Custom Search

Jun 9, 2010

South Africa 2010

ข้อมูลจาก : วิกิพีเดีย

ฟุตบอลโลก 2010 เป็นการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งที่ 19
เป็นรายการแข่งขันฟุตบอลระดับนานาชาติที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
โดยจะทำการแข่งขันระหว่าง
วันที่ 11 มิถุนายน ถึงวันที่ 11 กรกฎาคม 2010
ณ ประเทศแอฟริกาใต้
ฟุตบอลโลก 2010 ได้ทำการคัดเลือกโดยเริ่มในเดือนสิงหาคม 2007
และมีทีมที่เข้าร่วมจำนวน 204 จาก 208
ทีมชาติสมาชิกฟีฟ่า โดยเป็นมหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่
รองจากการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน

โดยเป็นครั้งแรกของรายการที่เจ้าภาพเป็นชาติจากทวีปแอฟริกา
หลังจากที่แอฟริกาใต้เอาชนะโมร็อกโก และ อียิปต์
โดยอิตาลีมาเพื่อป้องกันแชมป์
โดยจับสลากรอบสุดท้ายในวันที่ 4 ธันวาคม 2009 ณ เคปทาวน์



Jun 7, 2010

ในหลวงร.๙ ทรงรับสั่งรมต.ถวายสัตย์ฯ


พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร.๙ พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นำ8รัฐมนตรีซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯแต่งตั้งใหม่เฝ้าฯ เพื่อถวายสัตย์ปฏิญาณ ณ ร.พ. ศิริราช
เมื่อ เวลา 18.00 น.วันที่ 7 มิ.ย.
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออก ณ ห้องประชุม ชั้น 14
อาคารเฉลิมพระเกียรติ ร.พ.ศิริราช
พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
นำรัฐมนตรีซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งใหม่ 8 คน
เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่


พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร.๙ ทรงมีพระราชดำรัส ความว่า 

"บัดนี้ท่านได้เข้ารับหน้าที่รัฐมนตรีด้วยสมบูรณ์แล้ว
โดยที่ท่านได้ปฏิญาณตนว่าจะทำหน้าที่
สำหรับงานของประเทศ บ้านเมืองต้องมีคนที่ช่วยกันทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์
และตั้งใจทำงานเพื่อส่วนรวมอย่างแท้จริง
รัฐมนตรีต้องทำตามที่ท่านได้ปฏิญาณตนว่าจะทำด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต
ต้องทำด้วยความเสียสละ เพื่อให้งานไปด้วยดีตามที่ตั้งใจจริงๆ
ประเทศชาติก็จะไปได้ดี จะต้องพยายามที่จะให้งานของชาติไปโดยดี
คือหมายความว่า แต่ละคนจะต้องทำงานด้วยความตั้งใจ
ซื่อสัตย์สุจริต และเสียสละ
หมายถึงว่าจะต้องทำงานด้วยความตั้งใจจริงๆ
ไม่ใช่แก่งแย่งกัน แต่ช่วยกันทำเพื่อให้บ้านเมืองก้าวหน้าไปจริงๆ

โดยทำงานเพื่อความ ตั้งใจที่จะทำเพื่อส่วนรวม อาจจะยากหน่อย
แต่ว่าจะต้องทำให้ได้ ถ้าทำได้นับว่าท่านได้ช่วยบ้านเมืองก้าวหน้า
ถ้าทำได้อย่างนี้ชาวบ้าน หมายถึงประชาชนจะอยู่ได้มีความสุข
ท่านเองก็จะมีความสุข ถ้าท่านทำด้วยความตั้งใจดี
ท่านได้ช่วยส่วนรวมอย่างแท้จริง ก็ขอให้ท่านได้ทำตามที่ปฏิญาณตนว่าจะทำ
แล้วขอให้ทำได้ตามที่ตั้งใจ ถ้าทำได้แล้วท่านได้ทำสิ่งที่สูงสุด
ขอให้ท่านตั้งใจทำงานเพื่อส่วนรวมได้สำเร็จ
ถ้ามีคนขัดขวางก็ไม่ต้องใส่ใจ
ท่านต้องเอาใจใส่แต่งานที่ดี ที่ท่านทำสำหรับส่วนรวม
ถ้าทำได้ก็นับว่าท่านได้ทำด้วยความเสียสละแท้ ด้วยความตั้งใจแท้"


หนังสือพิมพ์ข่าวสด
หน้า 1






"ดร.สาทิส"แนะคนไทยอย่าแบกความเครียด ใช้"ชีวจิต" ดูแลสุขภาพกาย-ใจ


ตุลยย์
มติชนออนไลน์
วันที่ 07 มิถุนายน พ.ศ. 2553



ชีวจิตคืออะไร "ชีว" ก็คือ "กาย" และ
จิต ก็คือ "ใจ" ชีวจิตจึงมีองค์ประกอบหลักๆ 2 ส่วน คือ
ฝ่ายกายกับฝ่ายใจ
แต่"ชีวจิต"ถือว่าทั้งร่างกายและจิตใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ร่างกายมีผลต่อจิตใจ จิตใจก็มีผลต่อร่างกาย..
นี่คือความหมายคำว่าชีวจิตของ
ดร.สาทิส อินทรกำแหง
ผู้ได้รับรางวัล"ชูเกียรติ อุทกะพันธุ์" ครั้งที่ 7

ดร.สาทิส เล่าว่าได้ทำนิตยสารชีวจิต
เป็นปีที่ 12 ย่างเข้าปีที่ 13 แล้ว
ที่ริเริ่มในการนำชีวจิตเข้ามา
เพราะคิดว่ามันจะช่วยคนได้ จึงนำเอาเรื่องชีวิต จิต
มารวมกับเรื่องของการแพทย์และสุขภาพ
วิถีชีวิต หลายอย่างเอามารวมกัน
มองว่าน่าจะเกิดประโยชน์
หลายคนที่มาลองปฏิบัติแล้วได้ผล ก็รู้สึกดีใจ
เลยคิดว่าถ้ามันเป็นของที่ดีที่ถูกต้องก็น่าจะอยู่ต่อไปได้
ขณะนี้ก็ยังคงทำงานต่อไป จะทำเท่าที่อยากทำ
เป็นห่วงแค่ว่าในระยะเวลาอีก 4-5 ปี
จะมีผู้สนับสนุนหรือไม่ ถ้ามีก็คงสบายใจ

"ผมคิดว่างานที่ทำมา
ถ้าอยู่ตัวแล้วก็คงไปได้ด้วยตัวของมันเอง
เพราะว่าผมให้ความรู้ ผู้ปฏิบัติถ้าทำได้ดีก็น่าจะทำได้ ชีวจิต
ในช่วงแรก ผมเป็นคนที่เอาเข้ามา
โดยนำการแพทย์ทางเลือกมาใช้
จนถึงอีกขั้นที่การแพทย์ทางเลือกเท่านั้น
ยังไม่พอ เราต้องช่วยให้ได้ในวงกว้าง
โรคหลายอย่างต้องช่วยได้
ไม่ใช่แค่อย่างใดอย่างหนึ่ง
ผมก็เลยทำเป็นการแพทย์ผสม
นำทุกอย่างมาผสมเพื่อให้คนไข้มีทางเลือกมากขึ้น"

ส่วนเรื่องการใช้ชีวิตในโลก
ที่มีมลภาวะทางสิ่งแวดล้อมเพิ่มสูงขึ้น
ดร.สาทิส บอกว่า ตัวต้นเหตุที่จะทำให้อาหารดีหรือไม่ดี
เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องของโลก เป็นเรื่องของชีวิตคนทั้งโลก
ถ้าจะแก้คนในโลกก็ต้องช่วยกัน
แต่หากเขาป่วย สุขภาพไม่ดีก็นำชีวจิตเข้าไปแก้
เพราะชีวจิตไม่ใช่เรื่องของสิ่งแวดล้อมโดยตรง
แต่ต้องอาศัยสิ่งแวดล้อมที่ดี ชีวจิตถึงจะไปดีได้

ทั้งนี้ เป้าหมายชีวจิตทั้งเรื่องสุขภาพ
การแพทย์ การเจ็บไข้นั้น
เป้าหมายที่สำคัญที่สุดคือภูมิชีวิต (Immune System)
ถ้าอยากเป็นชีวจิตก็ต้องเข้าใจหลักการก่อน
การทำความเข้าใจ
ถ้าไม่มีความรู้หรือพื้นฐานก็คงเป็นเรื่องที่ยาก
เราจึงต้องทำให้เป็นเรื่องง่าย
โดยที่ไม่ต้องไปคิดถึงเรื่องภูมิชีวิต
แต่ทำของง่ายๆ 5 อย่าง คือ
"หลักปัญจกิจ"
1.กินให้ถูก
2.นอนให้ถูก
3.พักผ่อนให้ถูก
4.ออกกำลังกายให้ถูก
5.ทำงานให้ถูก
แล้วเราก็นำสูตรเหล่านี้มาให้

"ชีวจิต เป็นเรื่องของตัวเอง
ค่อนข้างเป็นเรื่องทางวิชาการ
หากทำแบบนี้เป็นประโยชน์หรือเป็นโทษ
สิ่งที่ควรปฏิบัติในแนวทางการเริ่มต้น
คือทำตาม"หลักปัญจกิจ"ก่อน
แล้วหากเจ็บป่วยค่อยแก้ไป เช่น
ทานยาหรือการปฏิบัติตัว
แต่หากบอกทั่วๆ ไป
อย่างคุณปวดหลังให้กินอย่างนี้
แค่นั้นไม่พอ ต้องมาดูเป็นตัวคน
ต้องดูว่าต้นเหตุเป็นเพราะอะไร"

ดร.สาทิส ยังฝากข้อคิดถึงคนไทยที่กำลังเคร่งเครียด
จากผลกระทบทางการเมืองว่า
ถ้า เรื่องที่ยุ่งเหยิงอยู่ขณะนี้เป็นต้นเหตุ
คนก็เครียด ถ้าจะแก้ความเครียด
จริงๆ ต้องแก้ที่ต้นเหตุก่อน
ถ้าไม่มี เราก็ไม่เครียด
แต่ขณะเดียวกัน ถ้าต้นเหตุมันมี
แล้วเราไปแบกจนกระทั่งเครียด
และความเครียดเป็นตัวทำลายตัวเรา
อันนี้ต้องคิดแล้วว่าเราจะแก้ไขตัวเองอย่างไร
ถ้ามันมีแล้วเราแก้ไม่ได้ แต่เราต้องแบกมันไว้
ก็ต้องดูว่า เราจะแก้อย่างไรต้องคิดดูให้ดี
ถ้าจะถามว่าชีวจิตช่วยได้หรือไม่
ก็ช่วยได้ถ้ารู้วิธีแก้แล้วทำตามนั้น

***
ภูมิชีวิต แรกเริ่มเป็นที่รู้จักกันในรูปของ
ภูมิต้านทานหมายถึง
ระบบป้องกันทั้งหมดของร่างกาย โดยมีหน้าที่
1.ป้องกันไม่ให้สารหรือสิ่งมีชีวิตที่เป็นอันตราย
และอยู่นอกร่างกายเข้าไปใน ร่างกายได้
2.ทำลายหรือไล่สิ่งที่มีอันตรายต่อร่างกายให้หมดไป
แต่แท้ที่จริงแล้วต้องประกอบด้วย
ภูมิต้านทาน+ระบบต่างๆ+จิตใจและฮอร์โมน
จึงเท่ากับภูมิชีวิตที่สมบูรณ์ ถ้าเรียกตามภาษาชาวบ้านคือ
"พลังที่มีอยู่ในตัวตั้งแต่เราเริ่มเป็นตัวเป็นตนขึ้นมา"

ปกติแล้วเราจะป่วยหรือไม่ป่วย
ร่างกายแข็งแรง สุขภาพดี
ล้วนแล้วแต่ขึ้นอยู่กับภูมิชีวิต
หลักการที่ว่า "เราแข็งแรง สุขภาพดี
ล้วนแล้วแต่ขึ้นอยู่กับภูมิชีวิต ก็ขึ้นอยู่กับวิถีชีวิต"
ที่แต่ละคนมีวิถีชีวิตที่ต่างกัน
ดังนั้น คำแนะนำเรื่องการปฏิบัติตัวตามแนวทางชีวจิต
จึงเป็นคำแนะนำเพื่อการปรับปรุง วิถีชีวิต
ซึ่งหมายถึงปรับปรุงภูมิชีวิตให้เป็นไปตามธรรมชาติ
ทั้งการกินอาหาร ออกกำลังกาย
ผ่อนคลายความตึงเครียด ล้างพิษ
การมองโลกในทางสร้างสรรค์
การมีความรักต่อกัน และการใช้ชีวิตที่เรียบง่าย
สอดคล้องกับธรรมชาติ
เมื่อแต่ละคน "เข้าใจความเป็นตัวเอง"
จะสามารถนำหลักการและข้อปฏิบัติ
ไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับแต่ละคน

อาหารชีวจิต เป็นแนวทางการกินอาหารที่
ดร.สาทิส ศึกษาและปรับปรุงจาก
หลักการของแมคโครไบโอติกส์ให้เหมาะสม
กับวิถีชีวิตของคนไทย
โดยห้ามหรืองด เนื้อ สัตว์ย่อยยาก (เนื้อ หมู ไก่) ไข่และนม
แป้งขัดขาวและผลิตภัณฑ์จากน้ำตาลฟอกขาวทุกชนิด
ไขมันเลว (ไขมันอิ่มตัว) ได้แก่
ไขมันจากสัตว์ น้ำมันปาล์ม
และกะทิ

แนะนำให้กินอาหารให้สมดุล
1.อาหารประเภทแป้งไม่ขัดขาว 50 เปอร์เซ็นต์ หรือ
ครึ่งหนึ่งของอาหารแต่ละมื้อ เช่น
ข้าวซ้อมมือ ข้าวกล้อง
ถ้าเป็นข้าวโพดจะเป็นข้าวโพดทั้งเมล็ดหรือทั้งฝัก
ถ้าเป็นแป้งขนมปังจะเป็นโฮลวีต
หรือแป้งกลุ่มคอมเพล็กซ์คาร์โบไฮเดรต
(คือแป้งหลายชั้นที่มีโปรตีนปนอยู่)
ก็ควรเติมมันเทศ มันฝรั่ง เผือก หรือฟักทองลงไป
2.ผักหนึ่งในสี่หรือ 25 เปอร์เซ็นต์
ใช้ผักดิบและผักปรุงสุกอย่างละครึ่ง
ถ้าปลูกเองไม่ใช้สารเคมีจะดีที่สุด
หรือเลือกผักปลอดสารพิษล้างผ่านน้ำและ
แช่น้ำด่างทับทิมหรือน้ำส้มสายชูเจือจางสัก 1-2 ชั่วโมง

3.ถั่วต่างๆ อยู่ในประเภทโปรตีน 15 เปอร์เซ็นต์ เช่น
ถั่วเขียว ถั่วแดง ถั่วเหลือง และผลิตภัณฑ์จากถั่ว เช่น
เต้าหู้ โปรตีนเกษตร หรือใช้โปรตีนจากสัตว์ คือ
ไข่ ปลา และอาหารทะเล สัปดาห์ละ 1-2 มื้อ
4.เบ็ดเตล็ด 10 เปอร์เซ็นต์ ประเภทแกง เช่น
แกงจืด แกงเลียง ประเภทซุป เช่น ซุปมิโซะ
ประเภทของขบเคี้ยว เช่น งาสดและ
งาคั่ว (ใช้ปรุงอาหารต่างๆ)
ถั่วคั่ว เมล็ดฟักทอง เมล็ดแตงโม
เมล็ดทานตะวัน ผลไม้สด ต้องเป็นผลไม้ไม่หวานจัด เช่น
ฝรั่ง สับปะรด มะละกอ มะม่วงดิบ หรือพุทรา

นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น
ยังมีการดีท็อกซ์ ออกกำลังกายแบบรำกระบอง
การผ่อนคลายการและใจ รวมทั้งการดื่มน้ำเพื่อสุขภาพ เช่น
น้ำอาร์ซี เรื่องต่างๆ เหล่านี้สามารถเรียนรู้ได้
แต่ต้องหมั่นทำเป็นประจำเพื่อให้ร่างกายและจิตใจสมดุลกัน
ตามแนวทางของ"ชีวจิต"


















Jun 5, 2010

อดีตนายกฯจีน "หลี่เผิง" เปิดบันทึกลับกรณี "เทียนอันเหมิน" หลังเหตุการณ์ผ่านไป 21 ปี

มติชนออนไลน์
วันที่ 05 มิถุนายน พ.ศ. 2553
บีบีซีรายงานว่า สำนักพิมพ์ในฮ่องกงได้เตรียมจัดพิมพ์
บันทึกของนาย "หลี่เผิง" อดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศจีน
ผู้ถูกกล่าวประณามว่าเป็นตัวการสำคัญ
ในเหตุการณ์สังหารหมู่ที่จัตุรัสเทียน อันเหมิน เมื่อปี พ.ศ.2532
ออกเผยแพร่ หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวผ่านพ้นไปเป็นเวลา 21 ปี
หนังสือเล่มนี้จะมีชื่อว่า "อนุทินวันที่ 4 มิถุนายน ของหลี่เผิง"
และจะมีเนื้อหาที่ให้รายละเอียดเกี่ยวกับเหตุการณ์ก่อนและหลังการปราบปราม
ผู้ใช้แรงงาน รวมทั้งนักศึกษาที่มาชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตย
บริเวณจัตุรัสเทียนอันเหมินเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ.2532
ในบันทึกของอดีตนายกฯหลี่เผิง จะมีข้อมูลเชิงรายละเอียดสำคัญ ๆ
ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในหลักฐานอย่างเป็นทางการของรัฐบาลจีน เช่น
ทำไมการตัดสินใจปราบปรามผู้ชุมจึงเกิดขึ้น?
คำสั่งปราบปรามถูกสั่งการไปอย่างไรบ้าง?
ทำไมผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนจึงมีฉันทามติในการตัดสินใจดังกล่าว?
และมีกองกำลังทหารกี่หน่วยที่เกี่ยวข้องกับการปราบปรามครั้งนั้น
แต่ละหน่วยมีหน้าที่อะไรบ้าง?
ในเหตุการณ์สังหารหมู่ที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน
นายหลี่เผิงได้เป็นผู้ประกาศกฎอัยการศึกในกรุงปักกิ่ง
ก่อนที่กำลังทหารจะเคลื่อนพลเข้ามาสลายการชุมนุมประท้วง ในบันทึกเล่มนี้
อดีตนายกฯจีนได้เปิดเผยความรู้สึกในครั้งนั้นว่า
เขาต้องการสละชีพเพื่อหยุดยั้งการประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยดังกล่าว
"ผมพร้อมจะสละชีวิตของตนเองและครอบครัว
เพื่อปกป้องไม่ให้จีนต้องเดินทางไปสู่โศกนาฏกรรม เช่น
ที่เคยเกิดขึ้นในยุคปฏิวัติวัฒนธรรม" หลี่เผิงระบุ
ทั้งนี้ เป็นที่ทราบกันว่านายหลี่เผิง มีความเห็นไม่สอดคล้องลงรอยกันกับ
นาย "จ้าวจื่อหยาง" อดีตนายกรัฐมนตรีและเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน
เนื่องจากทั้งสองคนมีมุมมองในเรื่องการพัฒนาประเทศจีนแตกต่างกัน
นายจ้าวจื่อหยางถูกปลดออกจากตำแหน่ง
ในช่วงเหตุการณ์ชุมนุมประท้วงเมื่อปี พ.ศ.2532
และถูกควบคุมตัวในบ้านพัก จนกระทั่งเสียชีวิตเมื่อปี พ.ศ.2548
ไม่นานมานี้ เพิ่งมีผู้ตีพิมพ์บันทึกลับเกี่ยวกับ
เหตุการณ์ที่จัตุรัสเทียนอันเหมินของเขาออกเผยแพร่เช่นกัน
ขณะที่นายหลี่เผิง ก็มีสถานะเป็น
ผู้นำที่ไม่เคยได้รับความนิยมจากประชาชนชาวจีน
ปัจจุบันเขามีอายุ 81 ปี และมีผู้คาดการณ์กันว่า
อดีตนายกรัฐมนตรีผู้นี้กำลังมีอาการป่วย

Jun 3, 2010

คุณทราบไหมว่า...?


เริ่มต้นปี 2010 นี้ ขอหยิบข้อมูลที่น่าสนใจมาเล่าสู่กันฟังนะครับ
เป็น clip video ใน youtube ซึ่งเป็นงานศึกษาของ
Karl Fisch and Scott McLeod นักวิชาการของอเมริกา clip นี้ชื่อว่า
“Shift happens” (ก้าวกระโดดได้เกิดขึ้น) หรือ Did you know? (คุณทราบไหม?)
เป็นข้อมูลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทางด้านเทคโนโลยีของโลกเรา
คลิปนี้เป็นที่สนใจของผู้นำระดับสูง นักการเมือง
ผู้บริหารในองค์กรต่างๆ ลองมาดูเนื้อหาที่น่าสนใจในค
ลิปนี้กันครับ...

งานที่เป็นที่ต้องการ 10 อันดับแรกในปี 2010...

...ยังไม่เกิดขึ้นในปี 2004

...

1 ใน 4 ของพนักงานอยู่กับนายจ้างน้อยกว่า 1 ปี

1 ใน 2 อยู่น้อยกว่า 5 ปี

1 ใน 8 คู่แต่งงานในอเมริกา พบกันในอินเตอร์เน็ต

มีผู้ลงทะเบียนกว่า 200 ล้านคนใน MySpace

ถ้า MySpace เป็นประเทศหนึ่ง จะใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก



มีการค้นหาใน google 31 พันล้านครั้ง ทุกเดือน

ในปี 2006 ตัวเลขนี้คือ 2.7 พันล้าน

ระยะเวลาที่ใช้ในการเข้าถึงกลุ่มตลาดผู้รับสื่อจำนวน 50 ล้านคน:
วิทยุ 38 ปี, โท
รทัศน์ 13 ปี, อินเตอร์เนต 14 ปี, ipod 3 ปี, facebook 2 ปี

...

จำนวนของอุปกรณ์เกี่ยวกับอินเตอร์เนตในปี 1984 คือ 1000

จำนวนของอุปกรณ์เกี่ยวกับอินเตอร์เนตในปี 1992 คือ 1,000,000

จำนวนของอุปกรณ์เกี่ยวกับอินเตอร์เนตในปี 2008 คือ 1,000,000,000

...

ปัจจุบัน มีคำศัพท์ประมาณ 540,000 คำในภาษาอังกฤษ..

..ประมาณ 5 เท่าของที่เคยมีในสมัยเชคสเปียร์

มีการประมาณว่า ข้อมูลในหนึ่งสัปดาห์ของหนังสือพิมพ์ New York Times
มากกว่า ข้อมูลที่ คนคนหนึ่งในศตวรรษที่ 18 พบเจอตลอดชีวิต


....

ข้อมูลเชิงเทคนิคเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าทุกๆ 2 ปี

สำหรับนักศึกษาที่ใช้เวลา 4 ปีในวุฒิด้านนี้ หมายความว่า..

ครึ่งหนึ่งของที่พวกเขาเรียนในปีหนึ่งจะล้าสมัยในปีสาม

.....

ในปี 2013 ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์จะถูกพัฒนาจนเหนือกว่าสมองมนุษย์

มีการทำนายว่า ในปี 2049 คอมพิวเตอร์ราคา $1000
จะมีความสามารถในการคำนวณเหนือกว่ามนุษย์ทั้งเผ่าพันธุ์


....

ในเวลาที่คุณดูคลิปวิดีโอนี้(ประมาณ 5 นาที) มีทารกเกิดใหม่ 67 คนในสหรัฐ,
274 คนในจีน, 395 คนในอินเดีย
และมีเพลง 694,000 เพลงที่ถูกดาวน์โหลดอย่างผิดกฎหมาย




ทั้งหมดนี้แปลว่าอะไร?

---------

ถ้าสนใจก็เข้าไปดูคลิปนี้เต็มๆได้ที่นี่ครับ

http://www.youtube.com/watch?v=cL9Wu2kWwSY

ดู แล้วก็น่าคิดอยู่เหมือนกันนะครับว่า อะไรจะเกิดขึ้นในอีก 10-20 ปีนี้
โลกเรากำลังอยู่ในยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน
และเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นแล้ว คำกล่าวที่ว่า
“อย่าหยุดที่จะเรียนรู้” ก็ยิ่งมีความหมายมากขึ้นไปอีก
ในยุคนี้ ถ้าหยุดเมื่อไหร่ก็หมายถึงเดินถอยหลังไปหลายก้าวเลยล่ะครับ


ดร.อภิชาติ ชยานุภัทร์กุล







ผู้จัดการฝ่ายผลิต บจก. พี แอนด์ เอส สเตนเลส
สตีล เซ็นเตอร์
ตีพิมพ์ในวารสารเพื่อนสเตนเลส ปีที่ 4 ฉบับที่ 46/ มกราคม 2553





Jun 2, 2010

กรรมเหนือหมอดู

วัดทองนพคุณ

คอลัมน์ รื่นร่มรมเยศ
เสฐียรพงษ์ วรรณปก


ผมเป็นศิษย์โหร แต่มิได้เป็นโหร
หลวงพ่อเจ้า
คุณพระภัทรมุนีหรือมหาอิ๋น
เจ้าอาวาสวัดทองนพคุณ ธนบุรี (สมัยนั้น)
เป็นโหราจารย์ชั้นยอด
สมัยนั้นมีโหราจารย์ที่ดังอยู่เพียงสองท่านเท่านั้น คือ
สมเด็จพระพุฒาจารย์ (อยู่ ญาโณทยมหาเถระ)
ซึ่งต่อมาเป็นสมเด็จพระสังฆราช
อีกรูปหนึ่งคือพระภัทรมุนี

แต่โหรสมัยก่อนเขามิได้ทายส่งเดช
อย่างห
ลวงพ่อเจ้าคุณพระภัทรมุนี
ท่านเป็นที่ปรึกษาทางจิตใจให้แก่ศิษย์มากกว่าเป็นหมอดู
เรื่องประเภทไหนควรทายไม่ควรทายท่านมี "จรรยาบรรณ"


บางทีกว่าจะทายได้สักราย
ท่านคำนวณแล้วคำนวณอีกถึงสองสามวันก็มี
ไม่แน่ใจท่านก็ไม่ทาย
มีเรื่องเล่าว่า หนุ่ม
สาวคู่หนึ่งจูงมือมาให้
หลวงพ่อกำหนดวันแต่งงานให้ท่านดูๆแล้ว
บอกว่าท่านไม่สามารถให้ฤกษ์ได้ ขอให้ไปหาสมเด็จฯวัดสระเกศ
สองคนก็ไปหาสมเด็จฯ และก็ได้ฤกษ์ไป มีผู้ถามสมเด็จฯภายหลังว่า

ทำไมเจ้าคุณอิ๋นไม่ให้ฤกษ์ สมเด็จฯบอกว่า

"เจ้าคุณท่านดูแล้วสองคนนี้จะอยู่ด้วยกันไม่ตลอด
แต่อาตมาถือว่าเขาเป็นคู่กันต้องได้แต่งงานกัน
ส่วนต่อไปนั้นจะเป็นอย่างไรเป็นอีกเรื่องหนึ่ง จึงให้ฤกษ์แต่งไป"

ถูกทั้งสองรูป รูปหนึ่งมองว่าถ้าจะแต่งงานกันก็ควรไปได้ตลอด
อีกรูปหนึ่งมองว่า ดวงมันเป็นคู่กันก็ต้องได้แต่งงานกัน
ส่วนจากนั้นไป จะอยู่ด้วยกันยืดหรือไม่
เป็นเรื่องของทั้งสองคน แล้วแต่จะม
อง

เมื่อผมสอบเปรียญเก้าประโยคได้แล้ว
หลวงพ่อพยายามชักจูงให้ผมเรียนโหราศาสตร์
ผมก็ยืนยันว่า ไม่อยากเป็น "หมอดู"
หลวงพ่อบอกว่า
โหร มิใช่หมอดู เราศึกษาโหราศาสตร์ให้เชี่ยวชาญ
เพื่อนำไปใช้ในการแก้ปัญหาชีวิต
ไม่จำเป็นต้องพยากรณ์ใคร คล้ายจะบอกว่า
โหราศาสตร์ กับพยากรณ์ศาสตร์แยกกันได้

แต่ผมก็เห็นโหรส่วนมากท่านก็พยากรณ์ทั้งนั้น

ผมแย้งว่าพระพุทธเจ้าท่านตำหนิเป็น "ติรัจฉานวิชชา" มิใช่หรือ
ท่านตอบว่า ถ้าเอาคำจำกัดความว่า ติรัจฉานวิชชาคือ
วิชชาที่ขวางต่อการบรรลุมรรคผลนิพพาน

เณรเรียนนักธรรมบาลี ก็เข้าเกณฑ์นี้ทั้งนั้น
ผมจำนนท่าน แต่ผมก็ไม่ยอมเรียนอยู่ดี
ไม่งั้นป่านนี้เป็นหมอดูแม่นๆ ไปแล้ว
หลวงพ่อเล่าว่า
ปราชญ์โบราณท่านเรียนโหราศาสตร์ทั้งนั้น
สมเด็จพระจอมเกล้าฯรัชการที่สี่
สมเด็จมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เป็นต้น
ก็ทรงเชี่ยวชาญโหราศาสตร์ทั้งนั้น

แต่ก็ไม่เห็นท่านใช้โหราศาสตร์พยากรณ์ใครเป็นอาชีพ
แล้วท่านก็เล่าเรื่องที่ต่างๆ ให้ผมฟังแล้ว
ก็ตื่นเต้นด้วยความดีใจ
ที่ได้รับรู้เรื่องราวเก่าๆ ชนิดจะไปหาอ่านที่ไหนไม่ได้

ก่อนทรงศึกษาโหราศาสตร์นั้น พระวิชรญาณ
(สมเด็จพระจอมเกล้าฯรัชการที่สี่)
ทรงได้รับพยากรณ์จากหลวงตาเฒ่ารูปหนึ่งดูเหมือนชื่อ
ทอง แห่งวัดตะเคียนว่า จะได้ราชสมบัติแน่นอน
รับสั่งว่าให้เป็นจริงเถอะ จะสมนาคุณอย่างงามเลย
แล้วในที่สุดก็ทรงได้ขึ้นครองราชย์จริงๆ
ทรงรำลึกถึงหลวงตาเฒ่าวัดตะเคียนขึ้
นมา
ตั้งพระทัยจะไปนมัสการ ก็ทรงทราบว่า
หลวงตาเฒ่ามรณภาพไปนานแล้ว
จึงทรงปฏิสังขรณ์เป็นการบูชาคุณหลวงตาเฒ่า
แล้วพระราชทานนามวัดใหม่ว่า

วัดมหาพฤฒาราม (แปลว่า วัดที่สร้างถวายพระผู้เฒ่า)

วัดมหาพฤฒาราม


เมื่อทรงเชี่ยวชาญในโหราศาสตร์แล้ว

ก็มิได้ทรงใช้วิชาโหราศาสตร์ทำนายทายทักอะไร
นอกจากทรงวิพากษ์วิจารณ์ดวงพระชาตาของพระราชโอรสบางองค์
ดังทรงวิจารณ์ดวงพระชาตากรมหมื่นพิชิตปรีชากร
ที่โหรทั้งหลายว่าเป็นดวงแตก เอาดีไม่ได้

ว่าถ้าถอดดวงให้ละเอียดแล้ว
กลับเป็นดวงดีอย่างยิ่งเป็นต้น
และทรงสามารถใช้โหราศาสตร์แก่เคล็ดได้อีกด้วย
ดังทรงเห็นว่าดวงพระชาตาพระอนุชาธิราชแข็งมาก
จะได้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน

เมื่อถูกอัญเชิญลาสิกขาเพื่อไปครองราชย์
พระองค์จึงทรงสถาปนาพระอนุชาธิราช
ให้เป็นกษัตริย์พระองค์หนึ่งพระนามว่า
พระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว
ว่ากันว่าทรงแก้เคล็ดทางโหราศาสตร์












Jun 1, 2010

เปิดหัวใจโสดสนิท?! "เสธ.ไก่อู" ผู้พันยอดรัก



คุณภาพ ล้วน-ล้วน โฆษก คมช. พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด

สกุณา ประยูรศุข
มติชน
วันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550






"ไก่อู" เป็นชื่อเล่นของชายวัย 44 ผู้นี้
ที่ปัจจุบันคุ้นหน้าคุ้นตากันทางจอแก้ว
เพราะทำหน้าที่ "โฆษก" คมช.-คณะมนตรีความมั่นคงแห่
งชาติ
ขณะเดียว กันมีหมวกอีกใบเป็น
รองผู้อำนวยการกองปฏิบัติการจิตวิทยา กรมกิจการพลเรือนทหารบก

ครอบครัวพื้นเพอยู่ที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์
พ่อเป็นตำรวจ แม่เป็นครู แต่ต้องแยกย้ายจากกัน
เพราะฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัวไม่เอื้ออำนวย
"ไก่อู" ในฐานะลูกคนกลาง ถูกยกให้
"ป้าและย่า" ไปเลี้ยงที่เพชรบุรี

ส่วนพี่ชาย-ไก่โรส และน้องชาย-ไก่งวง
พ่อและแม่พาโยกย้ายมาอยู่ด้วยกันที่ จ.นนทบุรี


วัยเด็กเรียนหนังสือตามปกติที่โรงเรียนอรุณประดิษฐ เพชรบุรี
จนถึง ม.ศ.1 จึงย้ายมาอยู่กับครอบครัว
เข้าเรียนต่อ ม.ศ.2-3 ที่โรงเรียนวัดบางขวาง จ.นนทบุรี


สอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารได้ เป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่
23
ถือเป็นรุ่นสุดท้ายที่เรียนในโรงเรียนนายร้อย ถนนราชดำเนิน

ก่อนจะเข้าร่วมขบวนเดินตามสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
ไปเข้าที่ตั้งแห่งใหม่ ที่เขาชะโงก จ.นครนายก


ด้วยภารกิจการเป็น "โฆษก คมช." เรื่องร้อนๆ ของ พ.อ
.สรรเสริญ
ได้กลายเป็นหัวข้อดุเด็ดเผ็ดมันในเว็บต่างๆ เวลานี้

ซึ่งเจ้าตัวบอกว่าเป็นเรื่องที่ "ทุกข์ใจมาก"

"เขาว่าผมได้ดีเพราะ เป็นเด็กถือกระเป๋า

เกิดมาผมไม่เคยถือกระเป๋าให้ใคร..."

จริง-เท็จ เป็นเช่นไร?

หาคำตอบได้จากเรื่องราวส่วนหนึ่งของชีวิต ที่บันทึกไว้--

- มาเป็นทหารเพราะอะไร?

ตอนเรียนจบ ม.ศ.3 แม่ไม่มีเงินให้ไปเรียนกวดวิชาไปสอบเข้าเตรียมอุดม
เพื่อจะเอ็นทรานซ์ เลยไปซื้อหนังสือที่สนามหลวงมาอ่าน
สมัยก่อนมีหนังสือเก่าขายที่สนามหลวง
เป็นวิชาเคล็ดลับภาษาอังกฤษ ของอาจารย์ธง ลีพึ่งธรรม
เสร็จแล้วไปลองสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร โชคดีสอบได้

แม่ก็บอกว่าเรียนเป็นทหารดีแล้วลูก เพราะว่าหลวงออกเงินให้
เราเองไม่มีสตางค์มากถึงขนาดไปเรียนไอ้โน่นไอ้นี
และไม่มั่นใจด้วยว่าเมื่อจบ ม.ศ.5
แล้วจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้หรือเปล่า


- วันแรกไปเรียนโดนหนัก?


วันแรกของโรงเรียนเตรียมทหารเขามีระบบการ ซ่อมขอ
งเขา
แต่ถือว่าธรรมดา เพราะว่าถ้าเด็กที่มีชีวิตไม่ได้สบายนัก
เข้าไปก็รับสภาพได้ทุกคน
วันแรกผมโดนทั้งพุ่งหลัง ม้วนหน้า งอเข่าขึ้นนั่งวิดพื้น


- นึกว่าเป็นแบบโหดๆ อย่างในหนังเรียกลุกมาวิ่งกลางดึก สาดน้ำ?
อย่าง นี้มีอยู่แล้ว แต่ว่าโดยส่วนใหญ่โรงเรียนเขาพยายามไม่อยากให้พูดถึง
เรื่องที่มันดูเป็น เรื่องนอกรีต เช่น ปลุกมากลางดึก
ให้ลงไปแล้วปั่นให้อ้วก-อ้วกมาก็เอามาสระผมต่อ

เราก็ไม่อยากทำ แต่ว่าตอนเราเป็นนักเรียน
แรกๆ เราอาจจะเข้าใจน้อย ว่าทำไมต้องทำอย่างนั้น

แต่พอเป็นนักเรียนชั้นสูงๆ เริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไม

- แล้วทำไมต้องทำอย่างนั้น?


อันนี้ ไม่ใช่เกิดขึ้นโดยการแกล้ง ไม่ใช่เพราะสนุก

แต่เขาอยากให้นักเรียนได้รับความกดดันทั้งทางร่างกายและจิตใจ
เพื่อให้สามารถคุ้นเคยกับสิ่งทั้งหลายเหล่านี้

อารมณ์ของความผิดหวัง ความเหนื่อย ความหิว ความง่วง
แล้วยังสามารถทำงานได้ ปฏิบัติภารกิจตามที่ได้รับมอบหมายไ
ด้
ให้ทุกคนต้องพบกับความผิดหวัง


- ช่วงที่ยังเรียนอยู่เคยเห็นเขาปฏิวัติกัน?

ครับ ระหว่างที่เรียนก็มีเหตุการณ์เกิดขึ้น
รู้สึกจะเป็น "กบฏ 9 กันยา"ที่มีการยิงเสาอากาศขอ
ง พล.1
มีรุ่นพี่เขาเป็นผู้บังคับกองร้อยที่ ม.พัน 4 ชื่อรักเกียรติ พันธ์
าติ
เขาอยู่ในเหตุการณ์ด้วยมาเล่าให้ฟัง

- พวกที่ทำปฏิวัติปฏิรูปต้องทำตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาอย่างเดียว?

ถ้า รุ่นเก่าๆ คงจะเป็นอย่างนั้น แต่รุ่นใหม่ปัจจุบันเท่าที่รับราชการมา
เหตุผลเป็นเรื่องสำคัญมากขึ้น การจะตกลงใจทำอะไรสักอย่าง
ไม่ได้หมายความว่าทหารจะต้องปฏิบัติตามที่
ผู้บังคับบัญชามอบหมายให้อย่างเดียว ความจริงมัน
มีกฎหมาย
มีระเบียบแล้วว่าอะไรก็แล้วแต่ ที่เราได้รู้ว่ามันเป็นเรื่อ
งที่ขัดต่อกฎหมาย
ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เราสามารถปฏิเสธไม่ปฏิบัติได้

และสามารถร้องไปยังผู้บังคับบัญชาในระดับสูงเหนือ 1 ขั้นขึ้นไป
ให้รับทราบโดยเร็วที่สุด อันนี้คือระเบียบหลักเกณฑ์ที่เข
ามีไว้

- ก่อนหน้านี้เคยคิดไหมว่าตัวเองสักวันต้องเข้าร่วมเหตุการณ์แบบนี้

ไม่ ได้คิดเลย แต่ตอนหลัง-หลังจากจบมาแล้ว
มาอยู่กองพันทหารม้าที่ 3 รักษาพระองค์

เป็นหน่วยทหารม้ายานเกราะ ได้อยู่ในเหตุการณ์หลายครั้ง
ที่ทหารนำกำลังออกไป รวมทั้งเหตุการณ์เมื่อปี 2535 ด้วย
ตอนนั้นผมเป็นผู้บังคับกองร้อย

เขาสั่งนำกำลังพลออกไปตามภารกิจ
คือเรื่องของการรักษาความปลอดภัย
อยู่บริเวณถนนราชดำเนิน


ในระหว่าง ทางที่ออกมาเห็นได้ชัดว่าชาวบ้านที่
เขายืนดูรถเราที่วิ่งผ่านไป อาจจะไม่ได้ยินเสียงเขา

เพราะเครื่องยนต์มันดัง
แต่เราอ่านปากเขาได้ รู้ว่ามันเป็นคำด่า (หัวเราะ) ก็.
.ไม่เป็นไร
เพราะเราคิดว่าเราไม่ ได้ไปฆ่าใคร

- มีช่วงเวลาที่ตัดสินใจลำบาก?

ตอนเป็นผู้ บังคับกองร้อยไม่เท่าไหร่

เพราะอยู่ใต้บังคับบัญชาของผู้บังคับกองพันอีกที
มาลำบากใจช่วงเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ
เขาให้กางลวดหนามหีบเพลง
เพื่อป้องกันไม่ให้กลุ่มผู้ชุมนุมขยายตัวมาทางพื้นที่ลานพระบรมรูปทรงม้า
พอได้รับคำสั่งผมก็พาลูกน้องมากั้น
พอกั้นเสร็จมีกลุ่มบุคคลที่เรามองว่าเหมือน

เป็นกลุ่มบุคคลที่จัดตั้งขึ้นมา
มาพูดแหย่ แซวทำนองเอาเสียงเฮ...
เพราะคนที่ตามมามีเยอะ พอพูดก็เฮ...ปรบมือ


เสร็จ แล้วมีรถมอเตอร์ไซค์มาป่วน

เราไม่ได้ว่าอะไรเพราะถือว่ากำลังพลอยู่ในความควบคุมของเรา
ทุกคนมีอาวุธมาก็จริง แต่ไม่มีกระสุน
มีมาเพื่อเป็นเครื่องประกอบให้เกิดความเกรงขาม
เป็นการป้องปรามเท่านั้น

และบอกทุกคนว่าให้ปฏิบัติตามคำสั่งเท่านั้น
ให้ทำใจให้สบายและให้ยืนห่างจากรั้วลวดหนาม


สักพักมีรถตู้คันหนึ่ง วิ่งมาแล้วเอาลวดหนามหีบเพลงที่เรากา
งไป
เกี่ยวกับกันชนด้านหน้าของรถ
จากนั้นเขาขับถอยหลังไปทางกลุ่มที่มาเชียร์ ไปไกล..ลล..พอ
สมควร
แล้วเขาเอาเท้าปลดลวดหนามหีบเพลง
ทีนี้มันก็กระเด้งฉิว..วว...มาโดนทหารที่ยืนเข้าแถวอยู่
หน้าแหกเป็นรอย เพราะลวดหนามหีบเพลงจะมีตัวสังกะสีห้อยติดอยู่
เลยคุยกับรุ่นพี่เขาเป็นพันตรี

บอกอย่างนี้ผมเอากำลังขึ้นรถกลับพื้นที่ดีกว่า
ตอนนั้นที่ตั้งเราอยู่ด้านหลังทำเนียบรัฐบาล
ตัดสินใจกลับเลย แล้วไปรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ
ว่าถ้าอยู่อย่างนั้น มีเหตุการณ์แล้วเราทำอะไรไม่ได้

นอกจากการยืน มันไม่เกิดประโยชน์
ทำให้ทหารขาดศรัทธาในผู้บังคับบัญชา

ขาดศรัทธาในคนที่มาเคลื่อนไหว
จะเกิดความเป็นปฏิปักษ์กันเปล่าๆ
ให้มายืนอยู่เฉยๆ อย่างนี้อย่ามาดีกว่า

- แล้วทำไมเขาเลือกมาเป็นโฆษก

ช่วงขึ้นเป็นรองผู้อำนวยการกองปฏิบัติ การจิตวิทยา

ของกรมกิจการพลเรือนทหารบก พอปฏิบัติหน้าที่ได้พักใหญ่
ผู้บังคับบัญชา คือ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน
มอบหมายภารกิจให้ลงไปปฏิบัติงานที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
ไปเดือนกว่าๆ
เสร็จแล้วกลับขึ้นมาไม่นาน มีเหตุการณ์ปฏิรูปการปกคร
อง
ผมได้ไปช่วยงานการวิเคราะห์ข้อมูลข่าวสารของ คปค
.
อยู่มาวันหนึ่ง คปค.แปรไปเป็น คมช.
เจ้ากรมตามผมให้ไปพบ พล.อ.สมเจตน์ บุญถน
อม
ท่านก็พาไปพบ พล.อ.สนธิ อีกที
เพื่อให้ปฏิบัติหน้าที่โฆษก คมช.


- เขาเห็นแววอะไร?

เข้าใจว่าเวลาที่กองทัพบกมีงานกิจกรรมต่างๆ

ผมมักจะได้รับมอบหมายให้เป็นพิธีกรในงาน
จริงๆ ผมไม่ถนัดเรื่องพูด ถนัดร้องเพลงมากที่สุด
ชอบสนุกสนานมากกว่า คนที่ชอบมาก ศรคีรี ศรีประจว


- แสดงว่าที่บ้านมีคาราโอเกะ

ครับ (หัวเราะ) หลังเที่ยงคืนเขียนหนังสือเสร็จแล้วรอดู
ข่าว
ก็ร้องเพลงเสียก่อน ผมนอนดึก

ตีหนึ่งกว่าๆ ถึงตีสอง และตื่นเช้าประมาณตีห้า
ผมแต่งงานเมื่อปี 2542 ภรรยาชื่อศิขริน แก้วกำเนิด
นามสกุลเดิม เอกะวิภาต มีรีสอร์ทอยู่ที่ราชบุรี
ชื่อเดือนล้อมรีสอร์ท ตอนนี้ก็ยังทำอยู่


ภรรยา ผมเป็นคนมีสตางค์ ผมเป็นคนไม่มีสตางค์

เพราะฉะนั้นเรารู้จักเจียมตัวของเราว่าขนาดไหน
ไม่ไปเอาสตางค์เขามาใช้
ขณะเดียวกันเราก็ต้องทำหน้าที่สามีที่จะให้เขา
ส่วนจะให้มากน้อยแค่ไหนก็ตามกำลัง

เขาคงไม่ต้องการเอาเงินเราไปใช้จ่าย
แต่เป็นกำลังใจว่ามีสามีกับเขาคนหนึ่ง

ก็ให้ทำหน้าที่ อย่างนั้นมากกว่า

ภรรยา ผมเป็นคนไม่เรื่องมาก โกรธยากลืมง่าย

- มาอยู่ตรงนี้แล้ววางอนาคตตัวเองไว้อย่างไร?

ถ้ามองย้อนไปตอนวัยเด็ก มันไม่มีอะไรอย่างนี้อยู่แล้ว

เพราะฉะนั้นวันหนึ่งมาได้ขนาดนี้ มีเพื่อน
มีหน้าที่การงานในระดับที่ผู้บังคับบัญชาไว้วางใจ
ถือว่าประสบความสำเร็จในชีวิตแล้ว

วันข้างหน้าก็ทำหน้าที่ของตัวเองต่อไปให้ดีที่สุด
ส่วนทำแล้วจะสำเร็จไม่สำเร็จจะได้รับการแต่งตั้ง

เป็นโน่นเป็นนี่อย่างที่คาด หวังหรือไม่ ก็ไม่เป็นไร
- ตั้งใจว่าเป็น พล.อ.ก่อนเกษียณ หรือเป็น ผบ.ทบ.อย่างนี้
ผมว่าทหารทุกคนมีเป้าหมายในชีวิต และทุกคนอยากเป็น ผบ.ทบ.
อยากเป็นนั่นเป็นนี่ แต่พอผ่านมาสักระยะคนจะรู้กำลังตัวเองว่าที่ฝันไว้นั้น
เราจะเป็นได้หรือเปล่า เรียกว่าถูกสกรีนด้วยตัวของเราเ
อง
จนปัจจุบัน "ตูตั้งเป้าแค่ 5 เสือ ทบ.ก็พอแล้ว"

เพราะปัจจุบันคนเข้าใจว่าคนที่ จะเป็น ผบ.ทบ.
น่าจะมาจากหน่วยคุมกำลัง อย่างน้อยจะต้องเป็นผู้พันมา
คนที่เป็นหน่วยคุมกำลังก็รู้สึกเห็นด้วย
เพราะตัวเองมีโอกาส
แต่คนที่อยู่ฝ่ายเสนาธิการก็รู้สึกไม่เห็นด้วย
ว่าจริงๆ คนคุมกำลังกับเสนาธิการใครมันฉลาดกว่ากัน


มาวันนี้ผมไม่ค่อยมั่นใจ

แล้วว่าการคัดเลือกผู้บังคับบัญชาระดับสูงๆ
พิจารณาอะไรบ้าง ก็ลดเป้าหมายลงมา

"เอาวะ เสธ.ทบ.ก็พอแล้วตู" (หัวเราะเสียงดัง)


- คมช.ใกล้จะหมดหน้าที่แล้ว


ไม่เป็นไร ก็มาเป็นรอง ผอ.อย่างเดียว ไม่รู้สึกเสียดาย
ถ้าถามผม-ผมนับถอยหลังนะ ว่าเมื่อไหร่จะหมดภารกิจจาก คมช.
แต่ไม่ใช่นับถอยหลังเพราะด้วยความรู้สึกไม่ชอบ คมช. ไม่
ใช่
นับถอย หลังเพราะใจจริงๆ เรามีความรู้สึกว่า
"คมช.เป็นความจำเป็นที่น่ารังเกียจ" คำนี้ผมไม่ได้คิดเอาเอง
ผมเอามาจากท่านเจ้ากรมผม พล.ต.สุรศักดิ์
ผมเองมีความรู้สึกแบบเดียวกับท่านว่า

คมช.เป็นความจำเป็นที่น่ารังเกียจ

ตอน หลังๆ ผมพยายามลดบทบาทลง
ไม่พยายามไปบู๊กับพรรคการเมืองใด


- นี่ขนาดไม่นะ

ผมทำตามหน้าที่เท่านั้น เราทำหน้าที่แล้วเราย่อหย่อน
เราก็ต้องได้รับเสียงตำหนิติติงเหมือนกัน
ซึ่งอาจเป็นเสียงจากคนในกองทัพด้วยกัน ...

ไปเรียกมันมาทำงานทำไม โง่ ซื่อบื้อ ชี้แจงก็ไม่เข้าใจ
พูดจาไม่ฉาดฉาน ชี้แจงหนักไปก็ไม่ดีกลายเป็นว่า
ไปรุกไล่บี้ใครต่อใครจนไม่มีที่ยืนในสังคม ก็ไม่ขนาดนั้น


- ในสายตาที่เป็นโฆษกมองสถานการณ์ตอนนี้


ผมว่า ทุกฝ่ายจับจ้องมองกองทัพอยู่ขณะนี้
เพราะว่าบทบาทหน้าที่ของ คมช. ของกองทัพก็ครือๆ กัน


วันนี้เมื่อมีพระราชกฤษฎีกาออกมาแล้ว
เราจะไปทำแบบเดิมก็ไม่ได้
ถือว่าผิดกฎหมายเลือกตั้ง ต้องวางตัวเป็นกลาง

หลาย คนจะถามว่า เอ๊ะเจตนารมณ์ตอนแรกล่ะ
มันเหมือนเดิมหรือเปล่า เขาคงกำลังดูอยู่ว่าสิ่งที่เราเล่าให้สังคมฟัง
ว่าวันนี้กับวันก่อนแนวความคิดเราเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมในประเ
ด็นตรง
-วางตัวเป็นกลางทางการเมือง- มันจริงหรือไม่ เขา
กำลังจับตาดูกันอยู่
- งานเครียด

ผมอาจดูหน้าตาสดใส แต่ผมเป็นคนอมทุกข์

กลับบ้านไปชอบคิดถึงเรื่องเก่าๆ
ในอดีตที่รู้สึกว่ามันเป็นความทุกข์
แล้วฟังเพลงเศร้าๆ มันเป็นความสุขที่ตกอยู่ในห้วงความทุกข์ เป็นอย่างนี้


- คิดอย่างไรกับคำว่าทหารหัวสี่เหลี่ยม

ต้องมาเรียนหนังสือแข่งกัน
ถึงจะรู้ว่าหัวสี่เหลี่ยมหรือไม่สี่เหลี่ยม


หัวสี่เหลี่ยม อาจจะหมายถึงว่าเรียนหนังสือเก่งจริง

เท่านักศึกษาในมหาวิทยาลัยหรือเปล่า
เพราะเรียนแต่วิชาทหาร เรียนแต่การต่อสู้
ซึ่งไม่ใช่เลย เพราะโรงเรียนนายร้อยสอนวิชาการ
แบบเดียวกับที่มหาวิทยาลัยสอน
ต้องมาเรียนแข่งกันดู-นี่ความหมายแรก

ความหมายที่สอง หัวสี่เหลี่ยมอาจจะหมายถึง
เรื่องของแนวความคิดอยู่ในกรอบ เหมือนม้าลำปางหรือเปล่า
เจ้านายสั่งอย่างไรต้องอย่างนั้น ณ ปัจจุบันผมว่าไม่
ใช่
ทุกคนต้องฟังเหตุผล ทุกอย่างต้องมีเหตุผล
คนที่ออกคำสั่งต้องมีเหตุผลที่ให้เขาฟังแล้วน่าเชื่อถือ
เพราะสิ่งต่างๆ ผลกระทบมันกลับมาที่ตัวเองว่าสั่งไปแล้ว

แล้วเหตุผลดูไม่น่าเชื่อถือ
สายตาที่มองกลับมาดูแคลนหรือเปล่า
เพราะฉะนั้น ณ วันนี้


ผมว่าไม่ ใช่ความเป็นสี่เหลี่ยม


- ชีวิตตอนนี้

ที่เป็นทุกข์อยู่ทุก วันนี้--ในเว็บด่าพ่อล่อแม่ผมเรียบ
ก็รู้สึกไม่สบายใจว่า เอ๊ะ..ทำไมคนคิดกันถึงขนาดนี้
ยอมรับว่าสิ่งที่เราทำอาจทำให้คนบางกลุ่มไม่พอใจ
แต่ว่าสิ่งที่หลายคนเรียกร้องกันอยู่ คือความสามัคคี สมานฉันท์

ผม ไม่สบายใจเพราะถึงขนาดว่า
"มันได้ดิบได้ดีเพราะเป็นเด็กถือกระเป๋าให้นาย เดินตามนาย"
ซึ่งมันขัดกับชีวิตของผม-ผมไม่เคยเดินถือกระเป๋าให้ใคร

ไม่เคยเดินตามเจ้านายคนไหน เพราะผมไม่เคยเป็น ทส.ของใคร

ผมเป็นลูก ของข้าราชการตำรวจธรรมดาคนหนึ่ง
แม่เป็นครูธรรมดา ไม่มีญาติเป็นคนมีอำนาจคับฟ้าคับ
เมือ
ผมรับราชการเติบโตมาด้วยตัวของผมเอง
การได้โอกาสตรงนี้เป็นความสามารถที่ผู้บังคับบัญชามองเห็น


เสธไอ ซ์-พล.ต.ไตรรงค์ อินทรทัต

เป็นคนดูแลผมมา เคยสอนผมว่า
ถ้าใครมอบหมายภารกิจให้-ให้ทำเต็มความสามารถ
อย่ามาเล่าปัญหาให้เขาฟังจนกว่าจะแก้ปัญหาเสร็จ
เพราะนี่คือพวกปัญหาเยอะ
แต่ให้มาถามได้เมื่อแก้ปัญหาเสร็จแล้ว

ว่าเหมาะสมหรือเปล่า

- อันนี้ผมจำตลอด-








ทีมข่าวหน้าสตรี

ไทยรัฐ
: เรื่อง/ภาพประกอบ


ต้านกระแสไม่อยู่จริงๆกับความฮอตและมาแรงสุดๆของ
ปรากฏการณ์ เสธ.ไก่อูฟีเวอร์

ที่ส่งให้โฆษกกองทัพบก "พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด"
แจ้งเกิดจากการรับหน้าที่

โฆษกประจำศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ.
คอยประกาศชี้แจงสถานการณ์ต่างๆอัน
เนื่องจากเหตุการณ์ความวุ่นวายตลอดช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา
นอกจาก ศอฉ.จะถูกแปรสภาพกลายเป็น
"ศูนย์ไก่อูฉกหัวใจ" ในชั่วข้ามคืน

ชื่อเสียงของผู้พันไก่อูยังกระหึ่มไปทั่วโลกไซเบอร์หลายเว็บไซต์
เปรียบเทียบความหล่อของนายทหารอารมณ์ดีกับหนุ่
มหล่อระดับชาติ เช่น
นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และพระเอกชื่อดัง "เคน-ธีรเดช วงศ์พัวพันธ์"
พร้อมตั้งฉายาให้หวานเจี๊ยบว่า ผู้ก่อการรัก และสุภาพบุรุษผู้พันไก่อู
ปรากฏการณ์ไก่อูฟีเวอร์ยังไม่หยุดเท่านี้
เพราะสาวน้อยสาวใหญ่หลากหลายวงการยังรวมก
ลุ่มเป็นแฟนคลับ
ตั้งแฟนเพจในหน้าเฟซบุ๊กให้ผู้พันไก่อูมากมายสารพัด
ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคนรัก "พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด"


กลุ่มคนชอบพี่ไก่อู อันเนื่อง มาจากเห็นหน้าพี่ไก่อูทุก 2 ชั่วโมง
และกลุ่มมั่นใจว่าคนไทยหลายคนเต็มใจ

รวมเงินซื้ออายครีมให้ เสธ.ไก่อู อย่าง ไรก็ดี
แม้แฟนคลับจำนวนไม่น้อยจะยืนยันว่าไม่ได้ชอบ "เสธ. ไก่อู"
เพราะความหล่อ ทว่า ทึ่งกับบทบาทและความดีของผู้พันยอดรัก
แต่เอาเข้าจริงๆแล้ว คำถามยอดฮิตที่แพร่กระจายทั่วอินเตอร์เน็ตยามนี้ก็คือ
ผู้พัน เจ้าเสน่ห์แต่งงานมีลูกมีเมียหรือยัง ชอบผู้หญิง
แบบไหน
ทำยังไงถึงจะ พิชิตหัวใจผู้พันสุดหล่อได้
ในขณะที่บางกระแสลือให้หึ่งว่า ผู้พัน ขวัญใจมหาชนแกล้งแอ๊บแมน
เพราะแท้จริงชอบไม้ป่าเดียวกัน!!


มีเสียงลือสารพัด ช่วยเคลียร์ให้ชัดๆได้ไหม "เสธ.ไก่อู" มีลูกมีเมียหรือยัง
(อืมม์) เคยแต่งงาน ไม่มีลูก แต่แยกกันแล้ว

ขออนุญาตไม่เป็นข่าว นะครับ
เพราะเรื่องมันเกิดมานานหลายปีแล้ว
ไม่อยากให้กระทบคนอื่น

แล้วข่าวเมาท์ว่าเป็นเกย์ล่ะคะ
ไม่ได้เป็นครับ



สาวๆคงดีใจที่รู้ว่าผู้พันโสดสนิท?!


มันก็ไม่โสดหรอก...อายุขนาดนี้แล้ว


ถ้างั้นเจ้าชู้อย่างที่ร่ำลือหรือเปล่า

(ยิ้มเจ้าเล่ห์) เป็นผู้ชาย...ก็มีบ้างนิดหน่อย
แต่สัญญาไว้ว่าจะไม่เล่าเรื่องในบ้านให้ใครฟัง


รู้สึกยังไงบ้างกับกระแสไก่อูฟีเวอร์

ก็ เป็นความปลื้มปีติ เป็นกำลังใจให้ทหารทุกคนครับ
เพราะความสำเร็จที่เกิดขึ้นไม่ใช่เกิดจากผู้บังคับ บั
ญชา
หรือไก่อูเพียงลำพัง แต่เกิดจากทุกคนที่อยู่ในตำแหน่ง

และทำหน้าที่ของตนเอง
จนทำให้เกิดผลตอบรับในทางบวก มากกว่าลบ คือมีคนรักดีกว่าคนเกลียดครับ


ฮอตขนาดนี้ คิดว่าตัวเองหล่อกว่านายกฯอภิสิทธิ์ แ
ละเคน-ธีรเดช ไหมคะ
หล่อ เหรอ...ดูไม่ออกว่าหล่อเลย!!
โห...ตอนเด็กๆน่าเกลียดมาก ต้องเอารูปมา
ให้ดู

ผมถ่ายกับพี่น้องสามคน มีไก่โรส-ไก่อู-ไก่งวง
ผมเหมือนเด็กที่พ่อแม่เก็บมาเลี้ยง เพราะดำอยู่คนเดี
ยวในบ้าน
ที่เหลือเขาขาวกันหมด ไม่กล้าเทียบกับท่านนายกฯหรอกครับ
ท่านเป็นคนหล่อจริง หล่อพิศ ยิ่งดูยิ่งหล่อ
นั่งประชุมอยู่ด้วยกัน ผมยังแอบมองท่านเลย
ท่านเป็นคนหล่อจริงๆ คือจมูก ผิวพรรณ หน้าตา ทรงผม ลั
กษณะได้หมด
แต่ไอ้ไก่อูมันหล่อฉาบ คือดูดีเผินๆ

แต่พอลงรายละเอียดก็ไม่เท่าไหร่ ส่วนน้องเคนก็เป็นพระเอกในดวงใจ
วันนี้ไอ้ไก่อูอาจดูแรง เรตติ้งดีกว่า
แต่จริงๆมันไม่ใช่หรอก
มันเป็นช่วงการเมืองที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของคนทั้งบ้านทั้งเมือง

ชีวิตช่วงนี้เปลี่ยนไปเยอะไหมคะ


ก็ ปกติทุกอย่าง...ยังอยู่แฟลตทหาร
ซึ่งผมชอบเรียกว่าคอนโด เพราะดูดีกว่า (หัวเราะ)
ไม่มีบ้านเป็นของตัวเองเหมือนเดิม
ยังเป็นมนุษย์เงินเดือน ที่มีใช้มีกิน สามารถผ่อนรถได้
มีเงินพอดูแลแม่ พอจับจ่ายใช้สอย
ถ้ามีเหลือก็ต้องเก็บบ้าง เพราะไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะเป็นยังไง
และสิ่งที่ทำอยู่ เสมอไม่เคยเปลี่ยนคือ
การตักบาตรวันเสาร์อาทิตย์ หรือวันไหนที่สะดวกตั

จะแวะไปแถวตลาดประชานิเวศน์ตั้งแต่เช้าตรู่

ใส่บาตร เสร็จเรียบร้อย ก็จะมานั่งกรวดน้ำ
และแผ่ส่วนบุญส่วนกุศลตามลำดับ
ถ้าออกไปข้างนอกก็มีคนเข้ามาขอถ่ายรูปบ้าง
ยิ้มจนเหงือกแห้ง แต่ก็เป็นความสุขดี
มีคนส่งดอกไม้ ส่งของกิน ส่งอายครีมมาให้ (หัวเราะ)
แต่ว่าเราก็ต้องแบ่งเวลาด้วย เรื่องการงานต้องไม่เสีย
เพราะหน้าที่หลัก คือผู้อำนวยการกองปฏิบัติการ
จิตวิทยา
ของกรมกิจการพลเรือนทหารบก
ส่วนการเป็นโฆษก ศอฉ.เป็นหน้าที่ที่ได้รับม
อบหมาย


แฟนคลับฝากถามว่า ผู้พันชอบทานอะไร

ชอบ กินอะไรซ้ำๆเดิมๆ เช่น ตอนเย็นกินข้าวต้มหมู ในเซเว่น
ที่เอามาเวฟ ใส่แม็กกี้ ใส่พริกไทย ก็ยังทาน อยู่เกือบทุกวัน
มื้อกลางวันก็ทานง่ายๆที่กองทัพบกจัดไว้เป็นสวัสดิการ คนละ 10 บาท
ทานได้หมดทั้งข้าวผัดกะเพรา ข้าวราดแกง
แต่ถ้าวันหยุดก็ทานตามห้างฯ พวกฟูจิ ซิสเล่อร์ และเอ็มเค
แต่ที่คนลือว่าชอบไข่ปลาคาเวียร์ ไม่รู้เอามาจากไหน
เคยได้ยินชื่อ แต่ไม่เคยทาน

ถามว่าชอบ อะไรพิเศษ
ก็ชอบกินอาหารทะเล ผัดไทยไม่ใส่เส้น
และชอบบะหมี่ที่ปรุงรสจัดๆ แต่ไม่ชอบปลาร้า

มีเคล็ดลับอะไรดูแลตัวเองให้หน้าเด็ก?!

ไม่ ได้มีอะไรเลย คงเพราะไม่แตะเหล้าบุหรี่
แต่ ถ้าเพื่อนๆไป
เที่ยวกัน
เราดื่ม เป๊ปซี่ดื่มโค้กก็สนุกได้
พวกครีมบำรุงก็ไม่เคยใช้
อย่างมากก็ใช้เจลล้างหน้า เรื่องออก
กำลังกายก็ไม่เคย เข้าฟิตเนส
จะเล่นทุกอย่างที่ขวางหน้า
แต่ชอบที่สุดคือเตะตะกร้อ

อารมณ์ดีแบบนี้ มักจะปรี๊ดด้วยเรื่องอะไร


จะ ทนอะไรที่สกปรกเลอะเทอะไม่ได้เลย!!
ชอบอะไรที่เรียบร้อย
ในออฟฟิศต้องจัดให้เนี้ยบทุกอย่าง
ในรถก็ต้องสะอาดทุกซอกมุม
หรืออย่าง รองเท้าก็ต้องเนี้ยบ
ไม่เขลอะ ไม่ขาว ไม่ชอบให้ส้นรองเท้าเอียง!!
แต่ว่าไม่ใช่เป็นคนสำอาง ไม่ได้ใช้เครื่องสำอาง
แค่สบู่ มีดโกน แปรงสีฟัน คนให้อายครีมมาก็ทาบ้าง

เวลาเครียดๆมีวิธีจัดการยังไง

จะ จัดการกับตัวเองก่อน โดยหนีให้ห่างจากคนอื่น
ไม่อยากให้คนเห็นเวลาอารมณ์เสีย กลัวจะพูดไม่ดีใส่คนอื่น
พออารมณ์เสียปั๊บ จะคว้ากุญแจรถสตาร์ตเครื่อง
และเปิดแอร์นั่งอยู่ในรถคนเดียว
เปิดเพลงดังๆ แล้วตะโกนอยู่ในรถตามประสาผู้ชาย

พออารมณ์ดีขึ้น ค่อยออกมาเจอผู้คน

ให้คะแนนตัวเองเท่าไหร่ ถ้าต้องประเมินผลงาน ที่ผ่านมา

คง ประเมินผลงานตัวเองไม่ถูก
ต้องถามคนทั่วไปว่าเบื่อหน้าไอ้ไก่อูหรือยัง
ถ้าเบื่อมันแล้ว แสดงว่า หมดความสามารถ
แต่ถ้ายังรับฟังข้อมูลข่าวสาร แล้วยัง

เข้าใจเจตนารมณ์ก็แสดงว่าพอได้ผลอยู่บ้าง

คนส่วนใหญ่ชื่นชมว่า
ผู้พันมีส่วนสำคัญในการปรับภาพลักษณ์ กองทัพให้ ทันสมัย


คง ตกบันไดพลอยโจนมากกว่า
คือผมมาอยู่ตรงหน้าที่นี้พอดี ซึ่งผู้บังคับ
บัญชามอบหมายให้ทำ และบังเอิญเป็น
เรื่องทุกข์ร้อนของประชาชนที่เดือดร้อนจากการ ทำมาหากิน
จากการใช้ชีวิตที่ไม่เป็นปกติ คนจึงให้ความสนใจเยอะ
เพราะเป็นเรื่องใกล้ตัว ประกอบกับเรื่องชี้แจงของ ศอฉ.
มีรายละเอียดปลีกย่อยมาก และออกอากาศช่วงหลังข่าวพอ
ดี
เลยเหมือนบังคับคนให้ต้องดูข้อมูลต่างๆที่นำเสนอออกไป
ถือว่าช้าด้วยซ้ำ เพราะเราเป็นภาคราชการ
ถ้าเร็วเกินไปแต่ขาดความถูกต้อง ก็จะไม่น่าเชื่อถือ
ฉะนั้นต้องตรวจสอบข้อมูลซ้ำแล้วซ้ำอีก สิ่งที่ ศอฉ.
พยายามทำมาตลอดคือ ทำให้ประชาชนเกิดความรู้สึกสบายใจ
และเข้าใจว่าเจ้าหน้าที่รัฐไม่ได้ประสงค์จะทำร้ายผู้ชุมนุม
ไม่อยากให้เกิด ความสูญเสีย แต่ต้องการให้การชุมนุมยุติ
เพราะมันไม่ใช่ชุมนุมปกติ


ใครเป็นคนเตรียมข้อมูลต่างๆที่นำมาตอบโต้ในแต่ละวัน

มี กันอยู่ 2 คนหลักๆครับ คือ ผม และพันตรีหญิงศิริยา เขื่องศิริกุล
แต่ความจริงมีกรมฝ่ายเสนาธิการต่างๆอยู่ในทีม ศอฉ.ด้วย
ก็จะมานั่งคุยกันหลังประชุมว่า พวกเราจะชี้แจงเรื่องอะไรบ้างในแต่ละวัน
โดยส่วนตัว ผมจะไม่จด ไม่เขียนสคริปต์เพื่อไปนั่งอ่านหน้าจอ
เพราะคนเป็นโฆษกต้องเข้าใจเนื้อหาสาระของเรื่องก่อน
แล้วเล่าด้วยลีลาคำพูดของเราเอง เพื่อให้คนทั่วไปเข้าใจได้ง่าย

คำศัพท์ใหม่ๆ เช่น กระชับวงล้อม และขอคืนพื้นที่ ใครเ
ป็นคน บัญญัติขึ้น

ก็ ช่วยๆกันคิด แต่คำว่ากระชับวงล้อมเกิดขึ้นโดยบังเอิญ
คือผมพูดกับน้องฝ่ายเสธ.ว่าจะไม่อะไรกันเลยเหรอ
ปล่อยไว้อย่างนี้ก็อยู่กันเหมือนเดิมตลอด
อย่างน้อยมันน่าจะกระชับวงล้อมนะ น่าจะตะล่อมให้
เข้ามาอยู่ในพื้นที่เป็นสัดส่วน ไม่งั้นมันกระจายเลอะเทอะไปหมด
ก็เป็นคำที่มีความหมายตรงตามการปฏิบัติ
เพราะเราไม่ได้ต้องการสลายการชุมนุม


ผลงานโดดเด่นขนาดนี้ สนใจลงเล่นการเมืองไหมคะ

ไม่เคยคิด!! ไม่ชอบเรื่องการเมือง
วันข้างหน้าเมื่อจบงานแล้ว เกษียณ อายุแล้ว ก็จบแ
ค่นี้...ไม่เอาแล้ว

อายุเพิ่ง 47 เอง วางแผนใช้ชีวิตหลังเกษียณ แล้วเหรอ

(หัวเราะ) หลังเกษียณคงไม่ทำอะไรแล้ว ว่า
จะพักผ่อน เที่ยวที่โน่นที่นี่บ้าง ทำสิ่งที่อยากทำ
แต่ ที่ฝันไว้มากที่สุดคืออยากมีบ้านหลังเล็กๆเป็นของ ตัวเอง
ก็พยายามเก็บเงินอยู่ เคยลองทำธุรกิจรถแท็กซี่ แต่ก็เจ๊ง
จนเป็นหนี้เป็นสิน ต้องไปทำงานที่สนามม้ากับเสธ.ไอซ์อยู่พักหนึ่ง
เดินจดบัญชี เขียนเช็ค เก็บเช็ค ไม่ได้ทุจริตใคร
จนกระทั่งสามารถเคลียร์หนี้สินได้หมด ทำให้เข็ดแล้ว
แม่เคยเตือนว่าอย่าทำเลย เพราะเราเป็นประเภทไม่เคี่ยว
ใครติดตังค์ไม่มีจ่ายก็ไม่ว่า แต่พอติดนานๆเข้า
มันไม่มีช่วงกลางๆ ประนีประนอมไม่เป็น
จะเลยไปถึงจุดปรี๊ดเลย ไม่จ่ายใช่ไหม
ก็ต้องไปลุย กับมัน
แม่เลยบอกว่า ถ้าเป็นอย่างนี้เดี๋ยวติดคุก เลิกซะดีกว่า!!