ และอาจถึงแก่ชีวิตได้

9.2 พิษเรื้อรัง

แอลกอฮอล์มีพิษโดยตรงต่อสมอง ทำให้เซลล์สมองเสื่อม ในผู้ติดสุราพบว่ามีการฝ่อลีบของสมองส่วนคอร์เทกซ์ ซึ่งจะมีผลต่อการเสื่อมทางจิตด้วยหลายประการ เช่น ขาดความรับผิดชอบ ความจำเสื่อม เมื่อเป็นมากเกิดประสาทหลอน หูแว่ว หลงผิด หวาดระแวง คลุ้มคลั่ง และแอลกอฮอล์มีฤทธิ์กดประสาท โดยกดศูนย์ควบคุมระบบต่าง ๆ เช่นกดศูนย์หายใจและศูนย์ควบคุมการไหลเวียนของโลหิตในสมอง ทำให้ถึงแก่ชีวิตได้






"ในหลวง ร.๙" ฉลองพระองค์เสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีเขียวลายดอกไม้สีเหลือง




"ในหลวง" ฉลองพระองค์เสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีเขียวลายดอกไม้สีเหลือง
สนับเพลาสีกากี ฉลองพระบาทผ้าใบสีเทา
ทอดพระเนตรทัศนียภาพริมสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา

เมื่อเวลา 15.45 น. วันที่ 2 มี.ค.54
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เสด็จฯลงจากที่ประทับชั้น 16

อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช
โดยรถเข็ญพระที่นั่งพร้อมด้วย

ท่านผู้หญิงทัศนาวลัย ศรสงคราม
ในการนี้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้

รศ.นพ.ประดิษฐ์ ปัญจวีนิน
หัวหน้าสำนักงานศูนย์โรคหัวใจสมเด็จพระบรมราชินีนาถ

เป็นผู้ถวายการเข็นรถพระที่นั่ง พร้อม ศ.คลีนิค นพ.ธีรวัฒน์ กุลทนันทน์
คณบดีแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล
โดยการเสด็จพระราชดำเนินผ่านตึกอานันทราช

ไปยังท่าน้ำบริเวณลานสระว่ายน้ำสมาคมศิษย์เก่าแพทย์ศิริราช ในพระบรมราชูปถัมภ์
ซึ่งพระองค์ทรงมีพระพักตร์ที่สดใส
แย้มพระสรวลให้แก่พสกนิกรที่ต่างส่งเสียงทรงพระเจริญดังกึกก้อง


ในการนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทรงอยู่ในฉลองพระองค์เสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีเขียวลายดอกไม้สีเหลือง
สนับเพลาสีกากี
ฉลองพระบาทผ้าใบสีเทา
ทอดพระเนตรทัศนียภาพริมสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา

โดยการเสด็จครั้งนี้เป็นพระราชประสงค์ของพระองค์
ระหว่างทอดพระเนตรทรงฉายพระรูปทัศนียภาพ
ริมสองฝั่งแม่น้ำและเรือที่แล่นผ่าน ไปมา

นานเกือบ 2 ชั่วโมง จากนั้นเวลา 17.45 น.
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯกลับยังที่ประทับชั้น 16 อาคารเฉลิมพระเกียรติ

ด้านน.ส.อัชชริตา สีตา กล่าวว่า มีความปลื้มปิติเป็นอย่างมาก
เมื่อเห็นพระองค์ท่านแล้วรู้สึกว่าพระองค์ท่าน มีพระวรกายที่แข็งแรง
พระพักตร์ดูสดใสมาก ส่วนนางบุษรา แสงวารี กล่าวว่า
ดีใจมากที่ได้เห็นพระองค์ท่านอีกครั้ง
โดยปกติจะตามเสด็จฯท่านโดยตลอด

ปลื้มใจและดีใจมาก ขอให้พระองค์ทรงพระเจริญ และนายบุญส่ง มาหล้า
กล่าวว่า
ปลื้มใจจนบอกไม่ถูก
ได้เห็นพระองค์แย้มพระสรวลให้กับประชาชน


วันเดียวกัน ที่ศาลาศิริราช 100 ปี รพ.ศิริราช พสกนิกรปวงชนชาวไทยต่างซาบซึ้ง
ในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ที่มีต่อปวงชนชาวไทยอย่างหาที่สุดมิได้

และขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง ทรงพระเจริญ
โดยประชาชนพร้อมใจกันเดินทางมาร่วมลงนามถวายพระพร อาทิ
คณะอบต.บึงทับแรต อ.ลานกระบือ จ.กำแพงเพชร คณะอสม.
อ.แหลมสิงห์ จ.จันทบุรี คณะอาจารย์นักศึกษา ภาควิชาอายุรศาสตร์
คณะแพทย์ศาสตร์ ศิริราชพยาบาลเป็นต้น
และที่ตึกสยามินทร์ ชั้น2 ห้องจุฬาภรณ์ รพ.ศิริราช

หน่วยงานทั้งภาครัฐและหน่วยงานภาคเอกชน
รวมถึงครอบครัว
ประชาชนทุกหมู่เหล่าต่างพร้อมใจกัน
เดินทางมาร่วมลงนาม
ถวายพระพร
สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี
เป็นจำนวนมากด้วย



Nuvo Show Guests


ศิลปินดังท้าลมหนาว“ช้างลิฟวิ่งเดอะไนท์”

ช้าง ชวนคอดนตรีมาระเบิดความสนุกส่งท้ายปลายปีกับกิจกรรมดีๆ ท้าลมหนาว
ในงาน ช้าง ลิฟวิ่ง เดอะ ไนท์ (Chang Living The Night)
เนรมิตเบียร์การ์เด้นคอนเซ็ปต์เก๋ไก๋ The Best In Taste
เปิดประสบการณ์ความสุขกับเมนูแสนอร่อยที่คัดสรรมาเป็นพิเศษ
เสิร์ฟท่ามกลางบรรยากาศรับลมหนาว
พร้อมเขย่าความมันส์ด้วยคอนเสิร์ตหลากสไตล์จากศิลปินแถวหน้าของวงการ
ไฮไลท์พิเศษสำหรับค่ำคืนพิเศษเฉพาะบนเวที ช้าง ลิฟวิ่ง เดอะ ไนท์
ประเดิมด้วยปรากฏการณ์
ด้านดนตรีของพี่น้องสองหนุ่ม โจ จิรายุส – เจ เจตริน วรรธนะสิน

ที่กอดคอกันมาขึ้นคอนเสิร์ต Joe & J The Brothers
พี่น้องร้องเพลงฮิต หยิบเอาเพลงเพราะ
โดนใจมาร่วมร้องโชว์ใหม่ให้แฟนๆ ได้ฟังกันอย่างเต็มอิ่ม

นอกจากนี้ ช้าง ยังจัดเซอร์ไพร้ส์ชุดใหญ่
ด้วยการนำ 6 หนุ่มนูโวกลับมารวมตัวอีกครั้ง

กับโชว์ชุดพิเศษ Nuvo Show Guests
ขนเพลงรักซึ้งอารมณ์มาร้องข่มลมหนาว
ให้ฟังแบบอบอุ่นหัวใจไปพร้อมๆ

กับแขกรับเชิญสุดพิเศษ
ส่วนคอเพลงแนวอินดี้ต้องไม่พลาด

มาขยับจังหวะดนตรีในสไตล์เรกเก้กับ
ศิลปินวง T-Bone และ จุ๋ย จุ๋ยส์

ที่พร้อมใจมาร้องเล่นเต้นโชว์ สกาจุ้น
เติมสีสันความมันส์กระหึ่มลานเบียร์ช้าง

แบบเต็มอิ่มกับดนตรีหลากหลายแนว
จากบรรดาศิลปินดังอีกคับคั่ง

ไม่ว่าจะเป็น ไมโคร, บอดี้ สแลม, แคลช,
บิ๊กแอส,แทททู คัลเลอร์, บอย พีชเมกเกอร์,

ไทเทเนียม, เดอะ ริชแมน ทอย, โปเตโต้, มายด์, สครับบ์, โจอี้ บอย
และสิงห์เหนือเสือใต้
พบกันได้ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคมนี้

ที่ลานหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์
และกระจายไปอีกหลายแห่งทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เช่น
เมเจอร์ รัชโยธิน, เซียร์ รังสิต, บิ๊กซี วงศ์สว่าง, บางใหญ่ ไนท์บาซาร์,
ยูดี บาซาร์ จ.อุดรธานี, เจเจ มาร์เก็ตและจังซีลอน จ.ภูเก็ต




“เป็นประธานาธิบดีก็ติดคุกได้”


อาหารสมอง

วีรกร ตรีเศศ

มติชนรายสัปดาห์

วันที่ 05 เมษายน พ.ศ. 2554


เมื่อ ปลายเดือนมีนาคม 2011
ศาลตัดสินจำคุกอดีตประธานาธิบดีอิสราเอลเป็นเวลา 7 ปี
ในข้อหาข่มขืนและละเมิดทางเพศหญิงหลายคน
คนอิสราเอลและชาวโลกเรียกได้ว่า ช็อกกับข่าวนี้
เพราะอิสราเอลเป็นประเทศแห่งความสนใจของคนทั่วโลก
และยังไม่เคยมีอดีตประธานาธิบดีที่ติดคุกเหมือนเกาหลีใต้
การตัดสินครั้งนี้แสดงให้เห็นความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายอิสราเอล

Moshe Katsav อดีตประธานาธิบดีผู้นี้เป็นยิวที่เกิดในอิหร่าน
อพยพมาอิสราเอลเมื่ออายุ 5 ขวบ ในปี ค.ศ.1951
ทั้งครอบครัวต้องอาศัยอยู่ในเต็นท์ของผู้อพยพเป็นเวลา 2 ปี
ครั้งหนึ่งโดนน้ำท่วมหนักจนเขาต้องเสียน้องชายวัย 2 เดือนไป
ครอบครัวมีชีวิตดีขึ้นเมื่อได้มาอยู่ในกระท่อมชั่วคราวอีก 5 ปี

Katsav เรียนจบมหาวิทยาลัยด้านศิลปะและเศรษฐศาสตร์
และเข้าเป็นสมาชิกพรรคฝ่ายขวา Likud Party
เมื่ออายุ 24 ปี ก็ได้รับเลือกเป็นนายกเทศมนตรีเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่ง
ต่อมาเมื่ออายุ 31 ปี ก็ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
และในเวลาต่อมาอีก 4 ปี ก็ได้เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงโยธาธิการ
ตามด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กระทรวงคมนาคม
และรองนายกรัฐมนตรีพร้อมกับเป็น
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยว ระหว่างปี 1996-1999

ในปี 2000 เขาพลิกล็อกชิงชัยได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีอิสราเอล
โดยการลงคะแนนเสียง ของสมาชิกรัฐสภาด้วยคะแนน 63 กับ 57
เอาชนะนาย Shimon Peres ตัวเก็งอดีตนายกรัฐมนตรีไปได้ 6 แต้ม
และได้คะแนนเกินกว่ากึ่งหนึ่งเพียง 2 คะแนน Katsav
ได้เป็นประธานาธิบดีคนแรกที่มีเทอมยาวถึง 7 ปี
และเป็นประธานาธิบดีจากพรรคฝ่ายขวาคนแรกอีกด้วยนับตั้งแต่ตั้งประเทศเมื่อปี 1948

ประธานาธิบดีอิสราเอลทำหน้าที่ผู้นำประเทศแต่ในนาม
ไม่มีอำนาจอะไรนอกเหนือจากพิจารณาลดโทษผู้ต้องคำพิพากษา
งานส่วนใหญ่คือต้อนรับแขกต่างประเทศ เป็นประธานในงานพิธีต่างๆ
สิ่งที่ประชาชนมีความทรงจำเกี่ยวกับเขาในช่วงเวลานี้ก็คือการทวงสมบัติของ
ยิวคืนจากสมเด็จพระสันตะปาปาที่วาติกัน
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเกือบ 2,000 ปีก่อน
และการนั่งติดกับประธานาธิบดี Khatami ของอิหร่าน
ในงานพระศพของสมเด็จพระสันตะปาปา John Paul II
ในปี 2005 Katsav เล่าในสาธารณะว่าเขาจับมือและ
คุยกับประธานาธิบดีอิหร่านด้วยภาษาเปอร์เซีย
ที่เขายังไม่ลืม แต่ต่อมาประธานาธิบดี Khatami
ออกมาปฏิเสธว่าไม่มีเหตุการณ์ดังกล่าว

อย่างไรก็ดี ในเวลาอีกไม่นานต่อมา
ประชาชนก็เริ่มจำเรื่องเกี่ยวกับตัวเขาได้แม่นยำขึ้นทุกที
เรื่องก็มีอยู่ว่าในเดือนกรกฎาคม ปี 2006
เขาปรารภกับอัยการสูงสุดของอิสราเอลว่าเขากำลังถูกแบล็กเมล์โดยลูกน้อง
ผู้หญิงของเขาคนหนึ่ง เมื่ออัยการสูงสุดไปสืบสวนต่อก็พบว่า
เรื่องมันเป็นไปในทางตรงกันข้าม
(ประธานาธิบดีกินปูนร้อนท้อง ต้องรีบออกมาพูดกันไว้ก่อนว่ากำลังถูกแบล็กเมล์)
แท้จริงแล้ว Katsav เป็นผู้ปลุกปล้ำข่มขืนลูกน้องสาว
และพบอีกว่าไม่ใช่เพียงรายเดียว
เขาได้ทำกับหญิงสาวถึง 10 คน

เรื่องบานปลายเมื่อตำรวจบุกค้นบ้าน ประธานาธิบดี
(ใช่ครับค้นบ้านประธานาธิบดี)
ในเดือนต่อมาพร้อมกับยึดคอมพิวเตอร์และเอกสารไป
สื่อเริ่มเรียกร้องให้เขาลาออก
ซึ่งใกล้เคียงกับวันที่รัฐมนตรียุติธรรมลาออกในคดีที่คล้ายคลึงกัน
คนอิสราเอลตกตะลึงว่าเกิดอะไรขึ้นกับชายผู้ทรงเกียรติ 2 คนนี้

ที่ จริงไม่ต้องตะลึงหรอก เพราะมนุษย์ผู้ชายถูกฝังชิพมาโดยธรรมชาติ
ให้เป็นผู้ผลิตลูก (procreate) เพื่อแพร่พันธุ์มนุษย์
ดังนั้น ผู้ชายกับการมีเซ็กซ์จึงเป็นของคู่กันมาชั่วฟ้าดินสลาย
ผู้ชายสามารถมีเซ็กซ์กับผู้หญิงได้ในทุกเวลา ทุกฤดูกาล
โดยไม่ต้องมีความรักแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ดี การศึกษา ความมีวุฒิภาวะ
ความรับผิดชอบ และจริยธรรมได้ขัดเกลาธรรมชาติ
เรื่องเพศของผู้ชายลงไป
แต่กระนั้นก็ตามบ่อยครั้งที่มันผุดขึ้นมาและถูกจับได้

Katsav ถูกสอบสวนโดยตำรวจหลายครั้งในข้อหาข่มขืน
และละเมิดทางเพศกับหญิงถึง 4 คน
คงมีคนสงสัยว่าขนาดระดับประธานาธิบดี
ไม่มีเส้นสายบ้างเชียวหรือในประเทศนี้ มีครับเพราะ
อัยการสั่งฟ้องหลังจากตกลงกับ Katsav
ผู้เป็นจำเลยว่าให้สารภาพและยอมจ่ายเงินชดเชย (plea bargaining)
โดยไม่เอาคดีข่มขืนเข้ามาพิจารณาด้วย

ผลที่เกิดขึ้นก็คือกลุ่มสิทธิ ผู้หญิงและสื่อต่างประโคมข่าวนี้
จนในที่สุดอัยการเปลี่ยนใจหันมาดำเนินคดีตามปกติ Katsav
ซึ่งลาออกก่อนวันที่จะครบเทอมการเป็นประธานาธิบดี 14 วัน
เพื่อให้สอดคล้องกับเงื่อนไขที่ได้ตกลงกับอัยการไว้ก่อนหน้าการสั่งฟ้อง
ดังกล่าวจึงถูกห้อยโตงเตง
หมดทั้งอำนาจจากการเป็นประธานาธิบดี
และหมดโอกาสที่จะลดข้อหาข่มขืนไป

ในเดือนมีนาคม 2009 Katsav ถูกฟ้องคดีข่มขืน 2 คดี
และละเมิดทางเพศอีกหลายคดี หลักฐานของโจทก์หนักแน่น
ดังนั้น ในปลายปี 2010 ผู้พิพากษา 3 คน เห็นเป็นเอกฉันท์ว่า
เขาผิดข้อหาดังกล่าวจริง รวมทั้งขัดขวางกระบวนการยุติธรรมและขู่บังคับพยานด้วย
ในเดือนมีนาคม 2011 ศาลจึงตัดสินจำคุกเขา 7 ปี
และให้จ่ายเงินชดเชยหญิงทั้งสองเป็นเงินก้อนใหญ่ด้วย

คดีประวัติ ศาสตร์นี้นับว่าโด่งดังในโลก
แต่คำตัดสินจำคุกประธานาธิบดีถูกบดบังด้วยข่าวแผ่นดินไหวและปัญหา
กัมมันตรังสีในญี่ปุ่น ตลอดจนข่าวลิเบียถูกบอมบ์
ในแง่มุมหนึ่งคดีนี้แสดงให้เห็นว่าประชาชนทุกคนเท่าเทียมกันด้วยกฎหมายอันศักดิ์สิทธิ์
และในอีกแง่มุมหนึ่งเป็นความน่าสังเวชใจที่เขาไม่สามารถควบคุมชิบที่ถูกฝัง
ไว้ในร่างกายโดยธรรมชาติเพื่อไม่ให้มนุษย์สูญพันธุ์ได้
เขามิได้ใช้จริยธรรม ความรู้สึกผิดชอบ
และวุฒิภาวะจากตำแหน่งที่สูงส่งเข้าข่มพลังจากธรรมชาตินั้น

เมื่อสมองมันอยู่ผิดที่และเคลื่อนลงต่ำอย่างไม่สมควร
ไม่ว่าชายใดในฐานะสังคมใด ก็อาจเกิดเป็นปัญหาเช่นนี้ขึ้นได้เสมอ




เครื่องเคียงอาหารสมอง :

กัมมันตรังสี อยู่ในทุกแห่งหนอย่างไม่มีวันหลีกเลี่ยงได้
ประเด็นอยู่ที่ปริมาณของการรับของมนุษย์ในช่วงเวลาหนึ่ง
ขอยกตัวอย่างของการได้รับกัมมันตรังสี
(1) กินกล้วย
(2) นอนติดกับมนุษย์คนอื่น
(3) เอ็กซเรย์ฟัน/ปอด/ร่างกาย/สมอง
(4) สูบบุหรี่
(5) อาศัยใกล้โรงงานผลิตไฟฟ้าด้วยถ่านหิน
(6) ท้องฟ้า
(7) พื้นดิน
(8) ร่างกายมนุษย์
(9) หินแกรนิตที่สร้างตึก
(10) นั่งเครื่องบิน ฯลฯ

แต่ ละสถานการณ์มีการปล่อยกัมมันตรังสีออกมาไม่เท่ากัน เช่น กล้วย 0.0001 mSv
(mSv หรือ millisievert คือหน่วยวัดกัมมันตรังสี)
เอ็กซเรย์ปอด ประมาณครั้งละ 6-18 mSv
นอนติดกับมนุษย์คนอื่น 8 ชั่วโมง 0.0005 mSv

จากท้องฟ้าได้รับ 0.24 mSv ต่อปี จากพื้นดิน 0.28 mSv ต่อปี
สูบบุหรี่วันละ 1.5 ซองต่อวัน ได้รับ 13-60 mSv ต่อปี

ปริมาณที่เกินแล้วอาจก่อให้เกิดมะเร็ง คือ 100 mSV ต่อปี
หรือ 100,000 microsievert ต่อปี (1 millisievert =1,000 microsievert)



น้ำจิ้มอาหารสมอง :

If you tell the truth you don"t have to remember anything.

(Mark Twain นักเขียนอเมริกันผู้ยิ่งใหญ่ ค.ศ.1835-1910)

ถ้าคุณพูดความจริง คุณก็ไม่จำเป็นต้องจำอะไรสักอย่าง

Apr 6, 2011

นักสังเกตุการณ์ความสุข "สราวุธ เฮ้งสวัสดิ์" แบรนด์น้ำหมึก "นิ้วกลม" แรงเอาเรื่อง !





วันที่ 06 เมษายน พ.ศ. 2554

http://teetwo.blogspot.com/2010/01/httproundfinger.html

หากจะพูดถึงนักเขียนรุ่นใหม่ที่มาแรงที่สุดในยุคนี้ก็คงจะหนีไม่พ้น "นิ้วกลม" กำลังเป็นแบรนด์นักเขียนที่อินเทรนด์แรงมากทีเดียว

"นิ้ว กลม" เป็นนามปากกาของ "สราวุธ เฮงสวัสดิ์" งานหลักของสราวุธคือเป็นผู้กำกับโฆษณา บริษัทไฟร์เดย์คลับ แต่หลังจากเวลางานเขาก็แปลงร่างเป็น "นิ้วกลม" มีงานเขียนคอลัมน์ถึงเดือนละ 8 ชิ้นด้วยกัน ทั้งในนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์, อะเดย์, จีเอ็ม และสุดสัปดาห์

หากจะไล่ชื่อผลงานหนังสือที่วางขายบนแผงของเขา ต้องบอกว่ามีมากมายจนลายตา อย่างเช่น "อิฐ" "โตเกียวไม่มีขา" "กัมพูชาพริบตาเดียว" "เนปาลประมาณสะดือ" "สมองไหวในฮ่องกง" "นั่งรถไฟไปตู้เย็น" "ปอกกล้วยในมหาสมุทร" "ฝนกล้วยให้เป็นเข็ม" "บุกคนสำคัญ" "สิ่งที่ค้นพบระหว่างนั่งเฉยเฉย" ส่วนที่ออกกับสำนักพิมพ์มติชนก็มี "ณ" "อาจารย์ในร้านคุกกี้" "บุกคนสำคัญ" "สิ่งมหัศจรรย์ธรรมดา" และเล่มล่าสุด "ความสุขโดยสังเกต"

แรงไม่แรง ดูกระแสจาก "สัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 39 และงานสัปดาห์หนังสือนานาชาติ ครั้งที่ 9" ซึ่งเป็นครั้งที่ผ่านมาก็ได้ โดยในบูทของหนังสือพิมพ์มติชน หนังสือของนิ้วกลมจำนวน 5 เล่ม ล้วนแล้วแต่ติดอันดับหนึ่งในสิบหนังสือขายดี อย่าง "ความสุขโดยสังเกต" (พิมพ์ครั้งที่ 2) เป็นหนังสือขายดีอันดับ 1, "สิ่งมหัศจรรย์ธรรมดา" (พิมพ์ครั้งที่ 7) ขายดีเป็นอันดับ 4, "อาจารย์ในร้านคุกกี้" (พิมพ์ครั้งที่ 11) ขายดีเป็นอันดับ 5, "บุกคนสำคัญ" (พิมพ์ครั้งที่ 5) ขายดีเป็นอันดับ 6 และ "ณ" (พิมพ์ครั้งที่ 8) ขายดีติดอันดับ 9



ยอดขายรวมทั้ง 5 เล่ม ในงานสัปดาห์หนังสือที่จัดในระยะเวลา 2 สัปดาห์ ก็ปาไปหมื่นกว่าเล่มแล้ว แรงเอาเรื่องจริง ๆ !

แถม วันไหนที่ "นิ้วกลม" ไปงานสัปดาห์หนังสือ เราอาจจะต้องเปลี่ยนไปเรียกเขาว่า "นิ้วเมื่อย" เพราะว่าต้องแจกลายเซ็น ตั้งแต่ตอนเที่ยง ถึงตอนงานเลิกประมาณ 2-3 ทุ่มทุกที

ถามว่า เหนื่อยไหม ? นิ้วกลมตอบด้วยโทนเสียงของคนอารมณ์ดีว่า

"ถ้า บอกว่าไม่เหนื่อย ก็ดูจะโกหกตัวเองไปครับ มันเหนื่อยอยู่แล้ว แต่ตอนเซ็นหนังสือ ผมรู้สึกดีมากเลยครับ คือมันจะรู้สึกทั้งเหนื่อยทั้งรู้สึกดีไปพร้อมกัน งานในบางลักษณะ ตอนที่เราจมอยู่กับมัน มีสมาธิกับมัน สารความสุขจะหลั่งออกมา เราจะรู้สึกสนุกมาก จนลืมความเหนื่อยไปเลย เหมือนอย่างนักฟุตบอล เวลา เตะบอลก็มุ่งมั่นที่จะทำประตูให้ได้ แต่พอกรรมการเป่านกหวีดหมดเวลา นักเตะบางคนจะรู้สึกเหนื่อยมากจนนอนในสนามเลย ผมเองก็เหมือนกัน ตอนเซ็นหนังสือรู้สึกดี แต่พอลุกจากเก้าอี้ที่นั่งในตอนเลิกงาน รู้สึกเหนื่อยขึ้นมาทันที (หัวเราะ)...

...บอกตามตรงว่า พอเห็นแฟนหนังสือของเราในงานสัปดาห์หนังสือแล้ว รู้สึกช็อกปนดีใจครับ ช็อกที่เยอะมาก ต่อแถวกันยาวเลย แต่ก็ดีใจครับที่มีคนสนใจงานของผมมากขนาดนี้ ทำให้เรามีกำลังใจ อยากจะเขียนให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ ผมสังเกตว่า ใน แถวที่รอลายเซ็น คนอ่านหนังสือเราส่วนใหญ่จะมีตั้งแต่เด็กมัธยมศึกษาไล่มาจนถึงกลุ่มคนที่ เริ่มทำงานใหม่ ๆ อายุก็ประมาณ 15 ปีไปจนถึง 30 ปี ก็เป็นคนรุ่นใหม่ครับ แต่จะสรุปว่า นี่คือกลุ่มคนอ่านเราร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ไม่ได้ เพราะผู้ใหญ่อาจไม่สะดวกที่จะมายืนรอคิว แต่ผมดีใจมาก หากมีผู้ใหญ่มา เข้าแถวรอเซ็นหนังสือ ดีใจที่ได้คุยกับพวกเขา"

นอกจากการพบปะแฟนหนังสือที่งานสัปดาห์หนังสือแล้ว ช่องทางในการติดต่อกับนิ้วกลมที่สำคัญก็ได้แก่ เฟซบุ๊กและทวิตเตอร์...

"ใน เฟซบุ๊กของผมที่ใช้ชื่อว่า "Roundfinger" ผมเอาไว้คุยกับแฟนหนังสือของผม ตอนนี้มีคนเข้ามาประมาณ 4 หมื่นกว่าคนแล้ว ส่วนในทวิตเตอร์ ผมจะมีอยู่ 2 บัญชี อันแรกคือ @RoundPoetry อันนี้ใช้เขียนบทกวีสั้น ตอนนี้ก็เอาสิ่งที่เขียนไว้ในนี้ รวมเล่มเป็นหนังสือ "สิ่งที่ค้นพบระหว่างนั่งเฉยเฉย" ส่วนอีกบัญชีหนึ่งชื่อว่า @roundfinger อันนี้เอาไว้พูดคุยทั่วไป ชวนคนที่ติดตามเราในทวิตเตอร์ทำนั่นนี่ อย่างเช่น ช่วยกันคิดคำขวัญท้ายรถ หรืออย่างเช่น ถ้าแม่ค้าหรือคนรอบตัวเรา เขาอยากจะทวีตบ้าง เขาจะทวีตว่าอะไร ? ก็เป็นที่แลกเปลี่ยนกันสนุก ๆ ตอนนี้ทั้งสองบัญชีมีคนฟอลโลว์ (ติดตาม) ทวีตของเราประมาณแอ็กเคานต์ละ 4 หมื่นคน ส่วนใหญ่จะเป็นคนกลุ่มเดียวกัน"

นิ้วกลมบอกว่า การที่หนังสือของเขาขายดี ไม่ใช่เพราะเขาคนเดียว เครดิตของความสำเร็จนี้ต้องมอบให้กับคนหลายคนที่ช่วยเหลือเขาด้วย

"ที่ เห็นว่าหนังสือขายดี ไม่ใช่เพราะจากการเขียนของผมคนเดียว ผมว่ามีหลายปัจจัย คล้ายกับที่พี่ตุ้ม หรือที่คนรู้จักกันในชื่อ "หนุ่มเมืองจันท์" เคยบอกไว้ว่า ตัวหนังสือของผมมันให้ความรู้สึกฟีลกู้ด เหมือนกับคนดูหนัง ก็อยากดูเพื่อความบันเทิง พอมาอ่านหนังสือเรา เขาอ่านแล้วรู้สึกดี แต่บางทีก็ได้แฟนหนังสือมาจากกลุ่มอื่นเหมือนกัน อย่างเช่น มีอยู่คนหนึ่งที่เข้ามาขอลายเซ็น เขาซื้องานของเราเป็นชุดเลย เพราะเขาฟอลโลว์เราในทวิตเตอร์ เห็นเราทวีตสนุกดี เวลาเขียนหนังสือก็น่าสนุกด้วย อีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ มีคนช่วยผมเยอะ อย่างทางสำนักพิมพ์มติชน พี่ตุ้มและทางสำนักพิมพ์ก็คอยช่วยเหลือ หรือสำนักพิมพ์อื่น อย่าง อะเดย์ อมรินทร์ วงกลม ระหว่างบรรทัด ที่ผมไปออกหนังสือด้วย เขาก็ช่วยเหลือเราเต็มที่ มันทำให้ผมมีกำลังใจในการเขียนงานไปเรื่อย ๆ"

ฟังนิ้วกลมบอกกล่าวแล้ว แฟนหนังสือหลายคนคงจะคิดเหมือนกันว่า กำลังเฝ้ารองานชิ้นใหม่ของนิ้วกลมเช่นเดียวกัน

............

นักสังเกตการณ์ความสุข

http://teetwo.blogspot.com/2011/03/blog-post_637.html

สิ่ง หนึ่งที่สังเกตเห็นในเรื่องเล่าของ"นิ้วกลม" ก็คือ กลิ่นของน้ำหมึกของนิ้วกลมเต็มด้วยแง่มุมของความสุขที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ประจำวันของเขา เรื่องเล่าของนิ้วกลมสามารถหาแง่มุมคิดบวกได้เสมอ ไม่ว่าตัวละครที่เขาเขียนถึงจะเป็นคนขายตั๋วที่โรงหนังไปจนถึงไมเคิล แจ๊กสัน นิ้วกลมเล่าว่า

"ผมชอบสังเกตสิ่งรอบตัว แล้วเก็บมาคิด สิ่งรอบตัวเรา หากสังเกตให้ดี มีความสุขแฝงอยู่ทั้งหมดนั่นแหละ เรื่องความสุข มันเป็น ธีม (theme) ใหญ่ของชีวิต ที่ทุกคนตามหากันเป็นเรื่องปกติ หลายคนอาจจะตามหาความสุขผ่านศาสนา หรืออาจจะผ่านของกิน เพียงแต่ว่า เรามีสติกับมันหรือไม่ อาจจะฟังดูเป็นพุทธมาก แต่อย่างเวลากินลูกชิ้น หรือรสชาติมันเหมือนเดิม แต่หากลองเปลี่ยนวิธีกิน จากการเคี้ยวเร็ว ๆ เป็นค่อย ๆ เคี้ยวเพื่อสัมผัสความอร่อย อาจจะทำให้เรามีความสุขมากขึ้นจากการกินลูกชิ้นก็ได้...

...เรื่อง บางเรื่อง เวลาเจอสถานการณ์จริง ตอนแรกอาจจะไม่สนุก อาจจะทุกข์ด้วยซ้ำ แต่พอผ่านเหตุการณ์นั้นมา เราก็อาจจะเห็นวิธีคิดอีกแบบหนึ่ง อย่างเช่น มีอยู่วันหนึ่งที่ผมรู้สึกแย่มาก ผมขับรถยนต์แล้วเกิดอุบัติเหตุ ผมไม่เป็นอะไร แต่รู้สึกว่ามันเป็นวันที่ยุ่งเหยิงมาก พ่อแม่ก็มาช่วยดู เรียกประกันภัยให้ พอกลับมาคิดอีกที มุมอีกมุมหนึ่ง มันก็ทำให้เราเห็นความอบอุ่นของครอบครัวที่มาช่วยเหลือเราในวันนั้น"

Apr 1, 2011

๒ เมษายน ๒๕๕๔



ทรงพระเจริญ





ดร.สุเมธ เล่าวิธีทรงงานของ"สมเด็จพระเทพฯ" ไขเบื้องหลังแบรนด์"ภัทรพัฒน์"

มติชน
วันที่ 01 เมษายน พ.ศ. 2554


แม้”ภัทร พัฒน์“(PAT PAT) จะเป็นผลิตภัณฑ์
ที่เพิ่งเกิดได้แค่ 2 ปีกว่า

แต่ถือว่าเป็นแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง

ทำให้มูลนิธิชัยพัฒนาผู้รับผิดชอบ ที่มี
”ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล” เป็นเลขาธิการ

เป็นปลื้มเพราะได้ช่วยชาวบ้านให้มีรายได้เพิ่มขึ้น

อันเป็นไปตามพระราชประสงค์ของ
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี

องค์ประธานกรรมการมูลนิธิชัยพัฒนา
ซึ่งพระองค์ท่
านพระราชทานชื่อ”ภัทรพัฒน์”
ดร.สุเมธ ย้อนถึงสาเหตุที่
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี
ทรง
ตั้งแบรนด์”ภัทรพัฒน์“ว่า
เนื่อง จากสินค้าของชาวบ้านมีจุดอ่อน 2 – 3 ประการ
คือเมื่อผลิตออกมาแล้วมีปัญหาตลาด
อีกทั้งมาตรฐานอะไรต่างๆ ก็ไม่มีการควบคุม ประเด็นที่ 2

ที่เป็นจุดอ่อนคือเรื่องแพคเกจจิ้ง หีบห่ออาจจะไม่ดึงดูดนัก
และยุคนี้เรื่องแบรนเป็นเรื่องสำคัญ สินค้าดีไม่ดีพอแบรนด์ดี ๆ
ก็อาจจะไปได้ก็ได้
ฉะนั้นเลยเข้าไปแก้ปัญหาตรงนี้ให้กับชาวบ้าน

พูดง่าย ๆ ทางมูลนิธิชัยพัฒนาเป็นตัวกลางแทนชาวบ้าน
และแทนที่จะเงินเข้ากระเป๋าก็นำเงินส่วนนั้น
ให้กับชาวบ้านที่ได้มูลค่าเพิ่มขึ้นไปอีก

ที่ผ่านมา สินค้าของ”ภัทรพัฒน์“ขายดีทุกอย่างไม่ว่าจะเป็น
เสื้อยืด สินค้าแปรรูปทางการเกษตร ผลิตภัณฑ์ผ้า
หรือเครื่องจักรสาน ฯลฯ
บางอย่างผลิตไม่ทันความต้องการบของตลาด
เพราะเป็นวานแฮนด์เมดที่ต้องใช้เวลา
ซึ่งตอนนี้ข้าวของ”ภัทรพัฒน์“มีวางขายที่ห้างบิ๊กซีทุกสาขา

สมเด็จพระเทพฯทรงอยากให้ภัทรพัฒน์ทำอีคอมเมิร์ซ
เราก็ต้องพัฒนาต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ
ตอนนี้เราทำอยู่แต่ยังไม่เต็มรูปแบบ
เพราะเจ้าหน้าที่มูลนิธิน้อยมาก งานเต็มมือตลอด”
ดร.สุเมธบอกและว่า
แนวทางการพัฒนาภัทรพัฒน์เป็นรูปแบบง่าย ๆ

เพราะว่ามองสิ่งที่น่าสนใจไม่ใช่รูปแบบของร้าน
เนื่องจากรูปแบบร้านอาจจะมี
ภาระในเรื่องของการบริหารเรื่องของการจัดการมากขึ้น
ดังนั้นต่อไปอาจจะคิดให้มีรถเข็น เล็ก ๆ
มีกระจุกกระจิกทุกอย่างอยู่บนนั้น
ไปตั้งไว้ที่โน่นที่นี่แล้วแต่ใครหน่วยงาน
หรือองค์กรไหนจะเปิดโอกาสให้ภัทร พัฒน์ไปขาย

ใน ฐานะที่ดร.สุเมธเป็นผู้หนึ่งที่ติดตาม
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

ในวโรกาสที่เสด็จไปทรงงานตามที่ต่างๆ นานหลายสิบปี
เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนายังทึ่งใน
พระมานะอดทนของและความตั้งพระทัยของ พระองค์ท่าน

“คำ ถามที่เราถามกันเองเหมือนกันว่าสมเด็จพระเทพฯ
ทรงเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน เพราะเราเองก็เหนื่อย
คราวก่อนไปเชียงรายภาษาชาวบ้านเรียกหืดขึ้นคอแล้วไปบนภูเขา
พระองค์ท่านก็เหนื่อยไม่ใช่ไม่เหนื่อย
แต่ว่าสิ่งที่ทรงสนพระทัยงานที่จะต้องให้เสร็จ
แล้วชาวบ้านรอให้ช่วยเหลืออยู่แล้ว
ด้วยหน้าที่ด้วยเจตนารมย์อย่างแรงกล้า
เพราะไม่มีอะไรบังคับพระองค์ท่าน

ท่านอยากจะหยุดเมื่อไรอยากจะพักเมื่อไหร่ก็เป็นอิสระ
แต่ไม่ทรงเคยเลย มีแต่เติมงานขึ้นมา
เวลาช่องว่างบางทีเราหยุดถอนหายใจ
มีช่องว่างตรงนี้ พระองค์ท่านจะได้ทรงพัก
แต่พอว่างก็ทรงเติมงานเข้ามา
ทรงหาอะไรมาเติม
คือจะทรงทำให้มีงานอยู่ตลอดเวลา
ซึ่งผมว่าน่าจะเป็นแบบอย่างให้กับพวกเรา

แท้ที่จริงสิ่งที่พระองค์ท่านทำให้เรา ทำให้ประเทศชาติในส่วนรวมดีขึ้น
เพราะเหตุไฉนเราจะอยู่เฉย ๆ
ธรรมชาติของพระองค์ท่านก็เป็นกันเองไม่ถือพระองค์
และสนพระทัยทุกเรื่อง และทรงตามเรื่องตลอด
ไม่ลืม ภาพที่เราเห็นพระองค์ท่านจะทรงบันทึกตลอดจำ
ซึ่งถ้าเราไม่รักอะไรเราก็ไม่จำ แต่พระองค์ท่านจำได้หมดเลย
ชื่อคนชื่อสถานที่ แสดงว่าพระทัยฝังอยู่ตรงนั้น
ใฝ่พระทัยตามติด ยากที่จะหาใครปฏิบัติอย่างพระองค์ท่านได้

ที่ผ่านมาใครทำงานผิดไปช้าไปพลาดไปก็ทรงดุบ้าง
เป็นเรื่องธรรมดาแต่ก็ไม่ได้ กริ้ว
อาจจะพระอารมณ์ขึ้นหน่อยหนึ่งแล้วก็ว่ากันใหม่
พระองค์ท่านไม่เคยเอาอะไรจากใคร ทรงให้ตลอด
เป็นธรรมชาติของพระองค์ท่าน
ด้วยเหตุนี้จึงทรงเป็นที่รักของประชาชนทั่วไป
แล้วบารมีอันนี้ก็ตกลงมาถึงพวกเราด้วย
ไปที่ไหนชาวบ้านชาวช่องก็ต้อนรับขับสู้

ผมอยู่ใกล้พระองค์ท่านก็ พลอยซึมซับไปด้วย
เราทำตามก็เป็นสิ่งที่ดี และเป็นที่รักใคร่ของผู้คน

พระองค์ ท่านสนใจทุกอย่างเกษตร วิทยาศาสตร์ สุดจะเจียรนัย
ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจเยอะมาก
ผมตามเสด็จมาตั้งแต่ปี 2524 รวม 30 -31 ปี
ก็สนุกดีได้เรียนรู้เยอะ
พระองค์ท่านมีพระอารมณ์ขันตลอดเวลา
ทรงงานเป็นธรรมชาติ”

คิดถึงคุณหมอสงวน


มติชน
นายแพทย์วิชัย โชควิวัฒน
วันที่ 01 เมษายน พ.ศ. 2554

http://teetwo.blogspot.com/2009/02/blog-post_05.html


เผลอแพล็บเดียว คุณหมอสงวน นิตยารัมภ์พงศ์
ถึงแก่กรรมไปกว่าสามปีแล้ว


คุณ หมอสงวน เสียชีวิตด้วยวัยเพียง 55 ปี เมื่อวันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2551
ได้อุทิศร่างกายเพื่อให้นักศึกษาแพทย์ที่คณะแพทยศาสตร์ รามาธิบดี
ใช้ศึกษากายวิภาคศาสตร์
และกำหนดวันพระราชทานเพลิงศพในวันเสาร์ที่ 2 เมษายน นี้
ที่วัดชลประทานรังสฤษฏ์


ผลงานชิ้นสำคัญที่คุณหมอสงวนได้สร้าง ไว้ให้แก่ประชาชนชาวไทย
คือการผลักดันและพัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าจนสำเร็จ
ส่งผลอันเป็นคุณูปการแก่สังคมไทยคือ แม้โดยธรรมชาติทุกคนจะต้องเจ็บไข้ได้ป่วย
และค่ารักษาพยาบาลก็แพงขึ้นเรื่อยๆ
แต่ประชาชนคนไทยทุกคนไม่ต้องห่วงพะวงเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลแล้ว

แต่ ก่อน มีประชาชนจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะที่ยากจน
เมื่อเจ็บป่วย นอกจากต้องทุกข์ทรมานจากโรคภัยไข้เจ็บแล้ว
ยังไม่มีหลักประกันว่าจะมีเงินพอเป็นค่ารักษา มีคนจำนวนไม่น้อยต้องขายทรัพย์สิน เช่น
วัว ควาย ไร่ นา บางคนต้องขายแม้แต่ลูกสาว
เพื่อแลกเงินมาเป็นค่ารักษาตัว ทุกปีจะมีประชาชนถึงหนึ่งในสาม
ที่ต้องสิ้นเนื้อประดาตัว เพราะป่วยเป็นโรคร้าย
และต้องใช้เงินค่ารักษาราคาแพง แต่บัดนี้ปัญหาดังกล่าวไม่ควรจะเกิดขึ้นในสังคมไทยแล้ว

ในการผลัก ดันระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า
จนเกิดเป็นพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 นั้น
มีงานสำคัญสองอย่างที่คุณหมอสงวนยังผลักดันไม่สำเร็จ เรื่องแรกคือ การรวม 3 กองทุน
ได้แก่ สวัสดิการข้าราชการ ประกันสังคม และบัตรทอง เข้าด้วยกัน
เพื่อให้เกิดความเท่าเทียม (Equity)
คุณภาพ (Quality)
และประสิทธิภาพ (Efficiency)
และเรื่องที่สองคือ การสร้างหลักประกัน
เพื่อคุ้มครองความเสียหายของผู้รับบริการให้สมบูรณ์ คือ
มีการจ่ายชดเชยค่าเสียหายที่มากพอเพียง และครอบคลุมประชาชนคนไทยทุกคน


ในเรื่องแรก คุณหมอสงวนและคณะสามารถผลักดันได้เพียงกำหนด
เป็นเจตนารมณ์ไว้อย่างชัดเจนใน กฏหมายดังกล่าว
และเปิดทางให้สามารถดำเนินการได้ในอนาคตโดยเพียงออกเป็นพระราชกฤษฎีกาเท่า นั้น

อันที่จริง หลักการเรื่องให้ประชาชนมีสิทธิในทั้ง 3 กองทุน
มีความเท่าเทียมกัน โดยได้รับบริการที่มีคุณภาพและมีระบบการทำงานที่มีประสิทธิภาพ
เป็นหลักการพื้นฐานในระบอบประชาธิปไตย
และเป็นหลักการที่ส่งเสริมระบบคุณธรรมจริยธรรมของวิชาชีพทั้ง
แพทย์ พยาบาล และบุคลากรอื่น ให้บริการด้วย “หัวใจของความเป็นมนุษย์”
(Humanized health care)
ตามอุดมการณ์แห่งวิชาชีพ ที่กำหนดไว้ชัดเจน
ในข้อบังคับจริยธรรมแห่งวิชาชีพของทุกวิชาชีพว่า

จะให้การดูแลรักษาทุกคนอย่างเท่าเทียมกันโดยไม่เลือกฐานะ
เชื้อชาติ ศาสนา ความเชื่อทางการเมืองหรืออื่นๆ แต่ ณ ปัจจุบัน
ทุกคนต้องพากันเหยียบย่ำจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพดังกล่าว
ด้วยการถูกกำหนดให้ถาม คนไข้เป็นคำถามแรกๆ ว่า “ใช้สิทธิอะไร”

ตอนที่ผลักดันเรื่องนี้ใน ขั้นตอนการออกกฎหมาย
ผู้มีอำนาจหน้าที่ในเรื่องสวัสดิการข้าราชการและประกันสังคมออกโรงคัดค้าน
และขัดขวางอย่างเต็มที่จนไม่สามารถสร้างความเท่าเทียมได้สำเร็จ
แต่คุณหมอสงวนมิได้ยอมแพ้

และได้พัฒนางานในส่วนของตนคือระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าหรือบัตรทอง
จนสามารถให้สิทธิประโยชน์แซงหน้าทั้งสองกองทุน
โดยเฉพาะคือระบบประกันสังคม จนบัดนี้เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า
ประกันสังคม มีปัญหารุนแรงทั้งเรื่องความไม่เป็นธรรมที่เป็นกองทุนเดียวที่บังคับเก็บ
เงินค่าประกันสุขภาพจากผู้ประกันตน แต่ให้สิทธิประโยชน์น้อยกว่าบัตรทอง
และใช้เงินแพงกว่าหรือประสิทธิภาพต่ำกว่ามากด้วย

ส่วนระบบสวัสดิการ ข้าราชการ ก็มีปัญหาเรื่องใช้เงินแพงลิบลิ่ว
ขณะที่สิทธิประโยชน์หลายอย่างน้อยกว่าบัตรทอง และยังมีเรื่องการทุจริต
รวมทั้งปัญหาแพทย์บางคนไร้จรรยาบรรณที่รับสินบลทางตรงหรือทางอ้อมจากการสั่ง
ตรวจรักษา หรือออกมาให้ความเห็นสนับสนุนการจ่ายยา
หรืออุปกรณ์ราคาแพงหรือที่ไม่มี ประโยชน์หรือไม่คุ้มค่าอีกด้วย

เป็นภาระที่คนที่อยู่ข้างหลังคือพวก เรา จะต้องช่วยกันแก้ไขต่อไป

สำหรับ เรื่องการคุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข
ซึ่งปัจจุบันมาตรา 41 แห่ง พรบ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545
ให้ความคุ้มครอง เฉพาะผู้มีสิทธิ์บัตรทอง ไม่ครอบคลุมประกันสังคมและข้าราชการ
และจ่ายเฉพาะ “ค่าเสียหายเบื้องต้น” เท่านั้น
ภาคประชาชนได้มีการเสนอกฎหมายขยายสิทธิ์ครอบคลุมคนไทยทุกคน
และให้จ่าย “ค่าชดเชยเบื้องต้น”

แก่ผู้เสียหายด้วย กฏหมายดังกล่าวรัฐบาลก็เห็นชอบ
และ สส.หลายคนก็เสนอร่างกฏหมาย

เข้าประกบจ่อรอเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทน ราษฎรแล้ว
น่าเสียดายที่รัฐบาลไม่มีความกล้าหาญเพียงพอที่จะผลักดันจนสำเร็จ
ทั้งๆ ที่ประกาศเป็นนโยบายอย่างชัดเจนแล้ว

วันเสาร์ที่ 2 เมษายน นี้ สรีระของคุณหมอสงวนก็จะกลายเป็นเถ้าถ่านแล้ว
และไม่นานผู้คนส่วนใหญ่ก็จะลืมไปแล้วว่า คุณหมอสงวนคือใคร
ทำอะไรไว้ให้สังคมไทยบ้าง
แต่หวังว่าดวงวิญญาณของคุณหมอสงวน
จะยังอยู่ในหัวใจของคนบางคน ตามบทเพลงแสงดาวแห่งศรัทธา
ที่เป็นเพลงในดวงใจของคุณหมอสงวน ที่ว่า

ดาวศรัทธายังส่อง แสงเบื้องบน

ปลุกหัวใจปลุกคน อยู่มิวาย