เผยแพร่: 11 พ.ย. 2559 18:27 โดย: ดร.โยธิน มานะบุญ
ที่มา https://mgronline.com/daily/detail/9590000112961
ขอน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น
อันหาที่สุดมิได้ ถวายความอาลัยแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร
ด้วยบทความซึ่งจะได้นำเสนอเรื่องราวพระอัจฉริยภาพด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ของพระองค์
คนไทยที่เกิดไม่ทันยุคสงครามเย็นน้อยคนนักที่จะทราบว่า หากไม่ด้วย พระบารมี ความกล้าหาญ
และการทรงงานอย่างหนักของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พระราชโอรสและพระราชธิดา
ตลอดจนเหล่าพระบรมวงศานุวงศ์ ประเทศไทยก็คงไม่แคล้ว
ต้องกลายเป็นประเทศที่ปกครองด้วยลัทธิคอมมิวนิสต์เช่น เวียดนาม ลาว และกัมพูชา
ตามทฤษฏี Domino ที่นักวิชาการและนักการเมืองในโลกตะวันตกคาดการณ์ไว้อย่างแน่นอน
ในห้วงที่ประเทศไทยเผชิญกับภัยคุกคามของลัทธิคอมมิวนิสต์ทั้งภายในและจากภายนอกประเทศนั้น
ภาพคุ้นตาของเหล่าพสกนิกรไทยคือ
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร
ทรงเครื่องแบบทหารเสด็จเยี่ยมอาณาประชาราษฎร์ ทหาร ตำรวจ
ข้าราชการพลเรือน อาสาสมัครที่ปฏิบัติหน้าอยู่ในพื้นที่สู้รบ
ตลอดจนทรงงานในภูมิภาคต่างๆ ของประเทศอยู่เสมอ
เป็นที่ทราบกันดีในหมู่ข้าราชการทหารและตำรวจทั้งหลายว่า
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร
ทรงให้ความสนพระราชหฤทัยอย่างลึกซึ้งในกิจการสรรพาวุธ
ได้ทรงแสดงพระปรีชาสามารถในการค้น คิด ดัดแปลงอาวุธยุทโธปกรณ์ให้ทันสมัย
และใช้ราชการได้ดียิ่งขึ้นเป็นผลสำเร็จหลายรายการด้วยกัน
อีกทั้งยังได้ทรงพระราชทานอาวุธ ยุทโธปกรณ์
ที่ทรงแก้ไขเหตุติดขัดและข้อบกพร่องต่างๆ
เรียบร้อยแล้วให้แก่ทหารและตำรวจอยู่เนืองๆ
ในห้วงเวลาที่สถานการณ์การก่อการร้ายในประเทศ
อยู่ในภาวะวิกฤตนั้น ได้ทรงใช้เวลาว่างจากพระราชภารกิจเสด็จพระราชดำเนินไปงานภายนอกในตอนบ่าย
ทรงงานแก้ไขอาวุธยุทโธปกรณ์ที่บกพร่อง
ซึ่งทรงได้มาจากทหาร ตำรวจ ผู้ได้ใช้อาวุธนั้นทำการสู้รบจนสิ้นชีวิต
ทั้งนี้โดยได้ทรงตรวจสอบสมรรถภาพของอาวุธนั้นๆ
ด้วยพระองค์เองซึ่งในบางโอกาสก็ทรงมีพระราชกระแสรับสั่งให้
เจ้าหน้าที่ของกรมสรรพาวุธทหารบกได้เข้าเฝ้าถวายคำแนะนำ
ทั้งในพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
และพระราชวังไกลกังวลอย่างใกล้ชิด เพื่อการนี้เป็นที่แน่ชัดว่าใครได้ใช้ปืนที่ทรงแก้ไขนั้น
ย่อมจะสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น
นายทหารของศูนย์การทหารราบค่ายธนะรัชต์ ปราณบุรีผู้หนึ่ง
ซึ่งได้เคยถวายการรับใช้เมื่อทรงพระแสงปืน M-16
ที่สนามยิงปืนของศูนย์การทหารราบเล่าว่า
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีความเชี่ยวชาญในเรื่อง
พระแสงปืน M-16 อย่างมาก
ปืนนี้มีข้อบกพร่องบางอย่างที่ไม่รู้กัน
แต่ทรงรู้มาจากการที่ได้ทรงศึกษาจนสามารถพระราชทาน
คำแนะนำแก่ทหารได้
เรื่องปืน M-16 นี้ ในบทความ “พระเจ้าอยู่หัวกับตำรวจ”
เขียนโดย พล.ต.อ. วสิษฐ เดชกุญชร
ตีพิมพ์ในนิตยสารโล่เงิน เดือนธันวาคม 2524
ก็ได้บันทึกไว้เช่นกันว่า พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
ทรงศึกษาสมรรถนะของปืน M-16
จนทรงมีความรู้อย่างละเอียดลึกซึ้ง
งานอดิเรกที่ทรงโปรดในครั้งกระนั้นคือ การซ่อมปืน M-16 ที่ชำรุด
เมื่อใช้งานได้แล้วก็พระราชทานให้นายทหารราชองครักษ์
และนายตำรวจสำนัก
นำไปแลกกับปืนที่ชำรุดตามหน่วยต่าง ๆ
ในสนามเพื่อเอามาถวายให้ทรงซ่อมต่อไปอีก ---
ข้อมูลจาก นิตยสารหลักไท ฉบับวันที่ 11 ธันวาคม 2528
โดยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
ทรงสนพระราชหฤทัย
ในส่วนประกอบและการทำงานของปืน M-16
ถึงกับได้ทรงผ่าปืนชนิดนี้ออก
เพื่อทรงศึกษากลไกและส่วนประกอบของปืน
ต่อมาในไม่ช้าก็ทรงสามารถประกอบอาวุธปืนชนิดนั้น
ได้ด้วยพระองค์เอง
เวลาเสด็จฯ ไปทรงเยี่ยมหน่วยทหารหน่วยตำรวจ
และมีผู้ถวายรายงานว่า ปืนชนิดนั้นชำรุด
และไม่สามารถซ่อมแซมได้ เพราะขาดเครื่องอะไหล่
และขาดช่าง ก็ทรงพระกรุณารับปืนเหล่านั้นไป
และทรงซ่อมด้วยพระหัตถ์
โดยทรงใช้ส่วนที่ยังใช้การได้ดีอยู่ของปืนกระบอกหนึ่ง
ด้วยวิธีนี้ ปืนที่เสียหลายกระบอกจึงกลายเป็นปืนที่กลับดีขึ้นมาอีก
เกี่ยวกับอาวุธปืนนี้ ทั้งพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรและ
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
ทรงสนพระราชหฤทัย เสด็จเยี่ยมหน่วยทหารตำรวจ
(โดยเฉพาะศูนย์การทหารราบและค่านเรศวร)
คราวใด คราวนั้นก็มักจะเสด็จฯ ทอดพระเนตรการฝึกซ้อมยิงปืน
และบางครั้งก็ทรงยิงปืนในสนามด้วย ในโอกาสเดียวกันนั้น
ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทูลกระหม่อมชาย
และทูลกระหม่อมหญิง ฝึกซ้อมยิงปืนชนิดต่างๆ ด้วย
พระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จฯ นั้น ทรงปืนได้แม่นยำทั้งสองพระองค์
เมื่อทรงเริ่มสนพระราชหฤทัยในการยิงปืนนั้น
สนามยิงปืนของค่ายนเรศวรยังไม่คุ้นเคยกับฝ่าละอองธุลีพระบาท
เพราะฉะนั้น เจ้าหน้าที่ผู้ถวายความสะดวกในการทรงปืน
จึงได้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ถวายความปลอดภัยจากราชสำนักเป็นส่วนใหญ่
ผมเองเป็นผู้หนึ่งที่ได้มีโอกาสทำหน้าที่ถวายด้วย
ค่ำวันหนึ่งเมื่อเสด็จฯ ไปถึงสนามยิงปืนของค่ายนเรศวร
เจ้าหน้าที่เตรียมการถวายเรียบร้อยแล้ว
พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงปืน พระแสงปืนที่ทรงในวันนั้น
เป็นแบบปืนเล็กกลแบบ M-16
พอทรงยิงไปได้หนึ่งชุด ผมซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ชี้เป้าถวาย
ก็ออกวิ่งไปดูที่เป้าที่เพิ่งจะทรงยิง
และเห็นด้วยความไม่ประหลาดใจอะไร
(เพราะรู้อยู่แล้วว่าทรงปืนแม่น)
ว่าไม่มีกระสุนนัดใดออกจากวงดำของเป้าไปเลยแม้แต่นัดเดียว
ผมวิ่งกลับไปที่แนวยิง ถวายความเคารพ
แล้วกราบบังคมทูลอย่างฉาดฉานว่า
“ถูกหมดทุกนัด พระพุทธเจ้าข้า”
มีพระราชดำรัสถามว่า ถูกกี่นัด?
ผมไม่ได้นับจำนวนกระสุนที่ถูกเป้า
แต่รู้ว่าแม็กซีนหรือซองกระสุนที่ใช้บรรจุกระสุนปืน
สำหรับปืน M-16 รุ่นนั้นในสมัยนั้นบรรจุได้เต็ม 20 นัด
จึงกราบบังคมทูลอย่างฉับพลันว่า “20 นัด พระพุทธเจ้าข้า”
พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
ทรงก้มพระพักตร์ลงทอดพระเนตรพระแสงปืน
ในพระหัตถ์ ทรงพลิกพระแสงไปมา 2-3 ตลบ
แล้วเงยพระพักตร์ขึ้นแย้มพระสรวล
ก่อนที่จะตรัสว่า “ปืนกระบอกนี้วิเศษมาก บรรจุ 18 นัด
แต่ยิงได้ถึง 20 นัด
--- จากหนังสือ รอยพระยุคลบาท หน้าที่ 35
โดย พล.ต.อ. วสิษฐ เดชกุญชร
๒๗ ธันวาคม ๒๕๑๑ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
เสด็จพระราชดำเนินมาทรงพระแสงปืน
ณ อุโมงค์ยิงปืนของกรมสรรพาวุธทหารบกเป็นครั้งแรก
ในโอกาสนั้น พลโท ทวิช เสนีวงศ์ ณ อยุธยา
เจ้ากรมสรรพาวุธทหารบกในขณะนั้นได้ทูลเกล้าถวายพระแสงปืน
และในคราวเสด็จพระราชดำเนินครั้งนั้น
ทรงจารึกพระปรมาภิไธยลงบนแผ่นศิลาอ่อน
โปรดเกล้าฯ พระราชทานให้ประดิษฐานไว้ ณ อุโมงค์ยิงปืน
เพื่อเป็นมิ่งขวัญและสิริมงคลแก่ ข้าราชการ และลูกจ้าง
กรมสรรพาวุธทหารบกทั้งปวงสืบมาจนบัดนี้
“ทรงทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทว่า
เฮลิคอปเตอร์ของกรมตำรวจที่ใช้ปฏิบัติหน้าที่สนามนั้น
ไม่มีอาวุธติดกับเครื่องบิน เพราะเป็นเฮลิคอปเตอร์ธรรมดา
สำหรับใช้ขนส่งทั่วไป…
เมื่อทรงทราบเช่นนั้นก็ทรงพระกรุณาพระราชทานความคิดให้ ม.ร.ว.เทพฤทธิ์ เทวกุล ซึ่งเป็นวิศวกร
ไปประดิษฐ์ฐานสำหรับติดตั้งปืนกลติดกับตัว
พระบรมฉายาลักษณ์ขณะทรงพระแสงปืนเล็กยาว M-16
ต่อเป้าหมายอันแม่นยำ
ณ สนามทรงพระแสงปืน ค่ายธนะรัชต์
แสดงถึงพระลักษณะของความเป็น “ทหารชั้นเลิศ”
แม้พระองค์ทรงอยู่ในฐานะจอมทัพ ก็หาได้ถือพระองค์ไม่
หากแต่ได้เสด็จพระราชดำเนินทรงพระแสงปืนหลายครั้ง
ด้วยความตั้งพระราชหฤทัย
นอกจากจากพระอัจฉริยภาพในเรื่องพระแสงปืน
ดังที่กล่าวมาแล้ว พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร
ยังทรงพระปรีชาญาณเกือบทุกอย่าง
แม้กระทั่งการต่อเรือรบโดยพระองค์ทรงนำประสบการณ์
การต่อเรือใบและการแล่นใบ
พระราชทานให้กองทัพเรือโดยกรมอู่ทหารเรือ
ได้ทำการต่อเรือรบเพื่อใช้ในราชการรวมสองครั้ง
ครั้งแรกคือ เรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่งชุด เรือ ต.91 – ต.99
ซึ่งเป็นโครงการในพระราชดำริของ
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร
เมื่อ ปี พ.ศ. 2511
และครั้งที่สองคือ โครงการจัดสร้างเรือตรวจเรือใกล้
ฝั่งเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา
เป็นโครงการของกองทัพเรือไทย
ที่ต่อยอดมาจากโครงการก่อสร้างเรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่งชุด
เรือ ต.91 – ต.99 (ครั้งแรก)
โดยมีจุดเริ่มต้นจากพระราชกระแสรับสั่ง
แก่ผู้บังคับหมู่เรือรักษาการณ์วังไกลกังวล
และผู้เข้าเฝ้า ฯ ณ วังไกลกังวล
เกี่ยวกับการใช้เรือของกองทัพเรือ
ในวันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2545 ความว่า
“เรือรบขนาดใหญ่มีราคาแพงและมีค่าใช้จ่าย
ในการปฏิบัติงานสูง กองทัพเรือจึงควรใช้เรือที่มีขนาดเหมาะสม
และสร้างได้เอง
ซึ่งเมื่อสร้างเรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่งชุดเรือ ต.91 ได้แล้ว
ควรขยายแบบเรือให้ใหญ่ขึ้นและสร้างเพิ่มเติม”
กับทั้งได้มีพระราชดำรัสในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา
5 ธันวาคม พ.ศ. 2546
เกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียงโดยได้ทรงยกตัวอย่าง
จากการพึ่งพาตนเอง
ในโครงการต่อเรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่งชุดเรือ ต.91
ในอดีตของกองทัพเรือ กอปรกับในช่วงเวลานั้น
กองทัพเรือได้มีแผนปลดประจำการเรือตรวจการณ์
ใกล้ฝั่งชุดเรือ ต.11 ที่ได้รับความช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริก
เนื่องจากใช้งานมานานประมาณ 40 ปีแล้ว
กองทัพเรือจึงได้นำพระราชดำริฯ
มาดำเนินการพัฒนาแบบเรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่งชุดใหม่
ให้มีคุณสมบัติครบถ้วน และสอดคล้องกับแนวพระราชดำรัส
ดังกล่าว โดยขยายแบบเรือจากชุดเรือ ต.91 – ต.99
ให้ใหญ่ขึ้น
นอกจากจากพระอัจฉริยภาพในเรื่องพระแสงปืน
ดังที่กล่าวมาแล้ว
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร
ยังทรงพระปรีชาญาณเกือบทุกอย่าง
แม้กระทั่งการต่อเรือรบโดยพระองค์
ทรงนำประสบการณ์การต่อเรือใบและการแล่นใบ
พระราชทานให้กองทัพเรือโดยกรมอู่ทหารเรือได้ทำการต่อเรือรบ
เพื่อใช้ในราชการรวมสองครั้ง ครั้งแรกคือ
เรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่งชุด เรือ ต.91 – ต.99
ซึ่งเป็นโครงการในพระราชดำริของ
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร
เมื่อ ปี พ.ศ. 2511 และครั้งที่สองคือ
โครงการจัดสร้างเรือตรวจเรือใกล้ฝั่งเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา
เป็นโครงการของกองทัพเรือไทย
ที่ต่อยอดมาจากโครงการก่อสร้างเรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่งชุด
เรือ ต.91 – ต.99 (ครั้งแรก)
โดยมีจุดเริ่มต้นจากพระราชกระแสรับสั่ง
แก่ผู้บังคับหมู่เรือรักษาการณ์วังไกลกังวล
และผู้เข้าเฝ้า ฯ ณ วังไกลกังวล
เกี่ยวกับการใช้เรือของกองทัพเรือ
ในวันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2545 ความว่า
“เรือรบขนาดใหญ่มีราคาแพงและมีค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติงานสูง
กองทัพเรือจึงควรใช้เรือที่มีขนาดเหมาะสม และสร้างได้เอง
ซึ่งเมื่อสร้างเรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่งชุดเรือ ต.91 ได้แล้ว
ควรขยายแบบเรือให้ใหญ่ขึ้นและสร้างเพิ่มเติม”
กับทั้งได้มีพระราชดำรัสในโอกาส
วันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม พ.ศ. 2546
เกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียงโดยได้ทรงยกตัวอย่าง
จากการพึ่งพาตนเองในโครงการต่อเรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่งชุดเรือ ต.91
ในอดีตของกองทัพเรือ กอปรกับในช่วงเวลานั้น
กองทัพเรือได้มีแผนปลดประจำการเรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่งชุดเรือ ต.11
ที่ได้รับความช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกา
เนื่องจากใช้งานมานานประมาณ 40 ปีแล้ว
กองทัพเรือจึงได้นำพระราชดำริฯ
มาดำเนินการพัฒนาแบบเรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่งชุดใหม่
ให้มีคุณสมบัติครบถ้วน
และสอดคล้องกับแนวพระราชดำรัสดังกล่าว
โดยขยายแบบเรือจากชุดเรือ ต.91 – ต.99 ให้ใหญ่ขึ้น
ผู้บัญชาการกองทัพเรือ นำคณะนายทหาร เข้าถวายรายงานต่อ
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ในการดำเนินการต่อเรือ ต.991
ตามพระราชดำริ เพื่อมีพระราชวินิจฉัย โดย
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตรทรงมี
พระบรมราชวินิจฉัย
ในวันดังกล่าวคือ
• TRIM เรือมีผลกระทบอย่างมากต่อความเร็วเรือ
• รูปทรงส่วนท้ายเป็น Planing ควรให้โค้งมน ต้องมีความทนทะเล คลื่นลมในอ่าวไทยมีลักษณะสับสน
• ความเร็วเรือที่เสนอน่าจะเหมาะสม
• ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิง กำลังขับเคลื่อน ระยะปฏิบัติการ
• อุปกรณ์ช่วยการทรงตัว (Stabilizer)
• ความแข็งแรงของตัวเรือและความทนทาน ให้ใช้งานได้นาน
• ควรให้มีการติดตั้ง Spray Rail สำหรับการกระจายคลื่น
• การทำแบบจำลองเรือโดยใช้เทียนไข
• นำเรือเก่าที่จะไม่ใช้มาทดลองปรับปรุง
นับเป็นพระอัจฉริยภาพในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร
ทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยเรื่องการออกแบบอย่างแม่นยำ
และตรงประเด็น เพราะทรงรู้จักลักษณะคลื่นลมทะเล
จากการทรงเรือใบ จึงให้คำนึงถึงน้ำหนัก
และลักษณะท้องเรือเป็นพิเศษ
กล่าวได้ว่าพระองค์ทรงเป็นอัจฉริยบุรุษ
สมดั่งพระบารมีของพระองค์ท่าน
ปกเกล้าปกกระหม่อมให้พระสกนิกรชาวไทยได้อยู่ร่มเย็นเป็นสุข
ให้ประเทศไทยคลาดแคล้วจากภัยพิบัติทั้งปวงมา
ตลอดระยะเวลา ๗๐ ปี
ขอน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ
เป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้
ข้าพระพุทธเจ้า
ดร.โยธิน มานะบุญ
นักวิชาการอิสระ