25 มี.ค. 59 (10:45 น.)
https://www.sanook.com/men/12873/
เป็นเวลาสิบกว่าปีที่ อู๋ - ธนากร โปษยานนท์
คือพระเอกชื่อดังคนหนึ่งของวงการละครโทรทัศน์
ก่อนจะเปลี่ยนไปเล่นบทอื่นๆ เพียงปีละไม่กี่เรื่อง
จนกระทั่ง 4 - 5 ปีหลังมานี้ที่คนดูละครเริ่มกลับมาสนใจเขา
อีกครั้งในฐานะนักแสดงเจ้าบทบาทแม้ไม่ใช่พระเอก
แต่ก็สร้างกระแสชื่นชมในฝีมือการแสดงไม่แพ้เมื่อก่อน
และล่าสุดแฟนละครจำนวนไม่น้อยต่างสมัครเป็น #ทีมน้าราม
แต่หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าเขาหันมาศึกษาธรรมะ
และปฏิบัติอย่างจริงจังคนหนึ่งเลยทีเดียว
ทราบว่าสนใจศึกษาธรรมะมาระยะหนึ่งแล้ว
ย้อนไปเมื่อสี่ปีก่อน มีโอกาสบวชเป็นครั้งที่สองที่
วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร ผมเคยบวชครั้งแรกตอนอายุสามสิบ
จริง ๆ ตั้งใจจะบวชตอนเบญจเพส แต่ไม่มีเวลา
พอคุณพ่อเสียและพอมีเวลาก็เลยบวช
แต่ตอนนั้นประตูธรรมะก็ยังไม่เปิด
จำได้ว่าก่อนสึกพระอาจารย์สอนว่า
เราออกมาจากกองมูตรแล้วนะ
แต่สุดท้ายผมก็กระโดดลงไปใหม่
คราวนี้ใช้ชีวิตเละเทะหนักกว่าเดิม
ครั้งแรกบวชที่วัดไหนคะ
ทำไมออกมาเป็นอย่างนั้นได้ วัดบวรฯครับ
แต่ผมว่าไม่เกี่ยวกับวัดนะ มันอยู่ที่ตัวคน
ไม่ว่าเราอยู่ที่ไหนกแล้วแต่
ทุกอย่างอยู่ที่ตัวเราหมด ไม่เกี่ยวกับสถานที่
เหมือนเราไปนั่งวิปัสสนาในป่า ถ้าใจเราไม่สงบ ม
นก็ไม่สงบ สถานที่ไม่ช่วยอะไร
ทำไมถึงบวชครั้งที่สองคะ
ก่อนบวชครั้งที่สองประมาณหนึ่งปี
พี่ที่เป็นหุ้นส่วนบริษัทเป็นมะเร็ง จริง ๆ พี่คนนี้
ไม่เห็นความสำคัญของการบวช ไม่เชื่อว่าพระพุทธเจ้ามีจริง
เขาเชื่อแค่ว่ามีคำสอนเท่านั้น
จะว่าไปการบวชครั้งแรกของผมก็มีข้อดี
คืออย่างน้อยเวลาที่เจอเหตุการณ์ร้าย ๆ
ก็คิดว่าธรรมะช่วยได้ จึงพาเขาไปหาพระอาจารย์ที่วัดบวรฯ
ไปขอบวช
พอเขาเขียนใบสมัครเสร็จ ผมก็ไม่รู้ยังไง ยกมือไหว้พระอาจารย์
บอกว่าขอบวชด้วยคนครับหลังบวชก็ไปอยู่ที่วัดวังพุไทร
จังหวัดเพชรบุรีและอีกวัดที่ปากช่อง
บวชคราวนี้พระอาจารย์บอกว่าบวชนานนะ บวชสองเดือน
คือบวชเดือนธันวาคมปีนี้ แล้วไปสึกมกราคมปีถัดมา
จริง ๆ แล้วคือบวชเดือนเดียว
ระหว่างบวชเป็นอย่างไรบ้างคะ
ตอนบวชพระอาจารย์ไม่ได้ให้ฝึกอะไรมาก ส่วนใหญ่ผมฟังธรรมะของหลวงปู่ชาแล้วนำมาปฏิบัติเองมากกว่า
สิ่งที่พระอาจารย์สอนส่วนใหญ่เป็นเรื่องการใช้ชีวิตทางโลกว่าใช้อย่างไรให้พอเหมาะพอดี
เหตุที่ท่านสอนอย่างนี้คงเป็นเพราะเห็นว่าผมไม่ได้บวชระยะยาว อย่างไรเสียก็ต้องออกไปใช้ชีวิตข้างนอก
อย่างเรื่องการดื่ม พระอาจารย์ก็บอกว่าถ้าจำเป็นต้องไปงานก็ให้ดื่มแต่พอประมาณ อย่าดื่มมากเกินไป
สิ่งหนึ่งที่พระอาจารย์เคยสอนแล้วผมมองว่าเป็นเรื่องยากที่คนทางโลกจะเข้าใจก็คือ
เมื่อพ่อแม่ป่วยแล้วท่านไม่ยอมกินข้าวเราก็อยากป้อนข้าวท่าน แต่ไม่เคยมองเลยว่านั่นคือการทำให้พ่อแม่เป็นทุกข์
ฉะนั้นเราก็ต้องวางอุเบกขา ไม่อย่างนั้นจะเป็นการก่อกรรมต่อกัน ในอีกมุมหนึ่ง พระท่านบอกว่า
นั่นอาจเป็นกรรมของพ่อแม่ก็ได้ที่ทำให้ท่านไม่อยากกินข้าว
อย่างเรื่องของพระทางอีสานที่ถูกฆาตกรรม
แล้วโยมพ่อของท่านออกมาบอกว่าอโหสิกรรมให้ เรื่องเหล่านี้ผมมองว่าเป็นเรื่องยาก
ตอนบวชได้ไปธุดงค์ไหมคะ
ไม่ครับ เพราะพระที่จะไปนั่งอยู่โคนต้นไม้ออกธุดงค์ด้วยตนเองได้ต้องบวชไม่ต่ำกว่าสี่ปี
พระที่บวชต้องอยู่กับพระพี่เลี้ยงก่อน ถ้าไปธุดงค์เลยอาจบ้าได้ แล้วระยะเวลาในการบวชของผมก็สั้นเกินไป
ไม่สามารถทำอย่างนั้นได้ แต่บวชครั้งแรกผมก็นอนผ้าห่มศพ นอนข้างหลวงปู่ที่มรณภาพอยู่กับของคนตาย
ฉันอาหารมื้อเดียวแบบใส่อาหารรวมกันในบาตร คือทำตามหลักปฏิบัติของพระธุดงค์ แต่ไม่ได้ออกธุดงค์เท่านั้นเอง
กลัวผีไหมคะ
เรื่องผีถ้าคิดก็กลัว ถ้าไม่คิดก็ไม่กลัวอย่างวันแรกที่ไปอยู่ต่างจังหวัด พระอาจารย์สอนนั่งสมาธิ เดินจงกรมจนถึงตีสอง
แล้วบอกให้ผมไปเดินจงกรมก่อนเข้ากุฏิ ตอนนั้นมืดมาก
มองไม่เห็นอะไรเลย ใจก็คิดไปแล้วว่าถ้าหันไปเจอนั่งรอ
เป็นแถวจะทำอย่างไรดีพอคิดอย่างนั้น
เดินรอบแรกขาก็เริ่มก้าวเร็วขึ้น พอขึ้นรอบที่สองในใจก็คิดว่า ผมเพิ่งบวชใหม่นะ ยังไม่มีบุญ อย่าเพิ่งมา
พอคิดแบบนี้ก็เดินได้แค่สี่รอบ สุดท้ายถึงรู้ว่าทั้งหมดมันอยู่ที่ใจ พอเราคิดไปต่าง ๆ นานาก็เกิดความกลัว
ทุกอย่างขึ้นอยู่กับใจเราทั้งนั้น เขาถึงบอกว่าห้ามปล่อยใจไปตามอารมณ์
ตอนบวชผมได้ไปอยู่ที่สำนักสงฆ์ซึ่งมีเชิงตะกอนเผาศพเป็นกองฟืนสุมกันขึ้นไปแล้วเผาศพกันกลางแจ้ง
กลับเข้ากุฏิก็มีผ้าห่อศพรออยู่อีก ต้องอยู่กับความตายตลอดเวลา
ผมไม่ได้รู้สึกรังเกียจหรือกลัวอะไร เพราะคิดว่าถ้าพระอาจารย์ให้มา ท่านก็คงหวังดี
การทำอย่างนี้เป็นกุศโลบายอย่างหนึ่งที่พระอาจารย์ต้องการสอนว่า เราจะไปอยู่ที่ไหนหรือนอนตรงไหนก็ได้
ตอนบวชมีของไม่มากมีแค่บาตร ผ้าครอง แปรงสีฟัน ยาสีฟันเท่านั้นเอง
จะไปไหนก็สะดวกแต่พอกลับออกมาอยู่ทางโลก จะไปไหนทีต้องเตรียมของเยอะ
ถ้ามีโอกาสผมก็อยากไปบวชอีก ช่วงนี้พยายามหาธรรมะมาฟัง นอกจากหลวงปู่ชาแล้วก็มีของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล
หลวงปู่ขาวอนาลโย ส่วนใหญ่เป็นสายหลวงปู่มั่น ซึ่งหาฟังค่อนข้างยาก
ได้อะไรจากการบวชครั้งนี้คะ
ได้เห็นแนวทางในการใช้ชีวิต ก่อนบวชครั้งนี้
ก็ไม่รู้ว่าอยู่ดี ๆ ทำไมอยากหาธรรมะฟังอาจ
เป็นช่วงที่ใช้ชีวิตเละเทะ แล้วเริ่มรู้สึกว่าไปจนสุดทางแล้ว
มันไม่สนุก ไม่มีอะไรใหม่เลย อยากหาแนวทางอื่น ๆ
ในการใช้ชีวิตจึงลองเสิร์ชหาในอินเทอร์เน็ต
โดยพิมพ์คำว่าหลวงปู่ แล้วก็มีชื่อหลวงปู่ชาขึ้นมา
พอลองฟังดูก็รู้สึกว่าธรรมะที่ท่านสอนไม่มีศัพท์อะไรยาก
พอคิดตามสิ่งที่ท่านสอน ก็นั่งหัวเราะว่า “กูโง่มานานมาก”
อย่างที่บอกครับ เราอยู่ที่ไหน ถ้าใจไม่เป็นสุข
เราก็ไม่มีความสุขเราต้องกลับมามองตัวเอง
หลวงปู่ชาบอกว่าถ้าให้คนเอานิ้วแหย่เข้าไปในรู
ถ้าแหย่ลงไปไม่ถึงก้นรู ทุกคนจะบอกว่ารูมันลึก
ไม่เคยมีใครบอกว่านิ้วเราสั้น
ท่านสอนให้เรากลับมามองตัวเองมากกว่าไปโทษสิ่งแวดล้อม
ผมจึงเริ่มกลับมามองตัวเอง เมื่อก่อนผมเอาตัวเองเป็นหลักในการดำเนินชีวิต ชอบไม่ชอบอะไรก็ใช้ตัวเองวัด
สิ่งหนึ่งที่ได้จากคำสอนของท่านก็คือ
ความทุกข์คือกิเลสอย่างหยาบ
ความสุขคือกิเลสอย่างละเอียด
การที่เราไปยึดติดกับความสุข
เพราะคิดว่ามันจะตอบสนองชีวิตเรา
กลับยิ่งทำให้เป็นทุกข์หนักกว่า
เพราะความทุกข์กับความสุขมันคือสิ่งเดียวกัน
เพียงแต่มันแปรสภาพ
สุขมากก็ทุกข์มาก
ดังนั้นจงรับสุขพอสมควรทุกข์พอสมควร
รับสรรเสริญพอสมควรรับนินทาพอสมควร
ต้องมองว่าชีวิตมีทั้งสมหวังและไม่สมหวัง
หลังจากบวชครั้งที่สอง ความคิดเรื่องการดำเนินชีวิตเปลี่ยนไปไหมคะ
ดูเหมือนว่าธรรมะทำให้คุณอู๋นิ่งมากขึ้น
ไม่นิ่งหรอกครับ ถึงเวลาที่มันเละเทะมันก็เละเทะครับ แต่ก็พยายามดึงกลับมาหรือเวลาที่ใจมันฟูขึ้นมามาก ๆ
ก็จะหยุดพยายามมีสติในทุก ๆ ลมหายใจ ผมตั้งใจไว้ว่า ทุกวันอังคารซึ่งเป็นวันเกิดของผม
ผมจะพยายามถือศีล 8 และจะดูตัวเองให้รู้ตัวอยู่ตลอด
ถ้าต้องไปทำงานก็ทำได้ตามปกติเพราะตราบใดที่ยังหายใจอยู่ก็ทำได้ตลอดเวลา การทำงานไม่ได้ขัดขวางการดูตัวเอง
การทำบุญในมุมมองของคุณอู๋คืออะไรคะ
ผมมองคำว่าทำบุญตามแบบหลวงปู่ชาที่ท่านสอนว่า คนเราถ้าทำบุญแล้วไม่ละบาป จะได้บุญได้อย่างไร
ตอนนี้เราละบาปก่อนถ้าจิตคุณสงบก็ถือว่าได้ทำบุญแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับวัตถุหรือสิ่งของอะไรพวกนี้เลย
ผมจะเข้าวัดทุกครั้งที่มีโอกาสตอนเช้า ๆ ถ้าไม่ติดธุระอะไรจะขี่จักรยานไปเป็นเด็กวัดที่วัดบวรฯ
ช่วยจัดของถือของหรือตอนบวช ก่อนที่สมเด็จพระสังฆราชจะสิ้น ผมก็มีโอกาสไปเฝ้าอยู่ที่นั่น
คนเป็นจำนวนไม่น้อยมองว่าเรื่องทางโลกกับทางธรรมแยกจากกันคิดอย่างไรกับเรื่องนี้คะ
บวชครั้งแรกผมก็คิดว่าทางโลกกับทางธรรมคนละเส้นทางกัน แต่บวชครั้งที่สองถึงรู้ว่า
จริง ๆ แล้วมันคือทางเดียวกันเลยเพราะตอนเกิดมา เราก็เกิดจากธรรมชาติธรรมชาติก็คือธรรมะ
แล้วจะบอกว่าชีวิตเราไม่เกี่ยวกับธรรมะได้อย่างไร มันแยกกันไม่ออกเลยนะครับ
ธรรมะกับชีวิต หลายคนคิดว่าต้องมีทุกข์ก่อนแล้วจึงจะเริ่มหาธรรมะ แต่ถ้าเขารู้และทำความเข้าใจ
ก็จะรู้ว่าธรรมะคือสิ่งที่อยู่รอบตัวเราทั้งหมด พื้นฐานง่าย ๆ ก็คือศีล บางคนบอกว่าถือศีลลำบาก
ถ้าศีล 8 ไม่ได้ก็ถือศีล 5 ถ้าถือศีล 5 ไม่ได้ก็เอาแค่ 3 ข้อ คือ สำรวมกาย วาจา ใจ
สำรวมวาจาคือไม่พูดจากระทบคนอื่น สำรวมใจคือไม่คิดร้ายกับคนอื่น
สำรวมกายคือประพฤติตนให้ดูเรียบร้อยเหมาะสม ทำ 3 ข้อนี้ได้คุณก็ได้ศีล 5 แล้ว
ความทุกข์ที่สุดของมนุษย์คืออะไรคะ
ความมีตัวตนครับ คนเราเกิดมาด้วยจิตประภัสสร คือจิตบริสุทธิ์ ไม่มีอะไรเลยอาจมีนิสัยเก่าติดมาจากชาติที่แล้วบ้าง
พอโตมาก็มีสิ่งที่เราชอบบ้างไม่ชอบบ้าง สิ่งเหล่านี้สร้างตัวตนให้เรามากขึ้นเรื่อย ๆ
จึงทำให้คนเราเป็นทุกข์เพราะความมีตัวตนของตัวเอง
ผมเองก็มีความทุกข์จากการมีตัวตนบ้าง
แต่ขึ้นอยู่กับว่าเราเอาตัวตนนั้นไปทำอะไรที่ไหนมากกว่า เช่น
บางทีเราพูดแบบไม่ได้คิดทำให้รู้สึกแย่
จึงพยายามมีสติตลอดเวลา
เวลาเครียด มีวิธีรับมืออย่างไรคะ
คนเป็นจำนวนไม่น้อยมองว่าเรื่องทางโลกกับทางธรรมแยกจากกันคิดอย่างไรกับเรื่องนี้คะ
บวชครั้งแรกผมก็คิดว่าทางโลกกับทางธรรมคนละเส้นทางกัน แต่บวชครั้งที่สองถึงรู้ว่า
จริง ๆ แล้วมันคือทางเดียวกันเลยเพราะตอนเกิดมา เราก็เกิดจากธรรมชาติธรรมชาติก็คือธรรมะ
แล้วจะบอกว่าชีวิตเราไม่เกี่ยวกับธรรมะได้อย่างไร มันแยกกันไม่ออกเลยนะครับ ธรรมะกับชีวิต
หลายคนคิดว่าต้องมีทุกข์ก่อนแล้วจึงจะเริ่มหาธรรมะ แต่ถ้าเขารู้และทำความเข้าใจ
ก็จะรู้ว่าธรรมะคือสิ่งที่อยู่รอบตัวเราทั้งหมด พื้นฐานง่าย ๆ ก็คือศีล บางคนบอกว่าถือศีลลำบาก
ถ้าศีล 8 ไม่ได้ก็ถือศีล 5 ถ้าถือศีล 5 ไม่ได้ก็เอาแค่ 3 ข้อ คือ สำรวมกาย วาจา ใจ
สำรวมวาจาคือไม่พูดจากระทบคนอื่น สำรวมใจคือไม่คิดร้ายกับคนอื่น
สำรวมกายคือประพฤติตนให้ดูเรียบร้อยเหมาะสม ทำ 3 ข้อนี้ได้คุณก็ได้ศีล 5 แล้ว
เราจะพัฒนาตัวเองอย่างไร
ถ้าให้แนะนำ ผมชวนให้ฟังหลวงปู่ชาครับ อย่างคุณแม่ผม ผมทำไอพ็อดเล็ก ๆ เอาไว้ให้ฟัง ใครที่มีความทุกข์
ก็ลองฟังธรรมะ สวดมนต์ น้ำหยดลงตุ่มวันละหยดตุ่มยังเต็มเลยครับ ผมเองก็พยายามลดละมา 4 ปีแล้ว
พยายามฝึกดึงสติกลับมาอยู่ที่ลมหายใจ ทำจิตให้นิ่ง แต่ก็ได้เป็นบางจังหวะเท่านั้นครับ ยังไม่ได้ตลอดเวลา
ช่วงเข้าวงการใหม่ๆ คุณอู๋นับเป็นพระเอกดังคนหนึ่งของวงการจากนั้นก็เงียบไป ตอนนั้นรู้สึกอย่างไร เสียดายไหมคะ
ไม่รู้สึกอะไรครับ ไม่เสียดาย เพราะไม่เคยคิดว่าตัวเองจะดังขึ้นมาถึงขนาดนั้นผมบอกตัวเองมา
ตั้งแต่เข้าวงการว่าเราเป็นนักแสดง ไม่ได้ยึดติดอะไร แสดงบทอะไรก็ได้
พอกลับมามีกระแสอีกครั้ง รู้สึกอย่างไรคะ
ก็ทำตัวตามปกติ กระแสที่เกิดขึ้นทำให้เราหายเหนื่อยเท่านั้น เป็นเหมือนรางวัลครับมีบ้างที่ทำให้หัวใจเราพองโต
แต่ถ้าเราเข้าใจคำว่ากระแส จะรู้ว่าเดี๋ยวมันก็ผ่านไป ได้นำธรรมะมาใช้ในการเล่นละครอย่างไรบ้างคะ
เวลาอยู่หน้ากล้อง ถ้าเราวางตัวตนของเราได้ ก็จะเอาตัวละครมาใส่ได้
เคยมีด๊อกเตอร์ท่านหนึ่งที่ศึกษาธรรมะบอกว่าไอ้พวกดารานี่มันหลุดพ้นยาก ผมก็เห็นด้วยจริงของท่าน
เพราะอาชีพนี้ต้องใช้อารมณ์ทั้งหมด ถ้าเราไม่สามารถเอาตัวเองออกจากฉากละครนั้น ๆ ก็จะลำบาก
ที่ผ่านมาผมไม่เคยยึดเอาไว้เลย แสดงจบก็คือจบ เคยมีช่วงท้อแท้ในชีวิตบ้างไหมคะ
ท้อแท้ในเป้าหมายของชีวิตมากกว่าครับ ก่อนบวช ชีวิตเหมือนลอย ๆ อยู่
ไม่รู้ว่าเป้าหมายของชีวิตคืออะไร ไม่รู้จะไปอยู่ตรงไหน แต่พอได้บวชก็ไม่ได้คิดถึงตรงนั้นไม่ได้รู้สึกเป็นทุกข์กับอนาคต
ที่เราไม่รู้เหมือนได้เจอคำตอบในชีวิต แม้จะยังไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต
ในฐานะที่มีธุรกิจของตัวเองด้วยธรรมะสวนทางกับการทำธุรกิจที่ต้องการกำไรสูงสุดบ้างหรือไม่คะ
โชคดีที่ผมไม่ได้เข้าไปยุ่งเรื่องของราคาเรื่องกำไร ผมทำอาหารอย่างเดียว ราคาผมก็ไม่ได้ตั้ง
เรื่องของบริษัท พี่กล้วย (กิตติ แจ้งวัฒนะ) เป็นคนดูแลทั้งหมด
ไม่ได้หมายความผมโยนบาปให้เขานะครับแต่มองว่าพี่เขามีความเป็นธรรมเรื่องราคา
และผมก็ไม่มีเวลาเข้าไปจัดการ เนื่องจากติดงานแสดง
ครั้งหนึ่งผมเคยมองว่าเงินสำคัญมากเพราะหาเลี้ยงตัวเองได้มาตั้งแต่เริ่มทำงาน ตอนนั้นผมฟุ้งเฟ้อไปกับการใช้เงิน
ไม่ได้สนุกฟุ้งเฟ้อไปกับชื่อเสียงนะครับ แต่หลงระเริงกับชีวิตที่เป็นอิสระ หาเงินได้เองโดยไม่ได้รบกวนขอเงินพ่อแม่
อยากใช้เงินอย่างไรก็ใช้ไป สมัยก่อนจะซื้ออะไรก็ต้องเป็นรุ่นท็อปเท่านั้น ต้องดีที่สุด
เดี๋ยวนี้ซื้อเฉพาะเท่าที่จำเป็น ซึ่งต่างจากเมื่อก่อนที่ใช้เงินไปเพื่อสนองกิเลสตัวเอง
ตอนนี้ชอบใช้เงินซื้ออาหารให้คนในกองถ่ายกินกัน ซื้อวัตถุดิบไปให้น้อง ๆ ที่ร้านทำอาหาร
จะออกเป็นแนวนี้มากกว่าคือผมเริ่มให้คนรอบตัวมากกว่าให้ตัวเองอาจเป็น
เพราะผมชอบเห็นคนกินข้าว เวลาเขาได้กินของอร่อยผมจะมีความสุข นิสัยนี้ผมเป็นมาตั้งแต่เด็กแล้ว
พูดได้ไหมว่าความสุขของคุณอู๋คือการเห็นคนอื่นมีความสุข
ส่วนหนึ่งครับ แต่อย่าอยู่บนความทุกข์ของผมก็พอ อย่างเช่น ถ้าผมนั่งกินข้าวอยู่แล้วมีคนมาขอถ่ายรูป
ผมจะมีความรู้สึกว่าไม่โอเค ผมจะบอกว่าขอกินข้าวให้เสร็จก่อนเดี๋ยวไปถ่ายกัน
แต่ก็มีบางคนบอกไม่เป็นไรขอถ่ายนิดเดียว พอลุกไปถ่ายกับคนนี้ คนอื่นก็ต้องมาขอถ่ายต่อ เราก็พูดไม่ได้ สุดท้ายเลย
ไม่ได้กินข้าวก็มี แต่ไม่ใช่ว่าถ่ายไม่ได้นะครับ
การได้เป็นทูตของเมืองคะงะวะประเทศญี่ปุ่น มีที่มาอย่างไรคะ
ตอนผมไปถ่ายละครเรื่อง รอยรักหักเหลี่ยมตะวัน และ รอยฝันตะวันเดือด ที่ญี่ปุ่นมีทีมเจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นคอยประสานงาน
เวลาเดินผ่านผมมักได้ยินเขาพูดกันว่า คักโค่ย ๆ ซึ่งแปลว่าเท่ ผมก็ไม่รู้ว่าเขาพูดถึงใคร
จนกระทั่งเจ้าหน้าที่คนหนึ่งเข้ามาคุยและถามว่าเป็นคนไทยหรือเปล่า ผมก็บอกไปว่าคนไทยครับ
เขาบอกว่าผมเหมือนคนญี่ปุ่น จากนั้นเขาก็ไปหาข้อมูลผมในอินเทอร์เน็ต
และรู้ว่าผมชอบทำอาหาร ชอบถ่ายรูป จึงเอาโปรไฟล์ไปเสนอให้คณะกรรมการเมืองคะงะวะซึ่งคล้าย ๆ
อบจ.ของบ้านเราที่ดูแลเรื่องการท่องเที่ยว เขาบอกว่าคาแร็คเตอร์ผมใกล้เคียงกับคนเมืองคะงะวะ
จึงว่าจ้างมอบหมายให้เป็นทูตเมืองนี้
ผลตอบรับเป็นอย่างไรบ้างคะ
ต้องขอบคุณน้าราม ไม่ใช่อู๋ - ธนากรที่ทำให้คนรู้จักคะงะวะ ตอนนี้ยังรอวัดผลกันอยู่ครับ
เพราะเพิ่งทำได้ยังไม่ครบปี แต่ผมไปเมืองนี้ครบสี่ครั้งในสี่ฤดูแล้ว
ผู้ว่าจ้างจะคอยเช็กดูว่ามีคนไทยไปเที่ยวที่คะงะวะโดยผ่านสนามบินทะกะมะสึหรือว่าเช็กอินโรงแรมในเมืองนี้มากเท่าไหร่แล้ว
เป้าคือ 2,000 คน แต่ตอนนี้คนไปเที่ยวคะงะวะยังอยู่ที่หลัก 800 -900 คน
เดือนมีนาคมนี้จะเป็นตัวตัดสินถ้าครบ 2,000 ก็จะแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ
ถ้าใครอยากให้น้ารามได้เป็นทูตอย่างเป็นทางการ ก็ต้องรีบไปเที่ยวกันใช่ไหมคะ
เมืองคะงะวะเป็นเมืองที่น่าเที่ยวจริง ๆ ครับ ผมไปญี่ปุ่นมาหลายครั้งก็เริ่มเบื่อเมืองใหญ่ ๆ หลัง ๆ ผมมักหาโอกาสไปเมืองเล็ก ๆ
ซึ่งทำให้ได้เห็นอีกมุมหนึ่งของญี่ปุ่น ได้สัมผัสวิถีชีวิตจริง ๆ ของเขา ผมไม่ชอบไปเที่ยวกับทัวร์
ที่เรียกว่าตดยังไม่ทันหายเหม็นก็เรียกขึ้นรถแล้ว ผมชอบเดินดูตามซอกหลืบบ้านเรือนเขา ชอบอยู่ดูนาน ๆ
ผมตั้งคอนเซ็ปต์เมืองคะงะวะว่าเป็นเมืองแห่งเส้น ศิลป์ และธรรมชาติ เส้นคือการที่เขาเป็นต้นกำเนิดของเส้นอุด้ง
ศิลป์คือมีเทศกาลอาร์ตเซโตะอุจิ (Setouchi) ซึ่งนำศิลปินจากทั่วโลกมาจัดแสดงงานศิลปะ
เมืองนี้ยังมีหมู่เกาะต่าง ๆ บนเกาะมีประชากรอยู่ราวสองสามร้อยคน เป็นคนสูงอายุเกือบทั้งหมด
เพราะคนหนุ่มสาวพากันย้ายเข้าเมืองหมดดังนั้นพวกโรงเรียนอนุบาลประถมนี่ปิดหมดเลย
เขาจึงพยายามหาวิธีดึงคนเหล่านี้กลับมาบริษัทเบเนซเซ่ซึ่งเป็นผู้ผลิตแบบเรียนของญี่ปุ่นได้เข้ามาช่วยตรงนี้
ความจริงก่อนหน้านั้นก็มีบริษัททัวร์พยายามทำแบบนี้เหมือนกัน
โดยจัดกิจกรรมให้คนมาตกปลาช่วงวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ปรากฏว่าเศรษฐกิจไม่ดี
คนต้องทำงานวันเสาร์ บริษัทนี้เลยเจ๊ง บริษัทเบเนซเซ่จึงมารับช่วงต่อ เขาพาผมไปดูที่เกาะนาโอชิมะ
และบอกว่าเกาะนี้สวยงามมาก อยากให้คนทั่วโลกได้เห็น ที่นั่นไม่สร้างโรงแรม
แต่สร้างพิพิธภัณฑ์แสดงงานศิลปะ และไม่มีการตัดต้นไม้ใด ๆ เพราะต้องการรักษาธรรมชาติ
เวลาจะสร้างอะไรแต่ละอย่าง เขาจะคำนึงถึงประโยชน์ของคนท้องถิ่นก่อน อย่างที่นาโอชิมะมีฟักทองเป็นงานศิลป์ชิ้นหนึ่งตั้งอยู่ริมทะเล
เขาบอกว่าไม่อยากให้คนไปถ่ายเซลฟี่ลงโซเชียล ตอนผมไปเขาก็บอกว่าไม่อยากให้ถ่ายรูป
หรือถ่ายได้แต่ห้ามนำไปลงโซเชียล เขาให้เหตุผลว่า ถ้าคนมาเที่ยวเยอะ เขาจะรับมือไม่ทันและจะเป็นผลเสียต่อเกาะมากกว่า
ถ้าอยากดูก็ให้มาดูเองด้วยตา เขาอยากให้เล่ากันไปแบบปากต่อปากต้องบอกว่าเป็นวิธีคิดที่ดีมาก
มีเป้าหมายในชีวิตที่เหลืออยู่อย่างไรคะ
คิดว่าคงทำงานเบื้องหลัง เพราะเหตุผลหนึ่งที่เล่นละครคืออยากศึกษางานเบื้องหลังเล่นละครมา 21 ปี
ถ้าเรียนหนังสือก็เรียกว่าจบปริญญาเอกแล้ว
ที่ผ่านมาต้องเรียกว่าประสบความสำเร็จทั้งในด้านการแสดงและธุรกิจร้านอาหาร คิดว่าเคล็ดลับความสำเร็จคืออะไรคะ
จริงใจกับมันครับ คือทำอย่างจริงจังไม่ได้ทำเล่น ๆ
เขาเป็นอีกคนหนึ่งที่ค้นพบว่าทางโลกกับทางธรรมต้องดำเนินไปด้วยกัน และพิสูจน์แล้วว่าชีวิตที่อยู่บนความพอดีนำสุขมาให้