Custom Search

Jan 28, 2007

คุยความคิด กับ ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล



"ยินดีเลยที่มีคนวิจารณ์
แต่ผมไม่ฟังหรอก
คำวิจารณ์มันก็แค่ยิ่งกระตุ้น
ให้ผมเป็นตัวของตัวเองมากยิ่งขึ้น
คือผมก็ฟังแหละ
แต่ไม่ซึมซับอย่างที่คุณต้องการให้ซึมซับ
ด้วยนิสัยแบบนี้
ผมถึงว่าตัวเองคงอยู่ในวงการได้ไม่นานนักหรอก"


"ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล" หรือ "คุณปลื้ม"
เป็นบุตรชายของ
"ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล" รองนายกรัฐมนตรี
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ปัจจุบันเขาเป็นผู้ดำเนินรายการ "วิพากษ์หุ้น"
ทางโมเดิร์นไนน์ทีวี เป็นผู้วิเคราะห์ข่าวเศรษฐกิจ
ช่วงข่าวภาคเที่ยงทาง ททบ.5 เป็นผู้ประกาศข่าวและวิเคราะห์ข่าว "นิวส์ไลน์"
ภาคภาษาอังกฤษ ทางช่อง 11
เป็นผู้ดำเนินรายการวิทยุคลื่นเอฟเอ็ม 88 เมกะเฮิร์ตซ์
และล่าสุดเป็นผู้ดำเนินรายการคนใหม่ที่มาเสริมทีม
ในรายการ "เรื่องเล่าเช้านี้" ทางช่อง 3
ซึ่งเป็นรายการที่ทำให้เขาเป็นที่รู้จักและได้รับการกล่าวถึงมากเป็นพิเศษ
เหตุผลหนึ่งคงเพราะเขาต้องมาประกบกับพิธีกรดังอย่าง
"สรยุทธ สุทัศนะจินดา" นั่นเอง
แต่ถ้าอ่านทั้งหมดทั้งมวลนี้พร้อมๆ กับดูรูปแล้วยังไม่ร้องอ๋อ!
ว่าผู้ชายคนนี้เป็นใคร นับแต่บรรทัดต่อไป
เราจะพาคุณไปรู้จักกับตัวตนและความคิดของเขาให้มากขึ้น
คุณปลื้มจบชั้นประถมศึกษาในเมืองไทย
จากนั้นจึงไปเรียนต่อที่ประเทศสหรัฐอเมริกา
และจบการศึกษาสูงสุดในระดับปริญญาโท
สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
เน้นเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศ
มหาวิทยาลัยจอห์นส์ฮอพคินส์
เมื่อกลับเมืองไทย
เขาเป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษอยู่พักหนึ่ง
จากนั้นจึงไปรับราชการทหารยศร้อยตรีอยู่ 2 ปี
แล้วก็ก้าวเข้าสู่วงการสื่อโทรทัศน์
เพราะความหลงใหลแต่วัยเยาว์ในที่สุด

"ผมชอบแต่ละรายการที่ได้ทำมาก มันสอนให้เราเรียนรู้
และปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ที่เราไม่เคยเจอ"
เขาเล่าให้ฟังถึงอาชีพที่ทำอยู่ "และที่แปลกแต่จริงก็คือ
บุคลิกของผมจะเปลี่ยนไปทุกรายการ
ขึ้นอยู่กับว่ารายการนั้นผมนั่งกับใคร
ผมนั่งกับคุณสรยุทธ ผมก็เป็นแบบนึง
ไปนั่งกับคนอื่นก็เป็นอีกแบบ
คุณจะเห็นคนละด้านของผมตลอด"
แต่ที่เห็นก็ล้วนแต่เป็นตัวจริงของเขาทั้งสิ้น, ชายหนุ่มว่า

"ผมเป็นตัวของตัวเองทุกรายการ
เพียงแต่ในตัวผมมีมันหลายส่วน
มันมีตัวโหดร้าย ตัวน่ารัก ตัวอ่อนน้อม
ตัวที่ประชดประชัน"

ที่ได้ยินมาก็คือมีตัวขี้หงุดหงิดด้วย?


"ก็มี แต่ผมจะเป็นกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไร้สาระ
คือผมจะรำคาญคนมายุ่งกับผม อย่างเวลาไปกินข้าว
ซึ่งผมไปคนเดียวบ่อย แล้วเด็กเสิร์ฟก็จะเข้ามาถาม
มายืนดู ซึ่งเขาก็ทำตามหน้าที่ แต่ผมรำคาญน่ะ
ต้องบอกเขาว่าเสิร์ฟเสร็จแล้วทิ้งผมไว้
อีก 20 นาทีค่อยกลับมาเก็บจาน

คือแค่กินคนเดียวมันก็น่าเบื่อพอแล้ว

คุณไม่ต้องมานั่งจ้องผม มันเสียมารยาทมาก ผมโมโหมาก"


เขาเน้นเสียงพร้อมออกท่าออกทางให้รู้ว่าไม่ชอบใจเรื่องนี้
เสียจริงๆเป็นคนมีชื่อเสียงแบบนี้ย่อมต้องถูกมองบ่อยขึ้นแน่
น่าสงสัยว่ามันจะทำให้เขายิ่งหงุดหงิดหรือไม่
"ไม่ ไม่ ถ้ามีคนมานิยมเราก็เป็นสิ่งที่ดี ผมแฮปปี้อยู่แล้ว
ทุกคนที่ทำงานในวงการอย่างนี้ก็ต้องการได้รับความชื่นชมทั้งนั้น"
แต่ถ้ามีคนไม่ชอบ ม.ล.ณัฏฐกรณ์ว่า

เขาจะยิ่งยินดีมากขึ้นอีกหลายเท่า"วันไหนที่รู้สึกว่าถูกโจมตี"
หมายถึงว่ามีคนคิดแย้งในเรื่องที่เขาวิจารณ์ไป


"ผมจะทำรายการออกมาดีมากเลยนะ จะตอบโต้ได้อย่างรุนแรงมาก
ยินดีเลยที่มีคนวิจารณ์ แต่ผมไม่ฟังหรอก
คำวิจารณ์มันก็แค่ยิ่งกระตุ้นให้ผมเป็นตัวของตัวเองมากยิ่งขึ้น
คือผมก็ฟังแหละ แต่ไม่ซึมซับอย่างที่คุณต้องการให้ซึมซับ
ด้วยนิสัยแบบนี้ ผมถึงว่าตัวเองคงอยู่ในวงการได้ไม่นานนักหรอก"

ไม่ใช่แค่ปัจจัยข้างต้น เขาว่า
การมีเกิดและมีดับของชื่อเสียงในวงการนี้
ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่น่าจะทำให้เขาทำอาชีพนี้ไปตลอดชีวิตไม่ได้

"ชื่อเสียงในวงการนี้ผมว่าแป๊บเดียวก็หายไปแล้ว
เหมือนอาชีพดาราน่ะ สักวันกระแสนิยมมันก็จะหายไป
ผมกำลังเครียดเรื่องนี้มากเลยนะ เพราะผมไม่อยากเป็นดาราตกอับ"
เขาบอกด้วยสีหน้าเป็นกังวล

"ไม่ใช่ว่าผมไม่แฮปปี้กับงานปัจจุบันนะ
เราอยากทำทีวีมาตั้งนานแล้ว พอได้ทำก็ชอบมาก"
คุณปลื้มรีบอธิบายเพราะกลัวเราจะเข้าใจผิด"
แต่ที่ผมไม่แฮปปี้คือภาพของชีวิต 20 ปีนับจากนี้
ผมกำลังวิกฤตกับชีวิตตัวเองในแง่ที่ว่าบั้นปลายผมจะทำอะไร
ตอนนี้ผมอายุ 30 ปี
แต่ตามธรรมชาติผมคงอยู่ในวงการนี้ได้อีกไม่เกิน 10 ปีมั้ง
ตอนนั้นผมจะอายุแค่ 40
และยังเหลือเวลาทำงานอีกมาก แล้วผมจะทำอะไรต่อล่ะ"


เขากล่าวด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยคำถามเขาน่ะไม่สนใจจะทำธุรกิจ
ที่มองๆ ไว้คืออาจจะหันไปเล่นการมือง
เพราะสนใจจะเข้าไปมีบทบาทเรื่องนโยบายของประเทศ
อย่างตอนนี้เขาก็มีนโยบายเชิงสังคมไว้ในใจคร่าวๆ
ไม่ได้มองในฐานะนักการเมือง
แต่มองในฐานะคนทำสื่อคนหนึ่ง
ซึ่งเขาว่าการนำเสนอข่าวทุกวันนี้ควรได้รับการปรับให้เหมาะสม
โดยบอกว่าเขาไม่เห็นด้วยกับสื่อที่เล่นเรื่องข่าวลือ
และสื่อที่ให้น้ำหนักกับคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมากจนเกินไป
ที่สำคัญคือ เขาไม่เห็นด้วยกับการลงข่าวอาชญากรรม
ในหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์"

มันเป็นข่าวที่สื่อทั้งไทยและเทศลงเพื่อขาย
ซึ่งมันแย่มากเลยนะ เขารู้ว่าคนอยากอ่านข่าวฆาตกรรม ข่มขืน
แต่ที่ทุกคนไม่รู้ก็คือ คุณไม่ได้เกิดมาแล้วอยากอ่าน
แต่พอคุณเริ่มอ่านมันแล้วจะเริ่มติด ยิ่งอ่านยิ่งชอบ
เพราะมันไปกระตุ้นสันดานดิบของมนุษย์ที่ชอบเรื่องพวกนี้
ที่วิปริตก็คือ พออ่านมากๆ ในที่สุด
มันจะไปถึงจุดที่คุณอยากจะทำมันบ้าง

"ผมว่าเราเสนอให้คนรู้ก็พอ แต่ไม่ต้องขึ้นหน้าหนึ่ง
เพราะไม่มีอะไรที่คุณจะได้จากอาชญากรรม
มันไม่มีประโยชน์ต่อสังคม แม้กระทั่งต่อครอบครัวผู้สูญเสียเลย
ยกเว้นเรื่องที่ว่าคุณจะป้องกันตัวเองยังไง"

เขาเปรียบเทียบว่า ข่าวบันเทิงยังให้ผลดีต่อสังคมมากกว่าเสียอีก
"บันเทิงเป็นสิ่งที่ดี เป็นข่าวที่ทำให้เรารู้สึกแฮปปี้กับชีวิต
ในมุมมองของผม เวลาข่าวบันเทิงใหญ่ๆ มีพื้นที่ในหน้าหนึ่ง
หรือทีวีนำเสนอข่าวมากขึ้นเป็นสิ่งที่ดี
แต่ไม่ใช่ไปปาปารัสซี่อะไรมากนะ เพราะมันทำให้เราสนุก
ไม่มีอิทธิพลที่เลวร้ายต่อสังคมอย่างอาชญากรรม
ผมเองยังติดตามข่าวฮอลลีวู้ดเลย เพราะชอบตั้งแต่เด็ก"

เขาว่าถ้ายังอยู่อเมริกา ก็คงเป็นสื่ออยู่ในแวดวงบันเทิงสหรัฐไปแล้ว
แต่ ณ วันนี้ที่เขาเป็นคนทำสื่อของไทย
เราอยากรู้ว่าเขามีแผนจะผลิตรายการของตัวเองบ้างหรือไม่?

"ไม่นะ ผมไม่ต้องการเป็นเจ้าของรายการ
ผมไม่ต้องการโปรดิวซ์เอง ไม่ต้องการหาโฆษณา
ไม่ต้องการเจอผู้บริหารช่อง หรือต้องห่วงว่ารายการจะโดนยกเลิกเมื่อไหร่
ผมต้องการเจอคน ชอบออนแอร์ความสามารถ ผมไม่สนเรื่องเงินเลย"

เขายืนยันหนักแน่นเพราะอย่างหลังมีมากแล้ว?

"ผมไม่ได้มองว่าตัวเองเป็นคนรวยเลย
คนนึกว่าผมมีเงิน แต่ผมไม่มี พ่อผมมี
แต่ก็ไม่ได้ให้ผม" คุณปลื้มรีบปฏิเสธ

"แล้วไลฟ์สไตล์ผมค่อนข้างสมถะ
เพียงแต่ว่าผมใช้เงินไปกับการซื้อสูทเยอะ
ในที่สุดผมคงจะขับรถเบนซ์ไม่ได้
เพราะผมบ้าซื้อสูทนี่แหละ อีกอย่างคือผมชอบกินข้าว
ชอบกินประหลาด ผมใช้เงินกับการพาผู้หญิงไปกินข้าวเยอะ
อีกหน่อยอายุ 50 ผมคงทำเหมือนพลเอกสันต์ (ศรุตานนท์)
แกเท่ รูปร่างดี แล้วก็ควงผู้หญิงบินไปกินข้าวที่ฝรั่งเศสหรือโรม
แต่ตอนนี้ผมทำไม่ได้ เพราะไม่มีตังค์"

เขาว่ายิ้มๆพูดถึงผู้หญิง เรารีบทักว่าเขากำลัง
เป็นที่ชื่นชอบในหมู่แฟนรายการเพศนี้
แต่เขาว่าพวกเธอเหล่านั้นคงชอบอะไรแปลกๆ มากกว่า
"ผู้หญิงเห็นผมแล้วไม่เหมือนชาวบ้านไง
เขาเห็นแล้วคงมองว่ามันแปลกดีนะ
เพราะหน้าผมมันก็แปลกๆ ไม่ได้หล่ออะไร
แต่เวลายิ้มมันก็คงสื่อความแฮปปี้จากในใจออกไปมั้ง"

ชายหนุ่มออกตัวอย่างเขินๆแต่
หลายคนก็ถึงขั้นมองว่าเขาเป็นผู้ชายที่เพียบพร้อม
ทว่าคุณปลื้มกลับปฏิเสธ
"ชีวิตผมมันไม่มีอะไรเลย
ถ้าอยู่ไปสักพักแล้วคุณจะรู้ว่าผมน่ารำคาญ
คงไม่มีใครทนอยู่กับผมได้หรอก
ผมคงโสดตลอดชีวิตผมรู้อยู่แล้ว"

ดาวรุ่งแห่งวงการสื่อทีวีพูดปลงๆ
แล้วว่าตอนนี้ชีวิตมีแต่งานอย่างเดียว
"คือผมแยกไม่เป็นไง เวลาบ้างานจะไม่มีอารมณ์ไปจีบผู้หญิงเลย
ตอนนี้เลยมีเหงาๆ บ้าง"
ม.ล.ณัฏฐกรณ์ย้ำว่า ตอนนี้เขาบ้างานจนมีเวลาพักผ่อนน้อยมาก
ช่วงนี้จึงค่อนข้างเหนื่อย ลองถามว่าวันหนึ่งๆ
ทำงานมากแค่ไหน แทนที่จะตอบตรงๆ
เขากลับว่าอย่างนี้
"มันไม่ใช่งาน มันคือชีวิตผม"













Jan 18, 2007

สมเด็จพระนเรศวรมหาราช




สมเด็จพระนเรศวร เป็นพระราชโอรสของพระมหาธรรมราชากษัตริย์กรุงศรีอยุธยา
ถูกพม่าขอไปเลี้ยงไว้เป็นตัวประกันที่กรุงหงสาวดีเป็นเวลา 6 ปี
และเสด็จกลับเมืองไทยเมื่อพระชนมายุได้ 15 พรรษา
ต่อมาพม่าเกิดกบฏ เมืองรุม เมืองคังแข็งเมือง
พระเจ้าหงสาวดีโปรดให้สมเด็จพระนเรศวร ไปช่วยปราบกบฏครั้งนี้

โดยมีทัพมังสาเกียด พระมหาอุปราชาและทัพพระสังขทัตยกไปด้วย
ในที่สุดสมเด็จพระนเรศวรทรงตีเมือง ทั้งสองได้
พระเจ้าหงสาวดีทรงโปรดประทานสิ่งของเป็นบำเหน็จความชอบ

ภายหลังพระเจ้าหงสาวดีหวั่นเกรง ในฝีมือของสมเด็จพระนเรศวรว่ายอดเยี่ยมยิ่งนัก
หากปล่อยไว้จะเป็นเสี้ยนศัตรูสำคัญ จึงคิดจะกำจัดเสีย
แต่สมเด็จพระนเรศวรทรงรู้พระองค์ก่อน
จึงได้ประกาศอิสรภาพ ณ เมืองแครง
แล้วยกทัพกลับกรุงศรีอยุธยา

พ.ศ. 2121สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชพระราชบิดาเสด็จสวรรคต
สมเด็จพระนเรศวรได้เสด็จขึ้นเสวยราชย์
ทรงสถาปนาสมเด็จพระเอกาทศรถพระอนุชาเป็นพระมหาอุปราช

พระเจ้าหงสาวดีโปรดให้พระมหาอุปราชา
พร้อมทั้งมังจาโรพี่เลี้ยงยกทัพมาถึงกรุงศรีอยุธยา

สมเด็จพระนเรศวรพร้อมด้วยพระเอกาทศรถ ยกทัพออกไปตั้งรับ
สมเด็จพระนเรศวรทรงช้างไชยานุภาพ ทรงชนช้างกับพระมหาอุปราชา
และฟันพระมหาอุปราชาสิ้นพระชนม์บนคอช้าง

ชัยชนะอันยิ่งใหญ่จากสงครามยุทธหัตถีครั้งนี้
นับเป็นสงครามกู้ชาติบ้านเมืองครั้งแรกในประวัติศาสตร์
โปรดให้สร้างพระเจดีย์ไว้เป็นอนุสรณ์เรียกว่าอนุสรณ์ดอนเจดีย์
อยู่ในจังหวัดสุพรรณบุรี
สมเด็จพระนเรศวร
ทรงแผ่อาณาเขตของประเทศไทย
ให้กว้างใหญ่ไพศาลทรงนำประเทศให้กลับ
ตั้งตัวได้
เป็นปึกแผ่นมีอำนาจเป็นที่เกรงขามแก่ข้าศึก

และประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียง สมเด็จพระนเรศวร ทรงเป็นนักรบ
และออกสนามรบจนวินาทีสุดท้ายคือทรงยกทัพ
ไปตีอังวะ

ยกทัพเสด็จไปทางเมืองห้างหลวง
ส่วนสมเด็จพระเอกาทศรถเสด็จไปทางเมืองฝาง

สมเด็จพระนเรศวรตั้งทัพอยู่ที่ตำบลทุ่งแก้ว
ทรงประชวรหนักเสด็จสวรรคต
ณ เมืองห้างหลวงนั่นเอง
รวมอยู่ในราชสมบัติได้ 15 ปี

พระชนมายุ 51 พรรษาตรงกับพ.ศ. 2148











Jan 15, 2007

ครูดีศรีแผ่นดิน


ซูม
เหะหะพาที
ไทยรัฐ
ปีที่ 58 ฉบับที่ 17892
วันอังคาร ที่ 16 มกราคม 2550
ผมไม่ได้เขียนถึง “คุณครู” ใน “วันครู” มาหลายปีแล้ว
ทั้งๆที่ ยังมีความเคารพนบนอบต่อคุณครูทุกๆท่าน
และยังรำลึกถึง พระคุณของคุณครูที่มีต่อเด็กไทยอยู่เสมอ
แต่อาจจะเป็นเพราะเมืองไทยเรามีวันสำคัญต่างๆมากมาย
หากจะมุ่งเขียนถึงแต่เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับวันสำคัญๆที่ว่านี้...
เผลอๆเราอาจจะไม่ต้องเขียนเรื่องอื่นๆ
เพราะจะมีเรื่องราวของวันสำคัญ
ทั้งที่ประเทศไทยเรากำหนดไว้
และที่สหประชาชาติ
ตลอดจนองค์กรสำคัญของโลกกำหนดไว้เกือบทั้งปี
ในกรณีของคุณครู บ่อยครั้งที่เกิดเรื่องต่างๆ
เป็นข่าวคราวขึ้นหน้า 1 หนังสือพิมพ์
ทำให้คอลัมนิสต์มักจะนำมาเขียนวิพากษ์วิจารณ์อยู่บ่อยๆ
ผมเองก็เขียนถึงวิจารณ์ถึง
ฝากข้อคิดเห็นไปถึงเท่าที่จะเขียนได้
แม้จะไม่บ่อยนักก็ตาม
แต่สำหรับ “วันครู” ปีนี้ ผมอยากจะขออุทิศเนื้อที่เป็นพิเศษ
เพื่อ เขียนถึงคุณครูทั้งคอลัมน์ครับ
เหตุเพราะวันนี้จะเป็นวันพระราชทานเพลิงศพ
คุณครู จูหลิง ปงกันมูล คุณครูผู้กล้าหาญและเสียสละ
ณ วัดปงสนุก ต.ปงน้อย กิ่ง อ.ดอยหลวง จ.เชียงราย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
ทรงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และ
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
เสด็จแทนพระองค์ทั้ง 2 พระองค์
นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณแก่
ครอบครัวของคุณครูจูหลิงอย่างเหลือล้น
ประชาชนชาวไทยทั่วประเทศ
แม้นมิมีโอกาสไปร่วมงานพระราชทานเพลิงศพครั้งนี้
ต่างก็คงจะส่งจิตใจไปร่วมคารวะ
คุณครูจูหลิงอย่างพร้อมเพรียง
ขณะเดียวกัน ก็คงต้องถือโอกาสนี้
กราบเรียนต่อรัฐบาลและผู้รับผิดชอบ
ในการดูแลความสงบใน 3 จังหวัดภาคใต้
ขอให้เอาใจใส่และคุ้มครองคุณครู ทั้งหลายให้มากขึ้น
นับตั้งแต่ต้นปี 2547 เป็นต้นมา
เราได้สูญเสียคุณครูไปแล้ว
ถึง 64-65 คน ในพื้นที่ 3 จังหวัด
เราจะต้องปกป้องคุณครูของเราอย่างสุดความสามารถ
และจะต้องคุ้มครองคุณครูทุกคนให้ปลอดภัย
ในฐานะผู้เสียสละอย่างใหญ่หลวง
เป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่า
กลุ่มผู้ไม่ประสงค์ดีต่อประเทศชาติ
ได้เพิ่มการโจมตีและก่อกวนออกไปอย่างกว้างขวาง
โรงเรียนและครูเป็นเป้าหมายที่สำคัญ
เป้าหมายหนึ่งของบุคคลกลุ่มนี้
แน่นอนย่อมเป็นเป้าหมายที่ถูกโจมตีได้ง่ายที่สุด
เพราะคุณครูไม่มีอาวุธและไม่มีเครื่องป้องกันตัวใดๆ
หรือถึงแม้จะมีอาวุธ
แต่จะให้มือที่เคยแต่จับชอล์กหันมาจับปืน
คุณครูจะทำได้ถนัดถนี่หรือครับ?
ขอให้หน้าที่คุ้มครองป้องกัน
จงเป็นของเจ้าหน้าที่โดยตรงต่อไปเถอะครับ
ด้วยความเข้มแข็งและเข้มข้นยิ่งขึ้น
นี่คือความปรารถนาเป็นพิเศษ
ที่ผมอยากเห็นและอยากได้ในวันครูปีนี้
สำหรับ 3 จังหวัดภาคใต้โดยเฉพาะ
แต่สำคัญคุณครูทั่วประเทศนั้น
ผมใคร่ขอถือโอกาสที่แรงใจของผู้คนทั้งชาติ
กำลังหลั่งไหลไปสู่คุณครูผู้กล้าใน 3 จังหวัดภาคใต้
ปลุกปลอบ ขวัญและกำลังใจ
ของคุณครูทั่วประเทศให้กลับคืนมา
ต้องยอมรับว่าในห้วง 4-5 ปีที่ผ่านมา
ข่าวคราวทั่วไปของวงการครู
ค่อนข้างออกมาในทางลบ
อาทิ ครูมีหนี้สินมากขึ้น ไม่ค่อยสนใจการสอน
ไม่ปรับปรุงตัวเอง ทำให้คุณภาพลดลง ฯลฯ
ไปจนถึงการกระทำในเรื่องที่ผิดศีลธรรม
แม้จะเป็นการกระทำของครูส่วนน้อย
แต่ทุกครั้งที่เกิดข่าวขึ้น
ผลกระทบย่อมจะกระเพื่อมไปถึง
คุณครูส่วนใหญ่อย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง
วันครูปีนี้ขอให้คุณครูส่วนน้อยที่ว่า
จงลดเลิกการกระทำในทางลบเสียให้หมด
เพื่อให้ภาพของคุณครูทั้งหลายกลับมาอยู่
ในหัวใจของประชาชน
เช่นในอดีตที่ผ่านมา
คำขวัญวันครูปีนี้ก็คือ
“ครูดีศรีแผ่นดินศิษย์ทั่วถิ่นศรัทธาบูชาครู”
อย่างที่ผมบอก...คุณครูเป็นศรีแผ่นดินอยู่แล้ว
และลูกศิษย์ทั้งหลายก็ศรัทธาอยู่แล้ว
แต่จะเกิดความศรัทธาเต็มร้อยถ้าครูส่วนน้อย
แต่ก็มากพอจะทำความเสียหายได้ทั้งหลายแหล่เหล่านั้น
หันมาปรับปรุงตัวเองให้เป็นศรีแผ่นดินอย่างแท้จริง




Jan 9, 2007

"เด็กจะเข้าใจอนาคตได้อย่างไร"

วิกรม กรมดิษฐ์
คอลัมน์ "นอกตำรา"
มติชนรายวัน
วันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2548
ปีที่ 28 ฉบับที่ 9904 หน้า 31


ความเป็นเด็กที่ช่างสังเกตเกิดประโยชน์ให้กับผมเป็นอย่างมาก นับเป็นการก้าวเข้าสู่บทเรียนแห่งชีวิตโดยตรงที่ผมได้รับจากบุคคลรอบข้างไม่ว่าจะเป็น พ่อ แม่ ลุง ป้า น้า อา ปู่ ย่า ตา ยาย และคนอื่น ๆ ที่ผมสามารถสังเกต เรียนรู้ เฝ้ามองทั้งแบบครูพักลักจำ และตั้งใจสอดส่องจนนำมาปรับ นำมาคิด และประยุกต์ใช้เข้ากับวิถีทางแห่งความเป็นตัวตนของผม แน่นอนครับ เรื่องแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นมาแบบเพียงชั่วข้ามคืน
สิ่งเหล่านี้ย่อมต้องผ่านการอบรม บ่มเพาะ การรู้จักแยกแยะความดี ความชั่ว ด้วยสติปัญญาและจิตใต้สำนึกที่ใฝ่ดี ต้องรู้จักเตือนตนเองอยู่เสมอไม่ให้ทำในสิ่งที่ไม่ดี หรือยั่วยวนกิเลส เพราะเมื่อผมเป็นเด็กไม่ได้จัดว่าผมอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีมากแต่ประการใด แถมยังเคยคิดจะจบชีวิตตัวเองเมื่อช่วงเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น ประมาณ 10-1 5 ปีอีกด้วย คิดดูเอาเองก็แล้วกันว่ารันทดหดหู่ขนาดไหน มันช่างสับสนไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร คิดจะทำอะไรก็ลำบากไปหมด มีแต่เสียงคัดค้าน ปัญหาครอบครัวนับเป็นเรื่องที่อ่อนไหว กระทบกระเทือนจิตใจของคนในครอบครัวได้มาก ความขัดแย้งก่อตัวสะสมเหมือนน้ำซึมบ่อทราย หรือภูเขาไฟระเบิดรอวันปะทุเท่านั้นเอง
เด็กๆ อย่างผมก็ต้องได้รับผลพลอยได้ไปด้วยไม่รู้ตัว ผมเชื่อว่าคงมีอีกหลายครอบครัวที่เป็นเช่นนี้ผมเองก็เคยลองทำในสิ่งที่อยากลองแม้รู้ว่าไม่ค่อยจะดีมาก่อน ด้วยความที่อยู่ในสภาพแวดล้อม สังคม และเคยทำความผิดพลาดมาก่อนในชีวิต ผมจึงเข้าใจความรู้สึกของคนที่เคยผิดพลาดพลั้งเผลอดี ซึ่งหากร้ายแรงหน่อยก็ต้องติดคุกติดตะรางกันไป ทุกวันนี้มีผู้ต้องโทษอยู่ในเรือนจำกว่า 230,000 คน พวกเขาเหล่านั้นต่างต้องพบกับจุดอับของชีวิตทั้งสิ้น แตกต่างกันไปตามสถานการณ์ ผมก็เกือบจะเป็นหนึ่งในนั้นด้วยเช่นกัน
ถ้าผมไม่รู้จักที่จะยั้งคิด รู้จักผิดชอบชั่วดี และควบคุมสติแล้วล่ะก็ ผมคงต้องพบกับวิบากกรรมในชีวิตเช่นเดียวกัน หรือไม่ก็อาจกลายเป็นนักเลงหัวไม้ ถูกพวกยิงตายไปก็เป็นได้ หรือหากรอดพ้นเงื้อมมือศัตรูมาได้ก็คงมีลูกเมียเยอะแยะเป็นหางว่าวเลี้ยงกันไม่จบสิ้น คิดแล้วก็น่ากลัวนะครับเรื่องของการเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเด็กๆ นั้น เราพูดกันมากในสังคม เพราะเด็กในวันนี้คือผู้ใหญ่ในวันหน้า เด็กๆ มักเลียนแบบจากผู้ใหญ่ ดีไม่ดีก็ไม่ต้องดูอื่นไกล เด็กจะดีได้ต้องมีผู้ใหญ่ที่ดีคอยแนะนำอบรมสั่งสอน และเลี้ยงดูปลูกฝังเขาด้วยเหตุผล ไม่ใช้อารมณ์ การคิด พูดและกระทำสิ่งใดต้องคิดให้รอบคอบ ลึกซึ้งว่าสิ่งที่เราทำนั้นจะส่งผลกระทบให้กับคนอื่นๆ ในสังคมด้วย โดยเฉพาะเด็กๆ ผมยังอดเป็นห่วงครอบครัวที่การศึกษาน้อย(ชนชั้นแรงงาน) ว่าพวกเขาจะสั่งสอนเลี้ยงดูเด็กให้เชื่อฟังและเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพได้อย่างไร เพราะมีสติปัญญาและความรู้จำกัด ขนาดผมมาจากครอบครัวระดับกลางจนถึงดีไม่ต้องแร้นแค้นกัดก้อนเกลือกินยังลำบากขนาดนี้ แล้วพวกเขาเล่าจะขนาดไหน
โอกาสที่จะเดินหลงทางหรือทางผิดย่อมมีมากขึ้นเป็นเงาตามตัว ผมอดคิดไม่ได้เหมือนกันว่าถ้าผมต้องเกิดในครอบครัวที่มีสภาพแวดล้อมอย่างนั้นแล้วผมจะสามารถฝ่าฟันทะลุทะลวงกลายมาเป็นเช่นนี้ได้หรือไม่....น่าคิดนะครับมาวันนี้ อาจเรียกได้ว่าผมประสบความสำเร็จแล้ว ถ้าไม่เกินเลยไปอาจเรียกว่า มากกว่าใครหลายๆ คนในรุ่นเดียวกับผมเสียด้วยซ้ำ(หรืออาจมากที่สุด) ความสำเร็จในชีวิตของผมไม่ได้เกิดขึ้นมาลอยๆ อย่างแน่นอน
สิ่งนี้ย่อมมาจากรากฐานการอบรมเลี้ยงดู การศึกษาที่ผมได้รับ และการตัดสินใจที่จะฝ่าวิกฤตในชีวิตให้ผ่านพ้นไปได้ มาถึงวันนี้ย่อมถือว่าเป็นความสำเร็จที่สง่างามและทำให้ผมภาคภูมิใจไม่น้อย












Jan 8, 2007

I’m a Dreamer!!

สุภัทธา สุขชู

"ผมเป็นคนชอบหลอกตัวเองด้วยการสร้างความรู้สึกในแง่ดีบ่อยๆ
กระทำจนเป็นนิสัยในการล่อหลอกตัวเองให้ทำในสิ่งที่ "ฝัน" ไว้
เพราะความฝันคือเข็มทิศ เป็นพลังขับเคลื่อนชีวิต
เป็นน้ำหล่อเลี้ยงมนุษย์ และที่สำคัญ ความฝันไม่เสียสตางค์"
วิกรมเขียนไว้ในหนังสือ "มองโลกแบบวิกรม"
ตลอดการสัมภาษณ์กับ "ผู้จัดการ" 2 ครั้ง ร่วม 6 ชั่วโมง


วิกรมจะพูดบ่อยครั้งว่าเขาเป็นคนชอบฝัน
เล่าร่วมกับตัวอย่างประสบการณ์การล่าฝันของเขา
หลายต่อหลายครั้ง สะท้อนตัวตนความเป็น "นักฝัน"
ของเขาอย่างแท้จริง ในวัยเด็กเขาใฝ่ฝัน
อยากจะมีอาณาจักรส่วนตัว ซึ่งเป็นสถานที่
ที่เขาจะมีอิสระและทำอะไรก็ได้ตามใจปรารถนา
ทั้งที่ช่วงเวลานั้นเขายังไม่เคยมีแม้ห้องส่วนตัว
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่กลัวที่จะฝัน
จาก "บ้านไม้ไผ่ หลังคาใบสน" ที่เขาสร้างขึ้น เองในวัยเด็ก
วันนี้กลายเป็นอาณาจักร "อมตะนคร" เมืองที่สมบูรณ์แบบ
ที่มีประชากรร่วม 1.4 แสนคน
และครั้งหนึ่งเกือบถูกยกให้เป็นอำเภอขึ้นมาเลยทีเดียว
"ถ้าคุณจะฝัน มันต้องมี 2 อย่างคือ มีความอยาก
และมีเหตุมีผล แค่ 2 สิ่งนี้ต้องยึดถือไว้เลย

การฝันถึงสิ่งที่อยากทำและมีเหตุมีผลเท่านี้เอง
ความฝันก็ย่อมจะกลายเป็นสิ่งที่เป็นไปได้"

วิกรมให้เคล็ด (ไม่) ลับการเป็น "นักฝัน"
ที่ประสบความสำเร็จเช่นเขา
ก่อนจะบอกว่าสิ่งที่เขาฝันมาชั่วชีวิต 90% ทำได้หมดแล้ว
เพราะสิ่งที่เขาฝันล้วนแต่เป็นสิ่งที่เขาอยากทำและมีเหตุมีผล
ครั้งหนึ่งสมัยที่วิกรมอายุเพียง 10 ขวบ
เมื่อเขาได้ดูหนัง "633 เที่ยวบินมัจจุราช"


ความใฝ่ฝันอยากจะเป็นนักบินโฉบเฉี่ยวก็เกิดขึ้นในทันที
หลังจากเรียบจบ ม.3 เขาพยายามตามรอยความฝันนั้น
แต่พ่อไม่สนับสนุน ความฝันของเขาจึงถูกฝังไว้ในใจ
จนวันหนึ่งที่เขาเห็นเครื่องบิน F-16 ในโทรทัศน์
เมื่อความฝันผุดขึ้นมาอีกครั้ง วิกรมก็พยายามทำตามฝันอีกครั้ง
จนปี 2546 เขาไปทดลองขับเครื่องบินเจ็ต
ที่เร็วที่สุดในโลก MIG-25 ที่กรุงมอสโคว์ รัสเซีย
ประสบการณ์แปลกใหม่อันเกิดจากรากฐานความฝันจึงเกิดขึ้น
นั่นก็คือเขาได้เป็นคนไทยคนแรกที่ได้ขับ
เครื่องบินที่เร็วที่สุดในโลก เร็วกว่าเสียงถึง 3 เท่า


"ผมดีใจและภูมิใจมากกับการตัดสินใจตามความฝัน
ก่อนที่ตัวเองจะอายุมากกว่านี้
ไม่เช่นนั้นสังขารอาจจะไม่เอื้ออำนวย
ให้ทำในสิ่งที่อยากทำ ด้วยเหตุนี้
ผมจึงมักเตือนตัวเองเสมอว่า
ถ้าอยากทำอะไรก็ให้รีบทำถ้าพอทำได้
เพราะเมื่อเวลาผ่านไปแล้วไม่หวนกลับ"


วิมล ไทรนิ่มนวล นักเขียนรางวัลซีไรต์
ผู้ช่วยตรวจทานต้นฉบับ "มองโลกอย่างวิกรม"
เคยให้ความเห็นเกี่ยวกับความเป็นนักฝันของวิกรมว่า

"เขาเป็นนักฝันที่ยิ่งใหญ่
หลายฝันเป็นความฝันที่คนอื่นไม่คิดถึงกัน
แต่เขาก็กล้าฝัน และกล้าที่จะตามล่าฝัน
ถึงแม้ว่าคนจะมองว่าเพี้ยน
หรือความฝันนั้นแพงลิบลิ่ว"

"บ้าน" เป็นอีกความฝันอันแรงกล้าที่วิกรมปรารถนา
จะสร้างขึ้นให้เป็น "สวรรค์ที่บ้าน"
อันเป็นที่รวมตัวของแม่และน้องๆ
รวมทั้งเป็นสถานที่ที่เขาจะได้อยู่อย่างสัมผัสธรรมชาติ
ความสงบ ซึ่งเป็นสิ่งที่ปลูกฝังจิตใจของเขามา
ตั้งแต่สมัยเด็ก บ้าน 2 หลังที่วิกรมกำลังสร้างขึ้น
ที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ และ "อมตะนคร" ที่ชลบุรี
อาจกล่าวได้ว่าเป็นผลงานสร้างสรรค์
แห่งจินตนาการของเขาที่ตกผลึกมาจากความฝันในอดีต
และการวางแผนในอนาคตได้เป็นอย่างดี
ถึงจะดูบ้าบิ่นมากจนเขาเองก็ออกปากว่า


"ผมเป็นนักเพ้อฝัน อย่างบ้านที่กำลัง
สร้างของผมก็ฝันแบบวายป่วงเลยทีเดียว"
...ประหลาดมากแค่ไหน ก็ลองจินตนาการตาม
พื้นที่ติดแนวอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ร่วม 150 ไร่
ล้อมรอบด้วยภูเขาน้อยใหญ่และต้นไม้เขียวขจี
พื้นที่ 10 ไร่ที่อยู่ส่วนกลางถูกขุดเป็นทะเลสาบ
บ้าน 2 ชั้น ขนาด 9.9x9.9 เมตร ตั้งอยู่ในทะเลสาบ
ชั้นล่างเป็นกระจกแก้วอะคริลิกหนากันน้ำ
เจ้าของบ้านตั้งใจไว้หลบเสียงดัง
พร้อมกับปล่อยใจไปกับการดูปลา
กิจกรรมโปรดของเขาทุกครั้งยามต้องการพักผ่อน
แต่ครั้งนี้คนดูปลากลับเป็นผู้ถูกกักบริเวณ
หาใช่ปลา ชั้นบนเป็นส่วนของห้องนอน
ห้องน้ำ ห้องครัว และห้องทำงานขนาดย่อม
หลังคาโดมเป็นหน้าบันสูงสไตล์หลวงพระบาง
ประดับด้วยเซรามิกคล้ายวัดอรุณฯ
แต่เป็นรูปสิงสาราสัตว์ที่เจ้าของบ้านเคยเลี้ยงไว้
เช่น ช้าง หมี เสือ กวาง ฯลฯ
ข้างบ้านมีแพผูกไว้ 2 หลัง สำหรับรับแขก
ถัดไปบนเนินเขามีถ้ำประดิษฐ์จากท่อระบายน้ำเสีย กทม.
กว้าง 5 เมตร ลึก 10 เมตร วางนอนถมด้วย
ดินสูงขึ้นไปอีกจนเป็นภูเขา หน้าถ้ำล้อมด้วยหิน
มีห้องน้ำ ห้องรับแขก และมีท้องฟ้าจำลองในถ้ำ
ด้านหน้าถ้ำหันเข้าหาภูเขา ด้านข้างหันให้ถนน
เพื่อความสงบและความมืด สิ่งที่วิกรมพิสมัย
เพราะช่วยกระตุ้นจินตนาการและความฝันของเขาได้ดี

วิกรมตั้งใจตั้งชื่อหมู่บ้านที่จะมี
เพียงไม่กี่หลังในที่ดินผืนนี้ว่า "ศานติสงบ"
แต่ทว่าบางสิ่งที่เขาคงไม่ลืมใส่เข้าไปในบ้านหลังใหม่เป็นแน่
ถึงแม้อาจจะดูแปลกปลอมไปบ้าง นั่นก็คือ คอมพิวเตอร์
พร้อมระบบสื่อสารไร้สายที่ทันสมัยที่สุด
และโทรทัศน์จอยักษ์ สำหรับบ้านที่กำลังจะ
สร้างในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร
มีชื่ออย่างหรูหราสมความอลังการว่า "Amata Castle"
เฉพาะแค่ค่าออกแบบก็ปาเข้าไป 30 กว่าล้านบาท
วิกรมประมาณว่า ค่าก่อสร้างคงบานปลายไปถึงหลายพันล้านบาท
แต่หลังจากดีดลูกคิดในหัวแล้ว เขาเชื่อว่าคุ้มค่า


"อันนี้จะต้องกลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์
ของประวัติศาสตร์ไทย

คุณเห็นแล้วจะบอกว่าผมบ้า"
บนพื้นที่ 900 ไร่
เนื้อที่ส่วนหนึ่งถูกเนรมิตเป็นส่วนของปราสาทอมตะ
หน้ากว้าง 100 กว่าเมตร ขนาดใหญ่กว่าคลับเฮาส์ 3-4 เท่า
ปราสาทหินทรายฝังบรอนซ์หลังใหญ่นี้จะอยู่ติด
อ่างน้ำใหญ่ขนาดทะเลสาบ หลังคามีทั้งทรงจั่วแบบไทย ลาว พม่า
หรือหลังคาโดมแบบแขก มีเสาสี่หน้าสไตล์ขอมถูกปั้น
เป็นรูปปู่ทวด ย่าทวด ปู่ และย่าของวิกรม
มีทั้งสเตเดียมแบบกรีกโรมัน และห้องบอลรูมจุคนได้หลายร้อยคน
สวนตกแต่งเป็นป่าหิมพานต์

ขณะที่ชั้นบนเป็นพื้นที่อาศัยของคนตระกูลกรมดิษฐ์ชั้นล่าง
เปิดเป็นหอศิลป์จัดโชว์ภาพเขียนของศิลปินใหญ่ของเมืองไทย
เพื่อเป็นสื่อกลางประสานงานระหว่างผู้ซื้อกับเจ้าของผลงาน
และยังมีพิพิธภัณฑ์จัดแสดงของสะสมโบราณ
และของใช้ส่วนตัวที่มีคุณค่าทางจิตใจต่อวิกรม


"ผมกำหนดให้เอาวันเดือนปีเกิดของผมมาคิดเป็น
สัดส่วนในการออกแบบที่นี่ และจะมีอยู่หลุมหนึ่ง
ที่เป็นจุดที่เส้นทุกเส้นมาชนกันหมด ณ
ตำแหน่งนี้ตอนเที่ยงวันของวันที่ 17 เดือนมีนาคม
ซึ่งเป็นวันเกิดผม จะเกิดลำแสงเป็น
เส้นเดียวกันออกมา อย่างนี้มันส์ดีไหม"


บริเวณทางเข้าบ้าน ทำเป็น "สุสาน"
มีรูปปั้นปู่ย่าตาทวดตระกูลกรมดิษฐ์มานั่งเรียงกันตาม
family tree ราวกับงานสมาคมคนในตระกูล
ไม่เฉพาะคนตายที่มีหลุม คนเป็นก็จะมีหลุมเตรียมไว้ให้แล้ว
หากใครชอบพันธุ์ไม้อะไรจะได้หาเอาไปปลูก
และเป็นกุศโลบายในการเตรียมตัวตายของคนเป็น
สมกับคำที่วิกรมพูดบ่อยๆ ว่า มนุษย์เราเกิดมาจากศูนย์
และกำลังจะเดินกลับไปสู่ศูนย์กันทุกคน"
วิกรมไม่เพียงเตรียมพื้นที่ทำสุสานสำหรับครอบครัว
แต่เขายังเผื่อแผ่ไปถึงพนักงานในนิคมฯ ด้วย...


"ตอนนี้เรามีหมู่บ้านหนึ่งที่ผมขายให้ลูกน้องอยู่ในราคาถูก
ที่ดินริมสนามกอล์ฟจากราคาวาละ 4 หมื่นบาทขึ้นไป
ผมขายพวกเขา 8-9 พันบาท พอตายผมก็เตรียม
เกาะไว้เกาะหนึ่งในนิคมฯ ไว้สำหรับฝังกระดูกพนักงาน
เขาจะได้ไม่ต้องอดเวลาตายไปแล้ว
เพราะเราจะมีพนักงานมาไหว้เสมอ
อันนี้เรียกว่า Amata Service Forever...
มี CEO คนไหนดูแลลูกน้องขนาดตายแล้วก็ยังดูแลไหม (หัวเราะ)"
อาจจะดูน่าขบขันหรือเป็นเรื่องตลกไร้สาระ
แต่วิกรมยืนยันว่า นี่เป็นอีกหนึ่งความฝันที่เขาจะทำขึ้น
ในอาณาจักรของเขา... และยังบอกด้วยว่าเขามีความฝันมันๆ
อย่างนี้อีกเยอะ ซึ่งจะถูกเรียบเรียงอยู่
ในหนังสือเล่มที่ชื่อ "คนล่าฝัน" ที่จะมาเปิดเผยว่า


เขามีความฝันอะไรบ้างและยังมีฝันอะไรในส่วนที่เหลือของชีวิต
นี่เป็นเพียงความฝันบางส่วนของวิกรม
ตลอดชั่วชีวิต "นักฝัน" อย่างวิกรม
เขาเชื่อว่าเขาไม่เสียชาติเกิดแล้วที่ชีวิตหนึ่ง
เขาได้ล่าฝันของตนเองได้สำเร็จ
ไม่ว่าจะเป็นการสร้างเมืองชื่อ "อมตะ"
การสร้างบ้านชื่อ "อมตะ คาสเซิล"
การสร้างเวทีให้กับวงการศิลปะภายใต้ชื่อ
"มูลนิธิอมตะ" หรือการสร้างสุสานให้ตระกูล ฯลฯ

"คนอาจจะหาว่าผมเป็นโรคจิต แต่ผมคิดว่าคนที่มองผม
อย่างนั้นไม่ปกติ เพราะเขามองคนปกติไม่ปกติ
ผมคิดว่าผมปกติ เพราะผมไม่ได้ฝันอะไรไร้สาระ

ผมฝันอยู่บนข้อเท็จจริง และเป็นฝันที่มีประโยชน์กับคนอื่นด้วย
ถ้าถามว่าผมเป็นมืออาชีพทางด้านไหน
ผมคงนิยามตัวเองว่า "นักฝันมืออาชีพ"




















ความมั่นใจ : คุณลักษณะของผู้ที่ก้าวสู่ความสำเร็จ

บุญส่ง จำปาโพธิ์
ผู้อำนวยการวิทยาลัยบริหารธุรกิจและการท่องเที่ยวนครราชสีมา


ความสำเร็จ เป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา จะเห็นได้จากความเชื่อที่หลายคน ได้ขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายให้ตนเอง หรืออวยพรให้ผู้อื่นได้รับความสำเร็จไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน ครอบครัว สุขภาพร่างกาย หรือเรื่องอื่น ๆ แต่การที่บุคคลใดจะประสบความสำเร็จได้นั้น ล้วนมีคุณสมบัติอย่างหนึ่งซึ่งเหมือนกันคือ “ความมั่นใจ”


ความมั่นใจ เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นภายใน และขึ้นอยู่กับว่า เราสามารถจะจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันได้อย่างไร คนที่มีความมั่นใจจะสามารถรับมือกับปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างชาญฉลาด ไม่ว่าปัญหานั้นจะใหญ่หรือเล็ก นอกจากนี้ ความมั่นใจ ยังเป็นความรู้สึกที่เกิดจากเรารู้คุณค่ากับชีวิตของตัวเราเอง คนที่มีความมั่นใจ มักจะมีความสุข มีความรู้สึกที่ดีให้กับตนเอง และมีความเชื่อมั่นว่าคนจะสามารถรับภาระกับปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ได้เสมอ

ที่มาแห่งความมั่นใจ
ประสบการณ์วัยเด็ก : สมัยเด็กหากเราเคยรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า และสามารถที่จะทำสิ่งต่าง ๆ ได้ด้วยตนเองหรือได้แสดงความสามารถต่าง ๆ ได้แล้วคนรอบข้างชื่นชม สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้จะหล่อหลอมความมั่นใจให้เพิ่มขึ้นทีละน้อย
กำลังใจ : แม้ว่าเราจะไม่มีความสามารถอะไรที่โดดเด่นนัก หรือผลงานออกมาอาจจะไม่ดีเท่าใดนักหากแต่มีคนแสดงความชื่นชมกับผลงานของเรา จะช่วยสร้างความมั่นใจได้เช่นกัน
ความรัก : การได้มีโอกาสที่จะรักหรือการได้รับความรัก เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งที่จะเพิ่มความมั่นใจกับตนเองผู้ที่พร้อมด้วยความรัก ความอบอุ่น จะสามารถผ่านปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตได้
ความกลัว : เป็นสาเหตุใหญ่แห่งความไม่มั่นใจคนส่วนใหญ่มักจะขาดความมั่นใจ หากเราอยู่ในสถานการณ์ที่เราไม่คุ้นเคย ความกลัวทำให้เราไม่กล้าที่จะทำในสิ่งที่ควรทำ วีที่ดีที่สุดที่จะเริ่มสร้างความมั่นใจให้กับตนเอง ก็คือ การขจัดความกลัว กล้าตัดสินใจ ลองลงมือทำอะไรบางอย่างที่ไม่เคยทำ และทำให้สำเร็จ หากล้มเหลว ยังดีกว่าไม่กล้าทำความพยายามที่เราจะทำไป จะทำให้เรามีโอกาสฝึกฝนที่จะลองวิธีใหม่ ๆ ต่างไปจากวิธีเดิม

วิธีการสร้างความมั่นใจให้กับตนเอง
หาต้นแบบ : ลองหาต้นแบบจากบุคคลสำคัญที่เราชื่นชม อ่านประวัติของเขา จะช่วยสร้างกำลังใจให้ได้ ไม่ใช่ทุกคนที่เกิดมาพรั่งพร้อม ทุกสิ่งทุกอย่างต้องสร้างขึ้นมาด้วยตนเอง และทุกสิ่งทุกอย่างจะเริ่มเมื่อเราเข้มแข็ง ยึดมั่นในเป้าหมาย มุ่งมั่นที่จะก้าวต่อไป และมั่นใจ ที่จะดำเนินชีวิต
เปิดหูเปิดตา : เปิดโลกทัศน์ว่า ใครเขาทำอะไรที่ไหนอย่างไร เมื่อเรารู้สิ่งที่ควรจะเป็นหรือควรจะทำเป็นอย่างไร ก็จะช่วยลดความประหม่า ลดความกังวลลง และจะมีความมั่นใจมากขึ้นเมื่อต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ใหม่ ๆ
สร้างภาพ : หลับตานึกภาพตนเอง ในแบบที่เราต้องการจะเป็นสถานการณ์ต่าง ๆ ที่ต้องเผชิญ เช่น ภาพของตัวเรายืนอยู่ต่อหน้าคนอื่น สร้างภาพให้ชัดเจนว่าเรามั่นใจดูดี เก่ง และน่าเชื่อถือ สร้างภาพคนรอบข้างกำลังยิ่งชื่นชมกับตัวเรา สร้างภาพว่า เรากำลังสนุกสนานกับสิ่งที่เผชิญและจินตนาการว่า วันนั้นเรากลับบ้านด้วยรอยยิ้มของความสำเร็จ เมื่องานนั้นลุล่วงด้วยดี
ทำความคุ้นเคย : หากสิ่งใหม่ ๆ สำหรับงานใหม่ มันน่ากลัวทำให้เราไม่มั่นใจ คาดเดาไม่ถูกว่าจะพบกับอะไร ความกังวลจะเกิดขึ้น แต่หากเราได้มีโอกาสคลุกคลีกับสิ่งแวดล้อมหรือผู้คนกลุ่มนั้น เราจะรู้สึกสบายใจ และมีความมั่นใจมากขึ้น
ยืดตัวตรง : คนที่มีความมั่นใจ และมีความสุข มักจะยืนและเดินอย่างสง่าผ่าเผย การยืดตัวตรงไม่เพียงแต่จะเป็นผลของความรู้สึกมั่นต่อผู้อื่น แต่ยังมีผลถึงความรู้สึกมั่นใจของเราด้วย
หมั่นฝึกซ้อม : คนส่วนใหญ่มักมองข้ามความสำคัญของการฝึกซ้อม รับมือทุกสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น เช่น ถ้าได้รับเชิญไปพูดต่อหน้าสาธารณชนก็ควรมีการฝึกซ้อมก่อนเพื่อจะได้หาข้อบกพร่องและแก้ไขก่อนถึงวันจริง
พร้อมรับมือ : ไม่มีอาชีพใด ที่จะยอมลงสนามขณะที่ยังไม่พร้อม และรับมือกับทุกสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างชาญฉลาด และมั่นใจ

คุณลักษณะของผู้ที่ก้าวสู่ความสำเร็จ
คนที่มีความมั่นใจมากไป จะกลายเป็นคนหลงตัวเองจึงกลายเป็นคนอวดฉลาด ชอบโอ้อวดตนหรือยกตนข่มท่านจึงทำให้ไม่น่าคบ บุคคลที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตทั้งการงานและเรื่องส่วนตัว ต้องมีความมั่นใจ พอเหมาะพอดี มั่นใจในทางที่ถูกต้อง มีสติและจิตใจที่งดงาม เป็นองค์ประกอบด้วย ดังนี้
1. เป็นผู้นับถือตนเอง เชื่อมั่นในความสามารถของตน
2. เชื่อว่าตนเองเป็นคนพิเศษ ไม่ดูถูกตนเอง
3. รู้จักตนเองดี สนใจ ใส่ใจ และรับรู้ ความคิด ความต้องการ และความรู้สึกของตนเอง
4. แข่งขันกับตนเอง พยายามทำทุกสิ่งให้ดีที่สุดอย่างสุดความสามารถ
5. ทะเยอทะยาน กล้ายอมรับ พร้อมกับมีความหวังมีแรงบันดาลใจ และพร้อมที่จะก้าวไปในอนาคต
6. พัฒนาตนเองเสมอ พิจารณาตนเอง และปรับปรุงเปลี่ยนแปลงชีวิตไปสู่สิ่งที่ดีกว่า
7. ดูแลตนเองได้ รู้จักพึ่งพาตนเอง
8. มีความฝัน มองเห็นภาพตนเอง ในฐานะผู้ทำ ภาระตนเองหรือดีที่สุดในหน้าที่การงานของคน
9. กล้าทำความฝัน กล้าตัดสินใจดำเนินชีวิต ตามวิถีชีวิตของตนทีวาดฝันไว ้ และกล้าลงมือทำในสิ่งที่ตนรักแม้จะแตกต่างจากคนอื่นก็ตาม
10. รับผิดชอบในการตัดสินใจของตนเอง และเมื่อกล้าลงมือแล้วก็ต้องกล้ารับผิดชอบ ในสิ่งที่ทำไป หากผิดพลาดก็ต้องกล้ารับ และรู้จักพูดคำว่า “ขอโทษ”
11. เพียรพยายาม ต้องมีความอดทนและพยายามที่จะทำตามสิ่งที่ฝันให้สำเร็จ แม้จะมีอุปสรรคก็ไม่ย่อท้อ รู้จักแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้เสมอ
12. รับคำชม ความนิยมชมชอบจากผู้อื่น ๆ ได้อย่างไม่เคอะเขิน สง่างาม สงบ มีสติ และรู้กาลเทศะ

เคล็ดลับการทำงานสู่ความสำเร็จ
1. รู้จัก รู้รอบ ในข่าวเศรษฐกิจ และสิ่งรอบตัว เพื่อประโยชน์ในการสนทนา และทันเหตุการณ์ของโลก
2. ต้องเป็นคนที่ขวนขวาย พยายามทำความเข้าใจกับงานที่ทำอย่างลึกซึ้ง อย่ากลัวที่จะต้องจัดการกับงานนั้นให้ลุล่วงไป คิดเสียว่างานที่ทำนั้นเป็นงานปกติ
3. ทำรายงาน “ต้องทำ” หลังเลิกงาน ให้ใช้เวลาประมาณ 5 นาที เขียนรายงานที่จะต้องทำวันรุ่งขึ้น ในวันใหม่ของการทำงาน จะได้เริ่มงานได้ทันที
4. จัดเรียงลำดับความสำคัญของงานก่อนลงมือ งานสำคัญที่สุดที่จะต้องมาก่อนนั้น หมายถึงงานด่วน งานที่จะต้องส่งผู้อื่นเป็นทอด ๆ อย่ามัวเลือกงานง่าย ๆ ที่ชอบ โดยละเลยความสำคัญของงานชิ้นอื่น ๆ ไป
5. เตรียมหัวข้อการประชุม ก่อนเข้าประชุมให้จัดหัวข้อที่จะต้องปรึกษากัน ในการประชุมนั้น รวมทั้งเป้าหมายและผลลัพธ์ที่ต้องการจากการประชุม
6. เมื่อสัญญาอะไร ไว้กับใคร ไม่ว่าจะเป็นกับนายหรือลูกน้อย ให้รักษาไว้เป็นคำนั้น มันจะทำให้เราได้รับความไว้วางใจ และมีความน่านับถือ มากขึ้น
7. หมดสมัยคำว่า “ไม่รู้ ไม่เห็น ไม่เป็น ไม่ได้” ปัญหาทุกอย่างมีทางออกทั้งนั้น เพียงแค่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ให้มากขึ้น หากหาทางออกไม่ได้ ก็อย่างกลัวที่จะยอมรับว่าไม่รู้แต่ควรพยายามที่จะขวนขวายหาคำตอบ จากแหล่งความรู้ต่าง ๆ หรือคนรอบข้างให้ได้ในที่สุด
8. หากมีกิจใด ที่ไม่จำเป็นต่อหน้าที่การงาน และไม่ต้องการที่จะทำก็รู้จักปฏิเสธ เราจะได้สามารถควบคุมเวลาของตนเองได้
9. ไม่สำคัญก็ทิ้งไป คนเราเสียเวลากับเอกสารข้อมูลที่เข้ามามากเกินความจำเป็นประมาณ 80 % ของเอกสารที่เราเก็บไว้ มักไม่ได้นำกลับมาใช้อีก
10. ไม่รับโทรศัพท์ก็ไม่ผิด ถ้าพบว่าตนเองยุ่งยากจนไม่มีเวลาทำงานสิ่งใดเสร็จลุล่วง ลองนำเครื่องตอบรับอัตโนมัติมาใช้ และโทรกลับเมื่อว่างแล้ว


คนส่วนใหญ่ มีความมั่นใจที่แตกต่างกันออกไป ตามสถานการณ์ แม้กระทั่งตัวเราเองก็ตาม บางเรื่องที่เราอาจมั่นใจว่าทำได้แน่ หากออกไปเจอผู้คนหมู่มาก กลับไม่มีความมั่นใจ ซึ่งแท้จริงแล้วคนเรามักจะเป็นเช่นนี้กันทั้งนั้น แต่หากคนเราเป็นผู้หนึ่งที่มีความมั่นใจในตนเอง มากพอที่จะพร้อมรับมือในทุกสถานการณ์ เราจะก้าวล้ำหน้าผู้อื่นไปอีกระดับหนึ่ง และมักจะทำความสำเร็จให้มากกว่าผู้อื่น

นอกจากนั้น ผู้ที่มีความมั่นใจยังมีแนวโน้มที่จะมีความสุข ไม่ค่อยซึมเศร้า หรือไม่วิตกกังวลด้วย บางคนอาจจะคิดว่า ถึงแม้จะไม่มีความมั่นใจในตนเองแต่ฉันก็ยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้ ซึ่งเป็นความจริง แต่หากเราต้องการเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิต และมีความสุขด้วยความมั่นใจในตัวเองมีความสำคัญมากทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องออกไปสู่โลกภายนอกเท่าใด ก็ยิ่งจำเป็นต้องมีความรู้สึกเชื่อมั่นจากภายในมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งหน้าที่การงาน ความรับผิดชอบสูง และยิ่งต้องการความสำเร็จสูงมากเท่าใด ความมั่นใจย่อมต้องมีบทบาทมากขึ้นเท่านั้น













Jan 7, 2007

อาจารย์ สงวน วงศ์สุชาต ผู้สร้างตัวด้วยตัวเอง





นิตยสารผู้จัดการ
ตุลาคม 2530


ถ้าการที่ใครสักคนอายุ 30 ปี ก็สามารถ
มีทรัพย์สมบัติมูลค่าหลายสิบล้านบาท
แต่มีเงินเพราะว่าเป็นทายาทของเศรษฐี
ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องมาสนใจอะไรมากนัก
เพราะว่าคนแบบนี้เห็นกันออกดาษดื่นไป
ในสังคมไทยปัจจุบัน
แต่การที่คนหนุ่มอายุเพียง 30 ปี

สร้างตัวด้วยตัวของเขาเองไม่ต้องพึ่งครอบครัว
ใช้สมองของเขาเป็นหลัก ไม่ต้องไปแบกหาม

ไม่ต้องใช้เล่ห์เหลี่ยมทางการค้า คดโกงใคร
อย่างที่รู้ ๆกันสำหรับผู้มั่งคั่งบางคน
ในปัจจุบันเพียงแต่
เขาให้ความรู้

ความสามารถและประสบการณ์
ที่ผ่านการสั่งสมมานานนับสิบปี
เพื่อสร้างตัวสร้างฐานะ
สร้างฐานทางธุรกิจของเขา
ในปริมณฑลที่ไม่ค่อยมีนักธุรกิจคนไหน

เข้าไปจับเพราะมีคำว่า

"จรรยาบรรณ" และ "คุณธรรม"
เข้ามาเป็นตัวสกัดกั้น

ยิ่งการที่เขาสามารถใช้ประสบการณ์
ที่เหนือกว่าความรู้ที่เขามีอยู่
ไปสอนสั่งคนที่มีความรู้มากกว่าเขา
หรือรู้เท่า ๆ กับเขาได้
จึงต้องสนใจเขาให้มาก ๆ ทีเดียว
สงวน วงศ์สุชาต คือคน ๆ นั้น


ปีนี้สงวน อายุ 41 เป็นเจ้าของ
โรงเรียนเสริมหลักสูตรที่กรุงเทพ
และสาขาที่เชียงใหม่
พิษณุโลก ขอนแก่น และหาดใหญ่
เป็นเจ้าของโรงพิมพ์และ
อุปกรณ์ทันสมัย ราคานับสิบ ๆ ล้าน
เป็นเจ้าของเครื่องคอมพิวเตอร์ไอบีเอ็ม
และแอปเปิ้ล นับร้อย ๆ เครื่อง

ทรัพย์สินที่เขาสร้างขึ้นมามาจาก
สมองและความชาญฉลาดของเขาเป็นหลัก

ถ้าสงวนได้เป็นนักร้องตามที่เขาใฝ่ฝัน
ในตอนวันรุ่น เขาอาจจะไม่มีวันนี้

ถ้าเขาประกอบอาชีพตามบิดาของเขา
เป็นช่างทำรองเท้า
วันนี้ก็คงไม่มีโรงเรียนเสริมหลักสูตร
โรงเรียนสอนภาษาอังกฤษและ
ปัจจุบันยังเพิ่มเป็น
โรงเรียนสอนคอมพิวเตอร์อีกต่างหาก

เขาเริ่มฉายแววเมื่อตอนที่เขาอายุ 17
สงวนชนะเลิศการสอบแข่งขันทั่วประเทศ
จากผู้เข้าแข่งขันมากกว่าร้อยโรงเรียน
วันนั้นเป็นวันที่เขายินดีมากที่สุดวันหนึ่ง เพราะ
"ผมได้รับรางวัลจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
ในฐานะผู้ประสบความสำเร็จทางการศึกษา"
ว่ากันว่าเพราะเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้เขา
เลิกล้มความตั้งใจที่จะเป็นนักร้อง
"มันไม่เหมาะกับผม"
หลังจากที่เขาจบจากโรงเรียนบพิตรพิมุข
และเอ็นทรานส์เข้ารัฐศาสตร์จุฬา

ได้ดังหวังแล้วเขาได้กลับไป
บพิตรพิมุขอีกครั้งหนึ่งไม่ใช่ในฐานะนักเรียน
แต่เป็นติวเตอร์ให้รุ่นน้องเพราะ
เขาได้ผ่านการคัดเลือกจากโรงเรียนเก่า
นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของเขากับการก้าวไป
เจ้าของโรงเรียนกวดวิชาในอนาคต

"นักเรียนประทับใจต่อการสอนของผมมาก"สงวนเคยเล่าให้ฟัง
เขาเปิดโรงเรียนกวดวิชาชื่อ
"เสริมหลักสูตร" ขึ้นเป็นครั้งแรกที่สะพานควาย
มีนักเรียนตามมาเรียนกับเขาถึง 300 คน
"ก็เป็นพวกที่เรียนกับเขาที่พิตรพิมุขนั่นแหละ
ชวนเพื่อน ๆ มา"

นักเรียนคนหนึ่ง-เล่าให้ฟัง
สงวนย้ายโรงเรียนเรื่อยมา
เนื่องจากจำนวนนักเรียนมากขึ้นทุกวัน
จากสะพานควายมาวงเวียนใหญ่ วังบูรพา
และจบลงด้วยถนนมหรรณพ
ใกล้ศาลว่าการกรุงเทพมหานคร
ซึ่งเป็นฐานใหญ่ของ "เสริมหลักสูตร"

ที่นี่เขาสอนตั้งแต่ระดับอนุบาล
จนกระทั่งถึงคนที่จะไปทำดอกเตอร์
ช่วงแรกที่เขาเน้นก็คือการสอนคอร์สเอ็นทรานส์
วิชาภาษาอังกฤษซึ่งเป็นปัจจัยชี้ขาดว่า
ใครจะได้เข้ามหาวิทยาลัยหรือไม่
แต่ปัจจุบันตัวที่ทำเงินให้เขามากที่สุด
น่าจะเป็นคอร์สโทเฟิล

นอกจากนี้เขายังมีคอร์สอื่นๆอีกมากมาย
สงวนนำเอาวิดีโอเข้ามาเป็น
สื่อการสอนพวกแรก ๆ ก็ว่าได้
สมัยที่วิดีโอยังไม่แพร่หลายอย่างทุกวันนี้
เขาถ่ายวิดีโอการสอนไว้
ทุกคนที่ไม่มีเวลาเรียนในรอบที่ฟิกซ์ไว้ได้ดู

นี่เป็นการเสนอเงื่อนไขที่ที่อื่นยังไม่มี
ยังตามเขาไม่ทันนอกจากนี้สิ่งที่เขาได้ประโยชน์
จากวิดีโออีกก็คือ เขานำหนังฝรั่งมาฉาย
เขาบอกว่าเพื่อเป็นการฝึกภาษาอังกฤษแก่ผู้ที่มาเรียน
แต่ที่จริงมันก็คือการดึงดูดนักเรียนอีกทางหนึ่งนั่นเอง
"ผมมาเรียนที่นี่ตอนนั้นก็เพราะเพื่อนเขาบอกว่าที่นี่ฉายหนังให้ดู"
ศิษย์สงวนคนหนึ่งบอก

เมื่อถึงจุดหนึ่งที่เขาต้องขยายตัวเขาก็สามารถขยายสาขา
โรงเรียนเสริมหลักสูตรไปต่างจังหวัดหลัก ๆ

ไม่ว่าจะเป็น เชียงใหม่ หาดใหญ่ พิษณุโลก และขอนแก่น
ที่กำลังขึ้นเอามาก ๆ
และวันนี้ก็ด้วยความเป็นคนที่ทันสมัยอยู่เสมอ
เมื่อถึงยุคที่คอมพิวเตอร์กำลังเฟื่อง
เขาก็ซื้อคอมพิวเตอร์นับร้อยเครื่อง
ทั้งไอบีเอ็มเอทีและเอ็กซ์ทีรวมทั้ง
แอปเปิ้ลรุ่นที่ดังที่สุด-แม็คอินทอช
เขาก็นำเอายุทธวิธีเดิมมาใช้อีก
นั่นคือให้คนที่เรียนภาษาอังกฤษกับ
เขามีสิทธิเรียนคอมพิวเตอร์ฟรี
และแน่นอนถ้าจะเรียนขั้นสูงก็ไม่ฟรีอีกต่อไป

ทุกวันนี้เขายังเป็นเจ้าของโรงพิมพ์มูลค่าสิบ ๆ ล้าน
ที่น่าประหลาดก็คือเขายังมีกิจการรับแจกใบปลิวด้วย โดย "มืออาชีพ" เขาบอกในใบปลิว
สงวนเป็นคนประเภท "เปอร์เฟคชั่นนิสท์"
ต้องการสมบูรณ์แบบทุกอย่าง

จนบางครั้งกลายเป็นคนขี้โม้เมื่อทำไม่ได้อย่างที่พูด
ความหวังขั้นสูงสุดที่เขาเคยบอกไว้คือ
เขาจะเรียบเรียงพจนานุกรมขึ้นมาใช้
"เพราะที่มี ๆ อยู่ยังไม่ดีพอ"
เขาเคยให้สัมภาษณ์หนังสือฉบับหนึ่ง
แต่เขาคงยังไม่มีเวลาพอเพราะ
ทุกวันนี้เขายังเอ็นจอยกับการเมคมันนี่อยู่
เพราะเขาไม่ใช่ครูบาอาจารย์ เขาเป็นนักธุรกิจ

เป้าหมายก็คือทำกำไรสูงสุด
เป็นกำไรสูงสุดบนพื้นฐานของ

"คุณธรรม" และ "จรรยาบรรณ"
ของอาชีพเรือจ้าง


ประวัติ อาจารย์ สงวน วงศ์สุชาต


จบการศึกษาระดับมัธยมต้นที่โรงเรียนวัดราชบพิธ
แล้วไปต่อระดับมัธยมปลายที่โรงเรียนวัดบพิตรภิมุข
แผนกภาษาต่างประเทศ
ท่านสอบได้ที่หนึ่งมัธยมปลาย
แผนกทั่วไปของประเทศไทย
จึงได้รับพระราชทานรางวัลเรียนดี
จากพระหัตถ์ของสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ

(พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวร)

เมื่อปีพุทธศักราช 2508
จากนั้นท่านเข้าศึกษาต่อที่

จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย คณะรัฐศาสตร์
แผนกการต่างประเทศและการทูต รุ่นที่ 19
จนจบการศึกษาในสี่ปีต่อมา
ท่านเลือกเรียนทุกวิชาที่สอนเป็นภาษาอังกฤษ
ภาษาฝรั่งเศส และ ภาษาญี่ปุ่น
ในขณะที่ยังเป็นนิสิตปีหนึ่งอยู่นั้น
ท่านได้รับเชิญจากโรงเรียนบพิตรภิมุขให้ไปช่วย
ติวนักเรียนระดับมัธยมปลายของโรงเรียน
ประมาณ 200 คน พร้อมกัน
โดยสอนในหอประชุมใหญ่ วันละ 10 ชั่วโมง

ตลอดช่วงปิดเทอมของมหาวิทยาลัย
และได้ดำเนินการสอนเป็นวิทยาทานติดต่อกันถึงสามปี
โดยในช่วงนั้น ท่านสอนทั้งวิชาคณิตศาสตร์
สังคมศึกษา ภาษาไทย และ ภาษาอังกฤษ

ในปีที่สี่ ท่านจึงเริ่มต้นไปเปิดโรงเรียนของตนเอง
แต่เน้นการสอนภาษาอังกฤษแต่เพียงอย่างเดียว

ปัจจุบัน ท่านสอนภาษาอังกฤษมาแล้วร่วม 45 ปี
มีลูกศิษย์เป็นเรือนแสน และลูกศิษย์ของท่านส่วนใหญ่
สมัครเรียนกับท่านกันทั้งครอบครัว
ท่านเป็นตำนานในวงการสอนภาษาอังกฤษ

ที่ยังโลดแล่นอยู่ในยุทธจักร
ทุกวันนี้ท่านยังทำการสอนและวิจัยภาษาอังกฤษอยู่ทุกวัน
อีกทั้งยังสามารถสอนภาษาอังกฤษแบบเข้มข้น
และเต็มไปด้วยเนื้อหาสาระอย่างต่อเนื่อง
ครั้งละ 4-5 ชั่วโมงได้อย่างสบาย
ประสบการณ์การสอน Entrance, TOEIC, TOEFL,
IELTS, SAT, GMAT และ GRE ของท่าน
ได้รับการบันทึกเป็นดีวิดีเป็นพันๆ ชั่วโมง
เป็นหลักฐานยืนการครํ่าหวอดอยู่
ในวงการสอนภาษาอังกฤษของท่านได้เป็นอย่างดี


  • รงเรียนเสริมหลักสูตร สาขาเสาชิงช้า
ถ. มหรรณพ ระหว่างแยกกทม. กับศาลเจ้าพ่อเสือ

SLS: map 1

  • โรงเรียนเสริมหลักสูตร สาขาโรงแรมมารวย
เยื้องม.เกษตร หน้าน้ำพุโรงแรมมารวย

SLS: map 2
หลักสูตรที่เปิดสอน

  1. หลักสูตร TOFEL
  2. หลักสูตร GMAT
  3. หลักสูตร GRE
  4. หลักสูตร VOCAB
  5. หลักสูตร ENTRANCE


(ฉบับที่ 1033 ประจำวันที่ 19-9-2009 ถึง 22-9-2009)

SLS ปรับกระบวนยุทธ์สู้ศึกตลาดกวดวิชาแตกไลน์ใหม่เจาะกลุ่มองค์กรธุรกิจ
สถาบันสอนภาษาและกวดวิชาในปัจจุบันยังคง
ทวีองศาความร้อนระอุแทบปรอทแตก

ของ สภาวะการแข่งขัน สวนทางภาวะเศรษฐกิจโดยรวมที่ถดถอย

ส่งผลให้ทุกสถาบันต่างปรับเปลี่ยนยุทธวิธีการตลาด
เพื่อกระตุ้นความสนใจของ ผู้เรียน

รวมถึงผลประกอบการของแต่ละสถาบันให้ดำรงคงอยู่ได้

ก่อนที่จะโดนคลื่นพิษเศรษฐกิจดูดกลืนจมหายไป
บวกกับกระแสสถาบันกวดวิชาโมเดิร์นเทรด
ที่กำลังมาแรงแซงทางโค้งกวาดช่วงชิง

พื้นที่แนวรุกการตลาด ทำให้หลากหลายสถาบันเก่าแก่
ต้องถูกกลบลบเลือนไปจากหน้าความทรงจำของผู้คนในปัจจุบัน

บับนี้ “สยามธุรกิจ” นำเสนอโรง
เรียนสอนภาษาอังกฤษ SLS ที่ยืนยงยาว

นานตั้งแต่ในอดีต พร้อมเปิดใจผู้บริหารสถาบัน
อาจารย์สงวน วงศ์สุชาต

ตำนานแห่งวงการสอนภาษาอังกฤษที่ยังโลดแล่น

อยู่ในยุทธจักร จากอดีตถึงปัจจุบัน
กับการ นำพานาวา SLS
กลับมาโลดแล่นฝ่าคลื่นกระแสโมเดิร์นเทรด

พร้อมกับปรับกลยุทธ์ ใหม่เพื่อการดำรงคงอยู่
ของแนววิธีการสอนในแบบฉบับสไตล์อาจารย์สงวน
อาจารย์สงวน วงศ์สุชาต เริ่มสอนภาษาอังกฤษ
ตั้งแต่ยังเป็นนิสิตปี 1 ของคณะรัฐศาสตร์

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
โดยเริ่มจากการช่วยติวนักเรียน
ระดับมัธยมปลายของโรงเรียนบพิตรภิมุข

ซึ่งเป็นโรงเรียนเก่าของอาจารย์เอง
จนกระทั่ง ถึงปัจจุบัน

ท่านสอนภาษาอังกฤษมาแล้วร่วม 45 ปี
มีลูกศิษย์เป็นเรือนแสน

และลูกศิษย์ของท่านส่วนใหญ่มาเรียนกับ
ท่านกันทั้งครอบครัว
เรียกได้ว่าสอนตั้งแต่รุ่นพ่อ สู่รุ่นลูก

และจนถึงรุ่นหลาน
ซึ่งการสอนภาษาอังกฤษ
ของอาจารย์เป็นแบบเข้มข้น

และเต็มไปด้วยเนื้อหาสาระ อย่างต่อเนื่อง
หากย้อนอดีตไปเมื่อปี พ.ศ.2520
ซึ่งนับว่าเป็นช่วงขาขึ้นของโรงเรียนกวดวิชา

อาจารย์มีรายได้จากการสอนกว่า 100 ล้านบาทต่อปี
กระทั่งปัจจุบันรายได้กลับลดเหลือเพียงแค่หลักล้านบาทต่อปี
และชื่อเสียงที่เคยโด่งดังของโรงเรียนสอนภาษา SLS
เริ่มจางหายไปจากวงการ

ท่านจึงดำริถึงการปรับปรุงโรงเรียน
ให้สามารถตอบสนองผู้เรียนได้ทั้งในมิติ

ของความรู้ ความเข้าใจ และทักษะด้านภาษาอังกฤษ
“เราจะก้าวไปสู่ความเป็นเลิศ
ในการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ
ทั้งในระดับมัธยม
ระดับมหาวิทยาลัย การศึกษาต่อ
หรือการไปทำงานในต่างประเทศ

รวมทั้งการใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน
การใช้ภาษาอังกฤษในทางธุรกิจ

โดยโรงเรียนมีแผนงานที่จะมีครูสอนการสนทนา (Conversation)
ที่เป็นชาวอังกฤษหรืออเมริกัน
และคนไทยที่ไปใช้ชีวิตในประเทศอังกฤษหรืออเมริกา
รวมทั้งจะมีติวเตอร์รุ่นใหม่ที่มีทักษะ
และความสามารถพิเศษในการสอน

ทั้งนี้เพื่อให้ผู้เรียนได้รับประโยชน์
และคุณค่าสูงสุดจากการมาเรียนกับ

โรงเรียนเสริมหลักสูตรสงวน วงศ์สุชาต”
การเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ครั้งนี้ไม่เพียงเป็น
การตั้งเป้ากลับมารุกตลาดอีกครั้งเพียงเท่านั้น
แต่อาจารย์มีความมุ่งหมายต้องการ
ให้วิธีการเรียนการสอนในแนวทางของท่าน

ดำรงคงอยู่ในหมู่ของอาจารย์
ผู้สอนภาษาอังกฤษต่อไปในภายภาคหน้า

ด้วยความที่ท่านรู้สึกเสียดายต่อการ
ที่แนววิธีการสอนเหล่านี้ต้องลืมหายไป

สำหรับกลยุทธ์ใหม่ของโรงเรียน SLS คือ
1.การเปิดการเรียนการสอนแบบออนไลน์ซึ่งจะเริ่มในต้นปีหน้า
2.การจับมือเป็นพันธมิตรกับสถาบันสอนภาษาอื่นๆ
3.การเปิดแฟรนไชส์สถาบัน โดยผู้ที่ต้องการเปิดไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ
นอกจากค่าตกแต่งการ ลงทุนปรับปรุงสถานที่
ได้รับการสนับสนุนจากนายสมใจนึก เองตระกูล อดีตปลัดกระทรวงการคลัง
ซึ่งถือว่าเป็นศิษย์เก่าของ SLS มอบพื้นที่เพื่อจัดสร้างแฟรนไชส์
โมเดลต้นแบบให้กับผู้ที่สนใจ และ
4.การพุ่งเป้าเจาะตลาดกลุ่มองค์กรธุรกิจ
โดยมีค่าใช้จ่ายประมาณ 1.5 หมื่นบาทต่อระยะเวลา 6 เดือน

ทั้งนี้การเจาะกลุ่มองค์กรธุรกิจ เป็นการเปิดตลาดกลุ่มเป้าหมายใหม่ของ SLS

โดยแบ่งหลักสูตรเป็น 4 ระดับคือ
1.การใช้ภาษาในชีวิตประจำวัน
2.การใช้ภาษาอังกฤษเพื่อธุรกิจทั่วไป
3.การใช้ภาษาอังกฤษปาถกฐาในที่ชุมชน และ
4.การใช้ภาษาอังกฤษตอบสนองความต้องการกลุ่มธุรกิจ
ซึ่งขณะนี้ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก
จากศิษย์เก่าที่ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ บริหารในองค์กรธุรกิจต่างๆ
นอกจากนี้หลังจากที่มีการเปิดตัวหลักสูตรสำหรับองค์กรธุรกิจไปแล้วก็ได้รับ
การติดต่อจาก บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด
ซึ่งมีความสนใจในหลักสูตรดังกล่าว
โดยในขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือกันอยู่
อย่างไรก็ตาม
อีกหนึ่งจุดหมายหลักของอาจารย์สงวนก็คือ

การมุ่งหมาย ให้หลักสูตร แนวคิด
รวมทั้งรูปแบบการสอนของท่านเป็นวิทยาทานให้แก่
อาจารย์ที่สอนภาษาอังกฤษในโรงเรียนทั่วไปของเมืองไทย
เพื่อต่อไปหลักสูตรดังกล่าวยังคงดำรงอยู่เพื่อเป็น
หลักการสอนให้ลูกหลานได้ร่ำเรียนภาษาอังกฤษในวิธีแบบเข้มข้น
และตอบสนองความต้องการของผู้เรียนได้
อย่างถูกต้องตามเป้าหมายในอนาคตข้างหน้า

Fanclub



















Newer Posts Older Posts Home