Custom Search

Aug 31, 2006

บทสัมภาษณ์ พี่เต๋อ เรวัต พุทธินันทน์



http://www.facebook.com/rewat.forever



ช่วยเปรียบเทียบระบบ ธุรกิจการทำเทปในบ้านเรา ระหว่างเมื่อก่อนกับปัจจุบัน


เราต้องยอมรับว่า ธุรกิจการทำเพลงนี่มัน
ไม่ได้เกิดขึ้นที่เมืองไทย มันเกิดขึ้นที่เมืองนอก
มันเกิดตัวกลไกตลาด เกิดระบบธุรกิจที่ เป็นอินเตอร์เนชันแนลขึ้นแล้ว
เมืองไทยจึงเริ่มมาก่อตัว เพราฉะนั้นเราไม่มีทางที่จะ หลีกหนีพ้น
มันก็เป็นระบบที่ผ่านการ พิสูจน์มีข้อมูลต่างๆที่เป็นระบบอยู่แล้ว
อีกอย่างเผอิญอาจจะเป็นเพราะ ว่าผมมีประสบการณ์ตอนที่เป็นหนุ่มๆ
ผมไปลุยเป็นนักดนตรีรับจ้าง อยู่เมืองนอก 6 ปี เพราะฉะนั้นผมรับระบบนี้
เต็มหัวเลย พอมาถึงเมืองไทยผมก็เริ่มมองตลาด ผมเรียนเศรษฐศาสตร์
ผมมองตลาดชัวร์อยู่แล้ว พอเห็นปั๊บก็ วิเคราะห์ออกมาได้ว่า
อ้อ จริงๆตลาดเทปบ้านเรานี่มันยังไม่มีระบบ ไม่มีเลย
ถ้าเรามาเริ่มทำอะไรก็คงเกิดผลดี หนึ่งในแง่ของตัวธุรกิจเอง
สองในแง่ของสังคมใช่มั้ย ผมก็เลยจับมือกับเพื่อนลองเดินตรงนี้ดู
ตอนต้นๆก่อนที่พวกเราจะ เข้ามาในธุรกิจแผ่นเสียง
หรือเทปคาสเสตต์ในระยะแรกมักจะ ถูกกำหนดโดยนายทุน
นายทุนที่ทำธุรกิจกันแบบครอบครัว เขามาจ้างคุณไปร้องเพลง
แล้วมาเท้าสะเอวดูคุณในห้องอัด ว่าอย่างนี้โอเคแล้ว
เขามาจ้างคุณแต่งเพลง คุณก็แต่งไปให้เขาดู เขาก็ดูๆ...ว้าไม่ได้ อย่างนี้ไม่ได้
ไม่ถูกใจเขาน่ะ ว่างั้นเถอะ ถ้าเรามองกันแบบธุรกิจจริงๆ
แล้วจุดเสี่ยงมันถึงร้อยเปอร์เซ็นต์ ซึ่งถ้าเทียบกับของ
แกรมมี่่เราในตอนนี้ทุกอย่างมันเริ่มจะเป็นระบบ
ผลงานที่ออกมาได้ทั้งศิลปะและธุรกิจ


มีความเห็นอย่างไรที่มีการพูดมากว่า วงการเทปทุกวันนี้มันเป็นธุรกิจมาก
เพลงอาจจะไม่ดีจริง แต่อาศัยการเปิดกรอกหูทุกวันๆ

เห็นด้วย...อย่างผมนี่ผมไม่สนใจเลยเพราะถือว่าผมทำจริง เล่นของดีจริง
รักษาคุณภาพจริง ตรงอื่นเป็นเรื่องของการบุกเข้ามาหาผลประโยชน์กลับไป
ผมว่าวงการเทปมันเป็นเรื่องของแมงเม่าบินเข้ากองไฟ
การที่แมงเม่าบินเข้ามา แมงเม่าก็ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร
รู้แต่ว่าถ้าบินผ่านกองไฟไปได้นี่ฉันได้เงิน ตอนนี้เทป100ม้วน
มีเทปที่ประสบความสำเร็จไม่เกิน 8 ม้วน ถามว่าวงการเพลงไทยเน่ามั้ย เน่าครับ
ผมยืนยัน แต่ทุกอย่างมันก็ยังขึ้นอยู่กับประชาชน
ถ้าเขาเอาเงินมาซัดโฆษณาปาวๆแล้วขายไม่ได้ นั่นแหละครับ
เขาจะเริ่มรู้สึกว่า วิธีนี้มันใช้ไม่ได้แล้ว ฉันไม่ใช่อาชีพนี้
ไป...มันก็จะเหลือตัวจริงอยู่

มองธุรกิจกับศิลปะมีความขัดแย้งกันหรือไม่

ในแง่ธุรกิจ ทุกเพลงต้องผ่านขั้นตอนตรงนี้หมด จะเป็นเพลงของบีโธเฟ่นก็เป็นธุรกิจ
ผมชัดเจนมากตรงนี้ ธุรกิจกับศิลปะถ้าจากศิลปินไปหาประชาชนแล้ว
มันต้องไปด้วยกันเสมอ

ตอนนี้เทปเพลงที่ประสบความสำเร็จแทบทั้งหมดจะมาจากบริษัทแกรมมี่ พี่เต๋อคิดว่า
การที่อัลบั้มชุดหนึ่งจะประสบความสำเร็จได้ต้องการอะไรบ้าง

อันนี้จะต้องพูดถึง 4 ข้อ ในแง่การผลิต ซึ่งผมจะเป็นคนดู
ในแง่การตลาดไพบูลย์จะเป็นคนดู ในแง่ครีเอทีฟเล็กบุษบาจะเป็นคนดู
ในแง่การใช้มีเดียกิตติศักดิ์จะเป็นคนดู บอร์ดของแกรมมี่จะมี 4 คน
เพราะจริงๆแล้ว 4 หัวข้อที่เราดูตรงนี้ เราเชื่อว่ามันเป็นปัจจัยของความสำเร็จ
มันขึ้นอยู่กับคนที่ตัดสินใจตรงนี้ไงฮะ
แล้วคนที่มีอาชีพทางด้านอุตสาหกรรมดนตรีต้องเป็นคนดนตรี นี่คือเงื่อนไขของผม

เวลาแต่งเพลงนี่จะแต่งเนื้อร้องหรือทำนองก่อน แล้วทั้งสองแบบมีข้อดีข้อเสียต่างกันอย่างไร

อันนี้ต้องเท้าความไปถึงทฤษฎีดนตรีของเรา เค้าเรียก Pentatonic คือมีโน้ตอยู่ 5 ตัว
ไม่มีตัวฟา ไม่มีตัวที การแต่งเพลงในประวัติศาสตร์ไทยก็มาจากเขียนกลอน
แล้วค่อยเอากลอนนั้นมาขับร้องเป็นเพลงออกมา
การเคลื่อนตัวของบันไดเสียงและโน้ตจะเป็นไปตามบันไดเสียงของภาษาที่เขียนลงไป
วิธีแต่งที่ง่ายที่สุดก็กลอนแปด บัดเดี๋ยวดังหว่างเหง่งวังเวงแว่ว
สะดุ้งแล้วเหลียวแลชะแง้หา... เพราะฉะนั้นกี่เพลงๆมันก็เลยไม่ไปไหน
ซึ่งทีมการผลิตของเราผ่านการศึกษามาอย่างดี เราก็เคาะตรงนี้แตก
ว่าวิธีที่จะให้เพลงไทยของเราเริ่มเปลี่ยนแปลงก็คือการทำเมโลดี้ก่อน
แล้วปัญหาหนักไปอยู่ที่คนเขียนเนื้อใส่คำภาษาไทยให้ไม่เขินกับตรงนั้น
ซึ่งอันนี้เราฝึกปรือกันมาอย่างดี เราพยายามทำงานกันอย่างเต็มที่
ในระยะแรกเราเหนื่อยกันมาก ตอนนั้นมีผมกับนิติพงษ์ อยู่ 2 คน
ซัดกันมาแบบหัวปักหัวปำ จนวันนี้เราก็เบ่งบานมาเรื่อยๆมีคนเยอะขึ้นซึ่งมันใช้เวลาฮะ...

ช่วยวิจารณ์เรื่องการนำเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์เข้ามาช่วยในการเล่นดนตรี

ยกตัวอย่างเรื่องกลอง ตรงนี้เราไม่ใช้ดนตรีจริงเลย ซึ่งนักวิชาการ
นักวิจารณ์หลายคนมีการพูดกันมาก เค้าไม่ได้มีอาชีพนี้เค้าไม่รู้หรอกว่า
วันนี้โลกก้าวไปถึงไหนแล้ว อย่างเครื่องมือทำกลอง
ที่ทำออกมาขายมันถูกสร้างขึ้นโดยนักดนตรีที่เก่งที่สุดในโลกคนหนึ่ง
ทำงานร่วมกับวิศวกรทางด้านเสียง
เครื่องมือกลองที่ผมมีอยู่มันก็คือคนตีกลองที่เก่งที่สุดในโลก
มันขึ้นอยู่กับว่าคนที่โปรแกรมเข้าไปน่ะสามารถถ่ายทอดความรู้สึกได้แค่ไหน
ต่างคนโปรแกรมผลมันก็ออกมาต่างกัน
แต่ว่าไอ้เครื่องที่ผมมีอยู่มันตีกลองเก่งที่สุดในโลก...
นอกจากนั้นเสียงเครื่องดนตรีเสียงเอฟเฟ็กต์ อะไรก็แล้วแต่
...เอ้กอี๊เอ้กเอ้ก กรุงเทพมหานคร มันอยู่ในดิสก์
ซอฟต์แวร์เหล่านี้มีเยอะแยะเต็มไปหมดเลยครับสตีวี วันเดอร์
บางเพลงนั้นไม่ได้ใช้นักดนตรีเลย บางเพลงที่สตีวีอ้าปากพะงาบๆนั่นก็ไม่ได้ร้องนะฮะ
มาจากเครื่อง ไมเคิล แจ็คสัน เวลาแสดงคอนเสิร์ตคนที่ร้องคอรัสอ้าปากอยู่ก็ไม่ได้ร้อง
มันมาจากเทป เหตุผลก็คือเค้าดูแลผลงานของเค้า
ประชาชนซื้อตั๋วเข้ามาดูแล้วต้องได้เสียงที่สมบูรณ์แบบ อย่างคอนเสิร์ตธงไชย
จะบินไปให้ไกลสุดขอบฟ้า นั่นก็มีบางตอนที่ลิปซิงค์
เพราะว่าจริงๆแล้วในระบบของไมโครโฟนที่ติดอยู่บนหัวตรงนั้น
เวลาธงไชยเคลื่อนที่ไปมันเป็นไปไม่ได้ที่ประชาชนจะได้เสียงที่ดี...เป็นไปไม่ได้ครับ
ตรงนี้มันเป็นการยอมรับซึ่งกันและกัน อยู่ที่เจตนารมณ์ต่างหากว่าเราทำอย่างนี้เพื่ออะไร
ใช่มั้ยฮะ

แกรมมี่มีแนวทางการคัดเลือกศิลปินอย่างไรบ้าง
ศิลปินก็มีทั้งที่เดินเข้ามาหาเราเองแล้วก็ที่เราเดินเข้าไปหา
คือเค้าไม่รู้ตัวว่าเค้ามีอะไรอยู่ บางทีเราเห็นเราก็เขี่ยเลย ลองดูมั้ย เพราะเราเห็น
ซึ่งไอ้ตรงนี้ก็โอเค ถึงเราจะทำงานเป็นศิลปะอะไรก็แล้วแต่
แต่การทำงานของเราพยายามพิสูจน์
ให้มันเป็นบทบาทของวิทยาศาสตร์ ให้มันเห็นชัดเจนว่าอะไรมันคืออะไร

จะได้ชัดเจนในการทำงาน สมมติอย่างธงไชย แมคอินไตย์นี่
ผมเจอธงไชยผมเห็นแววเค้ามาก ผมก็ยังไม่วางใจเลย
พอพูดจาตกลงกันเสร็จเรียบร้อย ผมไล่เขาไปเล่นละครก่อนเกือบ 2 ปีแน่ะ
บอกผมขอดูหน่อยได้มั้ย พิสูจน์อะไรให้เห็นหน่อย
ซึ่งผมเห็นว่าเด็กคนนี้ท้อปแน่เลย แต่เพื่อความมั่นใจก่อนที่เราจะใส่งานให้เค้า
เราต้องรู้ก่อนว่าเขาเคี่ยวขนาดไหน
สิ่งที่ผมป้อนเข้าไปมันจะได้เป็นไปตามอัตราส่วน

การทำมิวสิควีดีโอมีขั้นตอนอย่างไร

เรามีแผนกครับ ของเราแยกส่วนกันเลย อย่างมิวสิควีดีโอก็มีไดเร็กเตอร์ของเค้า
ครีเอทีฟก็สร้างเรื่องราวมาบรีฟในการถ่าย บรีฟศิลปินว่าเรื่องราวเป็นยังไร
เสนอบอร์ดว่าโอเคมั้ย แล้วก็เริ่มถ่ายๆๆแล้วก็มาตัดต่อ
มิวสิควีดีโอของเราในแง่ครีเอทีฟคนไทยเราไม่แพ้ฝรั่งแล้ว
ผมยืนยันได้ครับ ผมทำงานตรงนี้ผมรู้ อย่างยิ่งเด็กศิลปากร
โอ้โห...เฉียบมากพวกนี้ ด้วยเงินที่เราใช้ทำมิวสิควีดีโอบ้านเรานี่
ฝรั่งทำอะไรไม่ได้เลยครับ แล้วมิวสิควีดีโอเกรดเอของฝรั่งบางเรื่อง
ยังสู้ของไทยเราไม่ได้เลย อันนี้เรื่องจริงนะครับ
ไม่ใช่เฉพาะแกรมมี่นะครับ ที่อื่นเค้าก็มีเก่งๆ

เรื่องงบประมาณในการทำนี่ขึ้นกับอะไรบ้าง แล้วเพลงหนึ่งจะใช้ประมาณเท่าไหร่

ตรงนี้มันเป็นเงื่อนไขในการลงทุนมันแล้วแต่งานด้วย
งานแต่ละชิ้นเราจะวิเคราะห์ถึงขนาดของกลุ่มเป้าหมาย
ขนาดของตลาด มันขนาดไหน เราจะรู้ด้วยประสบการณ์
สัดส่วนมันต้องได้กันอยู่ตลอด มิวสิควีดีโอเบอร์นี้อาจจะใช้เงิน 6 หมื่นบาท
มันแล้วแต่ คือตรงนี้อยู่ที่ผู้บริหารจะมองว่าด้วยอะไรเป็นอะไร
บางชุดต้องโปรโมท 10 เพลงเลย อย่างนูโว นี่ครับ เพราะว่าดีมานด์มาตลอด
ที่นี้ถ้ารวมงบที่ใช้ในการโปรโมททุกทางจะตกประมาณเท่าไหร่ต่ออัลบั้ม 1 ชุด
อันนี้ใช้ 3 เท่าของค่าใช้จ่ายในการผลิตผลงาน ถึงตอนนี้ตก 3 ล้านบาท
ก้าวแรกนะฮะ เพราะว่าค่ามีเดีย วิทยุโทรทัศน์นี่แพงมาก
เราก็ต้องกลับมาเข้มงวดให้คุณภาพสูงขึ้นมาอีก
เมื่อเวลาประชาชนตอบ เค้าจะได้ตอบหนักแน่น
จะได้มีตังค์มาจ่ายตรงนี้ไง ถ้าเราไม่เป็นโล้เป็นพายอยู่
ต้นทุนตรงนี้ก็กินเราตาย

ต้นทุนสูงอย่างนี้แล้วจะต้องขายให้ได้กี่ม้วนขึ้นไปถึงจะเริ่มมีกำไร

จุดคุ้มทุนตกประมาณ 150,000 ม้วน เงื่อนไขในการทำงานเราหนักมากเลย
150,000 ม้วนแค่เท่าทุนนะธุรกิจมันต้องมีกำไรใช่มั้ย
เพราะฉะนั้นมันตกสูงกว่านั้นอีก ไอ้เทปที่ขายประชาชนจริงๆนี่ความเป็นศิลปะมันสูงนะฮะ
มันไม่น้อยกว่าธุรกิจหรอกครับ เพราะว่าถ้าคุณไม่เข้มตรงศิลปะ
ไม่มีคนซื้อคุณหรอกครับรับรองได้

เรื่องผลตอบแทนของศิลปินไม่ทราบทางแกรมมี่เคยมีปัญหาบ้างหรือเปล่า

ศิลปินที่จะเดินออกไปสู่ประชาชนสิ่งที่เค้าคาดหวังก็คือชื่อเสียงและเงินทอง
ถ้าไม่ได้ 2 ตัวนี้เค้าก็แพ้ในสายอาชีพของเค้า
แน่นอนในส่วนของบริษัทตรงนี้เราแบ็กอัปเต็มที่ เรื่องผลตอบแทนไม่มีปัญหา
ผมมั่นใจร้อยเปอร์เซนต์ เพราะมีผมนั่งอยู่ตรงนี้
ผมเป็นประธานบริษัทแกรมมี่ ไพบูลย์เป็นกรรมการผู้จัดการ
เรื่องศิลปะผมชนหน้าตลอด เรื่อธุรกิจไพบูลย์ชนหน้าตลอดเราแบ่งกันอยู่
ไพบูลย์ดูเรื่องธุรกิจก็จริงแต่ตัวเค้าเป็นศิลปิน
เป็นคนเขียนหนังสือเป็นครีเอทีฟไดเร็กเตอร์มาก่อน
ผมยืนยันว่าตรงนี้คุณธรรมมาก่อน แฟร์มากฮะเรื่องนี้

โดยรวมแล้วบริษัทแกรมมี่ยืนอยู่จุดไหนแล้ว และวางแผนในอนาคตไว้ว่าอย่างไร

ถ้าเทียบกับเรื่องของการเมืองในระดับประเทศแล้วผมทำให้สเกลเล็ก
แต่ผมเล่นเต็มที่ ผมถือว่าผมทำอะไรเพื่อสังคมในแทร็กของดนตรี
เพราะฉะนั้นการที่ผมจะพัฒนาตรงนี้ขึ้นมานี่ผมถือว่า
ผมทำเต็มที่ทั้งชีวิตให้ด้านนี้ ผมมีสตางค์เล่นได้ ผมเล่น มันดูกันออกนะครับ
คนที่มีสตางค์ขึ้นมามากๆ มันดูกันออกว่าคนนี้เพื่อสังคมหรือเปล่า
โกหกไม่ได้หรอกครับ...จับได้
ถามว่าในนามแกรมมี่เรามาถึงตรงไหนแล้ว ปีนี้ปีที่ 6
เราคาดกันไว้ว่ากว่าจะมาถึงจุดนี้ต้องใช้ระยะเวลาถึง 15 ปี
เรามาเร็วมาก อย่างไรก็ตามนี่เป็นเพียงก้าวแรกของเราเท่านั้น
เพราะผมมองในสเกลใหญ่ เราต้องไปกันเรื่อยๆ ขยายออกไปเรื่อยๆ
จนถึงจุดหนึ่งที่ผมรู้สึกเหนื่อยเต็มที่แล้ว ไม่เอาแล้ว ก็เท่านั้นเอง
ผมถือว่าผมทำหน้าที่มาครบถ้วนแล้ว ผมเป็นคนที่เชื่อในคนรุ่นใหม่
ผมเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าเด็กๆรุ่นน้องต้องเก่งกว่าผม
วันที่พี่ไม่ไหวแล้วน้องต้องเอาอยู่ ต้องทำได้ดีกว่าพี่....


บทสัมภาษณ์ คุณเต๋อ เรวัต พุทธินันทน์ นำมาจากบทสัมภาษณ์ในวารสารรู้รอบตัว
(ซีเอ็ดฯ)ฉบับที่ 44 ประจำเดือนกันยายน 2532
Mirror : http://nklmeekeaw.exteen.com/20090706/entry (2009/Jul/06) (Not Active)




รางวัลผลงานดีเด่นทางโทรทัศน์ เมขลา ครั้งที่ 4 พ.ศ. 2526
ในช่วงการแสดงของช่อง 7 สี โดยนำเพลง ยิ่งสูงยิ่งหนาว
ใช้ประกอบการแสดง โดย คุณ เรวัต พุทธินันทน์
ซึ่งเป็นช่วงกลางของการมอบรางวัลในคืนนั้น

ต้น ลาดพร้าว

Aug 26, 2006

พัฒนาจินตนาการของท่านแล้วใช้มัน


Develop your imagination by using it

พัฒนาจินตนาการของท่านแล้วใช้มัน




บันทึกจากหนังสือของ Michael LeBoeuf,
Creative Thinking

ความสามารถและอัจฉริยะภาพใดๆ
สามารถปรับปรุงได้โดยการฝึกอบรม

ท่านสามารถพัฒนาความสามารถสร้างสรรค์ของท่าน
โดยการฝึกหัดมันเสมอๆ


ประสบการณ์
แบบฝึกหัดสร้างสรรค์ที่ดีที่สุด
จะต้องเสนอกิจกรรมทางใจและ

สิ่่่่งที่จะทำให้ท่านสร้างความนึกคิดได้ ประสบการณ์เฉพาะตน
หรือประสบการณ์ที่ได้รับจาก
ผู้อื่นจะส่งเสริมการฝึกหัด เช่น การอ่าน การฟัง
หรือการเฝ้ามอง แต่ประสบการณ์เฉพาะตน

เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด คำกล่าวของคนจีนมีดังนี้..:

ฉันได้ยิน: ฉันลืม

ฉันเห็น: ฉันจำ

ฉันทำ: ฉันเข้าใจ

ชนิดพิเศษของประสบการณ์เฉพาะตนคือ....

การเดินทาง

ไม่มีวิธีไหนที่เปิดโลกทัศน์และมุมมองที่สดใสดีกว่าการเดินทาง
มันดึงท่านออกมาจาก
สิ่งแวดล้อมเดิมๆที่เคยชินจนน่าเบื่อ สร้างโอกาสให้ท่านเจอคนใหม่
ประเพณีใหม่ ความคิดใหม่และวิธีการดำรง

ชีวิตใหม่ๆ ทางหนึ่งสำหรับการมีชีวิตอยู่อย่างสร้างสรรค์คือ
การมองชีวิตจากมุมมองที่สดใส การเดินทางจะให้สิ่งเหล่านี้แก่ท่าน
- ถ้าท่านยอมจะให้เกิดกับตัวท่าน ทุกวัฒนธรรม
ให้วิธีมองที่พิเศษในสถานการณ์ธรรมดา

และการแก้ปัญหาอย่างธรรมดาๆด้วย จงถ่ายภาพ

และจดบันทึกไว้ทุกวันขณะที่ท่านเดินทาง

Charles Cave เขียนไว้ว่า:

ฉันเป็นนักเดินทางแบบนั่งเก้าอี้เท้าแขนคนหนึ่ง และสนใจดูรายการทีวีที่

เกี่ยวกับการเดินทาง หนังสือของ Michael Palin เรื่อง From Pole to Pole
เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ
การท่องเที่ยวที่มหัศจรรย์ เริ่มต้นที่ขั้วโลกเหนือ
ฉันได้รับความบันดาลใจ
โดยการเห็นสถานที่ เช่นในประเทศ Finland,
Russia, Estonia, Egypt, Africa และทวีป Antarctica.




สัปดาห์ที่แล้ว ฉันดูรายการเกี่ยวกับชาวอังกฤษคนหนึ่ง เดินเท้าจากชายฝั่งตะวันตกของ
ประเทศฝรั่งเศสไปยังเมืองอีสตันบูล เป็นเวลา ๑๙ เดือน
หนังสือของ Sorrel Wilby เรื่อง Across the Top บรรยายการเดินทางข้ามภูเขาหิมาลัย
ฉันมีหนังสือสองเล่มเกี่ยวกับยอดเขาอิเวอเรสท์

มีบางสิ่งปลุกเร้าอย่าง
ยิ่งในการอ่านหนังสือเหล่านี้ถึงเรื่องการขึ้นภูเขาสูงๆ
สถานที่ดีแห่งหนึ่งสำหรับการเดินทางแบบนั่งเก้าอี้เท้าแขน
และการวางแผนสำหรับวันหยุดคือเว็บไซท์ Lonely Planet
(ดีพอๆกับการอ่านหนังสือต่างๆ!).


ความไว้วางใจในตนเอง
ถ้าท่านต้องพึ่งพาความสามารถในการคิดของตนมากเท่าไร
ท่านก็จะมีความชำนาญที่
จะมีความคิดใหม่ๆได้มากเท่านั้น ผู้เชี่ยวชาญและที่ปรึกษาต่างๆ
ควรถูกมองในสถานะผู้ร่วมงานกัน

ไม่ใช่ผู้เผด็จการ ถ้าท่านไว้ใจผู้อื่นในการแก้ปัญหาของท่าน

และคอยบอกว่าท่านต้องทำอย่างไร
ความสามารถในการคิดสร้างสรรค์ของท่านก็

จะเหี่ยวเฉาแทนที่จะเบ่งบานเพราะท่านขาดการฝึกหัด

ความสัมพันธ์ส่วนบุคคล
ทางหนึ่งที่จะเรียนรู้การคิดสร้างสรรค์
ท่านต้องสร้างความสัมพันธ์ของท่านกับคนอื่น
ที่มีความคิดสร้างสรรค์
มองหาคนที่มีอารมณ์ขันสนใจ
เรืองของชีวิตเพื่อพูดคุยด้วย คนที่สามารถกระตุ้นขบวนการคิด
ที่ท่านกำลังแสวงหาอยู่
กลุ่มคนที่ง่ายในการคบหาสมาคมและเป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์สูง..
เกี่ยวกับความเป็นเด็ก

มีการกล่าวกันว่าความผิดปกติเป็นเรื่องการถ่ายทอดทางกรรมพันธ์
ท่านสามารถได้รับจากในวัยเด็กของท่าน

หรือไม่ท่านสามารถได้รับจากการฝึกหัดกับเด็กมากมาย โลกของเด็กเต็มไปด้วย
ความเพ้อฝันอย่างประหลาด ท่านก็สามารถมีได้
ถ้าท่านพยายามเกี่ยวข้องกับเด็กเหล่านั้น
พยายามเล่นเกมกับเด็ก มองหาสิ่งต่างๆร่วมกัน
และถามเด็กว่า "สิ่งนั้นเหมือนอะไร ?"

หรือ "อะไรทำให้เชื่อว่าเป็นอย่างนั้น ?"
เล่นเกมจินตนาการกับเด็กๆ
และสัมพันธ์ในทางสร้างสรรค์กับเขาเหล่านั้นในลักษณะที่
ทำให้จินตนาการของท่านหวลคืนกลับมาอีก
ท่านอาจต้องลองไปสำรวจดูส่วนที่เกี่ยวข้องกับ
ส่วน Children ของเว็บความคิดสร้างสรรค์นี้

เกมและปริศนา
เกมและการเล่นปริศนาบางอย่าง ช่วยให้ท่านมี
โอกาศกระตุ้นการสร้างสรรค์ได้มาก

เกมเล่นหมากรุก และหมากกระดาน
ทั้งสองเป็นเกมที่ดีบังคับให้ท่านต้องมีการคิดวางแผน
และมียุทธวิธีในการเลื่อน

หมากแต่ละตัวที่เกี่ยวข้องกับหมากของฝ่ายตรงกันข้าม
เกมกลยุทธ์ที่คล้ายคลึงกันคือ Shoji(หมากรุกญี่ปุ่น)และเกมโก๊ะ

เกมกิฬา เช่น ฟุตบอล บาสเก็ตบอล เทนนิส แบดมินตัน
หรือแฮนด์บอล สามารถฝึกฝนการสร้างสรรค์ด้านยุทธวิธี
เกมคำปริศนา (Charades)เช่น สี่ศอกบรรเทาเท่ากับวานร
เป็นอีกเกมที่ช่วยฝึกหัดการ

สร้างสรรค์ความคิดใหม่ๆเพื่อสื่อบางสิ่งบางอย่าง

เกมกระดานสร้างภาพ (Pictionary) ก็มีรูปแบบคล้ายๆกัน

การ เติมคำปริศนา (Word puzzles) และเกมอื่นๆทำนองนี้
เป็นอีกหนทางในการฝึกฝนความคิดสร้างสรรค์
นักประดิษฐ์อย่าง Thomas Edison เชื่อในเรื่องนี้มาก

ขณะนี้ตามหนังสือพิมพ์มี
ความคลั่งไคล้ในเรื่องเกมปริศนาคำไขว้คำ ข้ามต่างๆ เกมคำที่นิยมกันอย่างสูง เช่น
เกม Scrabble หรือ Boggle บังคับให้ท่านคิดในลักษณะเพิ่ม ตัดออก แก้ไข
ปรับแต่งการผสมอักษร ทั้งหมดช่วยขัดเกลาความสามารถ
ในการคิดสร้างสรรค์ของท่านทั้งนั้น


งานอดิเรก
มีชนิดของงานอดิเรกเป็นร้อยๆ บางชนิดช่วยส่งเสริมด้าน
จินตนาการของท่านให้ปรากฏ การวาดภาพ การขีดเขียน หรือ
งานปฏิมากรรม ช่วยให้ท่านต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ งานอดิเรกทางช่างก็ช่วยเสริม
สร้างความคิดสร้างสรรค์ เช่น ด้านอีเล็คโทนิก วิทยุสมัครเล่น คอมพิวเตอร์ใช้ในบ้าน

คอมพิวเตอร์เป็นงานอดิเรกที่สร้างโอกาสได้มาก

ให้ลองคิดถึงการนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในแนวทางใหม่ๆ
หรือเวลาเขียนโปรแกรมใหม่ๆเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์แล้วนำไปลองใช้
ตอนนี้มีหนังสือหลายเล่มที่เกี่่ยวกับคอมพิวเตอร์ ที่เผยแพร่อยู่ในตลาด เช่น
๑๐๑ ประโยชน์ของคอมพิวเตอร์ใช้ในบ้าน ซึ่งผู้เขียนก็มีเป็นเจ้าของอยู่ด้วย

การอ่าน
Alex Osborn ผู้เขียนหนังสือเรื่อง จินตนาการประยุกต์ "Applied Imagination"
กล่าวไว้ว่า การอ่านหนังสือเปรียบเสมือนเป็น
การป้อนอาหารของจินตนาการ และเป็นทั้งกระดูกสำหรับเคี้ยวเล่น

แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น ก็ไม่ใช่หนังสือทุกเล่มหรอกนะที่
จะเหมาะต่อการเป็นแบบฝึกหัดแห่งการสร้างสรรค์

ทั้งนี้ หลักการสำคัญของการใช้การอ่านให้เป็น
เสมือนแบบฝึกหัดทางการสร้างสรรค์นั้น
ก็คือ ให้เลือกอ่านอย่างระมัดระวัง
และต้องให้มีความรู้สึกกระฉับกระเฉงในการอ่านหนังสือนั้นๆด้วย

หนังสือประเภทชีวประวัติก็สามารถนำมาใช้
เป็นแบบฝึกหัดสำหรับการกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ได้
ชีวิตทั้งหลายมีค่าควรบันทึก
โดยทั่วไปเกี่ยวเนื่องกับจินตนาการที่เป็นเรื่องจริง
บางทีท่านอาจใช้ประสบการณ์ของเขาสร้างความคิดใหม่ๆ
และเป็นเสมือนบันไดสำหรับการ

เกิดจินตนาการของท่านเองต่อไป หนังสือดีเล่มหนึ่งชื่อ Made in Japan,
เขียนโดย Akio Morita - เป็นเรื่องราวของบริษัท Sony.

อีกนัยหนึ่ง ประโยชน์ของการอ่านซึ่งถือเป็นการฝึกฝนการคิดสร้างสรรค์
คือเลือกเรื่องที่สนใจและ อ่านในหลายๆทัศนะหรือมุมมองของผู้เขียนหลายคน

พวกนิตยสาร สามารถใช้เป็นที่ฝึกฝนได้ด้วย Walt Disney
เชื่อในการอ่านนิตยสาร Reader's Digest และกล่าวว่า:

"จินตนาการของท่านบางทีก็โผล่ขึ้นมา บางทีก็หลบซ่อน
บางทีแคระแกรน บางทีก็เย็นเฉียบ ในบางครั้ง
นิตยการ The Readers Digest สามารถเป็นโรงยิมสำหรับการฝึกซ้อมได้"

สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับนิตยสารคือ มันให้มุมมองหลากหลายเรื่องราวในแต่ละฉบับ
ความหลากหลายนี้เติมเชื้อให้การสร้างสรรค์ที่ยิ่งใหญ่

ต่อไปนี้เป็นรายชื่อส่วนหนึ่งของสารบัญฉบับปี 1996 ของนิตยสาร Readers Digest:

* รวมเรื่องสั้นขำขัน
* "มันจ่ายเพื่อเพิ่มค่าคำพูดของท่าน" - ศัพท์ของการพัฒนา

* คำกล่าวที่ตรงกับเรื่องราว
* การทดสอบ
* การหัวเราะ, (เป็น)ยาวิเศษ
* เรื่องต่างๆเกี่ยวกับสถานที่ คน ชีวิตที่เป็นจริง และวิทยาศาสตร์

Mike Vance พูดถึงคุณค่าที่ได้จากการอ่านนิตยสาร Mad
โดยอ้างว่าเสมือนเป็นสำนวนร่วมสมัยของเรา บอกทิศทางที่เราควรดำเนิน
ไปข้างหน้า Alfred E. Neuman

มีใบหูใหญ่เพื่อฟังคำกล่าว ที่เต็
มไปด้วยการเพื้อฝันที่ประหลาด

quotations มีเรื่องและภาพการ์ตูนเป็นการเสียดสีและล้อเลียน
ซื้อและอ่านสองสามฉบับของนิตยสาร Mad
แล้วลองหัดเขียนเรื่องประกอบภาพการ์ตูนตามแบบอย่าง
ของ Mad มันจะช่วยเพิ่มอำนาจในการรับรู้ของท่านได้อย่างมากมาย!

สิ่งอื่นที่น่าสนใจในการกระตุ้นจินตนาการของท่าน คือซื้อนิตยสารที่แตกต่างกัน
ในแต่ละเดือน (หรือยืมจากห้องสมุด) อ่านในเรื่องที่แตกต่างจากที่เคยอ่าน เช่น
กิฬา บ้านและสวน การเดินทาง วรรณคดี คอลัมท์ซุบซิบนินทา แฟชั่น
เรื่องขำขัน ยานยนต์ วัยรุ่น ศิลปะ เป็นต้น


การเขียน
ความสามารถในการเขียน เป็นพื้นฐานสำคัญ
ของการสร้างสรรค์ที่เหมาะเจาะ

กิจกรรมการเขียนบังคับให้ท่านเรียงร้อยถ้อยคำ
เป็นประโยคเข้าด้วยกัน

ด้วยขบวนการสร้างสรรค์ให้มีผลออกมาอ่านและเข้าใจได้


สำหรับการค้นคว้าต่อไป ผู้เขียนแนะนำหนังสือต่อไปนี้:

* Writing Down the Bones by Natalie Goldberg
* Becoming a Writer by Dorothea Brande
















Aug 19, 2006

อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์

ช่างเขียนรูป ผู้ทำงานเพื่อชีวิตอันเป็นสุข
ผมเป็นเพียงแค่คนเขียนรูปธรรมดาคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ร่วมโลก เป็นส่วนเล็กๆ ของผู้สร้างสรรค์จรรโลงโลก ร่วมกับเพื่อนต่างอาชีพที่ต่างก็มีความสำคัญต่อผืนแผ่นดินเช่นกัน

คำกล่าวนี้ออกมาจากใจ
และความคิดที่ได้ประมวลมาจากประสบการณ์อันยาวนานของ

ผู้ที่เรียกตัวเองว่าช่างเขียนรูป ….เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์
จิตรกรผู้ละอายที่จะบอกว่าตนเองประสบความสำเร็จทุกอย่างในชีวิตแล้ว
เพราะเขาได้ค้นพบสัจธรรมว่าที่แท้แล้ว
หลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ที่นำมาซึ่งการค้นพบ
ว่าชีวิตที่ประสบความสุขและความสำเร็จนั้นมาจากธรรมะประการเดียว และเขากำลังอุทิศทั้งชีวิตเพื่อตระเตรียมสัมภาระทางจิต ในการลดชาติภพ
เพื่อชดใช้กรรมต่างๆโดยมีจุดมุ่งหมายปลายทางเพื่อการสรรเสริญและทำงานเพื่อ

พระพุทธศาสนาเท่านั้น


ในวันที่ได้พบพูดคุยกับคุณเฉลิมชัยที่วัดร่องขุ่นจังหวัดเชียงรายนั้น

คุณเฉลิมชัยแต่งกายเรียบง่ายแบบชาวเหนือ ใส่กางเกงม่อฮ่อมและสะพายย่าม

ใบหน้าแววตาดูสดใส ดูคล้ายกับคนที่มีพร้อมแล้วซึ่งทุกอย่างในชีวิต

ทั้งหน้าที่การงาน ชื่อเสียง และชีวิตครอบครัวที่เป็นสุข

รวมทั้งการได้ทำงานเพื่อพระพุทธศาสนา

ที่เขายึดเป็นแนวทางดำเนินชีวิตอย่างหนักแน่นมาโดยตลอด

เป็นชีวิตอีกรูปแบบที่คนทำงานออฟฟิศหรืองานบริษัททั่วๆ ไปอาจจะไม่คุ้นเคยนัก

เป็นชีวิตของศิลปินแท้ๆ
คนหนึ่งที่สามารถดำรงชีพอยู่ได้โดยเป็นจิตรกรเพียงอย่างเดียวและโดยเด็ดเดี่ยว

ชีวิตวัยเด็กผมต่อสู้ดิ้นรนมามากเหลือเกิน กว่าจะมีวันนี้ได้
ผมต้องฟันฝ่าอุปสรรคทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ ความกดดันต่างๆ

แต่ผมไม่ค่อยยอมแพ้อะไรนะ ก็ก้าวเดิน
ก้าวผ่านสู่จุดต่างๆของชีวิตมาอย่างทะนงองอาจ ...
ถ้าจะถามว่าผมคิดว่าประสบความสำเร็จหรือเปล่า ผมจะถามว่า
ความสำเร็จของคนจะวัดจากตรงไหน ถ้าจะเอาเกณฑ์ที่เรามีความสุขอย่างแท้จริง

ไม่ต้องต่อสู้ดิ้นรนแข่งขัน มีปัจจัยการครองชีพพอสมควร
ไม่ก่อความเดือดร้อนให้ใคร ชีวิตได้ทำงานให้กับสังคม ทดแทนคุณแผ่นดินบ้างผมก็คิดว่าผมอยู่ตรงจุดนั้นแล้ว แต่ก็ยังมีก้าวต่อไปอีก ซึ่งจะเป็นการก้าวไปสู่ความสุขสงบอันถาวรแล้ว
บางคนอาจจะมองว่าความสุขความสำเร็จของเขาคือมีเงินทอง มีชื่อเสียงให้มาก

มากจนเกินพอ หรือเรียกว่ารวยไม่เสร็จ แต่ผมกลับมองว่าเขาได้หาความทุกข์ให้ตนเอง

มองลึกๆ สิครับ ชั่วชีวิตคนเราทุกคนก็เดินไปสู่ความตายเป็นท้ายสุดทั้งนั้น
ตอนเดินไปนี่คุณจะสร้างสมอะไรไว้ จะให้คนไหว้ด้วยใจหรือไหว้เพียงเป็นธรรมเนียม

ทั้งๆ ที่ใจไม่รู้สึกอยากไหว้ไอ้หมอนี่เลย

แถมตอนตายคนมาไหว้ศพก็โล่งอก..เฮ้อ..ไปเสียได้ อะไรทำนองนี้


ผมเน้นนะครับว่าความสุขของคนเรานั้น อยู่ที่ความพอใจ
และถ้าคุณได้ศึกษาธรรมะจริงๆ แล้ว

จะด้วยการศึกษาด้วยตนเองหรือการมีผู้ชี้แนวทางให้ก็ตาม

คุณก็จะได้รู้ว่าศาสนาพุทธให้อะไรคุณมากเหลือเกิน

ผมเปลี่ยนชีวิตตัวเองเพราะศาสนาทั้งสิ้น พูดได้เลยจากคนที่รุนแรงก้าวร้าว

เอาเรื่อง ขี้อิจฉา ผลเปลี่ยนมาเป็นตรงข้าม แผ่เมตตาเป็น รู้จักที่จะให้

รู้จักที่จะทำเพื่อคนอื่น เพื่อสังคมบ้าง

เส้นทางการงานที่ผ่านมา คงจะไม่เป็นการเกินเลยไปนัก
หากจะกล่าวว่าในปัจจุบันคุณเฉลิมชัยถือเป็นจิตรกรอันดับต้นๆ ของประเทศคนหนึ่ง

แต่เพื่อเป็นการยืนยันหากลองดูประวัติและผลงานที่ผ่านมาของคุณเฉลิมชัยก็สามารถไล่เรียงมาได้ดังนี้


คุณเฉลิมชัยจบการศึกษาระดับปวช. จากโรงเรียนเพาะช่าง กรุงเทพฯ
เข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยศิลปากร โดยเป็นศิลปบัณฑิตศิลป์ไทยรุ่นแรก

จากคณะจิตรกรรมฯ มหาวิทยาลัยศิลปากร

เมื่อสำเร็จการศึกษาก็ยึดอาชีพเป็นจิตรกรอิสระมาโดยตลอด ตั้งแต่ปี
2522
เป็นต้นมา

ในชีวิตการงานที่ผ่านมา คุณเฉลิมชัยเคยได้รับรางวัลจากการประกวดระดับประเทศและได้รับการเชิดชูเกียรติยศมากมาย ซึ่งหากจะไล่เรียงมาก็จะได้ดังนี้
พ.ศ. 2520 – รางวัลที่ 1 เหรียญทอง จากการประกวดจิตรกรรมบัวหลวง ครั้งที่ 3
พ.ศ. 2521 – รางวัลเกียรตินิยมอันดับ 3 จากการประกวดศิลปกรรมแห่งชาติ ครั้งที่
25
พ.ศ. 2522 – รางวัลที่ 2 เหรียญเงิน จากการประกวดจิตรกรรมบัวหลวง ครั้งที่
4
ของธนาคารกรุงเทพ

จนนับแต่นั้น ท่านก็ไม่ได้ส่งผลงานเข้าประกวดที่สถาบันใดอีกเลยแต่ก็ยังได้รับ
การเชิดชูเกียรติอีกหลายครั้ง
พ.ศ. 2536 – ได้รับเครื่องหมายเกียรติคุณบุคคลตัวอย่างผู้สร้างเสริมงานวัฒนธรรม
ด้านจิตรกรรมจากสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ
พ.ศ. 2537 – ได้รับโล่เชิดชูเกียรติเพชรสยาม สาขาจิตรกรรม
จากสถาบันราชภัฏจันทรเกษม
พ.ศ. 2539 – ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ให้เขียนภาพประกอบบทพระราชนิพนธ์พระมหาชนก
และออกแบบเหรียญพระราชทานคณะแพทย์
พ.ศ. 2543 – ที่ปรึกษากรมศิลปากรงานเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังพระพุทธรัตนสถาน
ในพระบรมมหาราชวัง
นอกจากนี้คุณเฉลิมชัยยังเป็นที่ปรึกษาธนาคารแห่งประเทศไทย
ในงานออกแบบธนบัตรราชาภิเษกสมรส ครบรอบ 50 ปี

และยังมีโอกาสถวายการสอนพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์อีกด้วย


วันนี้ของเฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์
กับวัดร่องขุ่น (ปีพ.ศ.2531 หลังจากกลับมาจากประเทศอังกฤษ คุณเฉลิมชัยและเพื่อนไปร่วมกันวาดรูปจิตรกรรมฝาผนังที่วัดพุทธปทีปถวายเป็นพุทธบูชาโดยไม่คิดค่าจ้าง)
คุณเฉลิมชัยกลับมาถึงประเทศไทยด้วยเงิน
ที่เหลือติดตัวเพียง 4,000 บาท เขาได้มีโอกาสเดินทางกลับไปที่เชียงรายบ้านเกิด และได้พบเห็นภาพของโบสถ์วัดร่องขุ่นอยู่ในสภาพที่ทรุดโทรม จึงรู้สึกแปลกใจว่าทำไมถึงไม่มีใครมาสนใจบูรณะวัดแห่งนี้เลย

ตอนนั้นที่เห็นรู้สึกสะเทือนใจมาก ผมก็ก้มลงกราบหลวงพ่อหินองค์ประธานเลย พร้อมกับตั้งจิตอธิษฐานสาบานเลยว่า ผมอยากสร้างโบสถ์ขึ้นมาใหม่ แต่ตอนนี้ผมไม่มีเงิน เอาไว้ผมมีเงินเมื่อไหร่ ผมจะกลับมาสร้างวัดนี้ให้ได้ครับ
จนปลายปี 2540 คุณเฉลิมชัยก็กลับบ้านเกิดที่เชียงรายอีกครั้ง
เพื่อทำคำสาบานของเขาให้เป็นจริง
ความต้องการอย่างแรกของผมก็คือ ผมอยากให้วัดนี้เป็นสัญลักษณ์ของคนที่ศรัทธาต่อพระพุทธศาสนา ต่อพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง คือต้องการทำถวายพระพุทธบูชาแด่พระพุทธเจ้า
อย่างที่สองก็คือ ผมต้องการให้มีวัดที่เป็นศิลปะประจำรัชกาลที่เก้า

เพราะในหลวงท่านตรัสเสมอว่า
วัดวาอารามที่มีอยู่ล้วนเป็นเอกลักษณ์ที่งบอกถึงศิลปะประจำรัชกาลนั้นๆ ผมจึงอยากจะทำให้เป็นงานศิลปะประจำรัชกาลที่ 9 ของภาคเหนือ
ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตนไม่เหมือนใคร และจะต้องถวายพระองค์ให้ทันฉลองครบ 80 พรรษา


วัดนี้จะต้องเป็นวัดที่สร้างเพื่อแสดงศรัทธาทุกอย่างของตัวผมเอง เงินทุกบาททุกสตางค์ที่หาได้ในชีวิตจะมาทำวัดนี้ให้เสร็จให้ได้ และจะเป็นงานชิ้นสุดท้ายของชีวิตที่จะอุทิศทำเพื่อแผ่นดิน แนวคิดการสร้างวัดแห่งนี้คือต้องการสร้างแดนพุทธภูมิ เป็นเสมือนวิมานบนสวรรค์ขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า จะเป็นงานศิลปะที่ไม่เคยมีใครคิดมาก่อน ผมไม่ใช้สีทองหรือสีอื่นมาทาเลย
บรรยากาศภายนอกวัดทั้งหมดต้องเป็นสีขาวและประดับด้วยกระจกขาว

เพราะเวลาเจอกับแสงมันจะส่องเป็นประกายสีเงิน ถ้าหากเอาสีทองมาตกแต่ง

สัญลักษณ์ของสีทองซึ่งหมายถึงความร่ำรวยเปล่งปลั่ง จะบดบังศรัทธา

ผมสร้างโบสถ์นี้ด้วยนิมิตรทั้งสิ้น ไม่มีแบบแปลนเลย ใช้วิธีชี้เอาเลยว่าจะเอาแบบนี้

สร้างไปโดยที่ไม่รู้ว่าสิ่งที่สร้างมันมีความหมายอย่างไร
ส่วนทุนรอนทั้งหลาย ผมเริ่มต้นจากเงินสะสมของผมทั้งหมด ตอนหลังๆ
มีผู้คนเริ่มมองเห็นถึงความตั้งใจ อยากร่วมทำบุญด้วยก็ค่อยๆ มาสมทบทุน จริงๆ

แล้วผมไม่อยากให้ใครเดือดร้อน แต่ศรัทธาก็เป็นเรื่องที่เราขัดไม่ได้นะ

และผมก็พยายามหาทุนรอนต่างๆ จากการขายภาพเขียนผลงานต่างๆ บ้าง

และงานที่จะต้องทำที่วัดนี้ก็มีอีกมหาศาล คิดว่าอีก 4 ปีจะเสร็จหรือเปล่า

ผมก็ยังไม่รู้


วันพรุ่งนี้ของ เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ สิ่งที่ผมอยากฝากเอาไว้ก็คือ
"ผมอยากเห็นบ้านเมืองไทยเรามีคนที่รักชาติอย่างจริงใจทำอะไรโดย
คิดถึงส่วนรวมเป็นหลักมากขึ้น
ความเห็นแก่ตัวรักพวกรักพ้องให้ลดน้อยลง
ทำอะไรก็นึกถึงการทดแทนคุณแผ่นดินบ้าง
ถ้าเราตระหนักว่า ไม่กอบโกย ทำอะไรโดยมีศีลธรรมเป็นหลัก
ก็จะทำให้เกิดความรุ่งเรืองให้แก่แผ่นดินได้
อย่างตอนนี้ชีวิตการทำงานของผม ที่ผมกำลังทำ
กำลังสร้างวัดร่องขุนที่เชียงรายนี่ ก็ด้วยความคิดที่อยากจะทำ
ศิลป์ศาสนาอันเป็นเอกลักษณ์ในรัชกาลที่9
ถวายแด่พระพุทธเจ้า ศาสนาพุทธ ต่อราชวงศ์จักรี
และทดแทนแผ่นดินเกิดของผม อยากให้เป็นสถานที่
ที่เราจะได้ประยุกต์ศาสนากับความงามด้านวิจิตรศิลป์และ
ธรรมะของพระพุทธเจ้าเข้าไว้ด้วยกัน
เป็นสถานที่ที่น่าชมแห่งหนึ่งของเชียงราย...
ผมขอเป็นเพียงแค่คนเขียนรูปรับใช้พระพุทธศาสนาไปจนวันตาย
จะไม่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อสิ่งใดทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเกียรติยศ ชื่อเสียง
หรือการดูถูกเหยียดหยามจากวงการศิลปะว่าล้าหลังไม่พัฒนาก็ตาม

งานที่เหลืออยู่เป็นการเขียนเพื่อสนองความสุขของตัวเอง
เพื่อรอว่าเมื่อไหร่จะดับสูญ ไม่มีอะไรพิเศษอีกแล้ว

ผมเชื่อว่าต่อไปนี้ก็คงมีคนคิดว่า ผมเขียนแต่งานที่ซ้ำซาก

ดูไม่มีจินตนาการแล้ว
ซึ่งมันก็ถูกของเขา เพราะผมไม่สนใจอะไรอีกแล้ว
 
มีเพียงความสุขและความรู้สึกที่อยู่เหนือสิ่งนั้น 
ดังนั้นไม่ต้องมารอคอยที่จะเห็นความยิ่งใหญ่ของเฉลิมชัยอีกแล้ว"

ความสุขในการใช้ชีวิตและหน้าที่การงานนั้น
สำหรับบางคนอาจไม่ได้หมายถึงความร่ำรวยหรือชื่อเสียงเหมือนกับคนทั่วไปเท่านั้น
แต่อาจหมายถึงการได้ค้นพบตัวตนและความต้องการอันแท้จริงของตัวเองก็ได้ อย่างที่คุณเฉลิมชันเคยบอกกับเราไว้เสมอๆ ว่า"ผมเป็นเพียงแค่คนเขียนรูปธรรมดาคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ร่วมโลก เป็นส่วนเล็กๆของผู้สร้างสรรค์จรรโลงโลก ร่วมกับเพื่อนต่างอาชีพ ที่ต่างก็มีความสำคัญต่อผืนแผ่นดินเช่นกัน"



For education :


หลักกาลามสูตร


ครั้งหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จจาริกถึง
นิคมเกสปุตตะของพวกเจ้ากาลามะ
ชาวกาลามะได้พากันมาเฝ้าพระพุทธเจ้าแล้วกราบทูลถามว่า
ได้มีสมณะและพราหมณ์พวกหนึ่ง
มายังเกสปุตตนิคม ได้สำแดง เชิดชู
วาทะของตนฝ่ายเดียว แต่กระทบกระทั่งดูหมิ่น
เหยียดหยามวาทะของฝ่ายอื่นให้เห็นว่าเป็นฝ่ายต้อยต่ำ


ต่อมามีสมณะและพราหมณ์อีกพวกหนึ่งได้มาสำแดง
เชิดชูวาทะของตนฝ่ายเดียวโดยกระทบกระทั่ง ดูหมิ่น
เหยียดหยามวาทะของฝ่ายอื่นว่าเป็นฝ่ายต้อยต่ำเช่นเดียวกัน
พวกตนจึงสงสัยว่าทำอย่างไรจึงจะรู้ได้ว่า
พวกตนสมควรเชื่อใคร และสมณะและพราหมณ์เหล่านั้น
ใครพูดจริง พูดเท็จอย่างไร


พระพุทธเจ้าได้ตรัสต่อชาวกาลามะทั้งหลาย
ให้ใช้หลักวินิจฉัยด้วยตนเองโดย
มิให้ปลงใจเชื่อถือ ด้วยเหตุ ๑๐ ประการ ดังต่อไปนี้

๑) มา อนุสสะเวนะ อย่าเชื่อถือเพียงเพราะได้ยินได้ฟังอยู่เนือง ๆ
๒) มา ปรัมปรายะ อย่าเชื่อถือเพียงเพราะเป็นไปตามประเพณีสืบ ๆ กันมา
๓) มา อิติกิรายะ อย่าเชื่อถือตามคำที่เขาเล่าลือกัน
๔) มา ปิฏะกะสัมปะทาเนนะ อย่าเชื่อถือเพียงเพราะตรงกับตำรา
๕) มา ตักกะเหตุ อย่าเชื่อถือเพราะคาดคะเนเอา
๖) มานะยะเหตุ อย่าเชื่อถือเพราะมีนัยเทียบเคียงกันได้
๗) มา อาการะปริวิตักเกนะ อย่าเชื่อถือเพียงเพราะคิดไปตามอาการที่ได้เห็น
๘) มา ทิฏฐินิชฌานักขันติยา อย่าเชื่อถือเพียงเพราะเข้ากันได้กับทฤษฎี
๙) มา ภัพพะรูปะตายะ อย่าเชื่อถือเพียงเพราะคนพูดน่าเชื่อถือ
๑๐) มา สะมะโณ โนคะรูติ อย่าเชื่อถือเพียงเพราะผู้พูดเป็นสมณะหรือครูอาจารย์
พระพุทธเจ้าท่านสอนไม่ให้เชื่ออะไรง่าย ๆ
เพียงเพราะเหตุใดเหตุหนึ่งใน ๑๐ ประการดังกล่าวข้างต้น

แต่ให้ใช้สติปัญญาไตร่ตรองอย่างรอบคอบ
และโดยที่ปฐมเหตุแห่งการที่
ท่านเทศนาหลักกาลามะสูตรดังกล่าว

ก็เนื่องจากความแตกต่างในหลักธรรมที่มีผู้สอนผิดแผกกันไป
ท่านจึงให้ไตร่ตรองว่า หลักธรรมใดที่เป็นอกุศล
มีโทษ ผู้คนติเตียน กระทำอย่างสม่ำเสมอแล้ว
ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์หรือสร้างความทุกข์ให้แก่ตนเอง
หรือผู้อื่น ให้ปล่อยทิ้งไปไม่ควรเก็บมาเป็นอารมณ์

แต่ถ้าหลักธรรมใดเป็นกุศล ไม่มีโทษ ผู้คนสรรเสริญ
กระทำอย่างสม่ำเสมอแล้วจะก่อให้เกิดประโยชน์
และนำความสุขมาให้แก่ตน ก็ให้พึงรับมาปฏิบัติได้

หลักการดังกล่าวได้ผ่านพ้นมาสองพันห้าร้อยกว่าปี
แต่ถ้าไตร่ตรองดูให้ดี จะเห็นได้ว่ายังสามารถ
นำมาใช้ได้ในยุคปัจจุบัน และใช้ได้กับทั้งศาสนจักร และอาณาจักร



เกสปุตตนิคม

เกสปุตตนิคม หรือ เกสริยา
(อังกฤษ: Kesariya, เทวนาครี: केसरिया)

ในปัจจุบัน เป็นสถานที่ตั้งของมหาสถูป
พบใหม่ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศอินเดีย

ในสมัยพุทธกาลเป็นที่อยู่ของ
พวกชาวกาลามโคตรหรือกาลามชน

อยู่ในแคว้นโกศล เป็นหมู่บ้านทางผ่าน
ระหว่างเมืองในสมัยพุทธกาล

พระพุทธเจ้าได้เคยเสด็จผ่านมาที่เกสปุตตนิคม
และได้ทรงแสดงกาลามสูตร

หรือเรียกในอีกชื่อหนึ่งว่า
เกสปุตตสูตร
แก่กลุ่มคนเหล่านี้
จนยอมรับนับถือพระพุทธศาสนา




ย้อนพุทธกาล แนะใช้ (ชาว)กาลามสูตร10 สู้เฟคนิวส์ (10ก.พ.63)
ฟังหูไว้หู | 9 MCOT HD (https://www.mcot.net)
ฟังหูไว้หู |10ก.พ.63 OnAir

แนะใช้กาลามสูตร สู้เฟคนิวส์, ย้อนประวัติศาสตร์ สมัยพุทธกาล
กับการเปิดปูม กาลามสูตร 10 ประการ โดยมีที่มาจากความสงสัยของ ชาวกาลามะ
ซึ่งได้ถูกนำมาใช้เรียกพระสูตรเรื่องนี้ แต่ชื่อที่แท้จริงของ กาลามสูตร
ตามข้อมูลพระไตรปิฏกคืออะไร ติดตามข้อมูลได้ในคลิปรายการ

อาจารย์นิธิ สถาปิตานนท์ : A49.COM

From T2

From นิธิ สถาปิตานนท์

http://teetwo.blogspot.com/2010/08/blog-post_9499.html
http://teetwo.blogspot.com/2009/02/49.html
http://teetwo.blogspot.com/2009/02/architects-49-25th-anniversary.html
lhttp://teetwo.blogspot.com/2008/02/blog-post_9392.html
http://teetwo.blogspot.com/2007/10/blog-post_28.html
http://teetwo.blogspot.com/2008/02/blog-post_26.html
http://teetwo.blogspot.com/2007/08/blog-post_17.html
http://teetwo.blogspot.com/2010/08/blog-post_12.html

"เป้าหมายของเราอยู่ที่ผลงานไม่ใช่ธุรกิจ"
ประชาชาติธุรกิจ
วันเวลากลายเป็นตัวบ่มเพาะให้ "สถาปนิก 49" หรือ A49 แข็งแกร่งขึ้น
โดยเฉพาะแม่ทัพใหญ่ "นิธิ สถาปิตานนท์" ยิ่งแกร่งขึ้นอีก
เมื่อนำพาบริษัทให้กลับมายิ่งใหญ่
ในฐานะผู้ก่อตั้งและผลักดันผลงานของกลุ่มให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น
ทั้งในเมืองไทยและต่างประเทศ "นิธิ" เป็นสถาปนิกอาวุโส ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นศิลปินแห่งชาติ
สาขาศิลปะสถาปัตยกรรม (แบบร่วมสมัย) ประจำปี 2545

พลังและกำลังใจจึงเกิดท่วมท้น
วันนี้เขาเปิดโอกาสให้ "ประชาชาติธุรกิจ"
ได้สัมภาษณ์พิเศษทุกแง่มุม
เรื่องราวของ A49 มีความคืบหน้าอย่างไร
เชิญติดตามได้ในบรรทัดถัดไป...

- กว่าจะมาเป็นบริษัทสถาปนิก A49

ผมเคยทำงานอยู่ที่ดีไซด์ 103 ของคุณชัชวาลย์ พริ้งพวงแก้ว มาก่อน
อยู่มา 12ปี ตอนนั้นพนักงานมีร้อยกว่าคนมันเป็นเรื่องธรรมดาของคน
ที่อยากจะมีกิจการของตัวเอง เป็นความฝันของทุกคน ผมอยู่ที่นั่นจนอิ่มตัวแล้ว
และตอนนั้นก็นั่งตำแหน่ง เอ็ม ดี ได้เรียนรู้จากคุณชัชวาลย์ เยอะทีเดียว
แล้วจึงออกมาตั้งบริษัท สถาปนิก A49 ตั้งแต่ปี 2526
ตอนออกมาก็มีกันอยู่ 3 คน มีเพื่อนอีกคนเป็นหุ้นส่วน ช่วงนั้นเศรษฐกิจกำลังดาวน์
แต่ก็ดีไปอย่าง ทำให้เรารอบคอบมากขึ้น ค่อยๆ ประคับประคอง
ผมมองว่าถ้าตั้งบริษัทช่วงเศรษฐกิจดี เราอาจตั้งหลักไม่ทัน
ตอนนั้นจึงกระเตาะกระแตะไปเรื่อยๆ
รับงานออกแบบบ้านพักอาศัย เริ่มต้นจากคนรู้จัก เพื่อประคองให้บริษัทอยู่ได้
ใช้เวลา 4-5 ปี ก่อนขยายออกไปเรื่อยๆ
และส่วนตัวผมเป็นคนลงมือทำงานออกแบบเอง
คนจึงเชื่อถืออยู่พอสมควร 
- ผ่านวิกฤตเศรษฐกิจหลายครั้งมีวิธีการแก้ปัญหาอย่างไร
ตั้งบริษัทมา 21 ปีแล้วผ่านมาหลายยุค ก็ต้องปรับตัวให้ทันสถานการณ์
เพราะธุรกิจนี้ผูกกับเศรษฐกิจของประเทศ อย่างครั้งล่าสุด
เศรษฐกิจตกมากๆตอนปี 2539 ผมก็ต้องแก้สถานการณ์
ตอนนั้นมีคนอยู่เฉพาะ A 49 บริษัทเดียว 130 คน ต้องลดเหลือ 60 คน
ถ้ารวมทั้ง 6 บริษัทก็ร่วม 500 คน จึงต้องตัดค่าใช้จ่าย ลดเงินเดือน
อะไรที่มีอยู่ขายหมด เพื่อให้บริษัทอยู่ได้ ใครอยู่ได้ก็อยู่ อยู่ไม่ได้ก็ไป
บางคนออกไปขายน้ำยังมี ตอนนั้นผมขายสินทรัพย์เกือบหมด
รถยนต์ก็คืนเขาหมด เพิ่งจะ 1-2 ปีนี่เอง ที่เริ่มดีขึ้น 
- ตอนนี้บริษัทในเครือกี่บริษัท
8 บริษัท คือ
1.บริษัทสถาปนิก A49
2.บริษัทอินทีเรีย A 49
3.บริษัท คอนเซาท์ติ้ง แอนด์ แมนเนจเมนท์ 49
4.บริษัทแลนด์สเคป A49
5.บริษัทกราฟฟิก 49
6.บริษัทสถาปัตย์ เอ็นจิเนียริ่ง 49
7.บริษัทเอ็ม & อี เอ็นจิเนียริ่ง 49 และ
8.บริษัท 49 ไลท์ทิ่ง ดีไซด์ คอนเซาท์แทนต์

ถือได้ว่าเรามีบริษัทที่ทำงานครอบคลุมธุรกิจด้านการก่อสร้างครบวงจร
สำหรับพนักงานตอนนี้มีทั้งหมดกว่า 300 คน แต่ละบริษัทจะอยู่ใกล้ๆ กัน
อยู่ตึกนี้ (A49) บ้าง ตึกใกล้ๆ กันบ้าง วิธีการบริหารก็พยายามดึง
ผู้บริหารทุกๆบริษัทมาประชุมร่วมกันทุกๆ เดือน
ถ้าว่างก็จะมานั่งทานข้าวกลางวันกันบ้าง
บางครั้งต้องใช้จิตวิทยานิดหน่อย พาผู้บริหารทั้ง 8 บริษัท
ไปเที่ยวต่างประเทศด้วยกัน เพื่อให้ทุกคนสนิทสนมกัน
มีอะไรจะได้พูดกันได้ง่ายขึ้น 
- รับงานประเภทไหนเป็นหลัก มีงานต่างประเทศมากไหม
งานต่างประเทศประมาณ 10% ล่าสุดก็ที่มัลดีฟส์ ส่วนงานในประเทศ
คิดเป็นสัดส่วนราว 90% สำหรับประเภทงานเราถนัดทุกเรื่อง
ตอนนี้ทำตึกสูงแต่บ้านส่วนตัวก็ยังทำอยู่ พูดง่ายๆ ในเมืองไทย
ถ้าจะออกแบบบ้านส่วนตัว
ส่วนใหญ่จะมาจ้างเราออกแบบค่อนข้างเยอะ
- งานต่างประเทศเป็นโครงการประเภทไหน
หลายอย่างมีทั้งงานรีสอร์ต โรงแรม อย่างที่มาเลเซีย สิงคโปร์
เป็นเฮาส์ซิ่งโปรเจ็กต์ ที่เวียดนามเป็นโรงแรมกับออฟฟิศ บิลดิ้ง
ที่จีนเป็นเฮาส์ซิ่ง โปรเจ็กต์ ที่มัลดีฟส์เป็นโรงแรม รีสอร์ต
และที่พม่าเป็นบ้านส่วนตัว
- เทรนด์ในการออกแบบสไตล์ไหนมาแรง
ตอนนี้สปามันเป็นเทรนด์ของโลก อย่างที่มัลดีฟส์ก็เป็นรีสอร์ต เป็นสปาทั้งนั้น
ไม่มีอาคารอื่น เพราะเทรนด์ของโลกเป็นอย่างนั้น
แต่งานของ A49 ไม่ได้ไปถึงยุโรป หรืออเมริกานะ เราจะอยู่ในเอเชีย
หรืออย่างอินเดีย เขาก็ติดต่อเราให้ไปออกแบบ ตอนนี้อยู่ในช่วงเจรจา
เพราะเขารู้สึกว่าสถาปนิกไทยออกแบบโรงแรมได้ดี
- ข้อจำกัดของสถาปนิกไทยในการรับงานต่างประเทศ
คิดว่าจุดอ่อนน่าจะอยู่ที่การประชาสัมพันธ์ตัวเอง เรื่องของการตลาด
ซึ่งคนไทยไม่เก่ง อีกเรื่องคือเรื่องภาษา เพราะสถาปนิกไทยไม่เก่งภาษา
เหมือนชาวสิงคโปร์ หรือออสเตรเลีย อย่างสิงคโปร์เขาบุกไปตะวันออกกลาง
ไปอินเดีย เพราะภาษาเขาดีกว่าเรา การตลาดก็เก่งกว่า
คนไทยยังเก็บตัวเองเยอะมาก สำหรับเรื่องใบอนุญาตรับงานคิดว่าไม่เป็นปัญหา

- การรับงานออกแบบต่างประเทศ จำเป็นต้องมีพันธมิตรหรือไม่
ต้องมีบ้าง แต่เราจะเป็นตัวหลักในการออกแบบ
เพราะเขามาซื้อความคิดจากเรา local architect ของประเทศนั้นๆ
จะช่วยแนะนำในเรื่องกฎหมายท้องถิ่น ลูกค้าเขาก็จะจัดมาให้
เราไม่ต้องไปหา เร็วๆ นี้เราอาจจะตั้งอีกบริษัทหนึ่งคือ
อาร์ชีเตค 49 อิน เตอร์เนชั่นแนล ให้มีสตาฟเป็นฝรั่ง
เพื่อรับงานต่างประเทศโดยเฉพาะ
- จะแนะนำสถาปนิกไทยอย่างไรบ้าง
ผมว่าก็ควรจะทำแบบผมคือ ทำหนังสือประชาสัมพันธ์งานของตัวเองให้เป็นที่รู้จัก
ด้วยวิธีที่มีศักดิ์ศรี ไม่ใช่ออกไปโฆษณาตามหน้าหนังสือพิมพ์
อีกวิธีหนึ่งคือการประชาสัมพันธ์ผ่านเว็บไซต์


- ผลกระทบจากการทำข้อตกลงเปิดเสรีทางการค้า
คิดว่าสถาปนิกไทยต้องปรับตัว ไม่ใช่ให้เขาบุกอยู่ฝ่ายเดียว
เราต้องบุกออกไปข้างนอกด้วย เพราะตอนนี้เราถูกบีบมาก
จากข้อตกลงขององค์การการค้าโลกหรือ WTO
จากข้อตกลงเปิดเสรีทางการค้าและการบริการ FTA
ตอนนี้สมาคมสถาปนิกสยามฯ ก็พยายามผลักดันเรื่องเอเปกไลเซ่นส์
เพราะฉะนั้นเราจะต้องปรับตัว ต้องดูมาตรฐานวิชาชีพของแต่ละประเทศ
และพยายายามปรับตัวเข้าสู่มาตรฐานเหล่านั้น
- คิดว่าสถาปนิกไทยมีความพร้อมขนาดไหน
ผมว่าความรู้เรามีความพร้อม แต่มาตรฐานเรากำลังพยายามอยู่
- ผลงานเราสู้ต่างประเทศได้ไหม
ได้แน่นอน แต่มาตรฐานการทำงาน การศึกษา เขาเรียนกันอย่างไรบ้าง
สอนกันอย่างไร เป็นไปตามมาตรฐานของโลกหรือเปล่า
อันนี้ต้องนำมาพิจารณากัน และผลักดันให้เกิดผลในทางปฏิบัติ
- มองเป้าหมายในอนาคตของบริษัท สถาปนิก A49 อย่างไรบ้าง
เราจะพัฒนาคุณภาพงานให้ดีขึ้นเรื่อยๆ และพยายามปรับตัวให้ทันสถานการณ์
ผมเป็นคนรักงานสถาปัตยกรรมมาก อยากจะทำงานดีๆ ไม่อยากจะทำงานชุ่ยๆ
เพราะงานสถาปัตยกรรมอยู่เป็นร้อยๆ ปี ถ้าทำไม่ดีก็เป็นขยะ
สร้างไปแล้วก็อยากให้ตึกอยู่เป็นร้อยๆ ปี ไม่อยากให้ถูกทุบทิ้ง
วันดีคืนดีถ้าเขาอนุรักษ์ตึกของเราก็ยิ่งดี
เป้าหมายของผมอยู่ที่ผลงานมากกว่าไม่ได้อยู่ที่ธุรกิจ 
- ผลงานที่ภาคภูมิใจ
ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องบ้าน เพราะตึกนี่มันธรรมดามาก ออกแบบมาอย่างไรก็ไปอย่างนั้น
แต่บ้านมันเหมือนกับงานประติมากรรม ไม่มีกฎเกณฑ์อะไรตายตัว
สามารถครีเอทีฟได้อย่างสนุกสนาน ยิ่งถ้าเจอเจ้าของบ้านเข้าใจ
มันสามารถออกแบบแตกต่างกันได้ตลอด
ถ้าบ้านต้องไปเข้ากับศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นด้วย ก็ยิ่งสนุกกันไปใหญ่
- ฝันอยากจะทำงานออกแบบอะไรเป็นพิเศษ
อยากออกแบบรัฐสภาแห่งใหม่ ผมว่าสถาปนิกทุกคนฝันนะ
อยากทำให้ประเทศชาติ อยากให้เป็นแลนด์มาร์คของประเทศชาติ
หรือหอศิลป์แห่งชาติอะไรอย่างนี้ แต่ต้องไม่มีการเมืองเข้ามาแทรกนะ
นี่คืออีกฝันหนึ่งที่ "นิธิ สถาปิตานนท์" อยากให้เป็นจริงขึ้นมา



ผลงานบริษัท A49 : http://www.property-report.com/em_archives.php?date=0604&id=405





81 Sukhumvit 26,
Bangkok 10110 Thailand
Tel. : +66(0) 2259-3533
Fax : +66(0) 2661-2186
Website : www.49group.com