Custom Search

Jan 30, 2008

เรวัต พุทธินันทน์ คนดนตรีที่สร้างความยิ่งใหญ่ให้กับ "แกรมมี่"



"แกรมมี่" เป็นบริษัทที่เริ่มทำธุรกิจบันเทิงในแขนงนี้แห่งแรก
เป็นตัวเปิดตลาดการทำธุรกิจในแนวนี้ให้แพร่ขยายไปมากขึ้น
และนับได้ว่าเป็นบริษัทที่ประสบความสำเร็จสูงสุด
ภายใต้การบริหารของบุคคลที่ร่วมสร้างแกรมมี่ให้ผงาดขึ้นมา
และบุคคลสำคัญหนึ่งในนั้นก็คือ

เรวัต พุทธินันทน์ หรือ พี่เต๋อ
ที่เราเรียกกันติดปากนั่นเอง


"การที่เราคิดทำในสิ่งที่ดี หรือว่าอยากคิดทำอะไร
ในสิ่งที่เป็นประโยชน์กับคนในสังคม บางครั้ง
มันก็จะต้องมีสิ่งที่มาบั่นทอนความรู้สึกตลอดเวลาโดยเรื่องไร้สาระ
เพราะมันเป็นเรื่องของมนุษย์ และมันเป็นภาพสะท้อนให้เห็นว่า
ในสังคมเรายังต้องการการพัฒนาอีกเยอะมากในทุกจุด
แม้กระทั้งในเรื่องของจิตใจคน"


"ผมเรียนมาทางด้านการเงินการธนาคารแต่ชีวิตผม
ตั้งแต่ช่วงเรียนหนังสือมาแล้วจะเกี่ยวพันกับดนตรีมาตลอด
ผมชอบดนตรีอยู่แล้วการที่ผมมาทำงานเกี่ยวกับเรื่องดนตรี
ก็เพราะความรักส่วนหนึ่ง แต่ว่าในเรื่องของชีวิต
ตั้งแต่ก่อนที่ผมเรียนหนังสือจนกระทั่งเรื่องการศึกษา
ที่ผมเรียนอยู่ มันทำให้คิดไปว่าดนตรีจริงๆ
มันเป็นวัฒนธรรม เป็นสิ่งที่ผูกพันกับชีวิตคน
ซึ่งจนถึงขณะนี้ ผมก็มองเรื่องของการดนตรีว่า
มันไม่ไปถึงไหน อยู่แถวๆ นั้น


ในขณะที่ประเทศอื่นๆ ดนตรีมันไปกว้างไกลเหลือเกิน
ดนตรีกับคนไทยมันจะอยู่ห่างกันมากเลย
สำหรับดนตรีต้องเป็นคนที่รักจริงๆ ถึงจะเข้าใกล้
ไม่งั้นมันก็ผ่านไปผ่านมา แต่ในบางประเทศ
ความใกล้ชิดระหว่างดนตรีจะมีเยอะมาก

การพัฒนาในหลายๆ องค์กร
ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีหรือว่าวัฒนธรรม
ในการกินการอยู่ การใช้ชีวิตประจำวัน
ประเทศเราก็กำลังตามคนอื่นที่เขาเรียกว่า
เป็นอารยประเทศไปอยู่แล้ว ตรงนั้น
ผมก็มาคิดว่า ในเมื่อดนตรีเขาไปถึงตรงนั้นแล้ว
ทำไมเรายังไม่ไปไหนอีกเลย
คิดว่ามันควรจะต้องมี
คนที่มาทุ่มเทตรงนี้กับมันมั่ง ถึงจะเกิดอะไรขึ้น"


และจากความคิดที่เริ่มก่อตัวขึ้น
โดยมีความหวังจะให้มีการพัฒนาทางด้านดนตรี
ขึ้นในบ้านเรานี่เอง เป็นแรงผลักดันให้
คุณเรวัต เริ่มสนใจที่จะทำธุรกิจทางด้านดนตรี


"คำว่าธุรกิจทางด้านดนตรี ในสมัยนั้นมันไม่ได้เป็นธุรกิจทั้งหมด
คือของเราอาจจะเรียกกันว่ามันเป็นแบบ งูๆ ปลาๆ
เพราะเราคิดกันว่าดนตรีมันเป็นเรื่องของการบันเทิง
มันเป็นสิ่งที่ไม่ซีเรียส จึงไม่มีใครสนใจ
กับมันอย่างจริงจัง ให้มันผ่านไปแล้วก็ผ่านมา


เหมือนกับคำพูดที่เราเรียกกันว่า เต้นกินรำกิน
อะไรทำนองนี้ มันเป็นเรื่องที่ไร้สาระ
แต่คนที่รักดนตรีจริงๆ เขาไม่ได้คิดอย่างนั้น
ผมคนนึงก็ไม่ได้คิดอย่างนั้นผมกลับมองว่า
จริงๆ ดนตรีมันมี momentum ใหญ่มากเลย
สำหรับประเทศไทย ซึ่งมันจะต้องเป็นไปได้ในอนาคต
แต่ว่าใครล่ะจะเป็นคนทำ
ซึ่งผมก็ไม่ได้คิดว่าจะลงมือทำอะไรได้มาก
ผมคิดว่าคงจะมีคนที่ความสามารถหรือผู้ผลักผู้ใหญ่
ที่เขาจะมีความชอบทางนี้ ซึ่งถ้าเรารู้อะไร
เราก็พอจะช่วยเหลือได้บ้างผมคิดว่าผมจะเดินบนเส้นนี้
ผมถึงตัดสินใจเลือกอาชีพดนตรี
หลังจากเรียนจบผมเริ่มเป็นคนดนตรีอาชีพตั้งแต่ตอนนั้น
ใช้เวลาเวียนว่ายตายเกิดในการระหกระเหิน
สนุกสนาน เจ็บปวด ยิ้มกับชีวิต ตรงนี้ on the road เป็นสิบๆ ปี
ในที่สุดผมก็ตัดสินใจว่า ผมเลิก on the road แล้ว


จะต้องออกมาทำอะไรสักอย่างหนึ่ง
ช่วงนั้นก็พอดีได้มาพบกับหลายๆ คนที่นี่ ไม่ว่าจะเป็น
บุษบา ดาวเรือง คุณกิตติศักดิ์ ซึ่งเราก็มีจุดหมาย
หลายอย่างที่ใกล้เคียงกัน
แน่นอนว่าเรื่องดนตรีที่ทุกคนเสพย์อยู่ในโลกนี้
ทุกวันนี้มันเป็นเรื่องของธุรกิจ มันเป็นธุรกิจ
ที่นำความบันเทิงไปสู่ประชาชน
ประชาชนก็แลกมาด้วยการจ่ายเงิน
ซึ่งจะว่าไปแล้ว มันเป็นการซื้อความสุขที่ถูกมาก
ในการซื้อธุรกิจที่เผอิญมันเป็นธุรกิจที่มีอาร์ตเข้ามาเจือปน
เป็นแกนในการให้ความเสน่หาส่วนบุคคล


จุดประสงค์ที่ผมเข้ามาตรงนี้มันมี 2 อย่าง คือ
อย่างแรกเป็นสิ่งที่ผมคิดอยู่ตลอดเวลาว่า
คำว่าดนตรีบ้านเราเมื่อไหร่มันจะเป็น
business สักที เพราะว่าอะไรก็แล้ว
แต่ถ้ามันไม่เป็นธุรกิจ
การเจริญเติบโตมันจะไม่มีการผลักดัน
มันจะไม่มีเม็ดเงินมาล่อ
ให้คนตะเกียกตะกายกันอีกจุดประสงค์ก็คือ
ธุรกิจมันถูกผลักดันแล้ว
เชื่อมั่นว่าจะเกิดการแข่งขัน
เพราะการทำอะไรก็แล้วแต่
ถ้ามันขยายกว้างออกไป
มันจะเกิดการแข่งขัน มันจะเกิดพัฒนาการ
เกิดการยกระดับมาตรฐาน
ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าสิ่งต่างๆ เหล่านั้นที่เราทำ
คนที่เข้าไปร่วมอยู่ในธุรกิจนั้น
เป็นคนอย่างไร ซึ่งตรงนี้
เป็นสิ่งที่ในต่างประเทศเขา
ทำกันมาตลอดผมเชื่อมั่นว่า
สักวันหนึ่งทุกอย่าง
มันจะถูกจัดแบ่งลงตัวด้วยธรรมชาติ
เหมือนกับทุกสิ่งที่ผมคิด

แล้วในที่สุดเราก็เริ่มลุยงานกัน
โดยมีคุณไพบูลย์เป็นหัวเรือใหญ่

เป็นแบ็คอัพ ทำกันมาเรื่อย
จนถึงวันนี้ก็ปีที่ 11 แล้ว
เราทำจากที่ไม่มีแม่แบบอะไรให้ศึกษาเลย
เราก็ทำกันมา พยายามทำทุกอย่าง
ซึ่งถูกบ้างผิดบ้าง
ก็พยายามทำให้มันดีที่สุด
ได้ตามอัตภาพ และสถานภาพของไทยเราซึ่ง
ตรงนี้ factor มันเยอะมาก
เราก็ถูกประเมินจากสังคมว่าเราประสบความสำเร็จ
ตรงนี้ในเรื่องส่วนตัว ผมก็มีความภูมิใจ ดีใจ

และขอบคุณสำหรับคนที่เห็น ที่มองในแง่ดี

แต่ในเวลาเดียวกันในการทำธุรกิจ
ไม่ว่าอะไรก็แล้วแต่สำหรับบ้านเรา

ถ้ามีคำว่าธุรกิจมาเกี่ยวข้องด้วย มักจะถูกรุม
ซึ่งตรงนี้เราก็อยู่ในฐานะนั้นอยู่เพราะเราเป็นบริษัทใหญ่
ซึ่งทำอะไรออกมาได้ผล
ส่วนมากแล้วจะถูกมองในทางร้ายตลอดเวลา

ตรงนี้ในส่วนตัวผม ผมเชื่อว่าต้องพิสูจน์ตัวเอง
ซึ่งสำหรับคนไทยผมกล้าพูดได้ว่า
ผมทำในสิ่งที่ดี ทำในสิ่งที่ถูกต้องเสมอ

ผมเป็นคนที่เห็นคุณค่าของคน
ซึ่งตรงนี้ในมุมมองของคน

ที่มองกันในแต่ละสังคมมันเป็นยังไง
แล้วความบริสุทธิ์ใจมันอยู่ตรงไหน

ผมเป็นคนจริงจัง
เข้าใจว่ามันเป็นเรื่องของการมองชีวิต

เป็นเรื่องของคน
สังคมใดที่ไม่มีเหตุผล
สังคมใดที่ไม่สามารถจะ
ก้าวพัฒนาไปสู่จุดที่ดีกว่าได้มาก

มันเป็นผลสะท้อนให้เห็นว่า
จริงๆ แล้ว สังคมนั้นยังล้าหลังอยู่

ซึ่งตรงนี้ผมคิดว่าได้ทำอะไรไว้ให้กับ
คนหลังๆ ได้เยอะมากพอสมควร

ผมเพียงแต่หวังว่าคงจะมีคนที่ 2 ที่ 3 ที่ 4-5-6


และในที่สุดผมก็อยากจะเพ้อฝันว่า
น่าจะมีคนเก่งๆ ระดับอินเตอร์
สักแสนคนในประเทศไทย แล้วก็ช่วยกัน
ซึ่งตรงนี้อยากจะผ่านถึงคนรุ่งใหม่อยากให้รู้ว่า

หนทางการต่อสู้ของพี่เต๋อมัน
ทารุณและโหดร้ายมาก กับคนที่มีอุดมคติ
คนที่มีความบริสุทธิ์ใจ

อยากฝากไปถึงคนรุ่นต่อๆ ไปว่า
การที่เราคิดทำในสิ่งที่ดี หรือว่า
อยากคิดทำอะไรในสิ่งที่เป็นประโยชน์กับคนในสังคม
บางครั้งมันก็จะต้องมีสิ่งที่มา
บั่นทอนความรู้สึกตลอดเวลาโดยเรื่องไร้สาระ
เพราะมันเป็นเรื่องของมนุษย์
และมันเป็นภาพสะท้อนให้เห็นว่า
ในสังคมเรา ยังต้องการการพัฒนาอีกเยอะมาก
ในทุกจุดแม้กระทั้งในเรื่องของจิตใจคน"






http://www.facebook.com/rewat.forever