Custom Search

Feb 18, 2011

The King′s Speech ของกษัตริย์ติดอ่าง


มติชน
วรากรณ์ สามโกเศศ

มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์

17 ก.พ. 54


The King"s Speech
เป็นภาพยนตร์ตัวเก็งชิงรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมแห่งปี
ที่ The Academy Award จะประกาศผลในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2011
ดังที่รู้จักกันในนามของรางวัล Oscar สิ่งที่ทำให้น่าสนใจ
ก็คือภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างจากเรื่องจริงของคนพูดติด อ่าง
ซึ่งต้องต่อสู้เพื่อเอาชนะการติดอ่างให้ได้
เพราะการแพ้ชนะเกี่ยวพันกับชะตา ชีวิตของผู้คนนับล้านๆ คน

บุคคลที่พูดติดอ่างก็คือพระเจ้าจอร์จที่ 6 (King George VI)
แห่งจักรภพอังกฤษ พระราชบิดาของสมเด็จพระราชินีอลิซาเบธที่ 2 องค์ปัจจุบัน

รางวัล Oscar ของภาพยนตร์ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกว่า
เป็นรางวัลสำคัญที่สุดเช่นเดียวกับ Grammy Awards
สำหรับดนตรี Emmy Awards สำหรับโทรทัศน์
และ Tony Awards สำหรับละครเวที

The Academy of Motion Picture Arts and Sciences (AMPAS)
เป็นองค์กรวิชาชีพที่มีสมาชิก 5,835 คน (ณ สิ้นปี 2007)
เป็นผู้โหวตลงคะแนนให้รางวัล Oscar สมาชิกของ AMPAS
ต้องได้รับเชิญจากคณะกรรมการของ AMPAS เท่านั้น
ซึ่งการคัดเลือกสมาชิกกระทำกันอย่างเข้มข้น
โดยพิจารณาจากการมีส่วนร่วมอย่าง สำคัญในกิจการภาพยนตร์
ตั้งแต่ปี 2007 เป็นต้นมาไม่มีการเปิดเผยชื่อสมาชิก
(จากรายชื่อที่เปิดเผยปี 2007 จำนวน 1,311 คน เป็นดาราภาพยนตร์)

รางวัล Oscar ที่แจกกันมี 24 ประเภทของความยอดเยี่ยม เช่น
ภาพยนตร์แห่งปี ผู้กำกับ ผู้แสดงชาย ผู้แสดงหญิง ตัวประกอบชาย
ตัวประกอบหญิง เขียนบท สารคดี ตัดต่อเสียง ฯลฯ

ผลของการประกาศเมื่อ 25 มกราคม 2011 มาจากการโหวตรอบแรก
โดยสมาชิกในแต่ละประเภทโหวตประเภทของตนเอง
The King′s Speech ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล 12 ประเภท/ True Grit
(10 ประเภท)/ The Social Network (เรื่องราวของการเกิด Facebook)
และ Inception (8)/ The Fighter (7)/ 127 Hours (6)/ Black Swan (5) ฯลฯ



ขณะ นี้สมาชิก AMPAS กำลังโหวตรอบสองกันโดยทุกคนมีสิทธิโหวตให้ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมแห่งปีข่าวคราว
ที่ออกมาก็คือ The King′s Speech ร้อนแรงมาก
เพราะได้รับรางวัล People"s Choice Award
ที่ Toronto International Film Festival
ปี 2010 สำหรับรางวัล Oscar ได้รับการเสนอชื่อใน
12 ประเภท คือภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ผู้แสดงนำชาย หญิง
และตัวประกอบชาย
การถ่ายภาพ บทภาพยนตร์ ฯลฯ

พระ เจ้าจอร์จที่ 6 (ค.ศ.1895-1952)
บุคคลสำคัญของเรื่องคือ The King ในชื่อของภาพยนตร์
ตอนประสูติมีพระนามว่า Prince Albert (Duke of York)
ทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่สองของพระเจ้าจอร์จที่ 5 (King George V)
ตั้งแต่เป็นเด็กทรงมีปัญหาในการพูดโดยเฉพาะ
ในที่สาธารณะจนเป็นปมด้อยแต่ก็ ไม่คิดว่าจะเป็นปัญหาใหญ่เพราะ
"ไม่ได้คิดว่าจะเป็นพระเจ้าแผ่นดิน
คิดว่าก็คงแอบซ่อนอยู่ในร่มเงาไหนสักแห่ง
พร้อมกับการติดอ่าง"


ปัญหา สำคัญเกิดขึ้นเมื่อพระราชบิดาทรงมอบให้พูดปิดงาน 1925
Empire Exhibition ครั้งนั้นคนฟังเอาใจช่วยกันเต็มที่
แต่ทว่าแต่ละคำที่ทรงออกเสียงมานั้นแสนยากอย่างน่าสมเพช
และจบลงด้วยความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง

พระชายา (ซึ่งต่อมาทรงเป็นที่รักใคร่ของชาวอังกฤษ
โดยเรียกกันว่า Queen Mum ทรงสิ้นพระชนม์ในปี 2002 ในวัย 101 ปี)
พยายามผลักดันช่วยให้หายจากการติดอ่าง
ไปหาหมอหลายคนจนมาพบ "หมอหลอก" ชาวออสเตรเลีย
ช่วยรักษาโดยเป็นผู้บำบัดและฝึกการพูด (speech therapist)

เจ้า ชายองค์หนึ่งมีปัญหาติดอ่างกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้น
เมื่อพี่ชายขึ้นครองราชย์ แทนพระราชบิดาในพระนามพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8
(King Edward VIII) ในปี 1936
และในปีเดียวกันก็ทรงยอมสละราชสมบัติเพื่อแต่งงาน
กับแม่หม้ายชาวอเมริกัน Wallis Simpson

Prince Albert น้องชายก็จำต้องเป็นพระเจ้าแผ่นดินแทน
ในนาม King George ที่ 6 อย่างไม่เต็มใจอย่างยิ่ง
เพราะทรงตระหนักดีถึงปัญหาด้านการพูดของตนเอง
และไม่ได้เตรียมตัวเลยในการ เป็นพระเจ้าแผ่นดิน
อีกทั้งสงครามกับเยอรมนีกำลังกลายเป็นความจริงขึ้นทุกที

การ ติดอ่างของพระองค์กลายเป็นปัญหาใหญ่มากเมื่ออังกฤษ
จำต้องประกาศสงครามกับ เยอรมนี ซึ่งต่อมาลุกลาม
เป็นสงครามโลกครั้งที่สอง การพูดปลุกขวัญให้กำลังใจ
ประชาชนของพระเจ้าแผ่นดิน
ตลอดจนสื่อสารให้โลกเข้าใจบทบาทของอังกฤษ
เป็นเรื่องคอขาดบาดตายในยุคที่วิทยุ
เริ่มเป็นตัวกลางสำคัญในการสื่อสาร

จุด ไคลแมกซ์ของเรื่องคือการพูดสดครั้งสำคัญ (The King′s Speech)
ทางวิทยุหลังจากที่นายกรัฐมนตรีอังกฤษได้ประกาศสงครามกับเยอรมนีไปแล้ว
ในวันนั้นพระองค์ยังทรงขาดความมั่นใจใน
การพูดอย่างไร้ร่องรอยของคนติดอ่าง
แต่ด้วยความช่วยเหลือของ "หมอหลอก"
ที่ยืนสนับสนุนและโค้ชอยู่ตลอดการพูดสดทางวิทยุ
"The Speech ของ King" ก็เป็นไปด้วยดี
ทุกคนชื่นชมและประชาชนเกิดกำลังใจในการต่อสู้สงคราม

ภาพยนตร์ The King′s Speech ชนะใจคนดูท่วมท้น
ก็เพราะแสดงให้เห็นถึงการต่อสู้กับความด้อยของตนเองอย่างกล้าหาญ
เพื่อให้สามารถทำหน้าที่ของตนเอง
การต่อสู้เช่นนี้ทุกคนต้องเผชิญ
ถึงแม้จะเป็นถึงพระเจ้าแผ่นดินของจักรภพอังกฤษ
อาณาจักรที่พระอาทิตย์ไม่เคยตกดินก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

ภาพยนตร์ เรื่องนี้สร้างขึ้นจากเค้าโครงเรื่องจริง
ซึ่งเขียนโดยหลานของ "หมอหลอก"
บางตอนอาจจะเว่อร์ไปบ้างในเรื่องการพูดคำหยาบของ
Prince Albert และ King George ที่ 6
(แต่ดูจะสะใจคนดูที่เอาใจช่วยตอนฝึกเอาชนะการติดอ่าง)
และการปรากฏตัวของ Sir Winston Churchill
ในบางตอนของภาพยนตร์ซึ่งผู้วิจารณ์ระบุว่าไม่ถูกต้องทางประวัติศาสตร์

หากพระองค์ไม่พยายามต่อสู้ภาวะติดอ่างอัน
เนื่องมาจากปัญหาการเติบโต
ส่วนใหญ่ภายใต้การดูแลของพี่เลี้ยงที่มีปัญหาทางจิต
การถนัดซ้ายแต่ถูกบังคับให้ใช้มือขวา
ความไม่เข้าใจปัญหาติดอ่างของตนโดยพ่อ
ความกลัวและความหวาดหวั่นการล้มเหลว ฯลฯ
รูปโฉมสงครามโลกครั้งที่สองก็อาจเปลี่ยนแปลงไปได้
ประชาชนหลายร้อยล้านคนจะมี
ชะตาชีวิตที่ผิดไปจากปัจจุบันอย่างแน่นอน

"เสน่ห์" ของทั้ง King และ Queen
สร้างความประทับใจให้ประธานาธิบดีรูสเวลท์ และภรรยา
เมื่อครั้งเสด็จประพาสสหรัฐอเมริกาในปี 1933
จนมีส่วนในการสร้างความเป็นพันธมิตรสงครามอย่างเหนียวแน่น
ทั้งสองพระองค์ประทับอยู่ใน Buckingham palace
ในลอนดอนตลอดสงคราม
ถึงแม้ลอนดอนจะถูกเยอรมันบอมบ์จนคนตายนับพันๆ คนก็ตาม
ครั้งหนึ่งระเบิด 2 ลูกตกลงไปสนามหญ้าของพระราชวัง
ในขณะที่ทรงประทับอยู่ก็ไม่ทรงสะทกสะท้าน
อีกทั้งยอมรับการแบ่งปันอาหาร
เช่นเดียวกับคนอังกฤษอื่นๆ ด้วยอย่างเต็มใจ

King George ที่ 6 ทรงเห็นการล่มสลายของจักรภพอังกฤษ
(ไอร์แลนด์เป็นสาธารณรัฐ อินเดียประกาศเอกราช ฯลฯ)
ทั้งในด้านอำนาจทหารและเศรษฐกิจ
แต่ตลอดสงครามทั้งสองพระองค์ได้ทรงทำหน้าที่
ให้กำลังใจทหารทุกหนแห่งใน อังกฤษอย่างกล้าหาญ

ใครที่เกิดมาและประสบกับสุขภาวะที่เป็นปัญหาและ
ทุกคนที่ต้องเผชิญปัญหาร้อยแปดจะชื่นชมภาพยนตร์เรื่องนี้
ที่แสดงให้เห็นว่า การบากบั่นต่อสู้ปัญหาที่เกิดกับทุกคน
ในทุกระดับไม่เว้นแม้แต่พระเจ้าแผ่นดินคือคำตอบ

สำหรับผู้เขียนเองซึ่งเมื่อครั้งเป็นเด็กก็เคยติดอ่าง
และสามารถเอาชนะมาได้
รู้สึกประทับใจภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นพิเศษครับ