Custom Search

Sep 29, 2012

ข้อคิดวันเกษียณ

วรากรณ์ สามโกเศศ
เมื่อข้าราชการเกษียณอายุ เรามักจะได้อ่านหนังสือชีวประวัติ
และผลงานของท่านผู้เกษียณอายุกันอยู่เสมอ
นานๆ จะพบหนังสือที่มีแนวแปลกสักครั้ง
เมื่อไม่นานมานี้ผมได้พบหนังสือลักษณะที่ว่านี้
ซึ่งเป็นของคุณวลัยรัตน์ ศรีอรุณ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ
ผู้เกษียณอายุเมื่อปลายเดือนกันยายนที่เพิ่งผ่านไป

หนังสือเล่มเล็ก
ที่มีคุณค่านี้ผู้เกษียณอายุเป็นผู้เขียนเองทั้งหมด
เมื่อผมได้อ่านก็รู้สึกขึ้นมาว่าต้องเอามาสื่อต่อ
เพื่อให้ได้อ่านกันกว้างขวางยิ่งขึ้น

ผมขอยกมาเป็นตอนๆ
ที่โดนใจผมแล้วกัน
อย่างไรก็ดีก่อนอื่นขอเล่าประวัติคุณวลัยรัตน์สักเล็กน้อย
ก่อนเข้ามหาวิทยาลัยเธอเรียนที่โรงเรียนเขมะสิริอนุสสรณ์
จบปริญญาตรีรัฐศาสตรบัณฑิต (เกียรตินิยมดีมาก)
สาขาบริหารรัฐกิจ จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
จบ Post-Graduate Diploma ด้าน Development Studies
จากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ และจบปริญญาโทด้าน Public Policy
and Administration
จาก Institute of Social Studies ที่มีชื่อเสียงจากเนเธอร์แลนด์
เธอทำงานที่สำนักงบประมาณตลอดระยะเวลา 37 ปีของอายุราชการ
มีประสบการณ์กว้างขวางมาก และเป็นผู้ที่มีฝีมือในการทำงาน
เหนือสิ่งอื่นใดเธอเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงในความเป็นผู้มีหลักการ
มีความตรงไปตรงมา มีความซื่อสัตย์สุจริต
และมีมนุษยสัมพันธ์ดีเยี่ยม
เธอได้รับแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ
เมื่อต้นตุลาคม 2552

ข้าราชการ
ผู้ใหญ่ต้องประสบแรงกดดันด้วยกันทั้งนั้น
มากบ้างน้อยบ้าง สำหรับเธอนั้น "การได้รับตำแหน่งสูงสุด
มาด้วยความไม่มีเงื่อนไข ถือเป็นโชคดีส่วนตน
การทำงานในตำแหน่งสูงสุดบนความไม่มีเงื่อนไข
ถือเป็นโชคดีของส่วนรวม

ความ โชคดีส่วนตนคือ
แม้มีแรงกดดันก็เสมือนไร้ซึ่งความกดดัน
ความเหน็ดเหนื่อยกับความกดดันนั้น แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ความเหน็ดเหนื่อยเป็นผลจากทำงาน ความกดดัน
เป็นผลจากความขัดแย้งระหว่างความถูกต้อง
กับความไม่ชอบธรรม
หรืออาจหมายถึงความขัดแย้งระหว่างประโยชน์ส่วนรวม
กับประโยชน์ส่วนตน

เมื่อ เหน็ดเหนื่อยโดยไม่มีความกดดัน
ย่อมหมายถึงผลงานที่ปราศจากความขัดแย้งระหว่างความถูกต้อง
และความไม่ชอบธรรม และเป็นความเหน็ดเหนื่อย
ที่เป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนรวมโดยแท้......."
ใน เรื่องการทำงาน "ในชีวิตการทำงาน หากความจริงที่ว่า
"ไม่มีใครเก่งไป ทุกเรื่อง และไม่มีใครไม่เก่งไปทุกเรื่อง"
เป็นที่ตระหนักอยู่ในใจของตนเองแล้ว
ไม่ว่าจะในฐานะหัวหน้าหรือลูกน้องก็ย่อม
ทำให้การทำงานร่วมกันเป็นไปด้วยความสุข
ของทุกฝ่าย และนำไปสู่ผลสำเร็จอัน
เกินคาดได้

ไม่มีใครเก่งไปทุกเรื่อง
ไม่มีใครไม่เก่งไปทุกเรื่อง
หากไม่สามารถค้นและพบความไม่เก่งในความเก่ง
หรือความเก่งในความไม่เก่งของผู้อื่นแล้วละก็
ผู้ที่ไม่เก่งมิใช่ผู้ใดเลยนอกจากตนเอง

ความ
มีประสิทธิภาพในการทำงาน ต้องเป็นไป
เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม หากไม่เช่นนั้นแล้ว
การไร้ประสิทธิภาพย่อมควรแก่การสรรเสริญ
มากกว่าการถูก ตำหนิมิใช่หรือ"

คุณวลัยรัตน์พูดถึง
เรื่องความกล้าหาญในการทำงาน อย่างน่าฟังว่า
".....ความกล้าหาญที่ถูกใช้โดยคนไม่ดี
 ผนวกกับความกล้าหาญที่ไม่ถูกใช้โดยคนดี
เป็นสิ่งที่น่ากลัวสำหรับอนาคตของสังคม
ไม่ว่าจะเป็นสังคมขนาดเล็กอย่างองค์กรหนึ่งๆ
หรือสังคมขนาดใหญ่ระดับประเทศชาติ
จะเริ่มกล้าหาญกันตั้งแต่บัดนี้หรือจะรอจนถูกปกครองโดยคนไม่ดี
และไม่มีโอกาสที่จะได้ใช้ความกล้าหาญอีกเลย
มีคำพูดว่าคนกล้าตายครั้งเดียวและขอต่อด้วยความเชื่อว่า
"คนไม่กล้าตายทั้งเป็น" และคนที่คิดว่าตนเป็นคนดี
แต่ปล่อยให้ความไม่ดีเกิดขึ้นทั้งรู้โดยไม่มีความกล้า
ที่จะทำอะไรเพื่อขจัด ความไม่ดีนั้น

ไม่น่าจะเรียกได้ว่าเป็นคนดี
แต่เป็นคนที่ดูดายไม่เอาธุระส่วนรวม

และเอาตัวรอดไปวันๆ หนึ่งเท่านั้นเอง
ไม่สนใจว่า องค์กรจะอยู่อย่างสง่างาม
หรือจะอยู่แบบเน่าและหมดศักดิ์ศรี
คนแบบนี้ยังจะคิดว่าตนเองเป็นคนดีอยู่อีกหรือ"


ในสังคมไทยบุญคุณและ ความถูกต้องชนกันเสมออย่างสับสน
ความคิดในเรื่องนี้ของเธอก็คือ "บุญคุณและความถูกต้อง
เป็นสิ่งที่ควรจะต้องไปด้วยกัน แต่หากเมื่อใดที่ต้องเลือกระหว่าง
การทดแทนบุญคุณกับความถูกต้อง ควรจะกลับไปทบทวนดู
ว่าบุญคุณนั้นเกิดมาจากความสุจริตใจของผู้มีบุญคุณหรือไม่
คำว่าบุญคุณต้องแตกต่างจากคำว่า "แลกเปลี่ยน" อย่างสิ้นเชิง
เพราะหากต้องแลกเปลี่ยนก็แปลว่าต้องมีการคาดหวังถึงสิ่ง
ตอบแทนซึ่งกันและกัน แต่การมีบุญคุณไม่ต้องการสิ่งตอบแทนอื่นใด
นอกจากความรู้สึกที่ดีต่อกัน และโอกาสที่ผู้เป็นหนี้บุญคุณจะทำสิ่งดีๆ
และถูกต้องต่อผู้มีบุญคุณ โอกาสเช่นที่ว่าต้องไม่ก่อให้
เกิดความเดือดร้อนแก่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด และเป็นโอกาสที่
เมื่อเริ่มต้นแล้วไม่มีวันสิ้นสุดจนกว่าชีวิตจะหาไม่
โอกาสนี้เรียกกันว่าความกตัญญูซึ่ง
เป็นเหตุแห่งความเจริญทั้งปวง"


ในฐานะลูกสาวที่อยู่กับพ่อและแม่มาตลอด
เธอให้แง่มุมของความรักที่มีต่อพ่อและแม่ ดังนี้
"เมื่อสมัยที่ยังมีพ่อแม่อยู่ครบ เพื่อนที่เขาสูญเสียพ่อไปแล้วพูด
เสมอว่าให้รักพ่อแม่ให้มากๆ ให้ทำดีต่อพ่อแม่มาก
ฟังแล้วก็รู้สึกว่าความรักก็รักแน่ การทำดีต่อพ่อแม่เท่าที่ทำก็ดีแล้ว
แต่เมื่อวันหนึ่งที่พ่อจากไปจึงรู้ว่าที่ว่ารักแล้วและทำดีแล้วนั้นยังไม่
เพียงพอเลย จะเรียกว่ารู้สึกตัวเมื่อสายไปก็น่าจะถูก
เพราะถึงแม้ยังเหลือแม่อยู่และรักแม่ ทำดีกับแม่มากแค่ไหน
ก็ยังอยากให้พ่อกลับมาเพื่อที่จะรัก และทำดีกับพ่อให้มากกว่า
ที่เคยรักและเคยทำ บัดนี้จึงรู้แล้วว่าทำไมเพื่อนพูดแบบนั้น
ก็พยายามพูดต่อกับทุกคนที่รู้จักแบบเดียวกัน
แต่เรื่องเช่นนี้คงอาจจะไม่สามารถบอกต่อให้คนอื่นเข้าใจ
ได้จนกว่าผู้นั้นจะ ผ่านเหตุการณ์ด้วยตนเอง

ทุกวันนี้ไม่มี
อะไรมากเกินไปสำหรับแม่ ไม่มีอะไรยากเกินไปที่จะทำให้แม่
แต่เมื่อถึงเวลาที่แม่ต้องจากไปก็คงรู้สึกเช่นเดียวกัน
กับเมื่อพ่อจากไปแล้ว
คือยังรักและทำดีให้ไม่พอ
คนที่ยังมีครบทั้งพ่อและแม่ลองจำลอง
เหตุการณ์ว่าไม่มีพ่อหรือแม่ดู
แล้วจะได้เริ่มเพิ่มเติมความรัก
และทำดีต่อพ่อแม่ก่อนที่จะสายเกินไปดีไหม"


ขอจบด้วยข้อคิดในเรื่องช้าและเร็ว ดังนี้ 


"คิดเร็ว ทำเร็ว
น่าเชื่อ 
คิดช้า
ทำช้า น่าเบื่อ 
คิดเร็ว ทำช้า
น่ารอ 
คิดช้า
ทำเร็ว น่ากลัว


คิดเร็ว พูดเร็ว
น่าเชื่อ 
คิดช้า
พูดช้า น่าเบื่อ

คิดเร็ว พูดช้า
น่ารอ 
คิดช้า
พูดเร็ว น่ากลัว
คิดช้า ทำช้า
อาจช้าไป
คิดไว ทำไว
อาจพลาด 
ช้ากับพลาด
คงต้องเลือก"


ขอสวัสดีปีใหม่ด้วยการฝากข้อคิดเหล่านี้ครับ


(มติชนรายวัน ฉบับวันที่ 29 ธันวาคม 2554)


ความสุขในวัยเกษียณ ที่คุณจะได้เรียนรู้ และนำทฤษฏีดี ๆ รวมทั้งการปฏิบัติ
ไปใช้ได้อย่างได้ผลทั้งร่างกาย และจิตใจ กับอาจารย์วัลลภ ปิยมโนธรรม



Sep 24, 2012

ยักษ์ (Yak)


สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล / บ้านอิทธิฤทธิ์
/ ซูเปอร์จิ๋ว / เวิร์คพอยท์ พิคเจอร์ส /

ผลงานภาพยนตร์แอนิเมชั่น
โดย พี่จิก ประภาส ชลศรานนท์


http://www.daypoets.com/adb/?p=634

Sep 21, 2012

วิธีแก้กรรมเก่า




วิธีแก้กรรมเก่า
วิทยากรโดย พระอาจารย์ภาสกร ภูริวฑฺฒโน
ผู้อำนวยการธรรมสถาน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ดำเนินรายการโดย รศ.ดร.นพ. ศุภนิมิต ทีฆชุณหเถียร
ภาควิชาเภสัชวิทยา คณะแพทยศาสตร์
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

Sep 19, 2012

มานะ ศรัทธา และปัญญา


by Indy Investor Forum on Saturday, 5 May 2012 at 21:18 ·







ปรัญญาของมนุษย์แม้จะเกิดต่างที่ ต่างภาษา
ต่างอุดมการณ์ก็อาจมีบางสิ่งที่สอดคล้องกันได้
ลองมาฟังนิทานธรรมะของพม่าดูก่อน
ชายคนหนึ่งได้พายเรือไปในลำคลอง
เพื่อที่จะตกปลามาเป็นอาหาร
เค้าสามารถตกปลาได้สามตัว เวลาที่เค้าตกปลาได้
เค้าก็จะเอาปลาไปไว้ในท้องเรือซึ่งมีน้ำขังอยู่ในระดับหนึ่ง
ทำให้ปลาไม่ตาย
ปลาตัวแรกมีชื่อว่า เฉย ปลาตัวนี้ไม่ทำอะไรเลย
เพราะปลาตัวนี้คิดว่า
อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ปลาตัวนี้ก็นอนนิ่งงงง

ปลาตัวที่สองมีชื่อว่า มานะ ปลาตัวนี้
แตกต่างจากตัวแรกอย่างสิ้นเชิง
ปลาตัวนี้จะพยายามทุกวิถีทางเพื่อที่
จะรอดพ้นจากการถูกกิน
ปลาตัวนี้จะพยายามกระโดดเพื่อที่จะได้ออกจากเรือลำนี้
กระโดดแล้วกระโดดเล่า
ชายคนที่ตกปลาเห็นปลาตัวนี้ก็คิดในใจว่า
ปลาตัวนี้ช่างมีความพยายามสูงจริงๆ
ถ้ากระโดดไปเรื่อยๆ คงจะกระโดดออกจากเรือ
เพื่อกลับลงไปในคลองได้แน่ๆ
ดังนั้นแล้ว ชายคนนี้จึงเอาไม้พายฝาดหัวปลาตัวนี้เลย
ปลาก็ตายก่อนเพื่อน
ปลาตัวที่สามมีชื่อว่า ปัญญา ปลาตัวนี้ก็ทำตัวนิ่งๆ
เหมือนกับปลาตัวแรก
ไม่ทำอะไร รอ รอ รอ
แต่พอจังหวะที่คนตกปลาถึงบ้าน
เวลาที่เค้าลุกขึ้นเพื่อที่จะเอาเรือไปผูกไว้กับเสา
เรือจะเกิดการโคลงเคลงขึ้น
เมื่อเรือเอนไปเอนมาในจังหวะที่ดี
ปลาตัวนี้ก็กระโดดสุดชีวิต
ทำให้สามารถกระโดดพ้นออกมาจากตัวเรือได้ภายในครั้งเดียว
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
สิ่งแรกที่เราจะต้องใช้คือปัญญาและสติ
เมื่อเราใช้ปัญญาและสติอย่างเต็มที่แล้ว
เราจะรู้ว่าเมื่อไรที่เราควรจะนิ่ง
และเมื่อไรที่เราควรจะใช้ความพยายาม
และความขยันอย่างสุดกำลัง
น่าแปลกที่ทางฝั่งตะวันตกก็มีปรัชญาประมาณนี้
เหมือนกันแต่มาจากจอมโหดอย่างฮิตเลอร์
ฮิตเลอร์เปรียบเปรยทหารในกองทัพนาซีแบ่งแยกออก
เป็น 4 ประเภท
ฉลาด-ขยัน คนเหล่านี้สมควรให้เป็นนายร้อย-นายพัน
คุมการรบภาคสนาม
ฉลาด-ขี้เกียจ คนเหล่านี้สมควรให้เป็นนายพล
คุมกลยุทธ์ในภาพใหญ่
โง่-ขี้เกียจ คนเหล่านี้ควรให้เป็นพลทหาร
ใช้เลือดเนื้อแรงงานตามคำสั่ง

ส่วนกลุ่มคนสุดท้าย...
โง่-ขยัน คนเหล่านี้สมควรจับไปยิงเป้าเสียให้หมด
เพราะสร้างความเสียหายจากความไม่รู้แก่กองทัพได้มากที่สุด
โชคดีของนาซีที่ฮิตเลอร์ไม่ได้ทำอย่างนั้นจริงๆ
ไม่งั้นกองทัพนาซีจะพ่ายแพ้เร็วกว่านี้
(แต่อาจเป็นโชคร้ายของชาวโลก -_-)
แม้แนวคิดสุดโต่งแบบนี้จะออกจากปากจอมโหดอย่างฮิตเลอร์
แต่ก็สอดคล้องแนวคิดทางพุทธศาสนา
แสดงให้เห็นว่าไม่ว่าจะเป็นสายธรรมะหรือสายอธรรม
ก็ให้ความสำคัญกับปัญญาเหนือกว่ามานะ (ศรัทธา)

ปัญญาจะเป็นตัวกำหนดให้เราเดินเส้นทางที่ถูก
ส่วนมานะจะเป็นตัวผลักดันให้เราเข้าสู่จุดหมายได้เร็วขึ้น
มานะที่ขาดปัญญานี่น่ากลัวมาก
เพราะจะนำเราไปสู่ความวิบัติได้อย่างรวดเร็ว
โดยที่เราไม่รู้ตัวพุทธศาสนาจึงจะสอนมานะ (หรือศรัทธา)
ไว้คู่กับปัญญาเสมอ

แม้พระธรรมแห่งพุทธศาสนาเอง
พระพุทธเจ้าก็มุ่งหวังให้สัตว์โลกพิจารณา
คำสอนของพระองค์ให้ดีก่อนศรัทธา
สมัยที่พระพุทธเจ้ายังประทับอยู่บนโลก
ก็ยินดีจะตอบข้อซักถาม และข้อโต้แต้งของผู้ไม่เห็นด้วย
โดยเหตุและผล
ไม่ได้บังคับโดยอิทธิฤทธ์
หรืออ้างปาฎิหารย์เพื่อชักจูงให้ผู้ไม่เห็นด้วยคล้อยตาม
ถ้าใช้เหตุและผลถึงที่สุดแล้วไม่สามารถโปรดสัตว์รายใดได้
ก็จะปล่อยวาง เพรากรรมของสัตว์ตนนั้น
บดบังโอกาสดวงตาเห็นธรรม

พระพุทธเจ้าสอนให้ใช้หลักวินิจฉัยด้วยตนเอง
โดยมิให้ปลงใจเชื่อถือ ด้วยเหตุ ๑๐ ประการ (กาลามาสูตร)
ดังต่อไปนี้
๑) มาอนุสสะเวนะ อย่าเชื่อถือเพียงเพราะได้ยินได้ฟังอยู่เนือง ๆ
๒) มาปรัมปรายะ อย่าเชื่อถือเพียงเพราะเป็นไปตามประเพณีสืบ ๆ กันมา
๓) มาอิติกิรายะ อย่าเชื่อถือตามคำที่เขาเล่าลือกัน
๔) มาปิฏะกะสัมปะทาเนนะ อย่าเชื่อถือเพียงเพราะตรงกับตำรา
๕) มาตักกะเหตุ อย่าเชื่อถือเพราะคาดคะเนเอา
๖) มานะยะเหตุ อย่าเชื่อถือเพราะมีนัยเทียบเคียงกันได้
๗) มาอาการะปริวิตักเกนะ อย่าเชื่อถือเพียงเพราะคิดไปตามอาการที่ได้เห็น
๘) มาทิฏฐินิชฌานักขันติยา อย่าเชื่อถือเพียงเพราะเข้ากันได้กับทฤษฎี
๙) มาภัพพะรูปะตายะ อย่าเชื่อถือเพียงเพราะคนพูดน่าเชื่อถือ
๑๐) มาสะมะโณ โนคะรูติ อย่าเชื่อถือเพียงเพราะผู้พูดเป็นสมณะหรือครูอาจารย์

พระพุทธเจ้าท่านสอนไม่ให้เชื่ออะไรง่าย ๆ
เพียงเพราะเหตุใดเหตุหนึ่งใน ๑๐ ประการ
ดังกล่าวข้างต้น แต่ให้ใช้สติปัญญาไตร่ตรองอย่างรอบคอบ
ก่อนจะใช้มานะ(หรือศรัทธา)ในเรื่องใด
ควรใช้ปัญญาพิจารณาให้ถ้วนถี่เสียก่อนเสมอ :)
ขอบคุณ Thailand Investment Forum
ที่นำนิทานธรรมพม่ามาเล่าสู่กันฟัง 

Sep 13, 2012

นิธิ สถาปิตานนท์ & A49 GROUP



July 31, 2012

วันนี้ เป็นวันเกษียณอายุการทำงาน
ของคุณนิธิ สถาปิตานนท์
ผู้สร้างหลายๆสิ่งหลายๆอย่างให้
พวกเราทุกคน
ต่อจากนี้ไป...
เราจะพยายามกวนท่านให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
ขอให้ท่านมีความสุข สุขภาพแข็งแรงตลอดไป













http://www.facebook.com/pages/ARCHITECTS-49-LIMITED
http://teetwo.blogspot.com/2006/08/blog-post_115604741263955351.html

วันนี้ก็เป็นวันสุดท้ายแล้วที่ผมจะทำงานสายวิชาชีพ
เพราะว่าเป็นวันเกษียณอายุการทำงาน
ตามกฎระเบียบของบริษัท ในความรู้สึกจริงๆ แล้ว
ก็ไม่รู้สึกตื่นเต้นเสียใจอะไร
เพราะว่าเตรียมตัวเตรียมใจมาเป็นสิ
ปี ว่าเมื่อถึงเวลานี้ก็คงต้องสละเรือ
แล้วก็ไปทำอะไรที่อยากทำ
จะมีก็พนักงานและคนรอบๆ ข้าง
ที่ไม่แน่ใจว่าผมจะรีไทร์ไปจริงๆ
แต่วันนี้เขาก็จัดงานเลี้ยงส่งผมแบบเป็นทางการ
แล้วก็ต้องร่ำลากันอย่างเป็นทางการ
จากวันนี้ไป ผมคงไม่เข้าทำงานทุกวัน
เพราะเขาก็ยกโต๊ะเก้าอี้ผมไปหมดแล้ว
และก็คงต้องร่ำลาเพื่อนๆ ในสายวิชาชีพด้วย
บ๊าย บาย

Sep 12, 2012

ถอดแนวความคิด กับ ตัน ภาสกรนที












สิวากร มุตตามระ นักสู้ผู้ไม่เคยหยุดแค่ฝัน # 2


ถ้าเป็นเมื่อ 17 ปีก่อน
ลองได้เห็นหน้าและท่าทางกวนๆ
บวกกับสไตล์การแต่งตัว ด้วยเสื้อยืดตัวใหญ่
กางเกง ยีนส์หลวมโคร่ง แถมด้วยรอย tattoo เต็มตัว
คงทําเอา ผู้ใหญ่ไม่ชอบใจในความกล้า
แบบสุดขั้วของเด็กวัยรุ่นสมัยนั้นเป็นแน่
แต่เมื่อถึงยุคที่เทคโนโลยี
และวัฒนธรรมจากซีกโลกตะวันตก
หลั่งไหลเข้าสู่สังคมไทย
ภาพลักษณ์ข้างต้นกลายเป็นสิ่งที่ยอมรับได้
และมิใช่เรื่องแปลกอีกต่อไป
เปิดศักราชใหม่ฉบับนี้
ขอเติมสีสันให้คอลัมน์ ด้วยซอกมุมเล็กๆ
เป็นเรื่องราวที่เชื่อว่า
คงมีอีกหลายคนที่ยังไม่เคยรู้มาก่อนของ
สิวากร มุตตามระ
ศิลปินนักร้องหนุ่มเพลงฮิพฮอพ
ผู้รักการเล่นสเก็ตบอร์ดเป็นชีวิตจิตใจ
ทั้งยังมีส่วนผลักดันให้เป็นที่รู้จัก
และแพร่หลายในเมืองไทย
มีตำแหน่งรองแชมป์อันดับ 2
จากการแข่งขันระดับประเทศการันตีความสามารถ
ปัจจุบันเขาคือเจ้าของร้าน KINKY
แบรนด์ดังในกลุ่มเด็กบอร์ดและวัยรุ่นย่านสยามแควร์
ผลิตชิ้นงานแบบ ลิมิดเต็ต
คอลเล็กชั่นล่าสุด เคาะราคาเบาะๆ
เพียงแค่ 6,000 บาทเท่านั้นเอง !!!
สิวากร บุตรชายคนที่ 3
ของพลโทพิเชียร มุตตามระ และคุณปณดี แกล้วทนง
เริ่มต้นชีวิตเป็นนักเรียนวชิราวุธ
เนื่องจากทางบ้านเห็นว่า
ที่นั่นจะทําให้เด็กรูปร่างเล็ก
ผอมและขี้โรคอย่างเขาดีขึ้นได้
ที่โรงเรียนผมจะเด่นในเรื่องศิลปะ
วาดรูปการ์ตูน งานขีด เขียน
รวมไปถึงการเต้น Break Dance
ร้องเพลงแร็พ เล่นจักรยาน B.M.X.
ขณะที่เพื่อนๆจะมีความชอบ
ในแบบฉบับของนักเรียนวชิราวุธ คือ
เล่นรักบี้ ฟุตบอล บาสฯ หรือไม่ก็กรีฑา
ทําให้ ผมรู้สึกอยู่ตลอดว่า
ความชอบของเราไม่เหมือนใคร
ผมไม่ได้พยายามแปลก แต่ดันไปชอบ
เพียงแต่คนส่วนใหญ่ที่แวดล้อมอยู่
เขาไม่ได้ชอบอย่างเราและยิ่งชัดเจนขึ้น
เมื่อได้ลองเล่น สเก็ตบอร์ด เป็นครั้งแรก
จากความชอบทําให้มุ่งมั่น ฝึกฝน
และศึกษากีฬาประเภทนี้อย่างจริงจัง
ทั้งจากหนังสือ skate magazine
และวีดีโอจากต่างประเทศ
ซึ่งหาได้ ยากมากในสมัยนั้น
ขณะที่มีโอกาสได้ดูของใหม่บ้างเป็นครั้งคราว
เปิดซ้ำแล้วซ้ำอีก
จากวันเป็นเดือน จากเดือนกลายเป็นปี
หลายๆอย่างที่เป็นวัฒนธรรมอเมริกัน
เริ่มซึมซับเข้ามาโดยไม่รู้ตัวเขาเริ่มคบหากับ
เพื่อนๆนักสเก็ตบอร์ดนอกโรงเรียน
ซึ่งทั้งประเทศมีไม่ถึง 20 คน
ประกอบกับข้อเท็จจริงในยุคนั้นที่ว่า
เด็กบอร์ด ส่วนใหญ่จะไม่เรียนหนังสือ
สิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเขาคือ
การไม่ยอมรับ แม้ว่าเขาจะเป็นคนแรก
ของชาวสเก็ตบอร์ดที่สามารถเอ็นทรานส์ติด
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร
คณะศิลปกรรม
ก็มิช่วยทําให้เกิดมุมมองใหม่ๆ
จากคนในมหาวิทยาลัยและเด็กศิลปะเท่าใดนักใน
ความโชคร้ายมักมีเทพีแห่งความโชคดีอยู่ด้วยเสมอ
โดยก่อนจบการศึกษาสิวากรได้มีโอกาสร่วมงานกับ
โจอี้บอย เพื่อนชาวเสก็ตบอร์ด
และเจ้าพ่อฮิพฮอพเมืองไทยด้วยกัน 2 อัลบั้ม
คือ ฟัน ฟัน ฟัน ซึ่งมียอดจำหน่ายสูงถึง 1 ล้านตลับ
และ บางกอกบอย
(ก่อนจะมีอัลบั้มเป็นของตัวเอง
ชื่อ DUJADA ซึ่งทํากับโซนี่ มิวสิก)
ทําให้ เด็กวัยรุ่นทั่วไปเริ่มรู้จักเขามากขึ้น
แต่สิ่งที่ฝันอยากเป็นโปรสเก็ต
และเจ้าของร้านขายอุปกรณ์สเก็ตบอร์ดยังลางเลือน
เพราะใช้จ่ายแบบไม่คิด
ได้มาง่ายก็ใช้ง่าย ทําให้ขาดเงินทุน
จึงเริ่มไปทํางานเป็นนักออกแบบอยู่โรงพิมพ์
ขณะทํางานไม่เคยรู้สึกเลยว่า
สิ่งที่ทําอยู่นั้นเหมาะกับตัวเองความคิด
จึงวกกลับไปที่ความตั้งใจเดิม
คือการแบรนด์เสื้อผ้าและออกแบบด้วยตัวเอง
เพราะเคยเห็นนักสเก็ตบอร์ดต่างชาติสร้างเป็นอาชีพได้
ผนวกกับแฟนสาวทําธุรกิจเสื้อผ้าอยู่ก่อนแล้ว
จึงได้ชักชวนมาทําร้าน
ด้วยกันเมื่อปลายปี 2542 ใน
ชื่อ KINKY (คิ้งกี้) ออกเสียงน่ารักน่าหยิก
แต่ตรงข้ามกับความหมายว่า
โรคจิต อย่างสิ้นเชิง ใช้รูป ลิง เป็นโลโก้แบรนด์
ร้าน KINKY มี 2 แบรนด์หลักๆ คือ
KINKY APE เป็นเสื้อผ้าสำหรับผู้ชายแนวสตรีทแวร์
และ KINKY โลโก้เป็นรูปแม่กุญแจมีปีก
เป็นเสื้อผ้าสำหรับผู้ หญิงแนวเรดี้ทูแวร์
เขาบอกว่า ที่ใช้ ลิง เป็นโลโก้
เพราะหลายคนบอกว่าหน้าเหมือนลิง คิงคอง หรือไม่ก็
กอริลล่า มาตั้งแต่เด็ก ประกอบกับ 
เด็กบอร์ด เวลาเล่นสเก็ต
ท่าทางจะดูคล้ายๆลิงด้วยเหมือนกัน
เขาเริ่มจากผลิตเสื้อยืดสกรีนรูปลิงตรง หน้าอก
ตั้งเป้าเป็น skate brand หรือ
street wear brand ในเมืองไทย
ในช่วงแรกขายได้น้อยมาก
เพราะเด็ก(skate)ไม่ค่อยมีเงินกัน
ภายหลังถูกชักชวนให้ไปเปิดร้านชั่วคราว
ในพื้นที่พิเศษที่ห้างอิเซตัน
ที่นี่ยอดขายขยับสูงขึ้นมาก
เพราะลูกค้าส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ
ขณะเดียวกันลูกค้าคนไทยก็เริ่มรู้สึก
ยอดขายเริ่มขึ้น
ส่วนหนึ่งเกิดจากการที่ฝ่าย costume
รายการทีวี และละคร สำหรับดารา และพิธีกร
เพราะเห็นว่าเป็นแบรนด์ที่มีเอกลักษณ์
แต่ตลาดกลุ่มนักสเก็ตก็ไม่ดีขึ้น
สิวากรเริ่มพัฒนาและ
เพิ่มความหลากหลายของสินค้าให้มากขึ้น
ผสมผสานกับการใช้สไตล์ของ
skate fashion ผลิตภัณฑ์มีทั้งหมวก
เสื้อยืด โปโลแจ็กเก็ต เข็มขัด ยีน ตุ๊กตา
สินค้ารุ่นใหม่จะมีคุณภาพดีขึ้นทุกครั้ง
ส่งผลให้การขายดีขึ้นตามลำดับ
ความไม่เหมือนกับแบรนด์อื่นๆ
ทําให้ KINKY APE อยู่รอดในตลาด
แต่กระแสที่ควบคู่มาด้วยความคิดที่ว่า KINKY
เป็นงานก็อปปี้เลียนแบบแบรนด์ของต่างประเทศ
เพราะกระแสนิยม
ของ Keepling และ Pual Frank ที่เข้ามา
ขณะเดียวกันเริ่มมีงานเลียน
แบบออกมาเกลื่อนตลาด
เขาจึงตัดสินใจสร้างแบรนด์ใหม่ขึ้นมาทดแทน
ภายใต้ความคิดที่ว่า
...เมื่อสามารถสร้างแบรนด์แรก
ให้ประสบความสำเร็จได้
ทําไมจะทําแบ รนด์ที่สอง สาม และสี่
ให้ประสบความสำเร็จไม่ได้
ทั้งๆที่เป็นคนสร้างแบรนด์นั้นมากับมือ
...MS INVESDER ซึ่ง MS
ย่อมาจาก มุตตามระ สิวากร
ส่วนคำหลัง แปลว่า ผู้รุกราน มีโลโก้เป็นรูปผึ้ง 3 ตา
เป็นแบรนด์ใหม่ที่เข้าสู่ตลาด
ครั้งนี้คงไม่มีใครบอกว่า ผมไปเอาของคนอื่นมา
และถือเป็นการพิสูจน์ตัวเองว่า
ถ้าไม่ใช่ ลิง ผมจะยังขายได้ไหม
ปรากฏว่าขายดีกว่าแบรนด์เดิม
เพราะมี ลิง มากมายออกมาล้นตลาด
ปัจจุบันแบรนด์นี้อยู่ในตลาดวัยรุ่นมาได้ 4 ปีแล้ว
สินค้าทุกอย่างจะผลิตแบบลิมิดเต็ต
จึงเป็นที่ชื่นชอบของลูกค้าเพราะไม่เหมือนใคร
และขายหมดอยู่เสมอ
และผลพวงจากการเล่นสเก็ตบอร์ด
จึงได้ร่วมกับเพื่อนชาวต่างชาติ
ซึ่งมีธุรกิจร้านเสื้อผ้าเหมือนกัน
ผลิตเสื้อผ้าในคอนเซ็ปต์ดับเบิ้ลแบรนด์
เพื่อเอาใจลูกค้าแต่ละแบรนด์ในแต่ละประเทศ
เพื่อนของผมทําเสื้อผ้าเด็กบอร์ดแบรนด์ Hello Minor
เป็นเสื้อผ้าเฉพาะเจาะจงเหมือนกับผม
ซึ่งวางขายในสหรัฐอเมริกา อังกฤษ และสิงคโปร์
เราจึงตั้งใจจะทํางานร่วมกันสักชิ้น
เพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึกซึ่งเป็นที่มา
ของดับเบิ้ลแบรนด์
ซึ่งเป็นการออกแบบที่อยู่กึ่งกลาง
ระหว่างความชอบของเราทั้งสองคน
สำหรับดับ เบิ้ลแบรนด์รุ่นแรกผลิตออกมา 80 ชุด
 นำไปวางขายในสหรัฐฯ
จำนวน 50 ชุด และขายในไทยอีก 30 ชุด
ในราคาชุดละ 6,000 บาท
ซึ่งประกอบด้วยสร้อย เสื้อผ้า และกางเกง
ประสบความสำเร็จจากโครงการแรก
วันนี้จึงเกิดแคมเปญใหม่ภายใต้ชื่อ
ไม่รัก ไม่ทํา
โดยจะทําเสื้อ ผ้าคอนเซ็ปต์เดียวกันนี้
ร่วมกับกลุ่มเพื่อนคนไทยดูบ้าง
โดยจะเปิดตัวครั้งแรกในวันที่ 14 กุมภาพันธ์
วันวาเลนไทน์ปี 2551 นี้...
ผมอยากเป็นตัวอย่างให้น้องๆที่ชอบแบบนี้
ได้เห็นว่า เราไม่ได้ไร้สาระ
จับกลุ่มกันไปวันๆ
แต่เราสามารถที่จะหาเงินเลี้ยงตัวเองได้
จากสิ่งที่เรารัก เราชอบ
...ข้อมูลจาก ฐานเศรษฐกิจ


Sep 11, 2012

หนุ่มเมืองจันท์







นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีประเทศไทยคนที่ 28

From T2


http://teetwo.blogspot.com/2012/04/blog-post_3799.html
http://teetwo.blogspot.com/2011/07/blog-post.html
http://teetwo.blogspot.com/2010/02/23.html





From T2
หลังเสร็จสิ้นการนับคะแนนเลือกตั้ง 3 ก.ค
ภาพนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทย
ปรากฎชัดเมื่อผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่ออันดับ1
ของพรรคเพื่อไทยอย่าง
นำทัพพรรคเพื่อไทยคว้าชัยเลือกตั้ง
และเตรียมขึ้นแท่นเป็นผู้บริหารประเทศ
ภายใต้แบรนด์ “ชินวัตร”
ซึ่งในแวดวงการเมือง
ถือเป็นจุดขายสำคัญ
อีกทั้งยังได้รับอานิสงส์จาก
“ทักษิณ อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นผู้วางหมาก

ประวัติส่วนตัว ของน.ส ยิ่งลักษณ์  ชินวัตร
มีชื่อเล่นว่า ปู เกิดเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2510
ปัจจุบันอายุ  45 ปี เป็นบุตรคนสุดท้องในจำนวนบุตร 9 คน
ของนายเลิศ และนางยินดี ชินวัตร และเป็นน้องสาวแท้ ๆ
ของ พ.ต.ท.ทักษิณ  ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
โดยชีวิตครอบครัว ได้สมรสโดยไม่ได้จดทะเบียนกับ
นายอนุสรณ์ อมรฉัตร อดีตผู้บริหารในเครือบริษัท ซีพี
และกรรมการผู้อำนวยการบริษัท
เอ็ม ลิงก์ เอเชีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด
ของนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ พี่สาวคนที่ 5 ในตระกูลชินวัตร
เมื่อ พ.ศ. 2538
โดย มีบุตรชายนอกสมรสหนึ่งคน ชื่อ ด.ช. ศุภเสกข์
หรือ น้องไปป์ ปัจจุบันอายุ 9 ปี

ส่วนด้านการศึกษาของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
จบการศึกษาระดับปริญญาตรีจากคณะคณะรัฐศาสตร์
และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

เมื่อปี พ.ศ. 2531 ก่อนที่จะไปศึกษาต่อระดับปริญญาโท
ในคณะรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเคนทักกีสเตท
ประเทศสหรัฐอเมริกา
หลังจากสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้เข้าทำงาน
ในบริษัทชินวัตร ไดเร็กทอรีส์ จำกัด
ก่อนจะได้รับการแต่งตั้งเป็น
กรรมการผู้อำนวยการของ
บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน)
หรือ เอไอเอส จากนั้นได้ดำรง
ตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการ
บริษัท เอสซี แอสเซท จำกัด
หลังจากตระกูลชินวัตร และตระกูลดามาพงศ์
ได้ขายหุ้นกลุ่มบริษัทชินคอร์ปให้กลุ่มเทมาเส็ก โฮลดิ้ง
ของประเทศสิงคโปร์ ก็ทำให้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ลาออกจากตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการของ
บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน)
แต่ยังคงดำรงตำแหน่ง
กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เอสซี แอสเซท จำกัด
ทั้งนี้ ยิ่งลักษณ์ มีความเกี่ยวข้องกับคนเสื้อแดงโดยเธอ
เป็นหนึ่งใน 86 รายชื่อของผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ให้การ
สนับสนุนด้านเงินทุนกับกลุ่มคนเสื้อแดง

จากการตรวจสอบโดยกรมสอบสวนคดีพิเศษพบว่า
ในช่วงระหว่างวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2552
ถึงพฤษภาคม พ.ศ. 2553 นั้น
พบว่ามีเงินไหลเวียนในบัญชีของยิ่งลักษณ์ประมาณ
317 ล้านบาท ฝากประมาณ 150 ล้านบาท
ถอนประมาณ 166 ล้านบาท
โดยเฉพาะวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2553
มีการถอนเงินประมาณ 140 ล้านบาท
ผลการเลือกตั้งครั้งนี้  คะแนนเสียงส่วนใหญ่
ทคะแนนให้ฝั่งพรรคเพื่อไทย
ปูทางให้น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ก้าวเข้าสู่นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทย
ถึงแม้ว่าการก้าวสู่สนามการเมืองจะเป็นเพียงก้าวแรก
แต่การก้าวกระโดดไปจนถึงจุดสูงสุดเช่นนี้
เป็นเรื่องที่ท้าทายและต้องจับตามองเป็นอย่างยิ่งว่า
นารีขี่ม้าขาว จะนำไปประเทศไปสู่ในทิศทางใด






พลเอก จรัล กุลละวณิชย์

พลเอก จรัล กุลละวณิชย์

เกิด 6 กรกฎาคม 2479
คุณวุฒิ วิทยาศาสตรบัณฑิต (ทบ.) โรงเรียนนายร้อย จปร.
วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ. รุ่นที่ 30)
อาชีพ ข้าราชการ
ตำแหน่ง เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ
สถานที่ทำงาน สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ
โทร. 281-2300, 282-2755 โทรสาร 280-1681
ประสบการณ์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง 2522, 2523
สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ 2534
สมาชิกวุฒิสภา 2535
เครื่องราชอิสริยาภรณ์ ม.ป.ช., ม.ว.ม., ท.จ.
กีฬา กอล์ฟ

เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2555 เวลา 10.00 น.
ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ณ หอประชุมศรีบูรพา
กลุ่มภาคีเครือข่ายต่อต้านทุจริตคอรัปชั่น (ภตช.)
ได้จัดสัมมนาหัวข้อ "ชาติเดินต่อไปอย่างไร
เมื่อนาวาไทยหลงทิศ ผู้ที่ทำหน้าที่ไม่ทำหน้าที่"
โดยเชิญตัวแทนจากฝ่ายการเมืองเข้าร่วม
ประกอบด้วย
นายพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค อดีตรมว.ยุติธรรม 
นายนิพิฏฐ์ อินทนสมบัติ อดีตรมว.วัฒนธรรม
นายพีรพันธ์ พาลุสุข
คณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย
และนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสมาชิกวุฒิสภา
โดยที่พลเอกจรัล กุลละวณิชย์ เป็นประธานในพิธีเปิดฯ







http://teetwo.blogspot.com/2012/01/blog-post_12.html

From T2
http://www.facebook.com/ThaiAntiCorruption 


จดหมายสำคัญจาก พล.อ.จรัล กุลละวณิชย์ ถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี

จากข้อมูลของกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กระทรวงพลังงาน
ได้รายงานประวัติการสัมปทานปิโตรเลียมในประเทศไทย
นับตั้งแต่การเปิดสัมปทานปิโตรเลียมครั้งแรก
เมื่อวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2514
มาจนถึงการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมครั้งที่ 20
เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ.2550 นั้น
ตลอดระยะเวลาเกือบ 36 ปี
ได้มีออกสัมปทานไปแล้วทั้งสิ้น 110 สัญญา
รวมจำนวนแปลงสัมปทานทั้งสิ้น 157 แปลง
ซึ่งในจำนวนนี้ยังคงเหลือดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน
63 สัญญา 79 แปลงสัมปทาน
ที่น่าสนใจก็คือการสัมปทานปิโตรเลียมที่ผ่านมา
ประเทศไทยได้ค่าตอบแทนจากเอกชน
ที่ได้รับค่าภาคหลวงเพียงประมาณร้อยละ 12.5
ของปริมาณปิโตรเลียมทุกชนิดที่ขายหรือ
จำหน่ายปิโตรเลียม
ซึ่งถือว่าผลตอบแทนที่ให้กับรัฐนั้นต่ำมาก
เปรียบเทียบกับประเทศโบลิเวีย
ซึ่งผลิตก๊าซธรรมชาติและน้ำมันน้อยกว่าประเทศไทย
แต่ก็ได้รับผลตอบแทนให้กับรัฐสูงถึงร้อยละ 82
เปรียบเทียบกับประเทศคาซัคสถาน
ได้รับผลตอบแทนจากการขุดเจาะสำรวจปิโตรเลียม
จากเอกชนได้สูงถึงร้อยละ 80 รัสเซีย
ได้รับผลตอบแทนจากเอกชนในการขุดเจาะสำรวจปิโตรเลียมสูง
ถึงร้อยละ 90 ของรายได้ในส่วนที่ราคานั้น
สูงกว่า 25 เหรียญต่อบาร์เรล ประเทศไทย
จึงได้รับค่าภาคหลวงอยู่ในระดับที่ต่ำมาก
แต่ประชาชนคนไทยกลับต้องใช้ราคาพลังงานที่สูงยิ่งในราคา
ที่อ้างว่าเป็นไปตามกลไกลตลาดโลก
เพื่อสร้างกำไรสูงสุดให้กับกลุ่มธุรกิจพลังงาน
ที่จำกัดความร่ำรวยเอาไว้เพียงไม่กี่คน
ประเทศไทยจึงเสียระโยชน์ถึง 2 ด้าน
ด้านหนึ่งประชาชนคนไทยยังคงต้องใช้พลังงานแพง
เพื่อประโยชน์ของกลุ่มทุนพลังงานเหมือนเดิม
ในขณะที่อีกด้านหนึ่งรัฐไทยกลับได้ผลตอบแทนต่ำติดดิน
ทรัพยากรน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ
จึงไม่ก่อให้เกิดประโยชน์กลับใครทั้งสิ้น
เพื่อประโยชน์ของกลุ่มทุนพลังงานเช่นกัน
ปัจจุบันส่วนแบ่งปริมาณปิโตรเลียมที่พิสูจน์แล้ว
ในการสัมปทานของประเทศไทยที่ผ่านมา
กลุ่มบริษัทเชฟรอนได้มากที่สุดเป็นลำดับที่ 1
สูงถึงร้อยละ 50.5 ของปริมาณสัดส่วนปิโตรเลียม
รองลงมาเป็นอันดับที่ 2 ก็คือกลุ่มบริษัท ปตท.
มีสัดส่วนร้อยละ 29.2 แต่ผลประโยชน์ใน ปตท.
ร้อยละ49 ก็ตกอยู่กับผู้ถือหุ้นคนไทยเพียงไม่กี่คนอยู่ดี
นิตยสารและเว็บไซต์ฟอร์จูน 500
ได้จัดอันดับเชฟรอนให้เป็นบริษัทที่มี
รายได้สูงเป็นอันดับ 8 ของโลก
โดยมีรายได้ต่อปีสูงถึง 245,621 ล้านเหรียญสหรัฐ
(7.37 ล้านล้านบาท) และมี “กำไร”สูงเป็นอันดับ 3 ของโลก
สูงถึง 26,895 ล้านเหรียญสหรัฐ (806,850 ล้านบาท)
ในขณะที่ ปตท. ก็ได้ถูกเลื่อนจากอันดับที่ 128 ของโลก
มาเป็นอันดับ 95 ของโลกด้วยรายได้
7,969 ล้านเหรียญสหรัฐ (2.39 ล้านล้านบาท)
และมีกำไรสุทธิ 3,456 ล้านเหรียญสหรัฐ (103,680 ล้านบาท)
มีแต่คนไทยและประเทศไทยที่กลับไม่ได้ผลประโยชน์
จากการที่ประเทศไทยมีทรัพยากรน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ
เป็นจำนวนมาก แต่ล่าสุดการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21
ก็กำลังจะดำเนินการต่อไปในเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2555 นี้
โดยเป็นการเปิดสัมปทานทั้งหมด 11 แปลง
ภาคกลาง 6 แปลงและอ่าวไทย 5 แปลง
ด้วยผลตอบแทนให้กับรัฐต่ำติดดินเหมือนเดิม
จะว่าไปแล้วนี่คือการสัมปทานครั้งใหญ่เท่าที่มีเหลืออยู่ในประเทศไทย
ส่วนที่เหลือหลังจากการสัมปทานครั้งที่ 21 แล้ว
ก็จะเหลือเพียงแค่พื้นที่อ้างสิทธิ์การทับซ้อนเขตไหล่ทวีป
ระหว่างไทย-กัมพูชา ที่ทางสหรัฐอเมริกา
กำลังหาทางลดความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา
เพื่อเข้าไปแบ่งเค้กทางพลังงานในอ่าวไทยด้วย
ค่าภาคหลวงต่ำๆให้มากที่สุดและเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้
ที่น่าสนใจก็คือนักการเมืองในพรรคการเมืองทุกพรรค
ไม่ว่าฝ่ายค้านหรือรัฐบาลต่างพร้อมใจกันเงียบกริบ
ไม่สนใจและทำเป็นไม่รู้เรื่องดังกล่าว
ทั้งๆ ที่เรื่องการให้สัมปทานพลังงานของชาติ
เป็นผลประโยชน์ของประชาชนคนไทยทุกคน
ไม่แบ่งพรรค ไม่แยกสี แต่สังเกตดูเอาเถิดว่า
มีนักการเมืองคนใด หรือ แกนนำมวลชนกลุ่มใดบ้าง
ที่สนใจเรื่องผลประโยชน์ของชาติครั้งนี้
จะมีก็แต่ภาคประชาชน
สมาชิกวุฒิสภาบางส่วน
และนักวิชาการ ตลอดจนพันธมิตรประชาชน
เพื่อประชาธิปไตยจะได้เคลื่อนไหว
ในเรื่องดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ยังมี พลเอกจรัล กุลละวณิชย์
ในฐานะเป็นประธานคลังสมอง วปอ. เพื่อสังคม
(วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรไทย)
จึงได้ทำหนังสือถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
เมื่อสัปดาห์ที่แล้วเพื่อขอให้ระงับชั่วคราว
การเปิดประมูลสัมปทานสำรวจ
และขุดเจาะปิโตรเลียมรอบที่ 21
โดยเนื้อหาของหนังสือดังกล่าวมีดังนี้
"ด้วยคลังสมอง วปอ.เพื่อสังคม
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรสาธารณะประโยชน์
ดำเนินงานวิเคราะห์ปัญหาด้านยุทธศาสตร์
ให้แก่สังคม โดยไม่หวังผลตอบแทนมาตั้งแต่ พ.ศ.2555
ได้ตระหนักถึงความสำคัญของการบริหารจัดการธุรกิจพลังงาน
ที่จะทำให้ประเทศไทยพัฒนาไปอย่างสมดุล มั่นคง และยั่งยืน
จึงได้ดำเนินการศึกษาข้อมูลจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน
และจากแหล่งต่างๆในประเทศและต่างปะเทศ
โดยมีผลการศึกษาที่ใคร่ขอนำเสนอให้รัฐบาลพิจารณา ดังนี้
1. ในปัจจุบันเป็นที่ประจักษ์แล้วว่า
ประเทศไทยรวมถึงอาณาเขตทางทะเลของประเทศไทย
เป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติทั้งน้ำมันและก๊าซ
ที่มีความอุดมสมบูรณ์ระดับสูงของโลกอาณาเขตหนึ่ง
และแหล่งข้อมูลทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ได้ประมาณว่าประเทศไทยมีปริมาณปิโตรเลียมจำนวนมาก
เป็นอันดับค่อนข้างสูงของโลก
และสามารถส่งออกได้ในปริมาณที่มากกว่า
ประเทศในกลุ่ม OPEC บางประเทศ
ซึ่งทำให้ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมเป็นสินค้า
ส่งออกอันดับหนึ่งของไทยเป็น
มูลค่าปีละกว่า 3.5 แสนล้านบาท
ทั้งนี้เป็นผลจากการให้สัมปทานการสำรวจ
และขุดเจาะปิโตรเลียมในผืนแผ่นดินไทย
ใน 20 รอบที่ผ่านมา
ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้
มีส่วนร่วมในการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติของชาติ
ที่เป็นสมบัติของไทยทุกคนในระดับที่ควรจะเป็น
2. การเปิดประมูลสัมปทานสำรวจ
และขุดเจาะปิโตรเลียมครั้งใหม่รอบที่ 21
(ตามสิ่งที่ส่งมาด้วย)
ประกอบไปด้วยสัมปทานบนบก 17 แปลง
(ภาคกลางและ ภาคเหนือ 6 แปลง
ตะวันออกเฉียงเหนือ 11 แปลง)
และอ่าวไทย 5 แปลง รวมพื้นที่กว่า 45,000
ตารางกิโลเมตรนั้น เป็นการหยิบยื่นให้โอกาสแก่
ผู้ยื่นขอสัมปทาน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทฯข้ามชาติ
ซึ่งจากข้อมูลที่ได้รับน่าจะทำให้รัฐฯขาดรายได้
อย่างน้อยปีละ 1 แสนล้านบาท
จากการให้สัมปทานในครั้งนี้
ซึ่งโดยรวมแล้วประเทศไทยจะขาดรายได้
ตลอดอายุสัมปทาน 25 ปี เป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น
2.55 ล้านล้านบาท เป็นอ่างต่ำ
ทั้งนี้ยังไม่รวมส่วนต่ออายุอีก 10 ปีอีกด้วย
3. การกำหนดกฎระเบียบ วิธีการ
ในรูปแบบของการสัมปทานและ
การกำหนดค่าภาคหลวงตลอดจนผลประโยชน์อื่นๆ
ที่ประเทศควรจะได้รับในอดีตถูกกำหนด
ภายใต้บทสรุปที่ว่า “ประเทศไร้พลังงานธรรมชาติ”
หรือ “มีแต่ไม่คุ้มค่าในการสำรวจ”
เป็นผลให้รัฐบาลที่ผ่านมากำหนดเก็บค่าภาคหลวง
ปิโตรเลียมเข้ารัฐ ในอัตราค่อนข้างต่ำ
เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ
ระหว่างร้อยละ 5-15 ซึ่งในทางปฏิบัติ
สามารถเก็บค่าภาคหลวงเข้ารัฐฯ
ได้เพียงประมาณร้อยละ 12 เท่านั้น
4. หากประเทศไทยเปลี่ยนการเก็บค่าภาคหลวงใหม่
ให้อยู่ในระดับใกล้เคียงกับประเทศผู้ให้สัมปทาน
ที่เก็บค่าภาคหลวงระดับสูงเช่น ประเทศเวเนซูเอลา
หรือประเทศโบลิเวีย น่าจะมีรายได้
จากการเก็บค่าภาคหลวงเพิ่มขึ้นปีละ
ประมาณ 3-4 แสนล้านบาท
ซึ่งจะทำให้รัฐบาลมีงบประมาณเพิ่มขึ้น
และเพียงพอในการดำเนินนโยบายรัฐสวัสดิการ
ได้อย่างราบรื่นโดยไม่จำเป็นต้องกู้เงินจากแหล่งต่างๆ
5. การผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมของไทยที่ผ่านมา
ได้มีส่วนค้ำจุนระบบเศรษฐกิจไทยให้เข้มแข็งมา
โดยตลอดมาและหน่วยงานเอกชนไทยสามารถ
สร้างหน่วยธุรกิจด้านการสำรวจแหล่งปิโตรเลียม
ขึ้นมาได้ซึ่งทำให้ประเทศไทยมีศักยภาพ
และสมรรถนะในการสำรวจแหล่งปิโตรเลียม
ในประเทศได้เอง
สมควรได้นำความสามารถดังกล่าวมา
ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด คลังสมอง วปอ.เพื่อสังคม
จึงใคร่ขอกราบเรียนเสนอแนะให้รัฐบาลกรุณาพิจารณา
โดยเร่งด่วนดังนี้
1. ควรเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกภาคส่วน
ได้มีส่วนร่วมและรับรู้ใน
การกำหนดแนวทางการบริหารจัดการปิโตรเลียมของชาติ
เพื่อความโปร่งใสและ
เพื่อประโยชน์ของลูกหลานไทย
ในอีกหลายทศวรรษข้างหน้า
2. ควรระงับชั่วคราวการเปิดประมูลสัมปทานสำรวจ
และขุดเจาะปิโตรเลียมรอบที่ 21 นี้ไว้ก่อน
เพื่อทบทวนมาตรการต่างๆ ให้ประเทศไทย
และประชนชาวไทยได้รับประโยชน์สูงสุด
จากทรัพยากรเชื้อเพลิงธรรมชาติ ได้แก่
2.1 ทบทวนกฎระเบียบและประกาศที่
กำหนดการเก็บค่าภาคหลวงร้อยละ 5-15
และปรับปรุงวิธีการเก็บค่าภาคหลวงใหม่ทั้งระบบ
โดยพิจารณาเพื่อเปรียบเทียบ (Benchmark)
กับประเทศที่เก็บค่าภาคหลวง
(เช่น ประเทศเวเนซูเอลา และประเทศโบลิเวีย เป็นต้น)
เป็นพื้นฐานในการอ้างอิง
2.2 ทบทวนระบบการแบ่งกำไรจากผู้รับสัมปทาน
เพื่อให้ประเทศไทยได้รับผลประโยชน์อย่างเหมาะสม
2.3 พิจารณาให้หน่วยงานของคนไทยมีสิทธิ
และหน้าที่หลักในการสำรวจและขุดเจาะปิโตรเลียม
ในอาณาเขตประเทศไทยเพื่อรักษา
ความมั่นคงด้านพลังงานของชาติในระยะยาว
จึงกราบเรียนมาเพื่อโปรดกรุณาพิจารณา
ขอแสดงความนับถือ
พลเอกจรัล กุลละวณิชย์
ประธานคลังสมอง วปอ. เพื่อสังคม"