ย้อนรัก “อ๊อด คีรีบูน” ผู้เชื่อในพรหมลิขิต หลงรัก “เอ้ก” ภรรยาตั้งแต่อายุ 18 รักแรกและรักสุดท้าย
เผยแพร่:
ปรับปรุง:
โดย: ผู้จัดการออนไลน์
นับว่าเป็นข่าวเศร้าของวงการเพลงและแฟนๆ “คีรีบูน”
ที่ได้ทราบข่าวการสูญเสียนักร้องเสียงหวานมาดอบอุ่น “อ๊อด คีรีบูน”
รณชัย ถมยาปริวัฒน์ MGRonline ไปเจอบทสัมภาษณ์ อ๊อด ในนิตยสาร Hug
ที่เล่าถึงเส้นทางความรักระหว่างตนกับภรรยา “เอ้ก” ผู้เป็นรักแรก ที่เรียบง่ายและโรแมนติก
โดยอ๊อดได้เล่าว่าเจอกันครั้งแรกบนเรือริมแม่น้ำเจ้าพระยา ตอนนั้นอ๊อด อายุเพียง 18 ปี
ที่กำลังรวมกลุ่มเพื่อนๆ ตระเวนออกประกวดดนตรีโฟล์กซองตามเวทีต่างๆ จนมีโอกาสได้รู้จักกับวง “เขิน”
ซึ่งนักร้องนำของวงได้กลายเป็นสื่อที่ทำให้เขารู้จักกับเอ้ก
“ผมไปกินข้าวกับเพื่อนที่นั่น เขาก็ไปกับเพื่อนเขา ตอนแรกก็นั่งกลุ่มใครกลุ่มมัน
แต่ไปๆ มาๆ ก็เริ่มทำความรู้จักกัน ถึงได้รู้ว่า อ๋อ! อายุเท่ากัน
และเรียนชั้นเดียวกัน แว๊บแรกที่เห็นเธอก็เตะตาเลย สาวผมสั้น แต่งตัวทอมบอย แก่นๆ ซนๆ
เสื้อต้องยกคอตั้งตลอด (หัวเราะ) ถ้าให้นึกภาพก็ประมาณนางเอกละครเรื่องดาวเรืองนั่นแหละครับ
ก็รู้สึกว่า เอ... เธอดูกวนๆ ไม่ใช่ทอม แต่อารมณ์ประมาณผู้หญิงซนๆ
แล้วการวางมาดแบบนี้ก็คือการป้องกันตัวเอง เราก็รู้สึกว่า อยากเอาชนะ
ถามว่าเป็นสเปกไหม จะว่าใช่ก็ใช่นะครับ ผมชอบผู้หญิงหลายสไตล์ หวานก็ได้
มั่นใจก็ชอบ แล้วแต่ว่าจะเจอแบบไหน แต่ตอนเจอเขา
เราก็รู้สึกว่าใช่เลยนะครับ ส่วนปฏิกิริยา ต่างคนต่างเฉยก่อน
มีฟอร์มทั้งคู่ พอเริ่มคุย และได้แลกเปลี่ยนความคิดกันมากขึ้น
ทำให้ผมยิ่งพบว่าเสน่ห์ของคนคือการได้ค้นหาตัวตนซึ่งกันและกัน
และทำให้ผมได้รู้ว่าเสน่ห์ของเธออยู่ที่คุณค่าภายในความรู้สึก
หลังจากนั้นยิ่งมั่นใจมากขึ้นว่าเธอคือคนที่ใช่
ผมยอมรับว่าที่จริงแล้วที่มองๆเธอตั้งแต่ต้นไม่ได้ตั้งใจคบเป็นเพื่อน
แต่ตั้งใจคบเป็นแฟนเลยนะครับ ก็โทร.ไปหาเธอบ่อยๆ”
เชื่อในเรื่องบุพเพสันนิวาส
“เชื่อครับ เพราะเราเจอคนตั้งมากมายไม่เห็นรู้สึกอะไร แต่เจอเธอครั้งแรก
มันรู้สึกพิเศษ แต่ในความพิเศษนั้นอธิบายไม่ถูกเหมือนกัน
ทำไมคนนี้เตะความรู้สึก เหมือนมีพลังงานบางอย่างดึงดูดกันอยู่
หรือต่อมาได้เจอคนอื่น ก็ไม่รู้สึกแบบนั้น เวลาอยู่กับเขาแล้วไม่เหมือนคนอื่น
ปกติผมเป็นคนจริงจังกับการทำงาน พูดน้อย แต่พออยู่กับเขา
เราคุยน้ำไหลไฟดับเลย คุยได้ทั้งวันจนไม่อยากเลิก
ซึ่งเราก็มีนิสัยขี้เล่นปนอยู่ด้วย เวลาเล่นก็เล่นแบบเด็กๆ (หัวเราะ)
ในปี พ.ศ. 2526 อ๊อดเริ่มมีชื่อเสียงในนามวง คีรีบูน และเรียนที่คณะเศรษฐศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ส่วนเอ้กเรียนที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
ถนนสายดนตรีคือสิ่งที่เขาใฝ่ฝัน แต่ถนนสายความรักก็กำลังงอกงามขึ้นเช่นกัน
พร้อมบททดสอบที่ประดังเข้ามาเจอสาวๆ เยอะแยะแต่มั่นคง
“ยอมรับว่าเจอด่านลองของเยอะนะ ทั้งแฟนเพลง และที่มหาวิทยาลัย
แต่เราก็มั่นคงครับ เพราะอย่างไรผมก็มีเพียงเธอเท่านั้น
สิ่งที่ทำให้รักงอกงามและเติบโตเป็นความจริงใจและความประทับใจที่มีให้กันครับ
ครั้งแรกที่เขาโทร.มาหาผมถามว่า อ๊อดทำอะไรอยู่ ผมก็ลังเลจะตอบและอ้ำอึ้ง
ไม่กล้าบ่ายเบี่ยงที่จะตอบ จนกระทั่งเธอโทร.มาเวลาเดิมอีก อ๊อดทำอะไรอยู่
ในที่สุดผมก็... อ๊อดเอ่อ... อ๊อดซักผ้า(หัวเราะ) หลังๆมาบอกหมดเลย
อ๊อดทำอะไรอยู่... ถูบ้าน... ล้างห้องน้ำ... กรอกน้ำ ผมมีหน้าที่ที่ต้องทำตลอด
เธอบอกว่านี่คือสิ่งที่ประทับใจในตัวผมมาก เพราะไม่ใช่ผู้ชายทุกคนที่จะทำ
เชื่อไหมครับ เพลงของผมเธอไม่ค่อยได้ฟัง ไม่รู้จัก แต่เธอสนใจเรื่องศิลปะ
พวกงานครีเอต วาดภาพ ฉะนั้นข่าววงการเพลงไม่สนใจ ไม่ค่อยรู้เรื่อง
แต่เธอใส่ใจความรู้สึกของผม รักผมที่เป็นตัวผม ไม่ว่าผมจะเป็นอะไรก็ตาม
ที่สำคัญคือ ผมว่าเธอแคร์ในสิ่งที่ผมรัก แม้เธอไม่ได้รักในสิ่งนั้น
แต่ให้เกียรติ สนับสนุน และให้พื้นที่แก่ผม ซึ่งตัวผมเองก็เช่นกัน
เธออยากทำอะไรที่เป็นความสุขก็ให้เธอทำ เธอชอบอะไรผมก็ชอบเหมือนกัน
แม้เราจะสนใจคนละเรื่อง
สิ่งที่ประทับใจอีกอย่างคือ เธอเป็นลูกสาวคนเดียว แม้จะมีพี่ชายอีกคนก็ตาม
พ่อแม่หวงมาก แต่เธอก็พร้อมจะลุยกับผมไปทุกที่
นอนกลางดินกินกลางทราย เที่ยวป่า ปีนเขา
ฉะนั้นทุกอย่างที่เป็นเธอจึงเป็นสิ่งที่ผมชอบ”
เผยเพลงที่แต่งให้ภรรยา
“หลายเพลงที่อยู่ในคีรีบูนเป็นสิ่งที่มาจากความรู้สึกภายในของผม
บางคนคิดว่าเป็นเพลง รอวันฉันรักเธอ แต่นั่นผมแต่งให้เพื่อนที่เป็นอดีตมือกลองคนหนึ่ง
ซึ่งไปรักสาวคนหนึ่งที่จะไปเรียนเมืองนอก ส่วนเพลงที่ผมแต่งให้เธอเป็นพิเศษคือ
เพื่อสองเรา ซึ่งเป็นเพลงที่เธอชอบมากเช่นกัน”
ในความรู้สึกของเอ้ก ฝากผ่านมาทางคำบอกเล่าของอ๊อดว่า…
“ตอนที่เขามีชื่อเสียง การวางตัวคือจะให้เกียรติงานของเขา
ไม่เข้าไปวุ่นวาย ไม่ตามไปงานคอนเสิร์ต เพราะไม่อยากให้เขาต้องพะว้าพะวัง
ทั้งหวั่นว่าถ้าหากเข้าไปอยู่ในส่วนนั้นด้วย อาจจะมีจุดที่ทำให้เกิดปัญหามากมาย
และมั่นใจด้วยว่า หากหมดภารกิจตรงนั้นแล้ว
ท้ายที่สุดเขาก็จะกลับมาให้เวลากับเราเอง
ตอนมีชื่อเสียง บริษัทเสนอรถยุโรปราคาแพงให้ แต่คุณอ๊อดก็ยังสมถะใช้รถญี่ปุ่นเก่าๆ ราคาถูก
รถคันที่ผมขับเข้ามหาวิทยาลัยเป็นคันที่เล็กที่สุด เก่าที่สุด และราคาถูกที่สุด ก็อายนะ
เพราะเราเองก็เติบโตมากับค่านิยมของสังคม แต่มีปัญญาเท่านี้
แม้บริษัทเสนอรถใหม่ให้ แต่เราไม่อยากตกเป็นทาสวัตถุ
วันหนึ่งถ้าชีวิตตกอับขึ้นมา ต้องถอยจากบีเอ็มมาขับโตโยต้า กล้าหรือเปล่า ก็ไม่กล้า
จึงขอเริ่มต้นที่โตโยต้าพอ ส่วนคุณเอ้ก ขอโทษ นั่งกับเรา ไม่ติดฟิล์มก็นั่งได้ หน้าเชิด ไม่อายใคร
แถมยังบอกเราด้วยซ้ำว่า ทำไมต้องอาย กลายเป็นเธอเตือนสติผม
นั่นจึงได้คำตอบเลยครับว่า นี่แหละคือแม่ของลูกเรา
พบจบมหาวิทยาลัยได้ 2 ปีก็แต่งงานกัน ปี 2532 เท่ากับคบกันมา 7 ปี
ซึ่งถือว่าแต่งงานเร็วนะครับ แต่คิดว่าถ้าใช่ก็ตัดสินใจเลยดีกว่า
นั่นเพราะผมมองเห็นคุณค่าภายในของเธอ เพราะความรู้สึกมันบอกว่า
ผู้หญิงคนนี้เป็นแม่ของลูกและคือคนที่จะอยู่เคียงข้างเราตลอดไป”