Custom Search

Aug 20, 2013

มานะ ศรัทธา และปัญญา



ปรัญญาของมนุษย์แม้จะเกิดต่างที่ ต่างภาษา ต่างอุดมการณ์ก็อาจมีบางสิ่งที่สอดคล้องกันได้ ลองมาฟังนิทานธรรมะของพม่าดูก่อน 
 

ชายคนหนึ่งได้พายเรือไปในลำคลองเพื่อที่จะตกปลามาเป็นอาหารเค้าสามารถตกปลาได้สามตัว เวลาที่เค้าตกปลาได้ เค้าก็จะเอาปลาไปไว้ในท้องเรือซึ่งมีน้ำขังอยู่ในระดับหนึ่ง ทำให้ปลาไม่ตาย

ปลาตัวแรกมีชื่อว่า เฉย ปลาตัวนี้ไม่ทำอะไรเลยเพราะปลาตัวนี้คิดว่า อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด
ปลาตัวนี้ก็นอนนิ่งงงง

ปลา ตัวที่สองมีชื่อว่า มานะ ปลาตัวนี้แตกต่างจากตัวแรกอย่างสิ้นเชิง ปลาตัวนี้จะพยายามทุกวิถีทางเพื่อที่จะรอดพ้นจากการถูกกิน
ปลาตัวนี้จะพยายามกระโดดเพื่อที่จะได้ออกจากเรือลำนี้ กระโดด
แล้วกระโดดเล่า ชายคนที่ตกปลาเห็นปลาตัวนี้ก็คิดในใจว่า ปลาตัวนี้ช่างมีความพยายามสูงจริงๆ ถ้ากระโดดไปเรื่อยๆ คงจะกระโดดออกจากเรือเพื่อกลับลงไปในคลองได้แน่ๆ ดังนั้นแล้ว ชายคนนี้จึงเอาไม้พายฝาดหัวปลาตัวนี้เลย ปลาก็ตายก่อนเพื่อน

ปลา ตัวที่สามมีชื่อว่า ปัญญา ปลาตัวนี้ก็ทำตัวนิ่งๆ เหมือนกับปลาตัวแรก ไม่ทำอะไร รอ รอ รอ แต่พอจังหวะที่คนตกปลาถึงบ้าน เวลาที่เค้าลุกขึ้นเพื่อที่จะเอาเรือไปผูกไว้กับเสา เรือจะเกิดการโคลงเคลงขึ้น เมื่อเรือเอนไปเอนมาในจังหวะที่ดี ปลาตัวนี้ก็กระโดดสุดชีวิต ทำให้สามารถกระโดดพ้นออกมาจากตัวเรือได้ภายในครั้งเดียว

นิทาน เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม สิ่งแรกที่เราจะต้องใช้คือปัญญาและสติ เมื่อเราใช้ปัญญาและสติอย่างเต็มที่แล้ว
เราจะรู้ว่าเมื่อไรที่เราควรจะนิ่ง และเมื่อไรที่เราควรจะใช้ความ
พยายามและความขยันอย่างสุดกำลัง

น่าแปลกที่ทางฝั่งตะวันตกก็มีปรัชญาประมาณนี้เหมือนกันแต่มาจากจอมโหดอย่างฮิตเลอร์

ฮิตเลอร์เปรียบเปรยทหารในกองทัพนาซีแบ่งแยกออกเป็น 4 ประเภท

ฉลาด-ขยัน คนเหล่านี้สมควรให้เป็นนายร้อย-นายพัน คุมการรบภาคสนาม
ฉลาด-ขี้เกียจ คนเหล่านี้สมควรให้เป็นนายพล คุมกลยุทธ์ในภาพใหญ่
โง่-ขี้เกียจ คนเหล่านี้ควรให้เป็นพลทหาร ใช้เลือดเนื้อแรงงานตามคำสั่ง

ส่วนกลุ่มคนสุดท้าย...
โง่-ขยัน คนเหล่านี้สมควรจับไปยิงเป้าเสียให้หมด เพราะสร้างความเสียหายจากความไม่รู้แก่กองทัพได้มากที่สุด

โชคดีของนาซีที่ฮิตเลอร์ไม่ได้ทำอย่างนั้นจริงๆ ไม่งั้นกองทัพนาซีจะพ่ายแพ้เร็วกว่านี้ (แต่อาจเป็นโชคร้ายของชาวโลก -_-)

แม้ แนวคิดสุดโต่งแบบนี้จะออกจากปากจอมโหดอย่างฮิตเลอร์ แต่ก็สอดคล้องแนวคิดทางพุทธศาสนา แสดงให้เห็นว่าไม่ว่าจะเป็นสายธรรมะหรือสายอธรรมก็ให้ความสำคัญกับปัญญา เหนือกว่ามานะ (ศรัทธา)

ปัญญาจะเป็นตัวกำหนดให้เราเดินเส้นทางที่ถูก
ส่วนมานะจะเป็นตัวผลักดันให้เราเข้าสู่จุดหมายได้เร็วขึ้น
มานะที่ขาดปัญญานี่น่ากลัวมาก เพราะจะนำเราไปสู่ความวิบัติได้อย่างรวดเร็วโดยที่เราไม่รู้ตัว
พุทธศาสนาจึงจะสอนมานะ (หรือศรัทธา) ไว้คู่กับปัญญาเสมอ

แม้พระธรรมแห่งพุทธศาสนาเอง พระพุทธเจ้าก็มุ่งหวังให้สัตว์โลกพิจารณาคำสอนของพระองค์ให้ดีก่อนศรัทธา
สมัยที่พระพุทธเจ้ายังประทับอยู่บนโลก ก็ยินดีจะตอบข้อซักถาม และข้อโต้แต้งของผู้ไม่เห็นด้วย โดยเหตุและผล
ไม่ได้บังคับโดยอิทธิฤทธ์ หรืออ้างปาฎิหารย์เพื่อชักจูงให้ผู้ไม่เห็นด้วยคล้อยตาม
ถ้าใช้เหตุและผลถึงที่สุดแล้วไม่สามารถโปรดสัตว์รายใดได้ ก็จะ
ปล่อยวาง เพรากรรมของสัตว์ตนนั้นบดบังโอกาสดวงตาเห็นธรรม


www.facebook.com/pages/Faithbook

พระพุทธเจ้าสอนให้ใช้หลักวินิจฉัยด้วยตนเองโดยมิให้ปลงใจเชื่อถือ ด้วยเหตุ ๑๐ ประการ (กาลามาสูตร) ดังต่อไปนี้ 
๑) มาอนุสสะเวนะ อย่าเชื่อถือเพียงเพราะได้ยินได้ฟังอยู่เนือง ๆ
๒) มาปรัมปรายะ อย่าเชื่อถือเพียงเพราะเป็นไปตามประเพณีสืบ ๆ กันมา
๓) มาอิติกิรายะ อย่าเชื่อถือตามคำที่เขาเล่าลือกัน
๔) มาปิฏะกะสัมปะทาเนนะ อย่าเชื่อถือเพียงเพราะตรงกับตำรา
๕) มาตักกะเหตุ อย่าเชื่อถือเพราะคาดคะเนเอา
๖) มานะยะเหตุ อย่าเชื่อถือเพราะมีนัยเทียบเคียงกันได้
๗) มาอาการะปริวิตักเกนะ อย่าเชื่อถือเพียงเพราะคิดไปตามอาการที่ได้เห็น
๘) มาทิฏฐินิชฌานักขันติยา อย่าเชื่อถือเพียงเพราะเข้ากันได้กับทฤษฎี
๙) มาภัพพะรูปะตายะ อย่าเชื่อถือเพียงเพราะคนพูดน่าเชื่อถือ
๑๐) มาสะมะโณ โนคะรูติ อย่าเชื่อถือเพียงเพราะผู้พูดเป็นสมณะหรือครูอาจารย์

พระพุทธเจ้าท่านสอนไม่ให้เชื่ออะไรง่าย ๆ เพียงเพราะเหตุใดเหตุหนึ่งใน ๑๐ ประการดังกล่าวข้างต้น แต่ให้ใช้สติปัญญาไตร่ตรองอย่างรอบคอบ
ก่อนจะใช้มานะ(หรือศรัทธา)ในเรื่องใด ควรใช้ปัญญาพิจารณาให้ถ้วนถี่เสียก่อนเสมอ :)

ขอบคุณ Thailand Investment Forum ที่นำนิทานธรรมพม่ามาเล่าสู่กันฟัง