ASTV ผู้จัดการออนไลน์25 พฤษภาคม 2554
“ตัน” ลั่นไม่มีสัญญาใจ “เสี่ยเจริญ”
เดินหน้าลุยธุรกิจชาเขียวพร้อมดื่ม อัด 150 ล้านบาท
ปั้น “อิชิตัน” แจ้งเกิด หวัง 3 ปี ขึ้นท็อปทรี
อัดโปรโมชันตามรอยโออิชิ
เตรียมจ่อแตกไลน์เครื่องดื่มใหม่ดาหน้าทำตลาดเพียบ
เมินทำแอลกอฮอล์ สิ้นปีรายได้รวม 1,700 ล้านบาท
นายตัน ภาสกรนที กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ไม่ตัน จำกัด
ผู้ทำตลาดชาเขียวพร้อมดื่มอิชิตัน
กล่าวว่า นโยบายการดำเนินธุรกิของบริษัทจะทำ
เครื่องดื่มนอนแอลกอฮอล์เพียงอย่างเดียว
และไม่สนใจจะทำธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งก่อนหน้านี้
ได้เปิดตัวฟังก์ชันนัลดริงก์ภายใต้แบรนด์ “ดับเบิ้ล ดริ้งค์”
ไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ และล่าสุด บริษัทได้ทุ่มงบ 150 ล้านบาท
รุกตลาดชาเขียวพร้อมดื่มภายใต้แบรนด์ “อิชิตัน”
โดยมีจุดขายเป็นชาเขียว ออร์แกนิค กรีนที 100%
เพื่อให้สอดรับกับกระแสสุขภาพที่มาแรงทั่วโลก
และเทรนด์ออร์แกนิคที่กำลังได้รับความนิยม
“ที่ผ่านมา ผมไม่ได้มีสัญญาใจใดๆ ทั้งสิ้น
ระหว่างไทยเบฟฯ ว่า จะไม่ทำธุรกิจชาเขียวพร้อมดื่ม
มีเพียงแต่หลังจากการขายหุ้นให้ ต้องทำงานในบริษัท โออิชิ กรุ๊ป 3 ปี
แต่ที่ผ่านมา ผมทำถึง 5 ปี
กระทั่งยอดขายจาก 4,000 ล้านบาท เพิ่มเป็น 1 หมื่นล้านบาท
และหุ้นเพิ่มจาก 32 บาท กระทั่งปัจจุบันเป็น 100 บาท
ต้องยอมรับว่า การทำธุรกิจทุกวันนี้ คือ การแข่งขัน”
อย่างไรก็ตาม จากการเข้ามาทำตลาดของอิชิตัน คาดว่า
จะผลักดันให้ตลาดชาเขียวพร้อมดื่มมูลค่า 8,000 ล้านบาท
ในปีนี้เติบโต 30% หรือมีมูลค่า 1 หมื่นล้านบาท
จากปกติเติบโตเฉลี่ย 20%
เนื่องจากทุกแบรนด์จะทุ่มงบการตลาดมากขึ้น
โดยช่วงหน้าร้อนของปีหน้านี้
บริษัทวางแผนจะส่งแคมเปญโปรโมชันในช่วงหน้าร้อน
ซึ่งเป็นโมเดลการทำตลาดคล้ายกับโออิชิ
ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้นำตลาดครองส่วนแบ่ง 60%
ทั้งนี้ บริษัทวางเป้าหมายภายใน 3 ปี
จะขึ้นมาเป็นท็อปทรีของตลาด ด้วยการครองส่วนแบ่ง 30%
จากปัจจุบัน เพียวริคุ เป็นอันดับ 2 และ ลิปตัน อันดับ 3
สำหรับการทำตลาดโฟกัส 3 แนวทาง คือ
1.เปิดตัวขนาดใหม่ที่มีความคุ้มค่าคุ้มขนาด 420 มล.ราคา 16 บาท
เพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายอายุ 15-40 ปีขึ้นไป
ทั้งกลุ่มผู้หญิงและผู้ชาย เมื่อเทียบกับคู่แข่ง โออิชิ
ขนาด 500 มล.ซึ่งมีข้อเสียเปรียบ คือ
ปริมาณมากเกินไป และขนาด 350 มล.ปริมาณน้อยเกินไปสำหรับผู้ชาย
2.การออกแบบแพกเกจจิ้งดูดีและ
3.การมีคุณภาพสินค้าที่ดีเป็นอันดับหนึ่งของผู้บริโภคไทย
ซึ่งขณะนี้ได้วางจำหน่ายผ่านช่องทางโมเดิร์นเทรด
โดยให้ดีเคเอสเอชเป็นผู้กระจายสินค้า และคาดว่า 1-2 ปี
จะครอบคลุมทุกช่องทาง
“การเข้ามาทำตลาดชาเขียวพร้อมดื่ม อิชิตัน
ผมไม่ได้ตั้งเป้าว่าจะเป็นเบอร์ 1 ในตลาด
แต่ต้องการเป็นอันดับ 1 ในด้านของคุณภาพของผลิตชาที่ดีสู่ผู้บริโภค
ซึ่งมีด้วยกัน 3 รสชาติ คือ
ออริจินัล น้ำผึ้งผสมมะนาว และเก๊กฮวย
ส่วนยอดขาย ดับเบิ้ล ดริ้งค์ ที่ผ่านมา
จัดว่าเป็นฟังก์ชันนัลดริงก์ ที่ได้รับการตอบรับที่ดี
มียอดขาย 50 ล้านบาท จากตลาดมูลค่า 2,000-3,000 ล้านบาท”
นายตัน กล่าวต่อถึงความคืบหน้าโรงงานโรจนะ
ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งได้ทุ่มงบ 2,400 ล้านบาท คาดว่า
จะแล้วเสร็จสิ้นปีนี้ และเริ่มผลิตเครื่องดื่มในต้นปีหน้า
มีกำลังการผลิต 15 ล้านขวดต่อเดือน
ซึ่งบริษัทวางให้ชาเขียวพร้อมดื่มอิชิตัน
เป็นแบรนด์เรือธงที่สร้างการรับรู้
จากนั้นจะสร้างแบรนด์ใหม่ๆ ออกมา
สำหรับผลประกอบการปีนี้ บริษัทตั้งเป้ารายได้ 1,700 ล้านบาท
แบ่งเป็น รายได้ จากดับเบิ้ลดริ้งค์ 500 ล้านบาท และ 200 ล้านบาท
เป็นธุรกิจอาหาร ส่วนชาเขียวพร้อมดื่มอิชิตัน 1,000 ล้านบาท
หรือมีส่วนแบ่ง 10% อันดับ 4 ของตลาด
และตั้งเป้า 3 ปี รายได้เพิ่มเป็น 3,000 ล้านบาท
http://teetwo.blogspot.com/2008/12/blog-post.html
ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
ตลาดชาเขียวคึก รับน้องใหม่ "อิชิตัน" ของตัน ภาสกรนที
วงการชี้กระทบแบรนด์"โออิชิ" โดยตรง !
ตลาดชาเขียวคึกคักรับ "อิชิตัน" ยูนิฟชี้กระทบแบรนด์ "โออิชิ"
โดยตรง คาดสามารถขึ้นเบียดเบอร์ 1-2 ได้รวดเร็ว
เหตุมากประสบการณ์ ทั้งมีจุดต่างชัดเจนส่งตลาดกลับมาเติบโตกว่า 20% ปีนี้
หลัง 4 เดือนแรกโตลดลงเหลือกว่า 10%
เหตุอากาศไม่ร้อน ทั้งแคมเปญไปแต่ตัว ทัวร์เลือกได้ ของโออิชิได้รับผลกระทบ
จากการกลับมาทำตลาดชา เขียวของ "ตัน ภาสกรนที"
กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไม่ตัน จำกัด เปิดตัวชาเขียวอิชิตัน 3 รสชาติ
วางจำหน่ายในเซเว่นอีเลฟเว่น ชูจุดขายเป็นชาเขียว "ออร์แกนิก" ตามเทรนด์สุขภาพ
ในราคา 16 บาท โดยมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 25 พฤษภาคม
ถือเป็นการกลับมาทำตลาดในสินค้าที่เขามีความเชี่ยวชาญอีกครั้ง
และเป็นคู่แข่งโดยตรงกับแบรนด์ "โออิชิ" ที่เขาปลุกปั้นขึ้นมากับมือ
นาย ธรรมศักดิ์ เอกมโนชัย ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายการตลาด
บริษัท ยูนิ-เพรสซิเดนท์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า
ในวงการคาดการณ์อยู่แล้วว่าในที่สุดคุณตัน ภาสกรนที
เมื่อลาออกจากโออิชิแล้ว ในที่สุดต้องกลับเข้าสู่วงการชาเขียว
ซึ่งเป็นสินค้าที่คุณตันมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ
ซึ่งแน่นอนว่าการกลับเข้าสู่ตลาดชาเขียวของ "ตัน"
ครั้งนี้เป็นที่จับตามองและเชื่อว่าจะทำให้ตลาดชาเขียวกลับมาคึกคัก
อีกครั้งอย่างแน่นอน สิ้นปีเชื่อว่าจะอยู่ที่กว่า 20%
เท่ากับปีที่แล้ว จากช่วง 4 เดือนแรกตลาดยังคงเติบโต
แต่โตลดลงเหลือกว่า 10% จากปีที่แล้วเติบโตถึง 28-29%
ส่วนหนึ่งมาจากสภาพภูมิอากาศช่วงไฮซีซั่นที่ผ่านมา
ไม่ร้อนอย่างที่คาดการณ์ ไว้ ขณะเดียวกันผลกระทบจาก
เหตุการณ์แผ่นดินไหวและสึนามิที่ญี่ปุ่น
ก็ส่งผลกระทบต่อแคมเปญตลาด "ไปแต่ตัว ทัวร์เลือกได้"
ของโออิชิโดยตรง ซึ่งมีผลต่อการเติบโตของตลาด
ทั้งนี้ ส่วนตัวมองว่า "อิชิตัน" ถือเป็นผู้เล่นที่สำคัญมาก
และเชื่อว่าจะสามารถขึ้นไปเทียบกับเบอร์ 1 เบอร์ 2 คือ
โออิชิและเพียวริคุได้อย่างรวดเร็ว
เนื่องจากสินค้ามีจุดต่างอย่างชัดเจนในเรื่องชา "ออร์แกนิก"
ซึ่งเป็นเทรนด์จากต่างประเทศ ถือเป็นค่ายแรกที่มีจุดขายในเรื่องนี้
"แน่ นอนว่าการเข้ามาของผู้เล่นรายใหม่
คนที่จะได้รับผลกระทบก็คือ ผู้นำโออิชิ
ยิ่งดูจากตำแหน่งสินค้าที่วางเป็นพรีเมี่ยมแบรนด์
จะชนกับโออิชิโดยตรง ขณะที่ยูนิฟจะเน้นเจาะตลาดแมส
ในราคาที่ 10-12 บาท ซึ่งจะเป็นคนละตลาดกัน"
นาย ธรรมศักดิ์กล่าวว่า บริษัทยังดำเนินตามแผนเดิมที่วางไว้
ไม่ได้มีการเตรียมการเพื่อรับน้องใหม่เป็นพิเศษ
โดยบริษัทเตรียมบิ๊กแคมเปญของกลุ่มชาเขียวไว้
ในช่วงเดือนสิงหาคม รวมถึงคอนซูเมอร์
โปรโมชั่นในช่วงปลายปีที่เชื่อว่าจะมีส่วน
ในการกระตุ้นยอดขายกลุ่มชาเขียวของยูนิฟเพิ่มขึ้น
ด้านแหล่งข่าวจากบริษัท ที.ซี. ฟาร์มาร์ซูติคอล อุตสาหกรรม จำกัด
ผู้ผลิตและจำหน่ายชาขาว "เพียวริคุ" กล่าวว่า
ขณะนี้ค่ายต่าง ๆ ยังไม่มีความเคลื่อนไหวทางการตลาด
เพื่อรับมือกับแบรนด์ "อิชิตัน" มากนัก
โดยเพียวริคุยังคงมีการจัดกิจกรรมการตลาดตามแผนที่วางไว้
ช่วงนี้ก็มีการโฆษณาทางทีวีเพื่อรีไมนด์แบรนด์
ส่วนการเพิ่มหรือขยายช่องทางจำหน่ายก็เป็นสิ่งที่บริษัททำอย่างต่อเนื่อง
"การ มีเครื่องดื่มแบรนด์ใหม่เข้ามาในตลาด
ก็น่าจะช่วยให้ตลาดคึกคักและมีสีสันมากขึ้น"
แหล่งข่าวจากวงการ เครื่องดื่มกล่าวในเรื่องนี้ว่า
การกลับมาทำตลาดชาเขียวใหม่ของตัน ภาสกรนที
ดังกล่าวน่าจะทำให้ตลาดชาเขียวคึกคักขึ้น
ประกอบกับขณะนี้สภาพอากาศที่เริ่มกลับมาร้อนขึ้นอีก
น่าจะช่วยให้ตลาดเครื่อง ดื่มคึกคักกว่าเดิม
และคาดว่าหลาย ๆ ค่ายจะเร่งกระตุ้นตลาดมากขึ้นจากนี้
ปัจจุบัน ตลาดชาพร้อมดื่มปัจจุบันมีมูลค่าเกือบ 8,000 ล้านบาท
โดยชาเขียวเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดคิดเป็นสัดส่วน 60%
และโออิชิเป็นผู้นำตลาดด้วยส่วนแบ่ง 60%
ตามด้วยเพียวริคุ 25% ตามด้วยลิปตัน และยูนิฟเป็นอันดับที่ 4