- http://teetwo.blogspot.com/2007/05/blog-post_23.html
- http://teetwo.blogspot.com/2009/11/blog-post_16.html
- http://teetwo.blogspot.com/2008/11/blog-post_24.html
- http://teetwo.blogspot.com/2010/03/blog-post_11.html
เหนือสิ่งอื่นใด
- เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (ร.๙) เนื่องในโอกาสฉลองสิริราชสมบัติครบ 70 ปี 9 มิถุนายน 2559
- พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (ร.๙) ณ วันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๔๙
- The 60th Anniversary Celebrations of his Majesty King Bhumibol Adulyadej's Accession to the Throne
- 63 ปี "พระเจ้าอยู่หัว ร.๙" ผู้นำที่ไม่เหมือนใครในโลก นำพาประเทศ "อยู่ดีมีสุข"
- Supreme Artist
- เศรษฐกิจพอเพียง : Sufficiency Economy พ.ศ. ๒๕๖๓
- ทศพิธราชธรรม ๑
- ทศพิธราชธรรม ๒
- ๑๐๐ ปี สวรรคตกาลสมเด็จพระปิยมหาราช
- ร.๙ ทรงห่วงเหตุการณ์ประเทศเพื่อนบ้าน
- พระบรมราโชวาท ร.๙
- "พูดแล้วต้องทํา" พระบรมราโชวาท "ในหลวง ร.๙" ทรงเตือน-ครม.
- ร. ๙ ทรงพระราชทานแก่พลเอกสุจินดา คราประยูร และพลตรีจำลอง ศรีเมือง
- ร.๙ ทรงรับสั่งรมต.ถวายสัตย์ฯ
- ร.๙ ทรงมีพระบรมราโชวาทแก่ตุลาการทหาร
- พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร.9 ทรงป้องกันน้ำท่วม ปีพุทธศักราช ๒๕๓๘
- “ในหลวง ร.๙” ทรงฝากองคมนตรีปลูกฝังคนไทยเอื้อเฟื้อ นึกถึงส่วนรวม
- “ในหลวง ร.๙” เสด็จฯ ทอดพระเนตรดนตรีที่ศิริราช
- "ในหลวง ร.๙" เสด็จเปิดประตูระบายน้ำคลองลัดโพธิ์-สะพานภูมิพล 1,2
- ในหลวง ร. ๙ เสด็จฯทอดพระเนตรคอนเสิร์ตแจ๊ส
- ๕ ธันวาคม ๒๕๕๒
- น้อมรำลึกพระมหากรุณาธิคุณ"ในหลวง ร.๙"กับ"ภูมิสารสนเทศ"
- ในหลวง ร.๙ ทรงพระราชทาน ส.ค.ส.2554 แก่พสกนิกรชาวไทย
- 'ในหลวง ร.๙' ทรงมีพระราชดำรัสให้คนไทย ทำหน้าที่ ไม่ประมาท มีสติ : ๕ ธันวาคม ๒๕๕๓
- วันฉัตรมงคล (ร.๙)
- ๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๙
- พระราชดำรัสสุดท้าย ในหลวง รัชกาลที่ 9
- ๑๒ สิงหา วันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
- "สมเด็จย่า"
- เจ้านายเล็กๆ ยุวกษัตริย์
- อาลัยพระพี่นางฯ
- ในหลวงรัชกาลที่ ๙ โปรดให้นายโคฟี อันนัน เฝ้าถวายรางวัลฯ (๒๕ พ.ค.๔๙)
- "พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร" มีพระราชดำรัสเกี่ยวกับการวิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์
- พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล
- ศิลปาชีพ : ประจักษ์พยานของความรัก ผูกพัน และห่วงใย
- เพลงสรรเสริญพระบารมี
- ชีวิตที่หมุนไปไม่หยุดยั้ง...พระอารมณ์ขันของพระเทพฯ
- ถ้าเดินเรื่อยไปย่อมถึงปลายทาง นิทรรศการภาพถ่ายฝีพระหัตถ์สมเด็จพระเทพรัตนฯ
- สมเด็จพระเทพฯ กับการส่งเสริมไอที เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
- สมเด็จพระเทพฯ สนพระทัยเมล็ดพันธุ์ช่วยหล่อเลี้ยงประชากร
- เครือข่ายกาญจนาภิเษก
- สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
- ทรงพระเจริญ
- ของขวัญจากก้อนดิน
- ต้นไม้ของพ่อ
- รูปที่มีทุกบ้าน
- นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ
- ติโต
- ไม่มีวันไหนที่ไม่คิดถึงในหลวงรัชกาลที่ ๙
- พระราชนิพนธ์ พระมหาชนก ที่ทุกคนพึงอ่าน
- โครงการแก้มลิง
- ทำไมเรารัก "พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร"
Custom Search
May 31, 2010
ลูกบ้าเที่ยวล่าสุด'โน้ส อุดม VS ตัน โออิชิ'
ภาพประกอบ : ชัย ราชวัตร
ดุลยปวีณ กรณฑ์แสง
วันที่ 4 มิถุนายน 2553
หลายคนเห็น โน้ส อุดม แต้พานิช
ยืนจับไมค์คอยยิงมุก
ทำหน้าที่เป็นโฆษก ศอช.
(ศูนย์อำนวยความสะดวกพื้นที่ในการช้อปปิ้ง)
ทองหล่อซอย 10
ให้ร้านค้าที่ได้รับความเดือดร้อน
จากเหตุการณ์วุ่นวายมาขายของฟรี
จนผู้คนแห่ไปช้อปกันเทน้ำเทท่า
แต่ น้อยคนที่จะรู้ว่าเบื้องหลังโปรเจค
"ซับน้ำตา"
ที่ว่ามีเจ้าพ่อเดี่ยวไมโครโฟนคนนี้เป็นตัวตั้งตัวตีต้นคิด
และน้อยคนที่จะล่วงรู้ถึง "ภาคขยาย"
มิตรภาพเรื่องยาวระหว่างคู่ซี้ต่างขั้ว
เมื่อนักแหกคอกตัวพ่อ 2 คน
โคจรมาปะทะสังสรรค์กัน
กลายมาเป็นลูกบ้าสนั่นเมือง
นี่ถ้าโควตาหัวใจยังว่าง ป่านนี้ โน้ส อุดม "พี่สนิท"
ของ "กิ๊ฟ"
วริษา ลูกสาวตัน โออิชิ มีหวังอาจโดนขาเมาท์ชงประเด็น
"ว่าที่ลูกเขย" เพราะตั้งแต่ทอล์คโชว์ "เดี่ยว 8"
เรื่องของป๊ะป๋าตันกับน้องกิ๊ฟก็อยู่ในสคริปท์ที่
โน้ส อุดม
หยิบมาเล่าถึงช่วงหนึ่งเต็มๆ ชนิดไม่เก็บอาการปลื้ม
"คุณตันมาได้ใจผมตอนงานเดี่ยว 8
ถ้าใครเคยดูคงจำได้
ตอนนั้น
ผมเปิดแสดงไปแล้วหลายรอบ
แต่มานั่งกินข้าวที่นี่เห็นไฟสวยจังอยากขอมาแขวน
ในงานเดี่ยวครั้งหน้า แกบอกไม่ต้องครั้งหน้าเอาครั้งนี้เลย
รุ่งขึ้นปลดไฟจากต้นไม้ขนมาส่งให้ถึงหน้างาน"
โน้ส
เล่าถึงคาแรคเตอร์ความเป็นคนใจถึง
พูดจริง ทำจริง ของตัน
จนทำให้มิตรภาพของคนทั้งคู่ก่อตัวขึ้นเรื่อยๆ
หลังจากพบกันครั้งแรกที่เชียงใหม่
ตัน พาน้องกิ๊ฟ
ลูกสาวที่เรียน
จบด้านศิลปะจากเซนต์มาร์ติน ประเทศอังกฤษ
มานั่งคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
เพราะลูกสาวไฟแรงอยากเปิด Art Center
ที่เชียงใหม่
ความชอบศิลปะเหมือนกัน มาสุมหัววาดรูปด้วยกันบ่อยๆ
กลายมาเป็นมิตรภาพดีๆ ระหว่างโน้สกับกิ๊ฟเพื่อนรุ่นน้อง
จนขยายวงไปถึงป๊ะป๋าตัน และต่อไปถึงกลุ่มเพื่อนสาวในแก๊งของโน้ส
อย่าง ปลา-อัจฉรา บุรารักษ์, ตุ๊กตา-อินทิรา แดงจำรูญ
จนกระทั่ง 3 สาวเพิ่งกอดคอมาเป็นหุ้นส่วน
เปิดกิจการร้านส้มตำแซ่บอีลี่ด้วยกันที่อารีน่า ทองหล่อ
"พักหลังคุณตันชอบเรียกผมไปกินข้าวด้วยกัน
ซึ่งผมจะดีใจทุกครั้ง
หนึ่ง..เพราะได้กินของดี (หัวเราะ)
สอง..เหมือนได้ไปนั่งเรียนเลคเชอร์กับคุณตัน
บางครั้งคุยกันเขาสอนผมเรื่องการบริหารการเงิน
ความมั่นคงในอาชีพของผม
การใช้คน
ข้อห้ามสำหรับการทำธุรกิจ ซึ่งเรื่องตัวเลขกับผมเนี่ย
ไม่เคยสนใจมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว
แต่พอมาฟังแล้วเหมือนได้เลคเชอร์ดีๆ กลับบ้าน"
นิสัยเหมือนกันอย่างหนึ่งที่รู้สึก "คลิก" มาก
โน้ส หัวเราะบอกว่า
น่าจะเป็น นิสัย "ลูกบ้า"
ชอบคิดทำอะไรแผลงๆ
เหมือนมีเคมีเพี้ยนๆตรงกันบางอย่าง
"อย่างคุณตันเล่าว่าจะทำห้องคาราโอเกะ
จะทำเป็นห้องอะไรดี
ผมบอกร้องห้องคาราโอเกะดีๆ
นั่งเบาะหนังหรูๆ คนเขาเบื่อกันแล้ว
ทำเป็นห้องคุกดีกว่า ถ้าเป็นคนอื่นคงบอกมันจะดีเหรอ
แต่คุณตันบอกเอา ! เอามา 2 ห้องเลย"
คาราโอเกะหลุดโลกที่ว่ากำลังจะเปิดให้บริการ
บนอาคารเดโม่บนพื้นที่โครงการอารีน่า ทองหล่อ
เป็นตึกอพาร์ตเมนต์เก่าๆ โทรมๆ ที่กำลังจะทุบทิ้ง
"ถ้าเป็นคนอื่นคงทาสีใหม่ แต่คุณตันบอก
ทำให้มันแปลกไม่เหมือนใครไปเลย
ปล่อยให้มันดูเก่าๆ
อย่างนั้นแต่จะทำให้ข้างในใหม่ให้วิ้งๆ "
ทั้งคู่ยังเคยมีวีรกรรมมันส์ๆ ร่วมกัน
คุณตันบอกว่าคุณห้ามซื้อที่นะจนกว่าผมจะอนุญาต
เพราะคุณดูที่ไม่เป็นหรอก พร้อมกับเล่ามหากาพย์ให้ฟัง
เรื่องที่ดินแต่ละแปลงได้มายังไง สอนผมว่า
บางคนชอบคิดว่าซื้อที่ดินแล้วจะเพิ่มมูลค่า
ที่ดินบางที่มูลค่ามันจะอยู่อย่างนั้นไปเป็นสิบๆ ปี
แต่บางที่เนี่ยแค่สองปีนะมันทบไปอีกเท่าตัว
วันนั้นนั่งคุยกันถึงตีสองจะแยกย้ายกันกลับ
เขารู้ว่าผมอยากได้ที่ผืนนั้นจนตัวสั่น
เลยชวนไปดูที่ด้วยกันคืนนั้น
นั่งรถตู้ไปด้วยกัน
เอาลูกสาวขับรถตามไปด้วย
เดินกันแบบมืดๆ ลุยหญ้า
หมาเห่าทั้งซอย
กลับบ้านกันตีสาม หาวกันหวอดๆ"
เพื่อนนักธุรกิจใหญ่ต่างรุ่นคนนี้เลยได้ใจโน้สอุดมไปเต็มๆ
เขายังรู้สึกว่าตันเป็นเหมือน "อาจารย์"
ที่ช่วยสอนประสบการณ์ชีวิตหลายๆ
เรื่องผ่านบทสนทนาในโต๊ะกินข้าว วันไหนถ้าว่างๆ
โน้สจะขอนั่งรถไปกับตันด้วย
จบ ม.3
แต่รวยเป็นหมื่นล้านได้ แสดงว่าระบบความคิด
ต้องมีอะไรสักอย่างที่น่าสนใจ
เขาสอนผมหลายเรื่อง
จนคิดว่าอยากทำเดี่ยวไมโครโฟนให้
ผมอยากเป็นโปรดิวเซอร์ให้
อยากให้คนอื่นได้ยินในสิ่งที่ผมได้ยิน
ประสบการณ์ตรงของคนคนหนึ่งที่เรียนรู้จาก
ความล้มเหลว
เล่าแบบบ้านๆ ให้คนบ้านๆ
อย่างเราฟังแล้วเข้าใจ
เขามีแนวคิดยังไง บริหารคน
บริหารลูกน้องยังไง "
ตัน ตอบโอเค
เพราะกำลังมีความคิด
อยากจัดงานการกุศลสักงานหาเงินไป
สร้างโรงเรียนต้นแบบที่
อำเภอบ่อทอง จังหวัดชลบุรี บ้านเกิด
โน้ส เล่าว่า
คิดคอนเซปต์เดี่ยวครั้งแรกในชีวิตของ ตัน โออิชิ
ไว้แล้วว่า
"เหมาเจอตัน"
เพราะรู้สึกว่าตันเป็นคนที่กล้าลุกขึ้นมาปฏิวัติอะไร
บางอย่างในวงการธุรกิจ การทำตลาดของโออิชิมันดูบ้านๆ
แต่กระชากความสนใจ อย่างไปแต่ตัวทัวร์ยกแก๊ง
เด็กในออฟฟิศผมทุกคนกินโออิชิเก็บฝามาชิงโชคกันเป็นล่ำเป็นสัน
เดิมโชว์นี้ตั้งใจจะจัดเดือนพฤศจิกายนนี้ที่โรงหนังสกาล่า
แต่ตอนนี้โปรดิวเซอร์โน้สบอกว่า
อาจต้องรอดูจังหวะและบรรยากาศความสุขมวลรวมในประเทศก่อน
ใครอยากเห็นลูกบ้าเที่ยวล่าสุดบนเวทีของ
ตัน โออิชิ
กรุณาอดใจรอ
แต่ถ้าอยากเห็นไอเดียหลุดโลกห้องคาราโอเกะติดคุก
ขอเชิญไปชมไปช้อปกันได้ที่ อารีน่า ทองหล่อซอย 10
ไม่ว่าโครงการ ศอช.(ศูนย์อำนวยความสะดวกพื้นที่ในการช้อปปิ้ง)
ของ ตัน ภาสกรนที
ที่ลุกขึ้นจัดงานก่อนใครแบบ "เหนือเมฆ"
จะเกิดขึ้นจากวิธีคิดแบบ "การตลาด" เป็นตัวตั้ง
หรือมาจาก "น้ำใสใจจริง"
ที่อยากช่วยบรรดาปัญหาความเดือดร้อน
แต่ผลลัพธ์แบบวิน-วิน
ไม่ว่าจะมองในมุมสังคมหรือธุรกิจ
นั่นก็เพียงพอแล้วที่ทำให้
ตัน โออิชิ
พร้อมกับลูกสาวได้ใจผู้คนในสังคมไปไม่น้อย
ดีกว่าคนที่เอาแต่วิจารณ์หรือไม่เคยทำอะไรเพื่อสังคม
" สมมติถ้าใครจะมองคุณตันในแง่นั้นว่า
อยากโปรโมทอย่างเดียวเลยนะ
ผมว่ามันก็ไม่ผิดนะ
และยิ่งต้องชื่นชมว่าเป็นการตลาดที่มาเหนือเมฆ
เพราะสังคมก็ได้ด้วย แต่เท่าที่ผมรู้จักเขาไม่ใช่คนอย่างนั้น
มีคนถามว่าเอาพื้นที่มาให้คนขายของ 10 วันฟรีๆ
แล้วไม่ห่วงธุรกิจตัวเองเหรอ
(สนามฟุตบอลในร่ม, ผับฟั้งกี้วิลล่า,
ร้านอาหารในโครงการอารีน่า)
คุณตันพูดคำหนึ่งว่า
ตอนนี้ไม่ใช่เวลาคิดเรื่องส่วนตัว
คิดเรื่องธุรกิจตัวเอง นี่คือเวลาของส่วนรวม "
โน้ส อุดม บอกอย่างนั้น
เรื่องของเรื่องต้นคิดไอเดียโปรเจค ศอช.
เริ่มจาก โน้ส อุดม นั่งดูทีวีและได้ยินข่าวคนรอบตัวที่ร้านโดนไฟไหม้
เลยนึกถึงโครงการอารีน่าของตัน ซึ่งอยู่กลางซอยทองหล่อ
ก่อนจะคุยกับกิ๊ฟ-วริษา ลูกสาวตันก่อนคนแรก
ตามมาด้วยขายไอเดียกับตัน
ซึ่งตอนนั้นอยู่
ระหว่างบินไปดูงานที่เซี่ยงไฮ้
กลับมาถึงเมืองไทย
ตันโทรหาโน้ส ตอนเที่ยงคืน
คุยกันไม่เท่าไร
บอกให้คิดชื่อโครงการมาด่วน
เพราะจะต้องบินไปญี่ปุ่น
"ถ้าคุณตันพูดแค่คำเดียวว่าอย่าเลย
เหนื่อยเปล่าๆ รัฐบาลก็ทำ
แค่นี้ก็จบนะโครงการนี้คงไม่เกิด
คืนนั้นเลยตั้งชื่อ ศอช.นี่ แหละ
ต้องนั่งอธิบายมุกให้คุณตันฟังอีกนะ
เพราะการที่จะทำอะไรให้เรียกร้องความสนใจ
แบบฉับพลันทันที
มันต้องเป็นคำที่ตอนนี้อยู่ในหัวของทุกคน
ประชุมกันหูตูบมากเลยตอนแรกก็เริ่มจาก 3 คนก่อนนี่แหละ
คุณตัน กิ๊ฟ และ ผม แล้วก็ดึงตุ๊กตา(อินทิรา แดงจำรูญ)
มาช่วยด้วย
มีทีมคุณตันมาช่วยด้วย"
โน้ส บอกว่า ถึงตอนนี้รู้สึกโล่ง
ตอนแรกกลัวว่า
ถ้าคนไม่มาช้อปกันแล้วจะทำให้พ่อค้าแม่ค้าใจตกกันไปอีก
แต่พอเห็นคนมาช้อปกันเต็มสนามแบบนี้
พูดได้คำเดียวว่า "ชื่นใจ"
และที่สามารถคิดเร็วทำเร็วเตรียมงานแค่ 3 วัน
นั่นเพราะมาจากความรู้สึกว่าอยากจะทำ
และใช้วิธีรบกันแบบกองโจร
ซึ่งมีคนที่เป็นแม่ทัพขาลุยอย่างตันเป็นหัวหมู่ทะลวงฟัน
คิดแล้วลงมือลุยเดินหน้าไม่มีคำว่าถอย
May 28, 2010
"เมืองไทยในเงาคึกฤทธิ์"
เกษียร เตชะพีระ
มติชนออนไลน์
วันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
"เกษียร เตชะพีระ อดีตสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ไทย
หนีเข้าป่าจากเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ
ลีลาการสอนที่ตื่นเต้นทำให้เขาเป็นอาจารย์ที่นักศึกษาชอบมากคนหนึ่ง
มีเพื่อนคนหนึ่งเคยพูดว่า "ตอนเรียนบูชาเกษียรเหมือนพ่อ
พอเกรดออก รถจารย์แมร่งอยู่ไหนวะ"
คำว่า Thaksinomic ทักษิณาธิปไตย
เขาคนนี้ก็เป็นคนคิดขึ้น ถ้าคุณอยากจะฟังเสียงหัวเราะ
ที่นักศึกษาทั้งห้องขนลุกมาแล้ว
และข้อสอบปลายภาคคือข้อสอบที่คุณคิดเอง เสนอเอง ตั้งเอง
แต่ตอบเองได้หรือเปล่า ม่ายรุนะ"
panakorn, เว็บบอร์ด dek-d.com, 20 เมษายน 2553
ถึงจะเว่อร์ไปบ้าง (เช่นที่ว่าผมเป็น "อดีตสมาชิกพรรค..."
แหมไม่ถึงขั้นนั้นหรอกครับ ฯลฯ)
แต่คำแนะนำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ส่วนที่เกี่ยวกับผมของนักศึกษาคนนี้
ก็สะท้อนความจริงบางอย่างอยู่โดยเฉพาะที่ว่า
"ข้อสอบปลายภาคคือข้อสอบที่คุณคิดเอง เสนอเอง ตั้งเอง
แต่ตอบเองได้หรือเปล่า ม่ายรุนะ"
ในบรรดาคำถามข้อสอบไล่วิชาการเมืองการปกครองของไทยต่างๆ นานา
45 ข้อที่นักศึกษาแต่ละคนคิดตั้งขึ้นเอง/ร่างเค้าโครง-ค้นคว้าข้อมูลเอง/
เขียน ตอบเองภายใต้การตรวจแก้แนะนำคัดกรองของผม
ในภาคการศึกษา 2/2552 ที่ผ่านมา
(วันสอบไล่ 12 มีนาคม ศกนี้)
ข้อที่ช่วยฉายภาพความขัดแย้งทางการเมืองปัจจุบัน
ในแง่ระบบคิดได้เฉียบแหลม
ลึกซึ้งชวนขบคิดถกเถียงยิ่งเป็นของนักศึกษาปี 3 เลขทะเบียน 500361....
เขาค้นคว้าเรียบเรียงประยุกต์มันขึ้นมา
จากงานวิจัยเรื่องการสร้าง "ความเป็นไทย" ของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช
โดย ร.ศ.ดร.สายชล สัตยานุรักษ์ แห่งภาควิชาประวัติศาสตร์
คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นสำคัญ
เพื่อประโยชน์แก่การวิเคราะห์ระบบคิดเบื้องหลังความขัดแย้งทางการ เมืองปัจจุบัน
ผมขออนุญาตคัดลอกคำถามเอง-ตอบเองของนักศึกษาผู้นี้
มาให้อ่านโดยปรับแต่งตัดทอนเล็กน้อยเพื่อความเหมาะสมดังนี้ :
คำถาม
"ความเป็นไทย" กระแสหลักที่นิยามโดย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช
ได้สร้าง "ความจริง" ทางการเมืองอะไรให้กับสังคมไทยบ้าง?
"ความจริง" เหล่านั้นสามารถนำมาใช้อธิบายสาเหตุและ
เสนอวิธีการแก้ปัญหาสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองของไทย
ในช่วงปี พ.ศ.2495 - ปัจจุบันได้หรือไม่ อย่างไร?
และท่านเห็นว่าการเสนอคำอธิบายตามแนวทาง "ความจริง" เหล่านั้น
สามารถช่วยให้เข้าใจและแก้ปัญหาได้หรือไม่ อย่างไร?
หากไม่ ท่านคิดว่าเป็นเพราะอะไร?
คำตอบ
นิยาม
สถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองไทยในปัจจุบัน
ได้ดำเนินมาเป็นเวลา นานหลายปีแล้วและ
ยังไม่มีทีท่าว่าจะจบลงง่ายๆ
ตลอดช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้ได้มีความพยายามเสนอ
คำอธิบายสถานการณ์ความ
ขัดแย้งนี้ด้วยกันหลายแบบอย่างไรก็ตาม
คำอธิบายที่พบมากที่สุดคือ
คำอธิบายตามกรอบ "ความเป็นไทย" กระแสหลัก
และจะโดยรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม
คำอธิบายเหล่านั้นได้รับอิทธิพลอย่างมากจาก
"ความจริง" ทางการเมืองที่ถูกสร้างขึ้นโดย
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ปัญญาชนที่ทรงอิทธิพล
ในการนิยาม "ความเป็นไทย" มากที่สุด
ในที่นี้จึงจะทำการวิเคราะห์ว่า "ความจริง" เหล่านั้นได้
ให้คำอธิบายอะไรเกี่ยวกับสถานการณ์ความขัดแย้งครั้งนี้บ้าง
และคำอธิบายเหล่านั้นมีความถูกต้องเหมาะสมเพียงใด
ก่อนที่จะวิเคราะห์ถึงการเสนอคำอธิบาย
จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทราบคำนิยามศัพท์สำคัญในเรื่องนี้เสียก่อน
ได้แก่คำว่า "ความเป็นไทย" กระแสหลัก
และคำว่า "ความจริง" ทางการเมือง
ทั้งนี้ เพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน
โดยในที่นี้ผู้เขียนจะขออ้างอิงคำนิยามที่ปรากฏใน
"บทวิจารณ์ การสร้าง "ความเป็นไทย"
กระแสหลักและ "ความจริง" ที่
"ความเป็นไทย" สร้าง"
(ฟ้าเดียวกัน, 3 : 4 (ตุลาคม - ธันวาคม 2548)
คำว่า "ความเป็นไทย" หมายถึง
สิ่งสร้างทางการเมืองวัฒนธรรม
เชื้อมูลที่ประกอบสร้างเป็นเอกลักษณ์ของชาติไทย
หากเรามีสิ่งนี้ก็จะได้ชื่อว่าเป็นคนไทยโดยสมบูรณ์
เมื่อนำมารวมกับคำว่า กระแสหลัก
จึงหมายถึง สิ่งสร้างทางการเมืองวัฒนธรรม
ที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในการทำความเข้าใจว่า อะไรคือไทย
ส่วนคำว่า "ความจริง" นั้น หมายถึง
สภาวะนามธรรมที่เป็นจริงโดยตัวมันเอง
อย่างไรก็ตาม "ความจริง" ในที่นี้เป็น
สกรรมสภาวะ (transitive reality) เป็นจริงเพราะ
เราเชื่อ ไม่ได้เป็นจริงโดยตัวมันเอง
แต่เรากลับเชื่อว่ามันเป็นจริงโดยตัวมันเอง
เมื่อนำมารวมกับคำว่า
การเมือง จึงหมายความว่า
แง่มุมทางการเมืองที่เราเชื่อว่าถูกต้อง
เป็นจริง ไม่เปลี่ยนแปลง
เมื่อนำ 2 คำข้างต้นมารวมกันเป็น
"ความจริง" ทางการเมืองที่ "ความเป็นไทย"
กระแสหลักสร้างขึ้น จึงอาจให้ความหมายได้ว่าเป็น
กรอบการมองการเมืองที่เป็นผลมาจาก
อิทธิพลของการทำความเข้าใจว่าอะไรคือไทย
"ความเป็นไทย"กระแสหลัก
ดังที่กล่าวไปแล้วในตอนต้นว่า ม.ร.ว.คึกฤทธิ์
เป็นปัญญาชนที่ทรงอิทธิพลในการนิยาม "ความเป็นไทย"
ในที่นี้จึงจะทำการวิเคราะห์ว่า ม.ร.ว.คึกฤทธิ์
ได้สร้าง "ความเป็นไทย" อะไรไว้บ้าง
เพราะถ้าเราเข้าใจสิ่งนี้แล้ว เราก็จะเข้าใจว่า "ความจริง"
ทางการเมืองนั้นมีที่มาอย่างไร
โดยประเด็น "ความเป็นไทย"
ที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์นิยามที่สำคัญๆ มีดังนี้ :-
1) การปกครองแบบไทย :
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ได้สร้างให้การปกครองแบบไทย
เป็นรูปแบบการปกครองที่ดีสำหรับ ไทย
และเหนือการปกครองแบบประชาธิปไตยตะวันตก
หลักการปกครองแบบไทยที่สำคัญต้องการ
เน้นที่อำนาจเด็ดขาดของผู้นำ
แต่ขณะเดียวกัน ผู้นำในรูปแบบนี้ก็มีศีลธรรมพระพุทธศาสนากำกับ
ทำให้ประชาชนไม่ได้รับการกดขี่
การปกครองแบบนี้ให้สิทธิการเข้าร่วมการปกครองตามชั้นทางสังคม
ผู้ที่อยู่ในระดับล่างไม่มีสิทธิเข้าร่วมการปกครอง
เนื่องจากคนกลุ่มนี้ไม่มี ความรู้
หากให้ร่วมใช้อำนาจด้วยก็จะเกิดความวุ่นวายในสังคมขึ้นได้
2) พระมหากษัตริย์ : ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ได้เน้นให้เห็นว่า
พระมหากษัตริย์ทรงเป็นต้นแบบของผู้นำแบบไทย
และยังทรงทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติมากมาย
กล่าวได้ว่าไทยเป็นไทยได้ทุกวันนี้ก็เพราะมีพระมหากษัตริย์
โดยเฉพาะรัชกาลปัจจุบันที่ทรงบุญญาบารมีสูงสุด
พระมหากษัตริย์ยังทรงเป็นผู้พระราชทานอำนาจให้กับประชาชน
ดังนั้น การปกครองที่ดีจึงต้องอยู่ภายใต้การดูแล
และสายพระเนตรของพระมหากษัตริย์
แนวความคิดแบบนี้ได้ก่อให้เกิด
"ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข"
3) พระพุทธศาสนา : ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ได้เน้นที่ศีลธรรมแบบโลกียธรรม
พร้อมทั้งได้เน้นว่าผู้นำแบบไทยเป็นผู้นำที่ดีเพราะมีพระพุทธศาสนากำกับ
ในส่วนของประชาชนทั่วไป ยังเน้นความสำคัญของ "กรรม"
เพื่อให้ประชาชนยอมรับสถานะของตัวเองและ
ให้การสนับสนุนผู้นำแบบไทยซึ่งเป็น ผู้ที่มี "กรรม" เก่าที่ดีกว่า
4) ความสัมพันธ์ของคนในสังคม : ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ได้เน้นให้เห็นว่า
สังคมที่รู้จัก "ที่สูง - ที่ต่ำ" เป็นสังคมที่ดี
เพราะแต่ละคนทำตามหน้าที่ของตนเอง
ไม่เกิดความวุ่นวายขึ้น แม้จะมีความแตกต่างทางชนชั้น
แต่ก็สามารถอยู่ร่วมกันได้โดยสงบสุข
เพราะมีระบบอุปถัมภ์ผู้ที่อยู่ในชนชั้นต่ำกว่า
5) ด้านอื่นๆ : ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ยังได้เน้น "ความเป็นไทย" ในด้านอื่นๆ
ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องศิลปวัฒนธรรม
โดย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ได้ให้ความสำคัญแก่วัฒนธรรมชั้นสูง (High Culture)
ว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ดีงามและเป็นไทยอย่างที่สุด
การเน้นแบบนี้มีแนวโน้มที่จะทำให้คนในสังคม
ให้การสนับสนุนคนที่อยู่ใน "ที่สูง"
แต่ไม่เห็นค่าของคนที่อยู่ใน "ที่ต่ำ"
"ความจริง"ทางการเมือง
จาก "ความเป็นไทย" ในแง่มุมต่างๆ ที่
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ได้นิยามไว้ ได้ก่อให้เกิด "ความจริง"
ทางการเมืองที่สำคัญก็คือ การมองว่า
"ความเงียบทางการเมือง" หรือ
"สังคมที่ไม่มีการเมือง"
เป็นอุดมคติสูงสุดสำหรับการเมืองไทย
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ได้ชี้ให้เห็นว่าการเมืองที่มาพร้อมกับระบอบ
ประชาธิปไตยนั้นเป็นสิ่งชั่วร้าย
เพราะเป็นการไปทำลายระบบความสัมพันธ์ของคนในสังคม
แต่เดิมลง ทำให้คนที่อยู่ใน "ที่ต่ำ"
เข้ามามีอำนาจในการปกครอง
ทั้งที่คนกลุ่มนี้ไม่มีหน้าที่อย่างนั้น
การปกครองโดยคนที่ไม่สมควรได้ปกครอง
จึงทำให้ประเทศมีแต่ความวุ่นวาย ขัดแย้ง
อิทธิพลจากแนวความคิดนี้ทำให้คนไทยมองการเมือง
เพียงในแง่มุมของการต่อสู้ แย่งชิงผลประโยชน์
ของนักการเมืองที่เห็นแก่ตัวเท่านั้น
พร้อมกันนั้นคนไทยก็เชื่อว่าหากสามารถ
กำจัดนักการเมืองออกไปได้
บ้านเมืองก็จะดีขึ้นเป็นแน่
"ความเงียบทางการเมือง"
จึงกลายมาเป็นอุดมคติสำหรับคนไทย
ที่ว่า "ความเงียบทางการเมือง" หรือ "สังคมที่ไม่มีการเมือง" นั้นก็คือ
การปกครองแบบไทยซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของพระมหากษัตริย์
หน้าที่ในการปกครองเป็นของคนดี
ที่มีความเป็นไทยและไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง
(เพราะการเลือกตั้งทำให้ความสัมพันธ์ของคนในสังคมยุ่งเหยิง)
และต้องอยู่ใน "ที่สูง" ด้วย คนในชนชั้นต่างๆ
กลับไปทำหน้าที่ของตนเองตามที่ชนชั้นของตนเองกำหนด
ผู้ที่อยู่ใน "ที่ต่ำ" ก็มีเพียงหน้าที่ทำตามสิ่งที่คนอยู่ใน
"ที่สูง" กำหนดเท่านั้น ถ้าทำได้แบบนี้
บ้านเมืองก็จะมีแต่ความสงบสุข
อุดมคติแบบนี้ทำให้คนไทยไม่ให้ความสำคัญกับ
ระบอบประชาธิปไตย
และมีแนวโน้มจะสนับสนุนระบอบอำนาจนิยมได้ง่าย
"ความจริง" ทางการเมืองอีกประการหนึ่งที่สำคัญก็คือ
การเกิดมโนภาพว่า "เมืองไทยนี้ดี"
โดย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ได้ทำให้คนไทยเชื่อว่า
เมืองไทยดีกว่าประเทศอื่นๆ
ด้วยเหตุผลหลายประการไม่ว่าจะเป็นที่ตั้งตามภูมิศาสตร์
การปกครองแบบไทย การมีพระมหากษัตริย์ ฯลฯ
มโนภาพแบบนี้ทำให้คนไทยส่วนใหญ่มีแนวโน้มต่อต้านการเปลี่ยนแปลง
เพราะคิดว่าจะทำให้เมืองไทยแย่ลง
อีกทั้งยังปฏิเสธแนวทางของประเทศอื่นเพราะเชื่อว่า
แนวทางของไทยดีที่สุด อย่างไรก็ตาม
ไทยอาจจะรับแนวทางจากประเทศอื่นได้
แต่ต้องรับผ่านชนชั้นนำเท่านั้น
ชนชั้นอื่นห้ามรับโดยตรง
"ความจริง" ทางการเมืองเหล่านี้ได้กลายมา
เป็นกรอบคิดของคนไทยจนถึงปัจจุบัน
กรอบคิดนี้เป็นทั้งคำตอบในการมองปรากฏการณ์ต่างๆ
และก็เป็นทั้งข้อจำกัดในการคิดเช่นกัน
เพราะกรอบนี้มีพลังอิทธิพลอย่างมาก
จนคนในสังคมไม่สามารถคิดนอกเหนือไปจากกรอบเหล่านี้ได้
แม้แต่สถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองของไทยในช่วงปี พ.ศ.2549 - ปัจจุบัน
คนไทยจำนวนมากก็ยังมองโดยใช้
กรอบ "ความจริง" ของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ เป็นหลัก
มองการเมืองปัจจุบันผ่านกรอบคิดคึกฤทธิ์
สถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองครั้งนี้
อาจนับได้ว่าเริ่มต้นเมื่อ ปลายปี พ.ศ.2548
โดยในช่วงแรกอาจถูกมองว่าเป็น
เพียงความขัดแย้งระหว่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กับนายสนธิ ลิ้มทองกุล
แต่หลังจากนั้นความขัดแย้งก็ลุกลามขยายไปจนอาจเรียกได้ว่า
เป็นความขัดแย้ง ระหว่าง ระบอบทักษิณ
กับระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
หรือนัยหนึ่งเราอาจกล่าวได้ว่านี่เป็น
ความขัดแย้งระหว่าง "ความเป็นไทย" แบบใหม่
ซึ่งนำโดย พ.ต.ท.ทักษิณ กับ "ความเป็นไทย"
กระแสหลักที่ได้รับอิทธิพลจาก ม.ร.ว.คึกฤทธิ์
ความขัดแย้งครั้งนี้ได้ก่อให้เกิดการแตกแยก
ทางความคิดของคนในสังคมออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ
2 กลุ่มนี้ได้เข้าปะทะกันทั้งในเชิงความคิด
และเชิงกายภาพจนยากที่จะหาข้อตกลงร่วมกันได้
การรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2549
ก็ไม่สามารถที่จะช่วยแก้ปัญหาได้
แต่กลับเพาะเชื้อความขัดแย้งให้ลุกลามมากยิ่งขึ้น
ปัจจุบันเรามีมวลชนซึ่งจัดตั้งอย่างเป็นเอกเทศ 2 กลุ่ม
ที่พร้อมจะเข้าปะทะกัน ซึ่งหากจะว่าไปแล้ว
ส่วนหนึ่งของความขัดแย้งที่ยังไม่สามารถแก้ไขได้
ก็เป็นผลมาจากการใช้กรอบการมองแบบ "ความจริง"
ทางการเมืองของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์นั่นเอง
หากเราใช้กรอบของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์เป็นหลัก
เราก็อาจให้คำอธิบายสถานการณ์ความขัดแย้งครั้งนี้
ว่าเป็นผลมาจากการที่
พ.ต.ท.ทักษิณได้ทำลาย "ความเป็นไทย" กระแสหลักลง
การทำลายในที่นี้คือการที่ พ.ต.ท.ทักษิณไม่ปฏิบัติตามแนวทางผู้นำแบบไทย
เพราะมีข้อกล่าวหาว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้กระทำการ
อันเป็นการผิดศีลธรรมทางพระพุทธศาสนาผ่านการทุจริต ในเรื่องต่างๆ
ในขณะเดียวกัน พ.ต.ท.ทักษิณก็ยังกระทำการในลักษณะ
ที่ถูกมองว่าจะออกจากการควบคุมดูแลโดยพระ มหากษัตริย์
การพยายามออกห่างจากพระบรมฉายาของพระมหากษัตริย์
และมีหลายเหตุการณ์ที่ผู้คน ในสังคมเชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ
กำลังกระทำตนเทียบชั้นพระมหากษัตริย์นี้
ทำให้หลายคนเชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ
ได้หมดคุณสมบัติของการเป็นผู้นำแบบไทยลง
เพราะพระมหากษัตริย์คือหลักอ้างอิงและ
ให้ความชอบธรรมในการเป็นผู้นำแบบไทย
เมื่อออกห่างจากพระมหากษัตริย์
จึงออกห่างจากความชอบธรรมในการเป็นผู้นำแบบ ไทยด้วย
มีข้อสังเกตว่าในช่วงแรกที่
พ.ต.ท.ทักษิณใช้อำนาจในลักษณะเผด็จการนั้น
ผู้คนจำนวนมากยังไม่มีความคิดจะต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ
เพราะตามหลัก "ความเป็นไทย" แล้ว
การใช้อำนาจเผด็จการไม่ใช่เรื่องเลวร้ายแต่อย่างใด
จนกระทั่งเมื่อมีกรณีกล่าวหาว่าทุจริตและหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
ผู้คนจำนวนมากจึงได้ออกมาต่อต้าน
ความผิดของ พ.ต.ท.ทักษิณต่อ "ความเป็นไทย" อีกอย่างหนึ่ง
ก็คือการทำลายโครงสร้างความสัมพันธ์ของคนในสังคมลง
เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณได้อิงตัวเองเข้ากับประชาชนรากหญ้า
ซึ่งไม่ควรมีสิทธิมีเสียงใน การปกครอง
แม้ว่าโดยใจจริง พ.ต.ท.ทักษิณ
อาจไม่ได้ต้องการให้อำนาจแก่ประชาชนรากหญ้าอย่างแท้จริง
แต่ก็ทำให้ผู้ที่อยู่ในที่ "สูงกว่า"
อดรู้สึกไม่ได้ว่าอำนาจของตนเองกำลังถูกท้าทาย
การเกิดมวลชน 2 กลุ่ม ซึ่งกลุ่มหนึ่งเป็นตัวแทนของผู้ที่อยู่สูงกว่า
และอีกกลุ่มหนึ่งอยู่ในที่ต่ำกว่า เข้าปะทะทางความคิดกัน
ได้ทำให้อุดมคติ "ความเงียบทางการเมือง"
ของคนไทยจำนวนมากพังทลายลง
เพราะความขัดแย้งครั้งนี้เกิดจากการที่คนในตำแหน่งต่างๆ
ไม่ทำหน้าที่ของตนเอง
คนในที่ต่ำไม่สมควรออกมาประท้วง
ข้อสรุปแบบนี้ได้นำไปสู่การเสนอวิธีการแก้ปัญหาแบบไทย
ตามอิทธิพลของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์
วิธีการแก้ปัญหาที่หลายคนเสนอจึงเป็นการทำยังไงก็ได้ให้นำ
"ความเงียบทางการเมือง" กลับคืนมา
การรัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน 2549
ก็เป็นความพยายามในการสร้าง "ความเงียบทางการเมือง"
และนำผู้นำแบบไทยที่เป็นคนดี มีความเป็นไทย
และไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง
ให้มาเป็นผู้ปกครองประเทศอีกครั้งหนึ่ง
และแม้การรัฐประหารจะเป็นวิธีการที่นานาชาติไม่เห็นด้วย
แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะ "เมืองไทยนี้ดี" วิธีการแก้ปัญหาแบบนี้จึงดีที่สุดแล้ว
ขณะเดียวกัน การแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างมวลชน 2 ฝ่าย
ก็เป็นไปในแนวทางที่จะทำให้มวลชนฝ่าย "ที่ต่ำ" สลายไป
เพราะไม่ใช่หน้าที่ของพวกเขาที่จะออกมาเรียกร้อง
ส่วนฝ่าย "ที่สูง" ก็ได้รับอนุญาตให้เคลื่อนไหวได้
ตราบใดที่ยังไม่ไปขัดกับ "ที่สูงสุด"
ทายาทความคิดของคึกฤทธิ์
การเสนอคำอธิบายแบบนี้เป็นที่ยอมรับของคนจำนวนมาก
ทั้งนี้เพราะอิทธิพล "ความจริง" ทางการเมืองที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ได้สร้างไว้
จะเห็นได้ว่าในปัจจุบันเองก็มีปัญญาชน
ที่เป็นผู้สืบทอดความคิดของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์
และเป็นผู้ที่ยังทำให้กรอบ "ความจริง"
แบบนี้ยังคงอยู่ต่อไป ตัวอย่างเช่น
ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองซึ่งมักเน้นถึงเรื่องความสำคัญของ "คนดี" เป็นประจำ
และยังเน้นว่าผู้ปกครองต้องอยู่ภายใต้การดูแลของพระมหากษัตริย์
เพราะผู้ปกครองเป็นเพียงจ๊อกกี้ ไม่ใช่เจ้าของม้า
การเน้นเช่นนี้ก็คือการสนับสนุนการปกครองแบบไทยและผู้นำแบบไทยนั่นเอง
ขณะที่ตุลาการอาวุโสบางท่านก็เคยกล่าวว่า
แม้ตุลาการจะไม่ได้มาจากการ เลือกตั้ง
แต่ก็มีสิทธิเข้าไปแก้ปัญหาบ้านเมือง
เพราะตุลาการได้รับการแต่งตั้งจากพระมหากษัตริย์
และพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวมจิตใจประชาชน
ตุลาการจึงมาจากประชาชน
การกล่าวเช่นนี้เป็นการเน้นความสำคัญของพระมหากษัตริย์
ขณะที่ลดค่าของการ เลือกตั้งลงไป
ด้านกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนั้น
ก็ได้เสนอหลักการเมือง ใหม่
ให้มีตัวแทนจากการแต่งตั้งมากกว่าเลือกตั้ง
และให้ทหารสามารถเข้าแทรกแซงได้เมื่อมีเหตุสมควร
อันเป็นการแสดงความไม่ไว้ใจ
ในประชาชนส่วนใหญ่ซึ่งยังอยู่ในวัฏจักรโง่ -จน-เจ็บ
จะเห็นได้ว่าปัญญาชนเหล่านี้ได้สืบทอดแนวทางคำอธิบายของ
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์และด้วยเหตุที่ปัญญาชนเหล่านี้
มีบทบาททางการเมืองค่อนข้างมาก
ทำให้แนวทางคำอธิบายของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์
ยังถูกใช้เป็นกรอบในการทำความเข้าใจการเมืองในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม มีข้อสังเกตบางประการที่น่าสนใจว่า
ปัญญาชนในปัจจุบันมีลักษณะบางอย่างที่แตกต่างจาก ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ เช่น
การยอมรับ "ความเป็นจีน"
โดยในปัจจุบันลูกจีนไม่จำเป็นต้องกลายเป็นไทย
แต่สามารถเป็นทั้งจีนและไทยพร้อมกันได้
ดังเห็นได้จาก วาทกรรม "ลูกจีนรักชาติ"
ซึ่งน่าจะเป็นเพราะปัจจุบันลูกจีนจำนวนมากได้มี
บทบาททางเศรษฐกิจมากขึ้น
และเข้าไปร่วมมือกับชนชั้นนำ
ในด้านการเมืองมากหน้าหลายตา
อย่างไรก็ตาม "ความเป็นจีน" ในที่นี้จำกัดเฉพาะ
ความเป็นจีนที่ไม่ใช่คอมมิวนิสต์
ขณะเดียวกันก็พบว่านอกจากจีนแล้ว
เชื้อชาติอื่นยังไม่ได้รับการยอมรับเท่าที่ควร
อาจเนื่องมาจากยังไม่มีพลังอำนาจมากเท่ากับคนจีนก็เป็นได้
อีกจุดหนึ่งที่แตกต่างก็คือปัญญาชนสมัยนี้
ได้ลดระดับมโนภาพ "เมืองไทยนี้ดี" ลงเห็นได้จาก
แม้ว่าจะเห็นด้วยกับการรัฐประหาร
แต่ก็ไม่กล้ากล่าวตรงๆ ที่เป็นเช่นนี้เพราะ
โลกาภิวัตน์ทำให้คนทุกชนชั้นในสังคมสามารถรับสื่อจาก
ต่างประเทศได้โดยตรง
ไม่ต้องผ่านชนชั้นนำเพียงอย่างเดียวเหมือนแต่ก่อน
ทำให้ปัญญาชนจำนวนมากต้องปรับเปลี่ยนคำอธิบายบางส่วน
เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์โลกด้วย
วิจารณ์ข้อจำกัดของกรอบคิดคึกฤทธิ์
จากที่กล่าวมาทั้งหมดเห็นได้ว่ากรอบ "ความจริง"
ทางการเมืองของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์มีอิทธิพลสำคัญ
ในการสร้างความเข้าใจสถานการณ์
ความขัดแย้งทางการเมืองของไทยในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม ในความคิดเห็นของผู้เขียน
คำอธิบายตามกรอบนี้ไม่ช่วยให้เราเข้าใจ
และแก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสม
กรอบคำอธิบายแบบนี้มีข้อจำกัดตรงที่ว่า
เป็นเพียงการพิจารณาความไม่มี
ศีลธรรมของ พ.ต.ท.ทักษิณเท่านั้น
แต่ไม่ได้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับตัวระบบซึ่งได้
เพาะเชื้อความไม่พอใจระหว่าง ชนชั้นเอาไว้
อีกอย่าง กรอบคำอธิบายแบบนี้ยังไปไม่ทันกับกระแสโลก
หากเป็นในอดีต วิธีการแก้ปัญหาตามกรอบนี้อาจได้ผล
เพราะชนชั้นนำสามารถตัดสินใจได้อย่างทันที
แต่ปัจจุบันการที่ประเทศไทยผูกตัวเองติดกับกระแสโลก
และได้รับอิทธิพลอย่าง มากจากโลกาภิวัตน์
ส่งผลให้คนจำนวนมากในสังคมรับสื่อจากต่างประเทศได้โดยตรง
อำนาจในการรับสื่อนี่เองที่กลายมาเป็น
พลังต่อกรสำคัญกับอำนาจของชนชั้นนำ
ตราบใดที่เรายังใช้รูปแบบการแก้ปัญหาแบบเก่าที่คับแคบ
และไม่ทันต่อการ เปลี่ยนแปลง
ก็ย่อมจะยังไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้
สำหรับวิธีการแก้ปัญหาที่เหมาะสมนั้น
ผู้เขียนยังคิดไม่ออก แต่ผู้เขียนเชื่อว่า
สังคมจะสามารถคิดออกได้แน่
หากคนในสังคมหลุดพ้นจากคำอธิบายแบบ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์
และหากรอบคำอธิบายแบบใหม่ๆ
นำกรอบของแต่ละคนมาถกเถียง ตกผลึก สังเคราะห์
เมื่อนั้นเราจะได้กรอบคำอธิบายที่เสนอ
สาเหตุและวิธีการแก้ปัญหาอย่างเหมาะสม ก็เป็นได้
แต่หาก "ความจริง" ทางการเมืองที่ "ความเป็นไทย"
กระแสหลักของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์สร้างขึ้น
ยังคงมีอิทธิพลจำกัดความคิดคนในสังคมอยู่เช่นนี้
สถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองของไทยในปัจจุบัน
ก็คงไม่สามารถหาทางออกได้
จะทำได้ก็คงแต่เพียงการกดทับปัญหาไว้เท่านั้น
ซึ่งผู้เขียนไม่เห็นว่าเป็นวิธีที่เหมาะสมแต่อย่างใด
May 27, 2010
ใช้โอกาสวันวิสาขบูชาโลก นับ 1 ประเทศไทย
มานิตย์ สนับบุญ / ปราจีนบุรี
ปราจีนฯพ่อเมืองทำเท่ใช้โอกาสวันวิสาขบูชาโลก
นับ 1 ประเทศไทยนำประชาชนทุกฝ่ายร่วม
ปลูกต้นไม้สร้างสวนป่าพุทธอุทยานโลก – เวียนเทียน
เชื่อมทุกฝ่ายโดยศาสนานำ - กระพือท่องเที่ยวตลอดทั้งปี
ตามต่อเนื่องให้เกิดรู้รักสามัคคีดังเดิม
เมื่อเวลา17.00 น.วันนี้ 26 พ.ค.53
นายศิรพงษ์ ห่านตระกูล ผวจ.ปราจีนบุรี กล่าวว่า
“หลังเหตุการชุมนุมที่กรุงเทพมหานคร
ประเทศไทยหลังเหตุการณ์นั้น ที่ จ.ปราจีนบุรี
ในการนับ 1 ที่จะสร้างคือ
การเรียกความเชื่อมั่นกลับคืน
ให้คนไทยและทั่วไปโดยสร้างความเข้าใจให้ตรงกัน
เริ่มที่ทำความเข้าใจกับ แกนนำกลุ่มเสื้อแดง
ในแต่ละอำเภอของปราจีนบุรี
ให้เกิดความเข้าใจตรงกัน
โดยให้นายอำเภอ- ผู้นำท้องถิ่น –ผู้นำทางความคิด
แต่ละอำเภอลงพบปะพูดคุยกับแกนนำ
ในประเด็นความแตกต่าง แต่อย่าให้แตกความสามัคคี”
“นอกจากนี้ ได้ฉวยโอกาส
เร่งจัดการดูแลความเสียหายที่เกิดขึ้น
ผลจากที่มีการชุมนุมนี้ อาทิ
การช่วยเหลือเยียวยาที่ จ.ปราจีนบุรีตั้งศูนย์เยียวยาขึ้น
ในการให้มีการติดต่อประสานความสูญเสียหรือ
เสียหายที่ประชาชนมีอย่างไรบ้าง
ให้เกิดการประสานติดต่อ
ที่จะได้เร่งติดตามแก้ไขได้ทันท่วงที
และ เข้าใจซึ่ง กันและกัน”
นายศิรพงษ์กล่าว และกล่าวต่อไปว่า
“พร้อมกันนี้จากที่พื้นที่ จ.ปราจีนบุรีเป็นเมืองแห่งพุทธศาสนา
มาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติ ศาสตร์ มีต้นพระศรีมหาโพธิ์
ที่นำหน่อมาจากพุทธคยา
ต้นเดียวกับพระพุทธเจ้าตรัสรุ้อายุกว่า 2,000 ปี
มีรอยพระพุทธบาทคู่ที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในโลกอายุกว่า 1,500 ปี
จนมีสีประจำจังหวัดคือสีเหลือง –
สีแดง สีเหลืองหมายถึงเมืองแห่งพืธศาสนา
แดงหมายถึงภาคตะวันออก นั้น”
“ได้นำกิจกรรมฟื้นความสัมพันธ์ประชาชนในวันที่ 28 พ.ค.53
ในโอกาสวันวิสาขบูชาโลก มีกิจกรรมจัดเวียนเทียน
–ปลูกต้นไม้บนวนอุทยานเขาอีโต้
สถานที่ก่อสร้างพุทธอุทยานโลก
สังเวชนียสถาน 4 ตำบล ในเวลา14.30 น.นี้
พร้อมเวียนเทียนในวันวิสาขบูชาที่วัดถ้ำเขาอีโต้”
และจากที่ จ.ปราจีนบุรีได้เน้นยุทธศาสตร์
พัฒนาปีส่งเสริมการท่องเที่ยว
ได้เน้นการท่องเที่ยวนำก่อน ให้ประชาชน
– นักท่องเที่ยวได้เข้ามาเที่ยวฤดูกาลผลไม้
ตามคำขวัญผลไม้ลือเลื่อง
ในงานวันเกษตรปราจีนบุรี ระหว่าง
วันที่ 28 พ.ค.- 6มิ.ย. 53 ต่อจากนั้น
มีกิจกรรมการแข่งขันเจ็ตสกี 12 – 13 มิ.ย.53
ที่อ่างเก็บน้ำจักรพงษ์ บนวนอุทยานเขาอีโต้ ซึ่ง
ให้มีงานทุกเดือน กำหนดเป็นปฏิทิน
ท่องเที่ยวทั้งปี เน้นความรักสามัคคีให้กลับมาเหมือนเดิม
คนไทยด้วยกันแตกต่างได้แต่อย่าแตกแยกกัน
นับ 1 แบบนี้ที่ปราจีนบุรี ที่
เน้นจงรักภักดี ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์”
นายศิรพงษ์กล่าวในที่สุด
"เจ้าสัวซีพี"เผยจริยธรรมผู้นำ เน้นทดแทนบุญคุณ"แผ่นดิน-พ่อแม่" เก่งได้ แต่อย่าทำสังคมเดือดร้อน
มติชนออนไลน์ วันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
ที่โรงเรียนนานาชาติ คอนคอร์เดียน เขตบางนา กทม.
นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการและ
ประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์
เป็นประธานพิธีสำเร็จการศึกษานักเรียนเกรด 12 รุ่นที่ 1
และกล่าวสุนทรพจน์พิเศษหัวข้อ "จริยธรรมของผู้นำ"
ตอนหนึ่ง เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคมว่า
ประธานาธิบดีของสหรัฐแทบทุกคน
ต้องมีแม่ที่ดีอยู่เบื้องหลัง
ตนจึงว่าวัฒนธรรมไทยดีที่สุดในโลก
เพราะอะไรก็ขึ้นต้นด้วยแม่ เช่น แม่น้ำ
แม่จึงเป็นผู้สำคัญยิ่งที่จะสอนลูกให้มีอนาคต
แม่เป็นตัวอย่างของลูกที่ลูกเห็นตั้งแต่เด็กจนโต
แม่สามารถให้ความรู้กว่าโรงเรียนดีๆ คือ
ความรู้จากความประพฤติของแม่
ที่ลูกจะคอยมองอยู่ตลอด
ผู้ปกครองได้ส่งลูกของท่านมาโรงเรียนนี้เพื่อหวังให้จบไป
แล้วสอบเข้ามหาวิทยาลัยดีในโลกได้
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ
การให้ลูกรู้จักการตอบแทนบุญพ่อแม่
พ่อแม่สอนเอาไว้ว่า ถ้าใครมีบุญคุณต่อท่าน
ลูกต้องตอบแทนบุณคุณทันที
ขณะที่คนแต๊จิ๋วสอนลูกเอาไว้อย่างนี้ว่า
ลูกต้องตอบแทนต่อผู้ที่มีบุญคุณ
แต่ต้องพยายามเป็นหัวไก่ดีกว่าเป็นหางงู คือ
สู้เป็นเถ้าแก่ดีกว่าที่จะเป็นลูกน้องในบริษัทใหญ่ๆ
แต่สำหรับเราไม่ใช่ เราต้องตอบแทนบุญคุณต่อคนที่มีบุญคุณเป็นสำคัญ
เมื่อตนจะสอนลูก เรื่องที่สำคัญที่สุดคือ
1.ลูกต้องรู้จักการตอบแทนบุญคุณ โดยเฉพาะพ่อแม่
และอย่าลืมตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน
เมื่อตนออกไปลงทุนทั่วโลก
จะต้องมีการปักธงชาติไทยและ
มีรูปของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ
เพื่อให้ต่างชาติรับรู้ว่า เมืองไทยก็มีบริษั่ทใหญ่ข้ามชาติอยู่เช่นกัน
และมีนักธุรกิจที่พอมีชื่อเสียง
แล้วเมื่อไหร่ที่ลูกจะได้อะไรจากพ่อแม่
เราจะต้องบอกว่า วันนี้เป็นหน้าที่ของพ่อแม่
เพราะลูกยังหาเงินไม่ได้ ทุกบาททุกสตางค์พ่อแม่หาให้
แต่เมื่อลูกเติบใหญ่แล้วทำงานแล้ว
ลูกต้องเลี้ยงพ่อแม่ ถือเป็นหน้าที่ของลูกที่ต้องทำ
อันนี้เป็นวัฒนธรรมสำคัญอีกอย่างหนึ่ง
เรื่องที่ 2 คือการสอนลูกให้รู้จักการเสียเปรียบและ
อย่าเอาเปรียบเพื่อน การเอาเปรียบใครก็ตามนับเป็นวิธีที่ไม่ฉลาด
ถ้าเราไปเอาเปรียบคนอื่นแม้แต่ 1 บาท
เขาจะเสียใจและไม่พอใจ จะไปบอกต่อว่า
เราไม่น่าคบชอบเอาเปรียบ แต่ถ้าเราเสียเปรียบให้เพื่อน 10 บาท
เขาจะดีใจบอกว่าเป็นคนคบได้ เป็นคนดีอย่างนั้นอย่างนี้
ไม่เคยเอาเปรียบใคร ปากต่อปาก
เป็นการโฆษณาไปในตัวโดยไม่เสียสตางค์
เรื่องที่ 3 คือรู้จักการมองความดีของคนอื่นและนำมาศึกษา
ดูว่าเขาเก่งอะไร เพราะทุกคนมีความดีและมีข้อด้อย
เราควรเสาะหาจุดเด่นแต่ไม่ควรหาจุดด้อย
เพราะนอกจากจะได้เรียนรู้แล้ว
เราจะยังรู้สึกเคารพในตัวคนๆ นั้นด้วย และในโลกนี้
เมื่อเรามีความเคารพให้ใคร
เขาก็จะเกรงใจและเคารพเรากลับมาเช่นกัน
ถือเป็นเรื่องปกติ นอกจากนี้ อย่าดูถูกคนที่ด้อยกว่า
เราต้องยกย่องคนที่ด้อยกว่าด้วย ต้องส่งเสริมและช่วยเหลือ
"เราเรียนเก่งอย่างเดียวไม่พอ
ต้องให้เด็กรู้ว่าบุญคุณของพ่อแม่เป็นอย่างไร
เราต้องพยายามเรียนให้ดี แต่ไม่จำเป็นต้องได้ที่ 1
แต่อย่าทำให้สังคมเดือดร้อน
ทำให้สังคมมีความเจริญรุ่งเรื่อง
นั่นแหละคือการตอบแทนบุญคุณ" นายธนินท์ กล่าว
4. บุคคลใด ที่ไม่ใช้ความขยัน ความอดทน
ความพยายาม ไม่ทุ่มเท ไม่มีความรับผิดชอบสูง
ทำงานให้มากกว่าคนอื่น ไม่มีความกตัญญู
ไม่รู้จักบุญคุณ ต่อให้เรียนเก่งอย่างไรก็ไม่ประสบความสำเร็จ
ส่วนคนที่เก่งเพราะมีพรสวรรค์
ไม่ต้องพยายามมากก็สามารถสอบได้ที่ 1
คนเหล่านี้น่าเป็นห่วง เพราะไม่เคยถูกตำหนิ
อย่าลืมว่าเรียนเก่งอย่างเดียว
ไม่ได้หมายความจะสำเร็จ
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
วันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
ธนินท์ เจียรวนนท์ ถอดสูตรความสำเร็จผู้นำ-ย้ำทฤษฎี2สูงแก้วิกฤตศก.ชาติได้
ไม่ บ่อยครั้งที่เจ้าสัวซี.พี. "ธนินท์ เจียรวนนท์"
จะออกมาพูดอะไรบ่อยๆ และทุกครั้งที่พูดจะแฝงแง่คิด
มุมมองในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจอยู่เสมอ
ล่าสุดเจ้าสัวซีพี.กล่าวสุนทรพจน์พิเศษ
"จริยธรรมของผู้นำ"
ยกเหตุทำไมคนจีนทำมาค้าขายจนยิ่งใหญ่เป็นเบอร์1ของโลก
ยันศก.ยังไทยรุ่งที่สุด
ย้ำ"ทฤษฎี2สูง"จะช่วยพาประเทศผ่านวิกฤตไปได้
...................
เหตุการณ์ จลาจลกลางเมืองในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
มิได้ก่อให้เกิดความสูญเสียให้กับเศรษฐกิจ
สังคมและประเทศชาติเท่านั้น
แต่ก่อให้เกิดคำถามมากมายขึ้นในสังคมไทย
โดยเฉพาะ "ผู้นำ" ของประเทศ
จนนำไปสู่การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลในที่สุด
เมื่อเร็ว ๆ นี้ "ธนินท์ เจียรวนนท์"
ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์
กล่าวสุนทรพจน์พิเศษ หัวข้อ "จริยธรรมของผู้นำ"
ในพิธีในงานฉลองการสำเร็จการศึกษาของนักเรียนเกรด 12 รุ่นที่ 1
ณ โรงเรียนนานาชาติ คอนคอร์เดียน เขตบางนา กทม.
ที่สะท้อนให้เห็นถึงคุณสมบัติที่โดดเด่นของผู้นำที่ประสบความสำเร็จ
ในโลกยุคใหม่ที่น่าสนใจ
โดยเน้นย้ำว่า ผู้นำ
ผู้ที่ประสบความสำเร็จ
จะต้องเป็นผู้มีคุณธรรมและจริยธรรม
และต้องตอบแทนผู้มีพระคุณ
ทั้งพ่อแม่ ครู อาจารย์ และแผ่นดิน
และที่สำคัญที่สุดจะต้องมีความสามัคคี
"ประเทศไทยมีวัฒนธรรมที่ดีที่ สุดในโลก
อะไรก็ขึ้นด้วยแม่ เช่น แม่น้ำ แม่เป็นหลักของคน
เด็กจะมีอนาคตที่ดีหรือไม่มีอนาคต
แม่ถือเป็นหลักสำคัญของลูก
เด็กมาโรงเรียนได้ความรู้อย่างหนึ่ง
แต่ความรู้ที่ดีกว่าที่โรงเรียน คือ
ความประพฤติของพ่อแม่
ที่เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดของลูก"
"ท่านผู้ปกครอง ส่งลูกมาเรียนโรงเรียน
เพราะท่านต้องการให้ลูกมีความรู้
เพื่อไปสอบเข้ามหาวิทยาลัยดี ๆ ในโลก
แต่เรื่องสำคัญกว่า
คือการสอนลูกให้รู้จักตอบแทนบุญคุณ
ตรงนี้เป็นเรื่องอันดับหนึ่งที่คนที่เป็นพ่อแม่ต้องทำ"
"ธนินท์" เปรียบเทียบความสำเร็จของนักธุรกิจ 3 กลุ่มในประเทศจีนให้ฟังว่า
" ในสมัย 90-100 ปีก่อน นักธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ของจีน มีทั้งหมด 3 กลุ่ม
กลุ่มที่ใหญ่ที่สุดมาจากหลิงปอ อยู่ใต้เซี่ยงไฮ้
กลุ่มที่สองแต้จิ๋วมาจากฮกเกี้ยน ที่ซัวเถา
กลุ่มที่ 3 มาจากกุนโจว อยู่ใต้เซี่ยงไฮ้
ลี กา-ชิงมาจากซัวเถา ในภาคสมัยโบราณ
ลี กา-ชิงจะไม่มีโอกาสเป็นเบอร์หนึ่งของคนจีน
จะต้องเป็นเบอร์สอง
แต่วันนี้เพราะว่าเขาใช้ระบบ
ใช้คนอังกฤษ ใช้คนหลิงปอ มาเป็นผู้นำ
ทำให้ลี กา-ชิงมีโอกาสลงทุนไปทั่วโลก
แล้วร่ำรวยอันดับที่ 14 ของโลก
ถ้าลี กา-ชิงไม่มีระบบใหม่จะไม่มีทางสู้กับคนหลิงปอได้
เพราะคนหลิงปอมีวัฒนธรรม
แต่วันนี้วัฒนธรรมของคนหลิงปอหายไปเยอะ"
"ธนินท์" บอกว่า วัฒนธรรมของแต่ละกลุ่ม
มีความสำคัญต่อความสำเร็จของนักธุรกิจ
" วัฒนธรรมของคนหลิงปอสอนเอาไว้ว่า
ถ้าใครมีบุญคุณต่อท่าน ต่อลูก
ลูกต้องตอบแทนบุญคุณตลอดชีวิต
แต่คนแต้จิ๋วสอนลูกเอาไว้ว่า
จะต้องตอบแทนบุญคุณต่อผู้ที่มีบุญคุณ
และต้องพยายามพัฒนาตัวเองให้เป็นเถ้าแก่
หรือภาษิตโบราณว่าไว้ว่าเป็นหัวไก่ดีกว่าเป็นหางงู
คือให้ไปอยู่ในบริษัทใหญ่ ๆ
แม้จะได้เป็นผู้จัดการใหญ่ก็สู้การไปเป็นเถ้าแก่เองไม่ได้
แต่สำหรับ คนหลิงปอไม่ใช่
พ่อแม่ของคนหลิงปอจะสอนว่า
ต้องตอบแทนบุญคุณผู้ที่มีบุญคุณต่อท่าน ต่อลูก
ลูกต้องตอบแทนบุญคุณตลอดชีวิต
เลยทำให้หลิงปอยิ่งทำธุรกิจก็ยิ่งใหญ่
แต่แต้จิ๋วมีเถ้าแก่เยอะ
วันนี้ในเมืองจีนจึงขึ้นมาเป็นที่สอง
มีระบบใหม่ ใช้คนเก่งในโลก
เลยทำให้คนแต้จิ๋วก็มีโอกาสเป็นที่หนึ่งในโลก
วันนี้ กลุ่มที่เป็นที่สามก็ยังเป็นที่สาม
แต่รู้สึกว่าถ้าเขามีการผนึกกำลัง
มีความสามัคคีมาก
ในอนาคตอาจจะขึ้นมาเป็นเบอร์หนึ่งของจีน คือ
พวกกุนโจว เป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่กำลังผนึกกำลังทั่วโลก
ความสามัคคีจะทำให้เขาได้รับชัยชนะได้ในที่สุด"
"สรุปว่าผู้ที่สำเร็จจะต้องมีคุณธรรมที่รู้จักตอบแทนบุญคุณ
โดยเฉพาะต้องตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ แล้วรู้จักสามัคคี"
" ธนินท์" ย้ำว่า เราต้องตอบแทนบุญคุณต่อคนที่มีบุญคุณเป็นสำคัญ
โดยตนจะสอนลูกเสมอ ๆ ว่า
เรื่องที่สำคัญที่สุดคือ ลูกต้องรู้จักการตอบแทนบุญคน
โดยเฉพาะพ่อแม่ และอย่าลืมตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน
กลุ่มซีพีออกไปลงทุนทั่วโลก
ก็จะบอกกับคนในประเทศนั้นว่าเราเป็นคนไทย
จะต้องมีการปักธงชาติไทยและ
มีรูปของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
เพื่อให้ต่างชาติรับรู้ว่า ประเทศไทยก็มีบริษัทใหญ่
ที่มาลงทุนข้ามชาติเหมือนกัน
คนไทยก็ได้รับเกียรติ
วันนี้หากลูกจะได้อะไรจากพ่อแม่ เราจะต้องบอกว่า
วันนี้เป็นหน้าที่ของพ่อแม่เพราะลูกยังหาเงินไม่ได้
ทุกบาททุกสตางค์พ่อแม่ให้ได้
แต่เมื่อลูกเติบโต มีความรู้
สามารถทำมาหากินได้แล้ว
ลูกต้องเลี้ยงพ่อแม่ ถือเป็นหน้าที่ของลูกที่ต้องทำ
อันนี้เป็นวัฒนธรรมสำคัญอีกอย่างหนึ่ง
สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งที่พ่อแม่ต้องสอนลูกในวันที่ลูกยังเป็นเด็ก
นั่นคือ ต้องสอนลูกให้รู้จักการเสียเปรียบและอย่าเอาเปรียบเพื่อน
การเอาเปรียบใครคนอื่นนับเป็นวิธีที่ไม่ฉลาด
ถ้าเราไปเอาเปรียบคนอื่นแม้แต่ 1 บาท
เขาจะเสียใจและไม่พอใจ จะไปบอกต่อว่า
เราไม่น่าคบชอบเอาเปรียบ
แต่ถ้าเรายอมเสียเปรียบให้เพื่อน 10 บาท
เอาเงิน 10 บาทไปเลี้ยงเพื่อน
เพื่อนก็จะดีใจบอกว่าเราเป็นคนดี
คนคบได้ ไม่เคยเอาเปรียบใคร ปากต่อปาก
เป็นการโฆษณาไปในตัวโดยไม่เสียสตางค์มากมาย
ที่มากกว่านั้น ต้องสอนลูกให้รู้จักมองความดีของคนอื่น
แล้วนำมาศึกษาดูว่าเขาเก่งอะไร
เพราะทุกคนมีความดีและมีข้อด้อย
เราควรเสาะหาจุดเด่นแต่ไม่ควรหาจุดด้อย
เพราะนอกจากจะได้เรียนรู้แล้ว
เราจะยังรู้สึกเคารพในตัวคนคนนั้นด้วย
และในโลกนี้ เมื่อเรามีความเคารพให้ใคร
เขาก็จะเกรงใจและเคารพเรากลับมาเช่นกัน
ถือเป็นเรื่องปกติ นอกจากนี้ อย่าดูถูกคนที่ด้อยกว่า
เราต้องยกย่องคนที่ด้อยกว่าด้วย
ต้องส่งเสริมและช่วยเหลือ
"บุคคลใดที่ไม่ใช้ความขยัน ความอดทน
ความพยายาม ไม่ทุ่มเท ไม่มีความรับผิดชอบสูง
ทำงานให้มากกว่าคนอื่น ไม่มีความกตัญญู
ไม่รู้จักบุญคุณ ต่อให้เรียนเก่งอย่างไรก็ไม่ประสบความสำเร็จ
ส่วนคนที่เก่งเพราะมีพรสวรรค์
ไม่ต้องพยายามมากก็สามารถสอบได้ที่ 1 คนเหล่านี้น่าเป็นห่วง
เพราะไม่เคยถูกตำหนิ
อย่าลืมว่าเรียนเก่งอย่างเดียวไม่ได้หมายความจะสำเร็จ"
"ธนินท์" ชี้ให้เห็นว่า คนที่เก่งอย่างเดียวไม่ใช่
คนที่ประสบความสำเร็จเสมอไป
คนที่จะประสบความสำเร็จต้องมีองค์ประกอบหลายอย่าง
ก่อนกลับ "ธนินท์" ได้ให้แนวทางในการนำพาประเทศผ่านวิกฤตไว้ว่า
ประเทศไทยต้องดูตัวอย่างญี่ปุ่น
ที่ต้องเผชิญหน้าความพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 จนเศรษฐกิจพังยับ
หรือไต้หวันที่ต้องผจญกับภัยธรรมชาติมากมาย
แต่ทั้ง 2 ประเทศก็ใช้เวลาเพียงไม่กี่ปี
ก็สามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำทางด้านเศรษฐกิจได้
"ผมเป็นคนมองโลกในแง่ดีไว้ก่อน
และเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจของเมืองไทยเวลานี้รุ่งที่สุดในประวัติศาสตร์
ประเทศไทยมีเงินตราต่างประเทศเหลืออยู่กว่า 1 แสนล้านยูเอสดอลลาร์
และการส่งออกยังเกินดุล ขนาดการเมืองแบบนี้
หุ้นก็ยังขึ้นเรื่อย ๆ เพิ่งมาตก
เพราะการเงินของโลกมีปัญหา"
"เราต้อง มองบวก การเมืองแบบนี้หุ้นก็ยังขึ้นเอาขึ้นเอา
เพิ่งมาตก แล้วที่ตกก็ไม่ใช่การเมืองของเรา
การเงินของโลกมีปัญหา ผมอยากเรียนให้ทุกท่านทราบว่า
เมืองไทยเป็นประเทศที่ผลิตอาหารเลี้ยงโลก
เราผลิตข้าว ขายข้าวมากที่สุดในโลก
เราผลิตยางธรรมชาติ
ขายยางมากที่สุดในโลก
เราเป็นพระเอกตั้ง 2 ตัว"
"ประเทศเรา เพียง 60 กว่าล้านคน
เรามีสินค้าตั้ง 2 ตัวที่ขายไปต่างประเทศมากที่สุด
แล้วเชื่อว่ายางพาราจะต้องเติบโตไป แล้วเชื่อว่าข้าว
ราคายังต้องสูงขึ้นอีก ราคาปัจจุบันยังไม่ใช่ราคาที่ถูกต้อง
แต่ถ้าราคาแพงขึ้นสูงขึ้น ถ้ารัฐบาลเขาใช้
เขาก็ต้องปรับเงินเดือนขั้นต่ำให้สูงขึ้น
ปรับเงินเดือนข้าราชการให้สูงขึ้น"
"ธนินท์" ยังยืนยันว่าใช้ 2 สูง
จะทำให้ประเทศไทยก้าวข้ามพ้นจากวิกฤตได้
" ญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นประเทศที่แพ้สงคราม
เป็นหนี้รุงรัง ยากจนมาก แต่วันนี้ญี่ปุ่นเมื่อหลาย 10 ปีก่อน
ก็เป็นที่หนึ่งของโลกในแง่ของเศรษฐกิจ
เขาใช้ 2 สูงชัด ที่ดินราคาสูง สินค้าเกษตรราคาสูง"
"2 ตัวนี้เป็นทรัพย์สมบัติของญี่ปุ่นของประเทศ
แล้วงอกไม่ได้ มีเท่าไหร่ก็เท่านั้น
นี่คือทรัพย์สมบัติของชาติ แล้วสินค้าเกษตรเป็นน้ำมันบนดิน
สำคัญกว่าน้ำมันอีก แล้วประเทศเราผู้ผลิตน้ำมัน
สำคัญกว่าน้ำมันเพราะเขาผลิตมาเลี้ยงมนุษย์
เป็นพลังงานของมนุษย์แล้ว
ผู้ผลิตน้ำมันเลี้ยงมนุษย์จะจนได้อย่างไร
ถ้านโยบายถูกต้อง
เพราะฉะนั้นประเทศไทยต้องเรียนรู้จากญี่ปุ่น
เกษตรกรเขาไปเที่ยวทั่วโลกได้ตั้งหลาย 10 ปีก่อน
อยู่โรงแรม 5 ดาว
ข้าวสารเราไปขายกิโลกรัมละ 10 กว่าบาทในสมัยนั้นเขาไม่ซื้อ
เขาต้องการคนของญี่ปุ่น กินข้าว 100 กว่าบาท
นั่นหมายความว่าอะไร เขาใช้ 2 สูง"
"ถ้าใช้ 2 สูงเมื่อไหร่ เราไม่ได้เสียเปรียบใครเลย
เพราะเราซื้อน้ำมันเราก็ซื้อจากโลก
ทำไมเรากดน้ำมันของเราต่ำ
แล้วคนไทยเราจะรวยได้อย่างไร"
"ประเทศไต้หวันในอดีตก็ลำบากไม่แพ้ ญี่ปุ่น
เกษตรกรไต้หวันเจอใต้ฝุ่นเข้า ภูเขาก็เยอะ
ที่ดินทำกินก็น้อย แล้วมาเจอหน้าหนาวอีก
แล้วทำไมไต้หวันใช้เวลา 20 ปีเท่านั้น
จากยากจนกว่าเมืองไทยหลายเท่า ใช้ 20 ปี
เกษตรไต้หวันไปเที่ยวทั่วโลกได้
ทำไมเกษตรกรวันนี้ของเรายังไปเที่ยวทั่วโลกไม่ได้
ช่วยไปถามรัฐบาลหน่อย
ทุกอย่างเราดีกว่า แล้วอย่าเข้าใจผิด
ถ้าเกษตรกรหลาย 10 ล้านคนร่ำรวย
อุตสาหกรรมในประเทศจะร่ำรวยขึ้น
เรามีความสามารถไปแข่งขันกับโลก
ก็เท่ากับเรามีความสามารถผลิตสินค้าที่ต้นทุนถูก
คุณภาพดีมาขายให้กับเกษตรกร
ถ้าเกษตรกรมีกำลังซื้อ
สินค้าของเราส่วนหนึ่งอีกหลาย 10 ล้านคนมาซื้อสินค้า
จะทำให้อุตสาหกรรมของเรายิ่งเจริญรุ่งเรือง
ทำให้ธุรกิจบริการยิ่งมากขึ้น ยิ่งดีขึ้น
หมายความว่าต้องไปเอาจากภาคเกษตรขึ้นมาเป็นพนักงาน"
"ถ้าหากกำลังซื้อของคนยากจนมีมากขึ้น
ประเทศชาติได้ นักธุรกิจได้หมด
โดยเฉพาะข้าราชการเงินเดือนก็จะต้องสูง"
"วันนี้รัฐบาลยังไม่เข้าใจ เราบอกว่าข้าราชการคอร์รัปชั่น
แต่เรื่องความยากจนเราไม่แก้ไข"
" ธนินท์" ทิ้งท้ายว่า ปัญหาตอนนี้สถานการณ์บ้านเมืองยังไม่สงบ
รัฐบาลต้องทำให้เป็นธรรมทุกฝ่าย
และไม่ใช่เฉพาะผู้นำเท่านั้นที่จะต้องมีจริยธรรม
แต่ประชาชนทั้งประเทศ จะต้องมีคุณธรรมและจริยธรรม
แล้วต้องรู้จักตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน
ต้องรู้จักอภัยพ่อแม่ ไม่มีพ่อแม่คนไหนที่ถูกหมด
ถ้าเราจะไปหาความผิดของพ่อแม่ ก็มีเหมือนกัน
เพราะไม่มีคนไหนที่ไม่มีความผิด
มันต้องมีจุดอ่อนและจุดแข็ง
เราต้องไปดูว่าจุดแข็งของพ่อแม่อยู่ตรงไหน
พ่อแม่ก็มีผิดบ้าง เราต้องอภัย
เพื่อนฝูงก็เหมือนกัน ในสังคมก็เหมือนกัน
ต้องรู้จักอภัยซึ่งกันและกัน
อยู่กันด้วยความสันติ
ชีวิตด้านมืดที่ไม่มั่วของคนมีหัวคิด
ไทยรัฐ
เสียงดนตรี แสงสีในยามค่ำคืน
คือความน่าตื่นเต้นของวัยรุ่น
ซึ่งอยู่ในช่วงการเป็นนักทดลอง ที่อยากรู้ อยากเห็น
อยากลองไปเสียทุกเรื่อง
ผู้ชายอย่างโส่ย - นฤชิต ผาสถิตย์
ก็ เคยได้ผ่านชีวิตช่วงนั้นมาเช่นเดียวกัน
แต่สำหรับตัวเขานั้นแสงสีในยามค่ำคืน
กลับส่งผลในด้านบวก
เพราะทุกอย่างที่เป็นตัวเขาในวันนี้
ล้วนมาจากอาชีพการเป็นดีเจเปิดแผ่นตามเทค บาร์ ในช่วงดึก
การทำงาน เป็นดีเจเปิดแผ่นของโส่ย
เริ่มขึ้นเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว
ซึ่งตอนนั้นก็เหมือนวัยรุ่นคนนึง
ที่สนใจอยากทำสิ่งที่ตัวเอง ชอบ ซึ่งโส่ยเล่าว่า
"ช่วงวัยรุ่นตอน 19 -20 ปีผมเล่นสเก็ต และติดเที่ยวด้วย
เลยได้เห็นพวกดีเจเขาเปิดแผ่นมิกซ์เพลงกัน
และเราก็ชอบฟังพวกเพลงสากลด้วย
เลยรู้สึกว่าเรามีไอเดียที่จะคิดต่อเพลงได้
ตอนนั้นเลยไปเริ่มฝึกจริงจัง
และได้ไปเป็นผู้ช่วยดีเจที่ผับแถวสีลม
ตั้งแต่นั้นมาชีวิตเลยเปลี่ยน
กลายเป็นคนทำงานกลางคืน
นอนกลางวัน เรียนก็ไม่เรียน
พ่อแม่ก็ไม่ค่อยอยากให้ทำหรอก
เพราะกลัวจะไปติดยา
แต่พอเขาเห็นผมทำงานจริงๆ
และมีเงินเก็บก็เลยปล่อย"
ชีวิตของดีเจ โส่ยจึงเริ่มขึ้น ไปได้ด้วยดี
ทั้งที่ในผับเทค ก็รู้กันอยู่ว่าเต็มไปด้วย
แหล่งอโคจรทั้งเหล้า
บุหรี่ ผู้หญิง และการพนัน แต่สำหรับเขา
สิ่งเหล่านี้ไม่มีอยู่ในหัวแม้แต่นิดเดียว
"ผมทำงานกลางคืนก็จริงนะ
แต่เรื่องอบายมุขผมไม่เอาเลย
ที่เป็นแบบนี้เพราะมันฝังใจมาตั้งแต่เด็ก
ผมเคยทำงานอาทิตย์นึงได้ 200 บาท
พอเดินกลับบ้านเห็นเพื่อนนั่งเล่นไพ่กันอยู่
ผมก็เล่นกับเขาด้วย จนเงินหมดภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมง
ตอนนั้นผมคิดเลยนะว่าไม่เอาแล้ว
ส่วนเรื่องเหล้า บุหรี่ ผมก็เลี่ยงหมด เพราะเห็นๆอยู่
ว่าคนที่กิน ที่สูบสภาพมันเป็นยังไง
และผมไม่ก็อยากหน้าแก่(ยิ้ม) ยิ่งเรื่องผู้หญิงในผับ
ผมไม่ยุ่งเลย เพราะไ่ม่รู้เด็กใครบ้าง
เดี๋ยวจะมีเรื่องเปล่าๆด้วย (หัวเราะ)"
ดู เหมือนจะขัดกับอาชีพดีเจที่คนส่วนใหญ่มองเห็น
แต่การเป็นดีเจแบบโส่ยก็แตกต่างจากที่สังคมมองจริงๆ
เพราะวันนี้อาชีพดีเจสามารถสร้างความมั่นคงให้กับเขา จนมีทุกวันนี้
" ถ้าตามที่ทุกคนมอง มันก็ถูกครับ
อาชีพนี้ไม่มีความมั่นคงหรอก
ต้องอาศัยการมีเพื่อนเยอะ
และต้องมีความคิดสร้างสรรค์
ตลอดด้วยว่าจะทำไงให้คนฟังเพลง
หรือเจ้าของเทคถูกใจ
มันเลยไม่มีอะไรมาการันตีตายตัวได้หรอกว่า
ใครเก่งกว่า ทุกอย่าง มันอยู่ที่ประสบการณ์
แต่พอเข้าไปทำแล้วก็ไม่ใช่แค่เรื่องการทำงานที่ต้องดี
เรื่องสังคมที่นี่ก็ต้องระวังด้วย
เพราะมันมีสิ่งยั่วยุให้เสียคนได้ตลอด
ผมก็คิดนะ ถ้าผมพลาดไป
มันก็คงไม่มีวันนี้แน่ๆ
ผมก็ว่าตัวเองโชคดีที่คิดได้
และมีผู้ใหญ่คอยแนะนำตลอด"
ทุกวันนี้ชีวิตของดีเจโส่ยก็ก้าวมาอีกขั้น
กับการเป็นครูสอนมิกซ์เพลง
อยู่ที่ร้านขายอุปกรณ์เกี่ยวกับ
การเปิดแผ่นของเขาเองที่อาร์ซีเอ
เปลี่ยนจากหนุ่มกลางคืนมา
เป็นคนกลางวันอย่างเต็มตัว
ซึ่งดีเจโส่ยได้มองเกี่ยวกับชีวิตที่ผ่านมา
ไว้เป็นข้อคิดให้กับน้องๆ
วัยรุ่นที่ยังอยู่ในช่วงคึกคะนอง อยากลองของกันว่า
"ชีวิตกลางคืนผมว่ามันก็ต้องมีเกือบทุกคนนะ
สำหรับวัยรุ่นที่มาเที่ยวผับ เทค
แต่เวลามาต้องคิดบ้างว่าสังคมกลางคืนมันไม่มีอะไรจริงๆ
เหมือนโลกมายานั่นแหละ ต้องระวังใจตัวเองด้วย
เพราะบางคนพอได้มาก็ใจแตกไปเลย
ที่สำคัญถ้าคิดจะมาหาแฟนที่นี่นะ ผมว่าอย่าเลย
มันไม่ความจริงใจหรอก
คนดีๆ ในที่แบบนี้มันมีน้อยครับ"
เสียงดนตรี แสงสีในยามค่ำคืน
คือความน่าตื่นเต้นของวัยรุ่น
ซึ่งอยู่ในช่วงการเป็นนักทดลอง ที่อยากรู้ อยากเห็น
อยากลองไปเสียทุกเรื่อง
ผู้ชายอย่างโส่ย - นฤชิต ผาสถิตย์
ก็ เคยได้ผ่านชีวิตช่วงนั้นมาเช่นเดียวกัน
แต่สำหรับตัวเขานั้นแสงสีในยามค่ำคืน
กลับส่งผลในด้านบวก
เพราะทุกอย่างที่เป็นตัวเขาในวันนี้
ล้วนมาจากอาชีพการเป็นดีเจเปิดแผ่นตามเทค บาร์ ในช่วงดึก
การทำงาน เป็นดีเจเปิดแผ่นของโส่ย
เริ่มขึ้นเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว
ซึ่งตอนนั้นก็เหมือนวัยรุ่นคนนึง
ที่สนใจอยากทำสิ่งที่ตัวเอง ชอบ ซึ่งโส่ยเล่าว่า
"ช่วงวัยรุ่นตอน 19 -20 ปีผมเล่นสเก็ต และติดเที่ยวด้วย
เลยได้เห็นพวกดีเจเขาเปิดแผ่นมิกซ์เพลงกัน
และเราก็ชอบฟังพวกเพลงสากลด้วย
เลยรู้สึกว่าเรามีไอเดียที่จะคิดต่อเพลงได้
ตอนนั้นเลยไปเริ่มฝึกจริงจัง
และได้ไปเป็นผู้ช่วยดีเจที่ผับแถวสีลม
ตั้งแต่นั้นมาชีวิตเลยเปลี่ยน
กลายเป็นคนทำงานกลางคืน
นอนกลางวัน เรียนก็ไม่เรียน
พ่อแม่ก็ไม่ค่อยอยากให้ทำหรอก
เพราะกลัวจะไปติดยา
แต่พอเขาเห็นผมทำงานจริงๆ
และมีเงินเก็บก็เลยปล่อย"
ชีวิตของดีเจ โส่ยจึงเริ่มขึ้น ไปได้ด้วยดี
ทั้งที่ในผับเทค ก็รู้กันอยู่ว่าเต็มไปด้วย
แหล่งอโคจรทั้งเหล้า
บุหรี่ ผู้หญิง และการพนัน แต่สำหรับเขา
สิ่งเหล่านี้ไม่มีอยู่ในหัวแม้แต่นิดเดียว
"ผมทำงานกลางคืนก็จริงนะ
แต่เรื่องอบายมุขผมไม่เอาเลย
ที่เป็นแบบนี้เพราะมันฝังใจมาตั้งแต่เด็ก
ผมเคยทำงานอาทิตย์นึงได้ 200 บาท
พอเดินกลับบ้านเห็นเพื่อนนั่งเล่นไพ่กันอยู่
ผมก็เล่นกับเขาด้วย จนเงินหมดภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมง
ตอนนั้นผมคิดเลยนะว่าไม่เอาแล้ว
ส่วนเรื่องเหล้า บุหรี่ ผมก็เลี่ยงหมด เพราะเห็นๆอยู่
ว่าคนที่กิน ที่สูบสภาพมันเป็นยังไง
และผมไม่ก็อยากหน้าแก่(ยิ้ม) ยิ่งเรื่องผู้หญิงในผับ
ผมไม่ยุ่งเลย เพราะไ่ม่รู้เด็กใครบ้าง
เดี๋ยวจะมีเรื่องเปล่าๆด้วย (หัวเราะ)"
ดู เหมือนจะขัดกับอาชีพดีเจที่คนส่วนใหญ่มองเห็น
แต่การเป็นดีเจแบบโส่ยก็แตกต่างจากที่สังคมมองจริงๆ
เพราะวันนี้อาชีพดีเจสามารถสร้างความมั่นคงให้กับเขา จนมีทุกวันนี้
" ถ้าตามที่ทุกคนมอง มันก็ถูกครับ
อาชีพนี้ไม่มีความมั่นคงหรอก
ต้องอาศัยการมีเพื่อนเยอะ
และต้องมีความคิดสร้างสรรค์
ตลอดด้วยว่าจะทำไงให้คนฟังเพลง
หรือเจ้าของเทคถูกใจ
มันเลยไม่มีอะไรมาการันตีตายตัวได้หรอกว่า
ใครเก่งกว่า ทุกอย่าง มันอยู่ที่ประสบการณ์
แต่พอเข้าไปทำแล้วก็ไม่ใช่แค่เรื่องการทำงานที่ต้องดี
เรื่องสังคมที่นี่ก็ต้องระวังด้วย
เพราะมันมีสิ่งยั่วยุให้เสียคนได้ตลอด
ผมก็คิดนะ ถ้าผมพลาดไป
มันก็คงไม่มีวันนี้แน่ๆ
ผมก็ว่าตัวเองโชคดีที่คิดได้
และมีผู้ใหญ่คอยแนะนำตลอด"
ทุกวันนี้ชีวิตของดีเจโส่ยก็ก้าวมาอีกขั้น
กับการเป็นครูสอนมิกซ์เพลง
อยู่ที่ร้านขายอุปกรณ์เกี่ยวกับ
การเปิดแผ่นของเขาเองที่อาร์ซีเอ
เปลี่ยนจากหนุ่มกลางคืนมา
เป็นคนกลางวันอย่างเต็มตัว
ซึ่งดีเจโส่ยได้มองเกี่ยวกับชีวิตที่ผ่านมา
ไว้เป็นข้อคิดให้กับน้องๆ
วัยรุ่นที่ยังอยู่ในช่วงคึกคะนอง อยากลองของกันว่า
"ชีวิตกลางคืนผมว่ามันก็ต้องมีเกือบทุกคนนะ
สำหรับวัยรุ่นที่มาเที่ยวผับ เทค
แต่เวลามาต้องคิดบ้างว่าสังคมกลางคืนมันไม่มีอะไรจริงๆ
เหมือนโลกมายานั่นแหละ ต้องระวังใจตัวเองด้วย
เพราะบางคนพอได้มาก็ใจแตกไปเลย
ที่สำคัญถ้าคิดจะมาหาแฟนที่นี่นะ ผมว่าอย่าเลย
มันไม่ความจริงใจหรอก
คนดีๆ ในที่แบบนี้มันมีน้อยครับ"
Techno Tenminmix by Dj Maka Thailand Happy New Year 2009