ภาพประกอบ คุณ ชัย ราชวัตร
คุยกับประภาส
สวัสดีพี่ประภาส สามปีที่แล้วผมยังเป็นคนจบปริญญาตรีมีงานทำ รายได้ของผมเลี้ยงภรรยาและลูกหนึ่งคนสบายๆ แถมยังมีเหลือเอาไปทำบุญหรือบริจาคมูลนิธิต่างๆได้
สวัสดีพี่ประภาส สามปีที่แล้วผมยังเป็นคนจบปริญญาตรีมีงานทำ รายได้ของผมเลี้ยงภรรยาและลูกหนึ่งคนสบายๆ แถมยังมีเหลือเอาไปทำบุญหรือบริจาคมูลนิธิต่างๆได้
ผมชอบทำบุญเพราะติดจากแม่มาตั้งแต่เด็กๆ มาวันนี้หลังจากที่เศรษฐกิจบ้านเราพังยับ
ผมก็เป็นบัณฑิตตกงานเหมือนเพื่อนจำนวนมากของผม อย่าเข้าใจผิดว่าผมยอมแพ้ชีวิต
ผมกลับมาอยู่บ้าน ผมขายรถเก๋งแล้วก็ซื้อรถกระบะมือสองมาขับรับส่งของ รายได้ก็พอกระเบียดกระเสียนอยู่ได้ ผมยังรอวันที่เศรษฐกิจของไทยจะดีเหมือนก่อนผมจะได้กลับไปทำงานใหม่ ปัญหาของผมไม่ได้อยู่ที่เศรษฐกิจ มันเป็นปัญหาทางจิตใจ
ผมเริ่มรู้สึกว่าผมเริ่มเป็นคนดีไม่ค่อยจะได้แล้ว เรื่องมันเป็นอย่างนี้ครับตั้งแต่ผมมาขับรถกระบะผมถูกตำรวจดักจับเรื่องวิ่งผิดเลนบ่อยมาก
บางทีก็ถูกจับเพราะบรรทุกของสูงเกินไป ผมถูกจับปรับถี่จนชักเบื่อ ตอนหลังๆนี้ผมยอมติดสินบนให้ตำรวจตรงที่ถูกจับเลย ทั้งๆที่ตัวเองไม่ชอบเลย และเหมือนถูกแกล้งตั้งแต่มาขับรถกระบะผมต้องผจญกับพวกขับรถ เห็นแก่ตัวมากขึ้น บางทีผมยอมไม่ได้ผมก็แสดงอาการเห็นแก่ตัวโต้ตอบกลับไปเลย ยอมรับครับว่าอารมณ์ผมเปลี่ยนไป ผมทำบุญน้อยลงด้วย
ในใจลึกๆผมยังอยากเป็นคนดีอยู่ สมัยหนุ่มๆผมเคยตั้งใจจะทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อสังคมให้มากๆเมื่อเรียนจบไปแล้ว แต่สถานะการณ์ของผมตอนนี้ทำไม่ได้เลย พอคิดเรื่องนี้ทีไร ภาพที่สังคมทำกับผมก็ผุดขึ้นมาทุกที ทำให้ผมไม่อยากทำดี ทุกวันนี้เวลาผมเห็นตำรวจดักจับมอเตอร์ไซค์ หรือตำรวจเรียกรถผมเวลาขับผิดเลนนิดๆหน่อยๆผมอยากขับรถแหกไฟแดงให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย พี่มีความคิดดีๆเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้างมั้ยครับ ช่วยผมด้วย เมฆหมอก
. . . . . . . . . . .
(ตอบคุณเมฆหมอก)
สมัยเรียนมัธยมที่โรงเรียนแสนสุข หนองมน ผมเคยถูกตีหน้าเสาธง ถูกตีพร้อมๆ
กลุ่มเพื่อนๆที่หนีโรงเรียนไปเที่ยวด้วยกันทั้งกลุ่ม นักเรียนรุ่นหลังๆนี่อาจจะแปลกใจว่ามีการทำโทษนักเรียนหน้าเสาธงด้วยหรือ
ในสมัยก่อนนี้การถูกตีหน้าเสาธงนี่น่าอายมากนะครับ เป็นการถูกทำโทษที่ทั้งเจ็บทั้งอาย
ผมถูกทำโทษตอนเช้าพอตกสายครูฝ่ายกิจกรรมก็ให้คนมาตามไปพบเพื่อไปช่วย
แต่งกลอนขึ้นบอร์ดใหญ่ของโรงเรียนเนื่องในวันสุนทรภู่ที่จะมาถึง
ตอนที่เขามา ตามนั้นก้นยังเจ็บอยู่เลย แล้วนี่ผมยังต้องเดินไปเผชิญหน้ากับครูคนที่หวดก้นผม ในห้องพักครูอีก ใจมันเต้นแรงอย่างไรพิกล
ผมยังจำความรู้สึกตรงนั้นได้ดี อารมณ์โกรธและความรู้สึกน้อยใจมีอยู่ในตัวเด็กชายประภาสเคล้ากันอยู่ ระหว่างทางที่เดินไปที่ห้องพักครูก็ยังคิดอยู่ตลอดเวลาว่า
จะไปเขียนกลอนให้โรงเรียนทำไมในเมื่อครูทำโทษประจานเราหน้าเสาธงให้ได้อับอายอย่างนั้น จะเรียกว่าโกรธโรงเรียนก็คงไม่ผิด
ผมว่าตอนนี้ คุณเมฆหมอกก็คงกำลังมีอาการไม่แตกต่างจากเด็กชายประภาสวันนั้นเท่าไร . . ใช่ไหมครับ และเมื่อกลับมาคิดเรื่องนี้ในวันนี้
ผมพบว่าคนเรามักเอาเรื่องสองเรื่องที่ ไม่เกี่ยวกัน มักเอาเหตุผลสองเหตุผลที่ไม่เกี่ยวกันมาตัดสินอะไรบางอย่าง และผลการตัดสินมักออกมาแย่เสมอ จำกันได้ใช่ไหมครับ
ผมมักพูดเรื่องสองเรื่องที่ไม่เกี่ยวกันบ่อยๆตรงพื้นที่นี้
“ความเคารพกับการวิเคราะห์วิจารณ์เป็นคนละเรื่องกัน”
ผมเขียนเรื่องนี้เมื่อครั้งมีคุณพี่คนหนึ่งเขียนมาค้านผมเรื่องการใช้สรรพนาม แทนตัวในภาษาพูดของไทย “เชื่อไม่เชื่อเป็นเรื่องหนึ่ง การศึกษาค้นคว้าเป็นอีกเรื่องหนึ่ง”
ประโยคนี้เกิดขึ้นเมื่อเราคุยกันถึงเรื่องหมอดูและเรื่องผี
“ความผิดคือเรื่องหนึ่ง การให้อภัยคือเรื่องหนึ่ง”
เราคุยกันในเรื่องของครูคนหนึ่งที่ขโมยความฝันของเด็ก การให้อภัยเป็น
สิ่งควรทำในหมู่คนที่เจริญแล้ว แต่ความผิดไม่จำเป็นต้องหายไปมันควรยัง อยู่เพื่อเตือนใจ
“จะเลือกเพื่อนหรือเลือกแฟน?” จำเรื่องนี้ได้ใช่ไหมครับว่าทำไมต้องเลือก
มันคนละเรื่องกัน เราชอบเอามารวมกัน
คุณเมฆหมอกครับ ถึงบรรทัดนี้ผมคิดว่าคุณเมฆหมอกก็น่าจะพูดประโยคนี้
ออกมาอย่างสบายใจได้ว่า “การถูกตำรวจจับบ่อยๆหรือการถูกคนเห็นแก่ตัวบน ท้องถนนเอาเปรียบบ่อยๆ มันเป็นคนละเรื่องกันกับ การที่คุณจะทำดีเพื่อส่วนรวม”
หรือถ้าคุณเมฆหมอกจะพูดอีกทีว่า
“การที่ชีวิตตกต่ำลงกับการเป็นคนดีของสังคม เป็นคนละเรื่องกัน” ผมยิ่งยินดี
เราคงต้องแยกความโกรธและความน้อยใจในโชคชะตาออกไปจากความคิดดีๆ
ในตัวตนจริงๆของเรา น่าเสียดายออกครับอุตส่าห์มีความคิดดีๆอย่างนี้ อย่าให้ หลุดหายไปเลยครับ กลับมาที่เรื่องของเด็กชายประภาสต่อ
วันนั้นเด็กชายประภาสก็ไม่ได้คิดอะไรแยกแยะอย่างที่เราคุยกันวันนี้หรอกครับ
แต่มีอะไรบางอย่างก็ไม่รู้บอกเขาให้เขาช่วยงานโรงเรียนอย่างเต็มใจ
เขาแต่งกลอนอย่างสุดฝีมือ เขียนขึ้นบอร์ดด้วยลายมือตัวเองอย่างบรรจง
และเขาก็ระบายสีมันอย่างตั้งใจตลอดช่วงเวลาพักเที่ยง ความโกรธและความ
น้อยใจมันหายไปเมื่อไรไม่รู้ รู้แต่ว่าตกเย็นมีคนเห็นเขาเดินยิ้มไปเกือบทั่วโรงเรียน
สองวันต่อมา หน้าเสาธงที่เขาเคยถูกตีก้นทำโทษประจาน เขาได้รับเสียงตบมือ
จากนักเรียนทั้งโรงเรียน ครูใหญ่กล่าวชมเชยกลอนบทนั้นและพูดชื่อของ
เขาต่อหน้าแถวนักเรียน ยังครับเรื่องนี้ยังไม่จบ
อีกหนึ่งปีก่อนที่เขาจะจบจากโรงเรียนมัธยมแห่งนั้น
เด็กชายประภาสยังได้เดินไปยืนอยู่หน้าเสาธงต่อหน้าแถวนักเรียนอีกสองครั้ง
ครั้งแรกเขาขึ้นไปรับรางวัลจากครูใหญ่ในฐานะที่ไปตอบแข่งขันตอบปัญหาระดับจังหวัดได้รางวัลรองชนะเลิศ ส่วนอีกครั้งหนึ่งเขาถูกตีหน้าเสาธงอีกโทษฐานปีนรั้วโรงเรียนออกไปเที่ยวในตัวจังหวัด
ชีวิตคนเราก็อย่างนี้แหละครับคุณเมฆหมอก บางทีสังคมก็ตบมือให้เรา บางทีสังคมก็ตีก้นเรา แต่ไม่ว่าเราจะเจ็บก้นเท่าไรก็ตาม ความคิดที่จะทำอะไรดีๆ เพื่อสังคมไม่ควรหายไปจากใจเรา เพราะมันคนละเรื่องกัน