- http://www.supawangreen.in.th/forum/viewtopic.php?t=1029
- http://www.supawangreen.in.th/upload_files/Download/ex_user_moraldiet.pdf
- http://teetwo.blogspot.com/2009/09/blog-post_2401.html
in the bathroom, We know the three bedrooms
are next to the bathroom
and the living room is downstairs and
our children are watching television,
but although we know they are facts,
they are not reality.
Reality is our immediate sensory experience,
which is everything we can sense In the bathroom.
Everything apart from that, although they are facts,
they are not real and therefore
they can be faulty because our children
could not be in the kitchen instead and
our living room might be on fire or flooded.
We can see that the immediate
event of the bedrooms and the living room exist only
in our thoughts and memory and therefore not reality.
Consequently, all the thoughts which are too far away
like thinking about yesterday, tomorrow or thinking about
our intellectual knowledge and so on
are not reality according to this meaning I put forward.
They are not reality because they are not
our immediate sensory experience.
We can subsequently see that reality
in this meaning moves with ourselves.
As a result, reality as the immediate
moment is a constant dynamic moment,
which exists exactly like
the second hand of a clock, which doesn’t stop.
Once we finish our business in the bathroom
and walk into the bedroom, our reality changes.
The bathroom becomes a dream and the bedroom
becomes reality.
We later come downstairs and into the living room,
our immediate reality moves along with us.
If we want to understand the Ultimate reality or
Nirvana that the Buddha talked about,
we must first of all understand
reality in this simple meaning.
.......... สมมติว่าเรากำลังทำธุระส่วนตัวอยู่ในห้องน้ำ
เรารู้อยู่ว่ามีห้องนอนสามห้องอยู่ติดกับห้องน้ำ
และ ห้องนั่งเล่นอยู่ที่ชั้นล่าง
และลูกๆกำลังดูโทรทัศน์กันอยู่
สิ่งต่างๆเหล่านี้เรารู้ว่ามันมีอยู่ แต่มันก็ไม่ใช่ "ความจริง"
"ความจริง" คือสิ่งที่เราประสบและสัมผัสอยู่เฉพาะตรงหน้า
ซึ่งก็คือทุกสิ่งทุกอย่าง
ที่เรารับรู้ได้ในห้องน้ำที่เรากำลังทำธุระอยู่
ทุกสิ่งทุกอย่าง "ความจริง"
ดังนั้นก็อาจจะผิดไปจากที่เรารู้ก็ได้ เช่น
ลูกๆของเราอาจจะอยู่ในห้องครัว
แทนที่จะอยู่ที่ห้องนั่งเล่น
หรือว่า ห้องนั่งเล่นของเรากำลังถูกไฟไหม้ หรือ
ถูกน้ำท่วมจะเห็นได้ว่า ปรากฏการณ์ของห้องนอน
หรือ ห้องนั่งเล่น มีอยู่ก็เฉพาะในความคิด
หรือ ในความทรงจำของเราเท่านั้น
นั่นก็คือ มันไม่ใช่ "ความจริง"
ดังนั้น บรรดาความคิดทั้งหลายที่ห่างไกลออกไปจากตัวเรา
อย่างเช่นการคิดถึงเรื่องเมื่อวานนี้
การคิดถึงเรื่องพรุ่งนี้ หรือ การคิดคำนึงเกี่ยวกับ
ความรู้ความจำทั้งหลาย
ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ "ความจริง"
ในความหมายที่จะหมายถึง
มันไม่ใช่ความจริง เพราะมันไม่ใช่การรับรู้
จากประสาทสัมผัสเฉพาะหน้าของเรา
เราจะเห็นได้ว่า "ความจริง"
ในความหมายนี้ เคลื่อนไปพร้อมๆกับเรา
"ความจริง" ของขณะเฉพาะหน้านี้
เป็นปัจจุบันขณะแห่งความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
ซึ่งปรากฏอยู่คล้ายดั่งเข็มวินาที ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง
เมื่อเราเสร็จธุระของเราในห้องน้ำและ
เดินเข้ามาในห้องนอน "ความจริง"
ของเราก็เปลี่ยนแปลงไป
ห้องน้ำกลายเป็นความฝัน
และห้องนอนกลายเป็นความจริง
แล้วเราก็เดินลงบันได เข้าไปที่ห้องนั่งเล่น
ความจริงเฉพาะหน้า เคลื่อนตามเราไป
ถ้าเราต้องการเข้าใจความจริงอันสูงสุดของ "พระนิพพาน"
ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้
เราต้องทำความเข้าใจกับ
"ความจริง" ในความหมายเรียบง่ายอย่างนี้ก่อน
..............