“ เรวัต พุทธินันทน์ ” ชีวิตที่มีดนตรีในหัวใจ...
เขาสูงล้ำค้ำฟ้าตระหง่าน
เหล่าภัยพาลคืบคลานเป็นเงา ยิ่งสูงยิ่งหนาว ยอดเขายังห่างอยู่บนทางนึกหวั่น
นึกพรั่น ความหนาว...
คุณผู้อ่านหลายท่านคงได้ยินบทเพลงนี้จนคุ้นชิน
เพราะมันเป็นบทเพลงที่สะท้อนให้เห็นสัจธรรมหลายๆ
อย่างบนโลกใบนี้ที่มีแต่การแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น
และมีการหวังผลประโยชน์จากฝ่ายตรงข้ามเสมอ...
ยิ่งสูงก็ยิ่งทำให้เราหวั่นๆ
ว่าแต่ละคนที่เข้ามาคบหา
เราต้องการอะไร แต่ในอีกมุมหนึ่ง
เพลงๆ
นี้ก็จะทำให้คุณผู้อ่านนึกถึงคนๆ หนึ่งที่ไว้หนวดเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวบวกกับน้ำเสียงนุ่มๆ
ซึ้งๆ ที่เมื่อได้ยินบทเพลงของเขาทีไรทำให้เราเคลิบเคลิ้มได้ทุกที
หลายท่านคงยังนึกไม่ออก ผู้เขียนขอเฉลยเลยแล้วกันว่าเขาผู้นั้นคือ “เรวัต พุทธินันทน์ ” หรือ “พี่เต๋อ ” นั่นเอง
...
ลองมาอ่านประวัติคร่าวๆ ของชายมีหนวดคนนี้กันดีกว่า
“เต๋อ...เรวัต พุทธินันทน์ ” เกิดเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2491 เป็นบุตรของนาวาตรีทวี และนางอบเชย พุทธินันทน์
ชีวิตในวัยเด็กก็เป็นเช่นเดียวกับคนทั่วๆ ไป
คือมีหน้าที่เรียนจนกระทั่งมาฉายแววการเป็นนักดนตรี
ก็อีตอนที่เรียนอยู่ในชั้นมัธยมศึกษา เพราะได้มีการรวมกลุ่มกับเพื่อนๆ
ที่มีชื่อกิ๊บเก๋ว่า Dark Eyes ซึ่งจะรับเล่นตามงานสังสรรค์ในกลุ่มเพื่อนๆ
เท่านั้น และต่อมาไม่นานได้เปลี่ยนชื่อวงเป็น Mosrite เมื่อเข้าประกวดวงดนตรีของสมาคมดนตรีแห่งประเทศไทย
แถมยังคว้ารางวัลชนะเลิศได้ถึง 2 ปีซ้อน (ปี 2508-2509) เป็นไงเจ๋งไหมล่ะ
เท่านั้นยังไม่พอ
เพื่อเป็นการตอกย้ำว่าเขาและดนตรีมีความผูกพันกันขนาดไหน
จึงตั้งวงดนตรีขึ้นมาในรั้วมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีชื่อวงว่า Yellow Red ...อ้อ!
หลายท่านอาจสงสัยว่าเค้าเรียนสาขาดนตรีหรือเปล่าหนอ ? ผู้เขียนขอตอบว่าเปล่าเลย
เขาเรียนสาขาการเงินการธนาคาร คณะเศรษฐศาสตร์
(หลายท่านอาจจะร้องออกมาว่าไม่เห็นจะเกี่ยวกับวงดนตรี)
ใช่ไม่เกี่ยวกับสาขาที่เรียน แต่เกี่ยวกับความผูกพันมากกว่า
หลังจากที่วง Yellow Red สลายตัว
เขาก็ไม่ยอมหยุดอยู่แค่นั้น เป็นตัวตั้งตัวตีเพื่อตั้งวงดนตรีขึ้นมาอีกครั้ง
แต่ในครั้งนี้ใช้ชื่อวงว่า The Thanks สมาชิกในวงก็ไม่ใช่ใครที่ไหนก็เพื่อนๆ
ในจุฬาและธรรมศาสตร์นั่นแหละ ซึ่งในวงจะเป็นการสร้างวงดนตรีสมัยใหม่
ทำให้เป็นที่ชื่นชอบของเหล่านิสิตนักศึกษาในสมัยนั้น
เรียกได้ว่ามีชื่อเสียงในระดับหนึ่งเลยทีเดียว
ซึ่งนอกจากนี้ยังมีโอกาสได้ไปแสดงสลับกับวงที่มีชื่อเสียงโด่งดังเปรี้ยงปร้างในสมัยนั้น
อย่างเช่น สุนทราภรณ์ และ The Impossible อีกด้วย
เล่ามาถึงตรงนี้
ผู้เขียนรู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมาทันที ก็แหมมันน่าทึ่งหรือเปล่าล่ะ
ที่วงดนตรีโนแนมที่รู้จักเฉพาะกลุ่มนิสิตนักศึกษาจุฬาและธรรมศาสตร์
แต่มีโอกาสได้เล่นสลับกับวงดังๆ อย่างนั้น
ต่อมาหลังจากจบการศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัย
ด้วยความที่มีความโดดเด่นทางด้านดนตรี บวกกับพรสวรรค์ทำให้ได้รับการติดต่อจากวง The Impossible ให้เดินทางไปเล่นที่ฮาวาย
ประเทศ U.S.A.
โน้น แถมยังไปในตำแหน่งร้องนำและมือคีย์บอร์ด จากนั้นก็ตระเวนร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำในแถบยุโรป
สแกนดิเนเวีย และครั้งหลังสุดก็คือที่ประเทศไต้หวัน กรุงไทเป
ตระเวนเล่นอย่างนั้นอยู่ 4 ปี กับวง The Impossible
ปี 2520 หลังจากวง The Impossible ยุบตัวลงก็ได้รับการชักชวนจากวินัย
พันธุรักษ์ ตั้งวงดนตรีขึ้นชื่อ The Oriental Funk ซึ่งก็เดินสายเล่นแถวๆ
ยุโรปและอเมริกา ทำวงอยู่ได้ประมาณ 4 ปี ก็รู้สึกว่ามันสุดๆ แล้ว
สมาชิกแต่ละคนก็แยกย้ายกันไปตามความฝันอย่างอื่นบ้าง ส่วนพี่เต๋อนะเหรอ
ก็ผันตัวเองมาอยู่เบื้องหลัง และร่วมกันก่อตั้งบริษัททำเพลงประกอบโฆษณา
และเพลงประกอบภาพยนตร์ร่วมกับวินัย พันธุรักษ์ (แหมก็หนีไม่พ้นงานเพลงอยู่ดี)
ด้วยพรสวรรค์ที่เปี่ยมล้น
พวกกับประสบการณ์ที่สั่งสมมานานนับ 10 ปี
ทำให้มีมุมมองที่ก้าวไกลโดยมีวัตถุประสงค์หลัก
เพื่อให้เพลงไทยได้มาตรฐานและเป็นที่ยอมรับจากนานาประเทศ
จึงตัดสินใจลงขันหุ้นกับอากู๋ ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม ( Boss ใหญ่แกรมมี่ในปัจจุบัน)
ตั้งบริษัท แกรมมี่ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด ในปี 2526
ซึ่งสรรค์สร้างผลงานเพลงต่างๆ ให้เป็นที่ยอมรับ
พร้อมทั้งผลักดันวงการดนตรีที่คนดูถูกให้กลายเป็นที่ยอมรับ เป็นธุรกิจในรูปของศิลปะอีกแขนงหนึ่งนั่นเอง
ด้วยความที่เป็นคนที่มีใจรักทางด้านนี้
จึงได้สร้างสรรค์ผลงานของตัวเองออกมา
ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นอัลบั้มเดี่ยวอัลบั้มแรกก็เป็นได้ ใช้ชื่อว่า เต๋อ 1
ได้รับการตอบรับอย่างท่วมท้น จนทำให้มีผลงานเพลง เต๋อ 2 และ เต๋อ 3 และชอบก็บอก
รวมเป็น 4 อัลบั้มหลักออกมาอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งแต่ละอัลบั้มล้วนแล้วแต่เป็นที่ยอมรับทั้งสิ้น
แต่ละเพลงที่ถ่ายทอดออกมาจะแฝงไปด้วยแนวคิด
และเกร็ดคุณค่าของชีวิตที่เมื่อฟังกี่ครั้งก็ยังไม่ล้าสมัยอยู่ดี อย่างเพลง
ยิ่งสูงยิ่งหนาว , เจ้าสาวที่กลัวฝน ฯลฯ คงไม่มีใครปฏิเสธว่าไม่รู้จัก
พี่เต๋อนอกจากสวมบทบาทนักร้องแล้วยังมีโอกาสแสดงภาพยนตร์ที่โด่งดังมาก
ที่เห็นจะหนีไม่พ้นเรื่องน้ำพุ (ผู้เขียนเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าได้ดูหรือเปล่า
แต่พ่อกับแม่เล่าให้ฟังว่า สมัยก่อนดังมากๆ) นอกจากสาขาการแสดงแล้วยังเป็นเจ๊ดัน
เอ๊ย!...ไม่ใช่ผู้ผลักดัน นักร้องรุ่นแรกของแกรมมี่อย่าง นันทิดา แก้วบัวสาย , แหวน ฐิติมา สุตสุนทร
หรือแม้กระทั่ง Super Star ตลอดกาลอย่างพี่เบิร์ด ธงไชย
แมคอินไตย (โห!...สุดยอดคนดังๆ ทั้งนั้น)
อ้อ!...ลืมเล่าไปว่าพี่เต๋อแต่งงาน
ก็แฟนสาวที่คบกันตั้งแต่เรียนอยู่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เธอผู้นั้นคือ คุณอรุยา สิทธิประเสริฐ
มีโซ่ทองคล้องใจที่เราคุ้นชินกันดีคือ แพ็ท สุทธาสินี พุทธินันทน์ และ พีช
สิดารัศมิ์ พุทธินันทน์
แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น
เมื่อเขาต้องจบชีวิตลงด้วยวัยเพียง 48 ปี เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2539 โดยจากไปอย่างสงบ
ท่ามกลางความโศกเศร้าของคนรอบข้าง
และก็เป็นการจบตำแหน่งสุดท้ายของประธานกรรมการบริษัท แกรมมี่ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์
จำกัด (มหาชน)
แต่อย่างไรก็ตาม
ถึงแม้พี่เต๋อจะจากไปแล้ว แต่ผลงานเพลงต่างๆ ของเขาก็ยังมีคนนำมาร้อง
เพื่อให้ระลึกถึงอยู่เสมอ... อย่างเช่น เพลงตะกายดาว
ที่แต่งให้กับพี่ติ๊นากับพี่ตู่ร้อง ที่หลายๆ
เวทีเมื่อทำการประกวดร้องเพลงเวทีใดก็ตาม ก็จะมีคนหยิบมาร้องทุกครั้ง
ผู้เขียนฟังแล้วก็ยังมีกำลังใจที่จะทำงานต่อไปเลย ยิ่งเมื่อไรที่ฟังท่อนที่บอกว่า
“อยากจะเป็น จะมุ่งไป
เป็นอะไรดีดีสักอย่าง คงจะมีหนทางก็ฝันกันไป
อยากจะเป็นคนสำคัญ
คงสักวันจะก้าวไกล ไปเป็นดวงดาวใหญ่จะโด่งจะดัง
แม้จะล้มก็คิดจะคลาน
เหงื่อจะซ่านกระเซ็น ก็คิดแล้วคุ้มจะขอไปเป็นอย่างหวัง
จะร้อนหรือหนาวก็พร้อมจะทน
จะไปเป็นคนยิ่งใหญ่ ค้นกันไปหนทาง
ก็อยากจะดังมันจึงต้องไป
ในเมื่อใจมันเอาซะอย่าง ยอมทำทุกทางตะเกียกตะกาย ”
ผู้เขียนรู้สึกว่ามันแฝงไปด้วยพลังบวกกับกำลังใจที่ทำให้คนเรารู้สึกว่า
อย่าท้อกับปัญหาที่จะพบเจอ ถึงแม้ล้มก็ยังสามารถคืบคลานได้ เพื่อฝันข้างหน้า
นี่แหละคือแง่คิดของคนธรรมดาที่ไม่ธรรมดา อย่าง เต๋อ เรวัต พุทธินันทน์
http://www.ter-rewat.th.gs/
เรียบเรียงโดย
: ศิริพร กองเปง E-mail : Siriporn@fpmconsultant.com
VIDEO
VIDEO
VIDEO