ที่มา https://www.redcross.or.th/news/information/13117/
“โลหิต” หรือ “เลือด” เป็นสิ่งที่จำเป็นและมีความสำคัญในการใช้รักษาผู้ป่วย
ซึ่งในปัจจุบันยังไม่มีผู้ที่สามารถคิดค้นสิ่งใดมาใช้ทดแทนโลหิตได้
จึงจำเป็นต้องมีการรับบริจาคโลหิตจากคน เพื่อให้ได้มาซึ่งโลหิตสำหรับใช้ในการช่วยชีวิตผู้ป่วย
“การบริจาคโลหิต” คือ การสละโลหิตส่วนเกินที่ร่างกายยังไม่จำเป็นต้องใช้ให้กับผู้ป่วย
ซึ่งไม่เป็นอันตรายต่อผู้บริจาคโลหิต เพราะร่างกายของแต่ละคนมีปริมาณโลหิตประมาณ 17-18 แก้วน้ำ
ร่างกายจะใช้เพียง 15-16 แก้วเท่านั้น
ส่วนที่เหลือนั้นสามารถบริจาคให้ผู้อื่นได้
โดยสามารถบริจาคโลหิตได้ทุก 3 เดือน
เมื่อบริจาคโลหิตออกไปแล้ว ไขกระดูกจะเป็นส่วนสำคัญในการสร้างเม็ดโลหิตขึ้นมาทดแทน
ทำให้มีปริมาณโลหิตในร่างกายเท่าเดิม หากไม่ได้บริจาค ร่างกายจะขับเม็ดโลหิตที่สลายตัวเพราะหมดอายุ
ทั้งนี้ กระบวนการในการบริจาคโลหิตตั้งแต่เริ่มลงทะเบียนจนบริจาคโลหิตเสร็จสิ้น ใช้เวลาประมาณ 20 นาที
ซึ่งเจ้าหน้าที่จะเลือกเจาะโลหิตที่เส้นโลหิตดำบริเวณแขน
แล้วเก็บโลหิตบรรจุในถุงพลาสติก (BLOOD BAG)
ประมาณ 350-450 มิลลิลิตร (ซี.ซี.) ขึ้นอยู่กับน้ำหนักของผู้บริจาค
การบริจาคโลหิตเป็นเรื่องจำเป็น และยังไม่มีสิ่งใดทดแทนได้
ผู้ป่วยต้องการโลหิตทุกวินาที
ได้ทราบข้อมูลสุขภาพของตัวเอง
ได้ทราบระบบหมู่โลหิต ทั้งระบบ ABO และ Rh
ได้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์และทำให้มีความสุข ส่งผลให้สุขภาพดี
บริจาคโลหิต 1 ถุง ช่วยผู้ป่วยได้อย่างน้อย 3 ชีวิต
โลหิต 1 ถุง นำไปช่วยผู้ป่วยได้อย่างไรบ้าง?
การจัดหาโลหิตบริจาคให้เพียงพอและปลอดภัยต่อทั้งผู้ให้และผู้รับ
จากผู้มีจิตศรัทธาที่มีสุขภาพดี
แบ่งเป็นสำหรับผู้ป่วยที่ต้องรับการรักษาด้วยการรับโลหิตต่อเนื่องตลอดชีวิตกว่าร้อยละ 23
และอีกร้อยละ 77 สำหรับผู้ป่วยที่ได้รับอุบัติเหตุเพื่อใช้ในการผ่าตัด
ซึ่งมักจะเป็นการใช้โลหิตในปริมาณมากและเร่งด่วน รวมถึงโรคนานาชนิด
อีกประการหนึ่ง คือ ในบางช่วงอาจเกิดโรคระบาดที่ต้องการใช้โลหิต เช่น โรคไข้เลือดออก
ทำให้ปริมาณการใช้โลหิตมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
การบริจาคโลหิตแต่ละครั้งสามารถปั่นแยกเป็น
ส่วนประกอบโลหิตได้มากกว่า 3 ส่วน ช่วยชีวิตได้มากกว่า 3 ชีวิต
และผลิตเป็นผลิตภัณฑ์โลหิตได้อีกมากมาย
เพื่อนำไปรักษาผู้ป่วยด้วยโรคต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้
เกล็ดเลือด นำไปรักษาผู้ป่วยที่มีภาวะเกล็ดเลือดต่ำ
โรคไข้เลือดออก มะเร็งเม็ดเลือดขาว
เม็ดเลือดแดง นำไปรักษาผู้ป่วยโรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย ไขกระดูกฝ่อ
ผู้ป่วยที่สูญเสียเลือดจากการ ผ่าตัดหัวใจ อุบัติเหตุ ตกเลือดจากการคลอดบุตร
พลาสมา นำไปรักษาผู้ที่มีอาการช็อกจากการขาดน้ำ ผลิตเซรุ่มป้องกันไวรัสตับอักเสบ บี
และเซรุ่มป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า
และนำไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์โลหิต 3 ชนิด ได้แก่
แฟกเตอร์ 8 (Factor VIII) รักษา
โรคฮีโมฟีเลีย เอ อิมมูโนโกลบูลิน (IVIG)
รักษาโรคภูมิคุ้มกันต่อต้านตัวเอง อัลบูมิน (Albumin)
รักษาไฟไหม้น้ำร้อนลวก และโรคตับ
ขอบคุณข้อมูลจาก ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย