"ผมเป็นคนชอบหลอกตัวเองด้วยการสร้างความรู้สึกในแง่ดีบ่อยๆ
กระทำจนเป็นนิสัยในการล่อหลอกตัวเองให้ทำในสิ่งที่ "ฝัน" ไว้
เพราะความฝันคือเข็มทิศ เป็นพลังขับเคลื่อนชีวิต
เป็นน้ำหล่อเลี้ยงมนุษย์ และที่สำคัญ ความฝันไม่เสียสตางค์"
วิกรมเขียนไว้ในหนังสือ "มองโลกแบบวิกรม"
ตลอดการสัมภาษณ์กับ "ผู้จัดการ" 2 ครั้ง ร่วม 6 ชั่วโมง
วิกรมจะพูดบ่อยครั้งว่าเขาเป็นคนชอบฝัน
เล่าร่วมกับตัวอย่างประสบการณ์การล่าฝันของเขา
หลายต่อหลายครั้ง สะท้อนตัวตนความเป็น "นักฝัน"
ของเขาอย่างแท้จริง ในวัยเด็กเขาใฝ่ฝัน
อยากจะมีอาณาจักรส่วนตัว ซึ่งเป็นสถานที่
ที่เขาจะมีอิสระและทำอะไรก็ได้ตามใจปรารถนา
ทั้งที่ช่วงเวลานั้นเขายังไม่เคยมีแม้ห้องส่วนตัว
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่กลัวที่จะฝัน
จาก "บ้านไม้ไผ่ หลังคาใบสน" ที่เขาสร้างขึ้น เองในวัยเด็ก
วันนี้กลายเป็นอาณาจักร "อมตะนคร" เมืองที่สมบูรณ์แบบ
ที่มีประชากรร่วม 1.4 แสนคน
และครั้งหนึ่งเกือบถูกยกให้เป็นอำเภอขึ้นมาเลยทีเดียว
"ถ้าคุณจะฝัน มันต้องมี 2 อย่างคือ มีความอยาก
และมีเหตุมีผล แค่ 2 สิ่งนี้ต้องยึดถือไว้เลย
การฝันถึงสิ่งที่อยากทำและมีเหตุมีผลเท่านี้เอง
ความฝันก็ย่อมจะกลายเป็นสิ่งที่เป็นไปได้"
วิกรมให้เคล็ด (ไม่) ลับการเป็น "นักฝัน"
ที่ประสบความสำเร็จเช่นเขา
ก่อนจะบอกว่าสิ่งที่เขาฝันมาชั่วชีวิต 90% ทำได้หมดแล้ว
เพราะสิ่งที่เขาฝันล้วนแต่เป็นสิ่งที่เขาอยากทำและมีเหตุมีผล
ครั้งหนึ่งสมัยที่วิกรมอายุเพียง 10 ขวบ
เมื่อเขาได้ดูหนัง "633 เที่ยวบินมัจจุราช"
ความใฝ่ฝันอยากจะเป็นนักบินโฉบเฉี่ยวก็เกิดขึ้นในทันที
หลังจากเรียบจบ ม.3 เขาพยายามตามรอยความฝันนั้น
แต่พ่อไม่สนับสนุน ความฝันของเขาจึงถูกฝังไว้ในใจ
จนวันหนึ่งที่เขาเห็นเครื่องบิน F-16 ในโทรทัศน์
เมื่อความฝันผุดขึ้นมาอีกครั้ง วิกรมก็พยายามทำตามฝันอีกครั้ง
จนปี 2546 เขาไปทดลองขับเครื่องบินเจ็ต
ที่เร็วที่สุดในโลก MIG-25 ที่กรุงมอสโคว์ รัสเซีย
ประสบการณ์แปลกใหม่อันเกิดจากรากฐานความฝันจึงเกิดขึ้น
นั่นก็คือเขาได้เป็นคนไทยคนแรกที่ได้ขับ
เครื่องบินที่เร็วที่สุดในโลก เร็วกว่าเสียงถึง 3 เท่า
"ผมดีใจและภูมิใจมากกับการตัดสินใจตามความฝัน
ก่อนที่ตัวเองจะอายุมากกว่านี้
ไม่เช่นนั้นสังขารอาจจะไม่เอื้ออำนวย
ให้ทำในสิ่งที่อยากทำ ด้วยเหตุนี้
ผมจึงมักเตือนตัวเองเสมอว่า
ถ้าอยากทำอะไรก็ให้รีบทำถ้าพอทำได้
เพราะเมื่อเวลาผ่านไปแล้วไม่หวนกลับ"
วิมล ไทรนิ่มนวล นักเขียนรางวัลซีไรต์
ผู้ช่วยตรวจทานต้นฉบับ "มองโลกอย่างวิกรม"
เคยให้ความเห็นเกี่ยวกับความเป็นนักฝันของวิกรมว่า
"เขาเป็นนักฝันที่ยิ่งใหญ่
หลายฝันเป็นความฝันที่คนอื่นไม่คิดถึงกัน
แต่เขาก็กล้าฝัน และกล้าที่จะตามล่าฝัน
ถึงแม้ว่าคนจะมองว่าเพี้ยน
หรือความฝันนั้นแพงลิบลิ่ว"
"บ้าน" เป็นอีกความฝันอันแรงกล้าที่วิกรมปรารถนา
จะสร้างขึ้นให้เป็น "สวรรค์ที่บ้าน"
อันเป็นที่รวมตัวของแม่และน้องๆ
รวมทั้งเป็นสถานที่ที่เขาจะได้อยู่อย่างสัมผัสธรรมชาติ
ความสงบ ซึ่งเป็นสิ่งที่ปลูกฝังจิตใจของเขามา
ตั้งแต่สมัยเด็ก บ้าน 2 หลังที่วิกรมกำลังสร้างขึ้น
ที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ และ "อมตะนคร" ที่ชลบุรี
อาจกล่าวได้ว่าเป็นผลงานสร้างสรรค์
แห่งจินตนาการของเขาที่ตกผลึกมาจากความฝันในอดีต
และการวางแผนในอนาคตได้เป็นอย่างดี
ถึงจะดูบ้าบิ่นมากจนเขาเองก็ออกปากว่า
"ผมเป็นนักเพ้อฝัน อย่างบ้านที่กำลัง
สร้างของผมก็ฝันแบบวายป่วงเลยทีเดียว"
...ประหลาดมากแค่ไหน ก็ลองจินตนาการตาม
พื้นที่ติดแนวอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ร่วม 150 ไร่
ล้อมรอบด้วยภูเขาน้อยใหญ่และต้นไม้เขียวขจี
พื้นที่ 10 ไร่ที่อยู่ส่วนกลางถูกขุดเป็นทะเลสาบ
บ้าน 2 ชั้น ขนาด 9.9x9.9 เมตร ตั้งอยู่ในทะเลสาบ
ชั้นล่างเป็นกระจกแก้วอะคริลิกหนากันน้ำ
เจ้าของบ้านตั้งใจไว้หลบเสียงดัง
พร้อมกับปล่อยใจไปกับการดูปลา
กิจกรรมโปรดของเขาทุกครั้งยามต้องการพักผ่อน
แต่ครั้งนี้คนดูปลากลับเป็นผู้ถูกกักบริเวณ
หาใช่ปลา ชั้นบนเป็นส่วนของห้องนอน
ห้องน้ำ ห้องครัว และห้องทำงานขนาดย่อม
หลังคาโดมเป็นหน้าบันสูงสไตล์หลวงพระบาง
ประดับด้วยเซรามิกคล้ายวัดอรุณฯ
แต่เป็นรูปสิงสาราสัตว์ที่เจ้าของบ้านเคยเลี้ยงไว้
เช่น ช้าง หมี เสือ กวาง ฯลฯ
ข้างบ้านมีแพผูกไว้ 2 หลัง สำหรับรับแขก
ถัดไปบนเนินเขามีถ้ำประดิษฐ์จากท่อระบายน้ำเสีย กทม.
กว้าง 5 เมตร ลึก 10 เมตร วางนอนถมด้วย
ดินสูงขึ้นไปอีกจนเป็นภูเขา หน้าถ้ำล้อมด้วยหิน
มีห้องน้ำ ห้องรับแขก และมีท้องฟ้าจำลองในถ้ำ
ด้านหน้าถ้ำหันเข้าหาภูเขา ด้านข้างหันให้ถนน
เพื่อความสงบและความมืด สิ่งที่วิกรมพิสมัย
เพราะช่วยกระตุ้นจินตนาการและความฝันของเขาได้ดี
วิกรมตั้งใจตั้งชื่อหมู่บ้านที่จะมี
เพียงไม่กี่หลังในที่ดินผืนนี้ว่า "ศานติสงบ"
แต่ทว่าบางสิ่งที่เขาคงไม่ลืมใส่เข้าไปในบ้านหลังใหม่เป็นแน่
ถึงแม้อาจจะดูแปลกปลอมไปบ้าง นั่นก็คือ คอมพิวเตอร์
พร้อมระบบสื่อสารไร้สายที่ทันสมัยที่สุด
และโทรทัศน์จอยักษ์ สำหรับบ้านที่กำลังจะ
สร้างในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร
มีชื่ออย่างหรูหราสมความอลังการว่า "Amata Castle"
เฉพาะแค่ค่าออกแบบก็ปาเข้าไป 30 กว่าล้านบาท
วิกรมประมาณว่า ค่าก่อสร้างคงบานปลายไปถึงหลายพันล้านบาท
แต่หลังจากดีดลูกคิดในหัวแล้ว เขาเชื่อว่าคุ้มค่า
"อันนี้จะต้องกลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์
ของประวัติศาสตร์ไทย
คุณเห็นแล้วจะบอกว่าผมบ้า"
บนพื้นที่ 900 ไร่
เนื้อที่ส่วนหนึ่งถูกเนรมิตเป็นส่วนของปราสาทอมตะ
หน้ากว้าง 100 กว่าเมตร ขนาดใหญ่กว่าคลับเฮาส์ 3-4 เท่า
ปราสาทหินทรายฝังบรอนซ์หลังใหญ่นี้จะอยู่ติด
อ่างน้ำใหญ่ขนาดทะเลสาบ หลังคามีทั้งทรงจั่วแบบไทย ลาว พม่า
หรือหลังคาโดมแบบแขก มีเสาสี่หน้าสไตล์ขอมถูกปั้น
เป็นรูปปู่ทวด ย่าทวด ปู่ และย่าของวิกรม
มีทั้งสเตเดียมแบบกรีกโรมัน และห้องบอลรูมจุคนได้หลายร้อยคน
สวนตกแต่งเป็นป่าหิมพานต์
ขณะที่ชั้นบนเป็นพื้นที่อาศัยของคนตระกูลกรมดิษฐ์ชั้นล่าง
เปิดเป็นหอศิลป์จัดโชว์ภาพเขียนของศิลปินใหญ่ของเมืองไทย
เพื่อเป็นสื่อกลางประสานงานระหว่างผู้ซื้อกับเจ้าของผลงาน
และยังมีพิพิธภัณฑ์จัดแสดงของสะสมโบราณ
และของใช้ส่วนตัวที่มีคุณค่าทางจิตใจต่อวิกรม
"ผมกำหนดให้เอาวันเดือนปีเกิดของผมมาคิดเป็น
สัดส่วนในการออกแบบที่นี่ และจะมีอยู่หลุมหนึ่ง
ที่เป็นจุดที่เส้นทุกเส้นมาชนกันหมด ณ
ตำแหน่งนี้ตอนเที่ยงวันของวันที่ 17 เดือนมีนาคม
ซึ่งเป็นวันเกิดผม จะเกิดลำแสงเป็น
เส้นเดียวกันออกมา อย่างนี้มันส์ดีไหม"
บริเวณทางเข้าบ้าน ทำเป็น "สุสาน"
มีรูปปั้นปู่ย่าตาทวดตระกูลกรมดิษฐ์มานั่งเรียงกันตาม
family tree ราวกับงานสมาคมคนในตระกูล
ไม่เฉพาะคนตายที่มีหลุม คนเป็นก็จะมีหลุมเตรียมไว้ให้แล้ว
หากใครชอบพันธุ์ไม้อะไรจะได้หาเอาไปปลูก
และเป็นกุศโลบายในการเตรียมตัวตายของคนเป็น
สมกับคำที่วิกรมพูดบ่อยๆ ว่า มนุษย์เราเกิดมาจากศูนย์
และกำลังจะเดินกลับไปสู่ศูนย์กันทุกคน"
วิกรมไม่เพียงเตรียมพื้นที่ทำสุสานสำหรับครอบครัว
แต่เขายังเผื่อแผ่ไปถึงพนักงานในนิคมฯ ด้วย...
"ตอนนี้เรามีหมู่บ้านหนึ่งที่ผมขายให้ลูกน้องอยู่ในราคาถูก
ที่ดินริมสนามกอล์ฟจากราคาวาละ 4 หมื่นบาทขึ้นไป
ผมขายพวกเขา 8-9 พันบาท พอตายผมก็เตรียม
เกาะไว้เกาะหนึ่งในนิคมฯ ไว้สำหรับฝังกระดูกพนักงาน
เขาจะได้ไม่ต้องอดเวลาตายไปแล้ว
เพราะเราจะมีพนักงานมาไหว้เสมอ
อันนี้เรียกว่า Amata Service Forever...
มี CEO คนไหนดูแลลูกน้องขนาดตายแล้วก็ยังดูแลไหม (หัวเราะ)"
อาจจะดูน่าขบขันหรือเป็นเรื่องตลกไร้สาระ
แต่วิกรมยืนยันว่า นี่เป็นอีกหนึ่งความฝันที่เขาจะทำขึ้น
ในอาณาจักรของเขา... และยังบอกด้วยว่าเขามีความฝันมันๆ
อย่างนี้อีกเยอะ ซึ่งจะถูกเรียบเรียงอยู่
ในหนังสือเล่มที่ชื่อ "คนล่าฝัน" ที่จะมาเปิดเผยว่า
เขามีความฝันอะไรบ้างและยังมีฝันอะไรในส่วนที่เหลือของชีวิต
นี่เป็นเพียงความฝันบางส่วนของวิกรม
ตลอดชั่วชีวิต "นักฝัน" อย่างวิกรม
เขาเชื่อว่าเขาไม่เสียชาติเกิดแล้วที่ชีวิตหนึ่ง
เขาได้ล่าฝันของตนเองได้สำเร็จ
ไม่ว่าจะเป็นการสร้างเมืองชื่อ "อมตะ"
การสร้างบ้านชื่อ "อมตะ คาสเซิล"
การสร้างเวทีให้กับวงการศิลปะภายใต้ชื่อ
"มูลนิธิอมตะ" หรือการสร้างสุสานให้ตระกูล ฯลฯ
"คนอาจจะหาว่าผมเป็นโรคจิต แต่ผมคิดว่าคนที่มองผม
อย่างนั้นไม่ปกติ เพราะเขามองคนปกติไม่ปกติ
ผมคิดว่าผมปกติ เพราะผมไม่ได้ฝันอะไรไร้สาระ
ผมฝันอยู่บนข้อเท็จจริง และเป็นฝันที่มีประโยชน์กับคนอื่นด้วย
ถ้าถามว่าผมเป็นมืออาชีพทางด้านไหน
ผมคงนิยามตัวเองว่า "นักฝันมืออาชีพ"