อยากให้เพื่อนๆลองอ่านดูนะ แล้วจะได้ข้อคิดดีๆ จากบทกลอนสุดท้าย...
ฉันจะผ่านโลกนี้
แต่เพียงหน
จึงกุศล ใดใด
ที่ทำได้หรือเมตตา
ซึ่งอาจให้มนุษย์ใด
ขอให้ฉันทำหรือให้
แต่โดยพลัน
อย่าให้ฉัน ละเลย
เพิกเฉยเสียหรือผัดผ่อน
อ่อนเพลีย
ไม่แข็งขัน
เพราะตัวฉันต่อไป
ไม่มีวันจรจรัล
ทางนี้ อีกทีเลยฯ
I shall pass through this world but once;
Any good, therefore, that I can do,
Or any kindness that I can show
to any human being,
Let me do it now.
Let me not defer it, nor neglect it;
For I shall not pass this way again.
William Penn (ค.ศ. 1644-1718)
บทแปลเป็นไทยข้างต้น
(จากหนังสือพระราชทานเพลิงศพ คุณพิสุทธิ์ สุทัศน์ ณ อยุธยา)
โดยอดีตองคมนตรี ฯพณฯ ศาสตราจารย์ ม.ล.จิรายุ นพวงศ์
ปูชนียบุคคลของสังคมไทย
มีแง่มุมให้คิดในยามที่มี
เสียงเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีไทยคนปัจจุบันลาออก
เพราะขาดความชอบธรรม
ในการทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี
มีหลักฐานทางวิชาการจากโลกตะวันตกในเรื่องการเผาศพคนตายว่า
คนสูง 6 ฟุตมีร่างกายแข็งแรงบึกบึนปกติ
เมื่อเผาแล้วโดยเฉลี่ยจะเหลือขี้เถ้าหนักประมาณ 8.5 ปอนด์
และนี่คือสิ่งที่เหลืออย่างแท้จริงหลังจาก
"ผ่านโลกนี้แต่เพียงหน.................ต่อไป
ไม่มีวัน จรจรัลทางนี้อีกทีเลยฯ"
ไม่ว่าผู้นั้นจะ "ผ่านโลกนี้" อย่างเป็นมหาเศรษฐีหรือยาจก
อย่างมีอำนาจภาคภูมิหรือเป็นคนปกติธรรมดาอย่างเต็มไปด้วยศักดิ์ศรี
หรือไร้เกียรติฯ สุดท้ายก็จบลงด้วยเถ้าถ่านประมาณนี้ด้วยกันทั้งนั้น
ทิ้งไว้แต่สิ่งที่เล่าขานเกี่ยวกับตัวเขาเท่านั้น
ผู้นำทางการเมืองในประเทศพัฒนาแล้ว
กังวลอย่างมากว่าหลังจากที่เขา "ผ่านโลกนี้" ไปแล้ว
ผู้คนในภายภาคหน้าจะพูดถึงเขาอย่างไร
นักประวัติศาสตร์จะบันทึกเรื่องราวของเขาอย่างไร
และด้วยสาเหตุนี้ประกอบการเข้าใจถึง
ความรับผิดชอบของการเป็นผู้นำการมี
"ความสำนึกในประวัติศาสตร์"
เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งของผู้นำ
ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา นายกรัฐมนตรีอังกฤษ
ผู้นำประเทศพัฒนาแล้ว และผู้นำบางประเทศกำลังพัฒนา
อ่านหนังสือประวัติศาสตร์ ประวัติบุคคลสำคัญ
หนังสือบันทึกชีวิตของผู้นำที่ยิ่งใหญ่ในอดีต
เหตุการณ์สำคัญในวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์
หนังสือเกี่ยวกับความเป็นตัวตนของชาติตนเอง ฯลฯ
เพื่อเข้าใจความละเอียดอ่อนของสังคมตนผู้นำมีภารกิจที่ยิ่งใหญ่
เพราะสามารถทำให้ชีวิตเลือดเนื้อของคนจำนวนมาก
ขึ้นเขาหรือลงเหว
เสียงหัวเราะและน้ำตาของประชาชนยิ่งใหญ่กว่าผลประโยชน์ส่วนตัวและครอบครัว
ยิ่งเป็นผู้นำที่ร่ำรวยมหาศาลก็เรียกได้ว่า
มีทั้งวาสนาและอำนาจจากตำแหน่งและเงินทอง
ก็ยิ่งต้องมีความรับผิดชอบเป็นสองเท่า
เพราะในทางจริยธรรมคนรวยต้องช่วยเหลือ
คนที่บังเอิญมีน้อยกว่าตน
ให้มีชีวิตที่ดีขึ้นในสังคมที่ทุกคนอยู่ร่วมกันและ
พึ่งพากันสำหรับผู้ที่ไม่ได้ร่ำรวยและไม่มีอำนาจวาสนาขนาดนี้
ผมขอยกกลอนชื่อ "พอใจให้สุข"
ของท่านอาจารย์ฐะปะนีย์ นาครทรรพ
ปรมาจารย์ภาษาไทยที่ได้ประพันธ์ไว้อย่างงดงาม ดังต่อไปนี้
นี่คือ บทกลอนที่อยากให้เพื่อนๆอ่าน
"แม้มิได้เป็นดอกกุหลาบหอม
ก็จงยอมเป็นเพียงลดาขาว
แม้มิได้เป็นจันทร์อันสกาวจงเป็นดาวดวงแจ่มแอร่มตา
แม้มิได้เป็นหงส์ทะนงศักดิ์ก็จงรักเป็นโนรีที่หรรษา
แม้มิได้เป็นน้ำแม่คงคาจงเป็นธาราใสที่ไหลเย็น
แม้มิได้เป็นมหาหิมาลัยจงพอใจจอมปลวกที่แลเห็น
แม้มิได้เป็นวันพระจันทร์เพ็ญก็จงเป็นวันแรมที่แจ่มจาง
แม้มิได้เป็นต้นสนระหงจงเป็นพงอ้อสะบัดไม่ขัดขวาง
แม้มิได้เป็นนุชสุดสะอางจงเป็นนางที่มิใช่ไร้ความดีอันจะเป็นสิ่งใด
ไม่ประหลาดกำเนิดชาติดีทรามตามวิถีถือสันโดษ
ทำประโยชน์ในชีวีให้สมที่เกิดมาน่าชมเอย"
ในชีวิตของความเป็นมนุษย์ทุกคนมีโอกาสเพียงครั้งเดียว
ที่จะเขียนเรื่องราวชีวิตของตนให้คนรุ่นหลังอ่าน เพราะทุกคน
"จะผ่านโลกแต่เพียงหน................ต่อไป
ไม่มีวัน จรจรัล ทางนี้อีกทีเลยฯ"
เราจะเลือกสร้างสิ่งที่ประทับใจในบรรทัดหนึ่งของประวัติศาสตร์
หรือ รอยดำที่ไม่อาจแก้ไขได้ตลอดไป
แม้ร่างกายจะไม่ได้อยู่ในโลกนี้แล้ว...