Custom Search

May 31, 2008

รัก | สาม | เศร้า

From T2
The Idol : ยุทธเลิศ สิปปภาค

“รัก สาม เศร้า” หนังเรื่องที่ 8 ของยุทธเลิศ สิปปภาค
ที่เจ้าตัวบอกว่าเป็นหนังเรื่องที่เขาอยากทำมา

ตั้งแต่ครั้งแรกที่ตัดสินใจทำหนัง
แต่ไม่มีโอกาสจวบจนเวลาผ่านไป 10 ปี
From T2


 
“รัก สาม เศร้า ของผม มันจะไม่เศร้าอย่างชื่อเรื่องมันจะเป็นหนังซึ้งๆ แทน เป็นมุมมองความรักที่ผมอยากเห็นหนังรักทั่วไปอาจจะมีความโรแมนติกแต่คำว่าโรแมนติกใช้กับเรื่องนี้ไม่ได้
เพราะมันเป็นหนังของเพื่อน เวลาเพื่อนรักกันมันจะมีความลำบากใจมากกว่า
ต้องคิดหนัก ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ มันเป็นความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อน 3 คน ผมอยากทำหนังรักในอุดมคติที่จับต้องได้”ยุทธเลิศบอก
รัก สาม เศร้า เป็นเรื่องราวรักสามเส้าของเพื่อน 3 คนคือ
ฟ้า, น้ำ, และพายุ บัณฑิตจบใหม่จาก

คณะมัณฑณศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
ที่ได้นักแสดงขวัญใจสาวๆ อย่างเป้- อารักษ์ มารบบทพายุ ประกบกับสาวสวยเซ็กซี่อย่าง
พีค
ที่รับบทเป็นฟ้าและ
สาวเก๋อย่างดีเจก้อยมีรับบทเป็นน้ำ

ยุทธเลิศพูดถึงการคัดเลือกนักแสดงทั้งสามคนนี้ว่า
“ผมเริ่มต้นจากการหาตัวพายุ พระเอกของเรื่องก่อน

ซึ่งก็ได้ เป้ – อารักษ์ มารับบทนี้
เขามีบุคลิกภายนอกตรงกับตัวละครที่ผมเขียน

และหลังจากมีโอกาสได้ดู
ผลงานการแสดงภาพยนตร์เรื่องแรกของเขา
คือบอดี้..ศพ#19 ผมรู้สึกว่าคนนี้คือ พายุ
ในแบบที่ผมอยากจะให้เป็น
คนต่อมาคือ พีค-ภัทรศยา รับบท ฟ้าค
รั้งแรกที่เห็นเขา รู้สึกอยากจะปรับบุคลิกให้เปลี่ยนไป
พอลองเทสต์ดูแล้วน้องเขาสามารถทำได้ดีจนภาพของ
น้ำปั่น สาวสวยเซ็กซี่ ในสายลับจับบ้านเล็ก
แทบจะหมดไป

ส่วน ก้อย - รัชวิน รับบท น้ำ
หลังจากให้ลองมาแคสดู รู้สึกว่าเขามีความเก๋อยู่ในตัว
และสามารถถ่ายทอดอารมณ์ตัวละครหลังจากอ่านบทได้ดี
เวลาเราแคส
เราไม่ได้แคสคนเดียว
ต้องเอามาประกบกันทั้ง 3 คน

เพราะหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่จะเล่าถึง
ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนที่แข็งแรงมาก
และ 3 คนนี้ค่อนข้างกลมกลืน
และทำให้ผมเชื่อว่าพวกเขาจะเป็นเพื่อนรักกันได้”


From T2
ยุทธเลิศ สิปปภาค (Yuthlert Sippapak)
เกิดที่จังหวัดเลย เขาเริ่มสนใจ ศิลปะอย่างจริงจัง
ตั้งแต่ยังอายุน้อย ตอนอายุ 18 ปี

เขาเดินทางเข้ากรุงเทพฯ
เพื่อศีกษาที่ มหาวิทยาลัยศิลปากร
ได้รับปริญญาสาขาวิชาการออกแบบตกแต่งภายใน
จากนั้น เปิดบริษัทรับออกแบบของตนเอง
แต่ทำได้ไม่ถึงปีเขาจึงค้นพบว่า
นั่นไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเขา
เขาเก็บข้าวของยัดใส่กระเป๋า

ข้ามน้ำข้ามทะเล มุ่งสู่มหานครนิวยอร์ค
โดยคิดจะหางานเป็นสถาปนิก
แต่แล้วก็มาลงเอยที่การเรียนศิลปะอีก
เขาเล่าให้ฟังว่าเขาได้ใช้เวลา 2 ปี
ลับฝีมือในการวาดภาพอีกครั้ง
ในช่วงนั้นเขาใช้ชีวิตสนุกสนาน
ในนิวยอร์คไปพร้อม ๆ กัน บางครั้งก็สนุกกับแสงสียามราตรี
ของนิวยอร์คกับกลุ่มเพื่อนซึ่งมีหลายคนที่เรียนด้านภาพยนตร์
และตั้งใจจะยืดเป็นอาชีพด้วย เมื่อได้คลุกคลีกับเพื่อนกลุ่มนี้สักพัก
เขาจึงค่อย ๆ ค้นพบตัวเองว่า การทำหนังนี้เองที่เขาอยากทำ

พอกลับถึงกรุงเทพฯ เขารีบเข้าไปที่
บริษัท ไทเอ็นเตอร์เทนเมนท์ และ
บอกว่าเขาอยากกำกับหนัง
แต่เรื่องไม่ใช่จะง่ายอย่างนั้น

ทางบริษัทฯ บอกว่าเอาบทหนังดีๆ
มาให้ดูก่อนแล้วค่อยมาว่ากัน
เขากลับบ้านไปเขียนบท 3 หน้ากระดาษ
เรื่อง รักเธอเสมอแล้วกลับไปที่ ไท อีก
บทของเขาไม่เข้าตาเลยสักนิด

ทางบริษัทฯบอกว่า ถ้าอยากกำกับหนังจริง ๆ
ก็ค่อยมาใหม่อีกที แต่ให้เอาบทหนังที่
เป็นเรื่องเป็นราวกว่านี้มาด้วย
ยุทธเลิศ โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ

แต่ความโกรธก็ทำให้เขายิ่งมุ่งมั่น
เขากลับไปนิวยอร์ค
ทำงานรับเขียนแบบให้สถาปนิก

ขณะเดียวกันก็ใช้เวลาว่าง
ศึกษาการเขียนบทภาพยนตร์ด้วยตัวเอง
เขาติดต่อ ไทเอ็นเตอร์เท็นเมนท์

อีกครั้งพร้อมด้วยบทหนังที่ใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้ว
เรื่อง โอ เนกาทีฟ
(อิงบทหนัง 3 หน้ากระดาษที่เขาเสนอไปครั้งแรก)
คราวนี้ ไท ให้เขาเป็นผู้ช่วยผู้กำกับหนังเรื่องนั้น
แต่

ตอนนั้นเขายังอ่อนประสบการณ์ในวงการหนัง
เขาจึงปฏิเสธข้อเสนอนั้นไป
และกลับไปเขียนบทจนเสร็จสมบูรณ์จึงกลับไปที่ ไท อีก

คราวนี้ บริษัทบอกว่าบทหนังที่เสนอมานั้นดีทีเดียว

แต่หนังเรื่องนี้ไม่ทำเงินแน่ ๆ
ถึงจะได้ฟังเช่นนี้ เขาก็ยังไม่หมดไฟฝัน
เขาหอบบทที่เขียนเสร็จแล้วนั้น
ตระเวนขายไปทั่ว จน แกรมมี่
แสดงท่าทีสนใจมาก
และได้ขอซื้อลิขสิทธิ์บทเรื่องนั้นไป

ยุทธเลิศตกลงขายบทให้แกรมมี่
โดยเข้าใจว่า เขาจะได้เป็นผู้กำกับด้วย
แต่ไม่เป็นเช่นนั้น
เพราะลิขสิทธิ์ได้ถูกขายไปแล้ว
แกรมมี่ทำหนังเรื่องนี้ออกมา
โดยเขาไม่ได้มีส่วนร่วมอะไรอีก

ถึงจะล้มแล้วยังลุกใหม่ได้ ยุทธเลิศจึงเริ่มเขียนบทหนังเรื่องใหม่
ออกมาเป็นหนังเบาสมองชื่อว่า มือปืน โลก/พระ/จัน คราวนี้
เขาเป็นผู้กำกับเอง ใช้ดารานำเป็นยอดดาวตลกของเมืองไทย
ถึงจะตีตราว่าเป็นหนังตลก แต่ยุทธเลิศบอกว่า
เป็นเรื่องที่มีความเป็นดราม่าพอตัว

มือปืน โลก/พระ/จัน
เป็นหนังเรื่องแรกที่ยุทธเลิศกำกับเรื่องแรก
และเขาก็ยังคงมุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์หนังดี ๆ ออกมาอีก
สำหรับเรื่องต่อไป เขาวางแผนจะ
ทำหนังรัก โรแมนซ์ ซึ่งเขาจะลงมือเขียนบทเองอีกเช่นเคย


From T2










May 23, 2008

เชื่อเถิด..กระดาษเอทีเอ็มยาวพันโลก กระเทือนแผ่นดินไหวได้


มติชน
24 พฤษภาคม 2551

โศกนาฎกรรม พายุไซโคลนพัดกระหน่ำพม่า ถัดมาอีกสัปดาห์แผ่นดินไหว
ถึง 8 ริกเตอร์ถล่มประเทศจีน คร่าชีวิตผู้คนน้อยใหญ่ ยังคงไว้ซึ่งน้ำตาและความอาลัย
ไปดูกันเถิดว่าต้นตอของเหตุมาจาก....!!
ร่องรอยความเสียหายและคราบน้ำตายังไม่ทันจะเลือนหายไป
จากความทรงจำของชาวพม่า หลังจากพายุไซโคลนนาร์กีส
ที่มีความเร็วลม 190 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พัดเข้าถล่ม
บริเวณพื้นที่แถบสามเหลี่ยมปากแม่น้ำอิระวดีและนครย่างกุ้ง
เมืองหลวงเก่าของประเทศพม่าสร้างความเสียหายไปทั่วทุกหัวระแหง
หลังคาบ้านเรือนปลิวว่อนต้นไม้และเสาไฟฟ้าหักโค่น ไฟฟ้าดับทั่วเมือง
หลายชีวิตตกอยู่ในความมืด และอีกกว่าแสนชีวิตที่ต้องสังเวยให้กับภัยพิบัติในครั้งนี้
ระยะเวลาห่างกันไม่กี่วัน เกิดเหตุแผ่นดินไหวบริเวณมณฑลเสฉวนของประเทศจีน
ด้วยแรงสั่นสะเทือนขนาด 7.8 ริกเตอร์ บ้านเรือนพังทลายเป็นแถบ
หลายชีวิตถูกฝังทั้งเป็น ประชาชนหลายคนกลายเป็นผู้ไร้ที่อยู่
เคราะห์ซ้ำกรรมซัดอีกระลอก
เมื่อมีอาฟเตอร์ช็อคขนาด 6 และ 5.4 ริกเตอร์ตามมาติดๆ
ยอดผู้เสียชีวิตนับหมื่นที่ต้องสังเวยให้กับโศกนาฏกรรมทางธรรมชาติอีกครั้ง
หลายคนวิตกกังวลว่าเมื่อใดจะถึงคราวของประเทศไทย
ไม่มีใครล่วงรู้ว่าภัยธรรมชาติจะเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อใด
และจะสร้างความสูญเสียอีกมากมายเท่าใด
และแน่นอนว่าเราไม่สามารถหยุดยั้งเหตุการณ์เหล่านี้ได้
แต่เราสามารถป้องกันและบรรเทาความรุนแรงให้ลดน้อยลงได้
ด้วยการลดการ 'ใช้' ให้น้อยลง และ 'ใช้' สิ่งของทุกชิ้นอย่างประหยัด
และรู้คุณค่ามากขึ้น
'เชื่อหรือไม่?..ว่าการไม่รับใบบันทึกรายการจากตู้เอทีเอ็ม
จะช่วยประหยัดกระดาษกว่าสองพันล้านฟุต ซึ่งมากพอ
ที่จะใช้พันตามเส้นศูนย์สูตรได้รอบโลกถึง 15 ครั้ง'
แต่นี่เป็นเรื่องจริงที่ถูกกล่าวไว้ใน The green book ผลงานแปลสีเขียวจาก
โตมร ศุขปรีชา เขียนโดย เอลิซาเบธ โรเจอร์ส และโธมัส เอ็ม. คอสทิเจน
หนังสือที่จะมาบอกเล่าคำแนะนำที่ง่ายแสนง่ายในการเริ่มต้นรักษาโลกด้วยมือของเรา
เพียงสิ่งละอันพันละน้อยที่คุณทำในชีวิตประจำวัน
อาทิ ปิดไฟดวงที่ไม่ได้ใช้ เปลี่ยนมาใช้ถุงผ้าแทนถุงพลาสติก
ก็ส่งผลใหญ่หลวงต่อโลกของเราได้ ยืนยันได้ว่า
สิ่งเล็กๆน้อยๆสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งยิ่งใหญ่ได้
แม้ว่าเหตุการณ์พิบัติภัยดังกล่าวจะผ่านพ้นไป ทิ้งไว้เพียงซากแห่งความทรงจำ
ความสูญเสียและคราบน้ำตา และแม้ว่าผู้ประสบภัยจะได้รับความช่วยเหลือแล้วก็ตาม
แต่สภาพจิตใจที่ย่ำแย่ หวาดกลัว หวั่นวิตก
อาจต้องใช้ระยะเวลาในการเยียวยาให้หายขาด
หลายฝ่ายวิเคราะห์ว่าผลพวงภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นมาจาก “ภาวะโลกร้อน”
ซึ่งเกิดจากฝีมือมนุษย์ทั้งสิ้น ถือเป็นบทเรียนครั้งสำคัญให้หลายคนตระหนักและ
หันกลับมาใส่ใจสิ่งแวดล้อมและดูแลโลกเพิ่มขึ้น
โลกที่มนุษย์ได้อาศัยอยู่ แต่มนุษย์กลับใช้อำนาจของผู้อาศัยทำลายโลกอย่างไม่ไยดี
มหันตภัยความรุนแรงที่โลกได้ระบายออกมา
ในครั้งนี้อาจเกินที่ผู้ถูกกระทำจะรับไหวและแสดงออกมาในรูปของพิบัติภัยต่างๆ
ถึงเวลาแล้วหรือยังที่มนุษย์จะหยุดพฤติกรรมย่ำยีโลกเสียที!!!

May 18, 2008

วันวิสาขบูชา วันสำคัญของโลก

From T2
คอลัมน์ รื่นร่มรมเยศ
เสฐียรพงษ์ วรรณปก
18 พฤษภาคม 2551

วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญวันเดียวที่รู้กันทั่วโลกพระพุทธศาสนา
ทางประเทศศรีลังกาเรียกว่าวันธรรมจักร ที่เมืองไทยเข้าใจว่ามีมา
พร้อมกับพระพุทธศาสนาเข้ามานั้นแล

ตามหลักฐานจดหมายเหตุนางนพมาศก็เล่าว่ามีการเฉลิมฉลองวันวิสาขบูชา
ตั้งแต่สมัยสุโขทัยถึงปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา
การทำพิธีวันวิสาขบูชาได้ยกเลิกไป มาฟื้นฟูขึ้นใหม่ในรัชกาลที่ 2
แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ตราบเท่าทุกวันนี้

ส่วนวันมาฆบูชา พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ รัชกาลที่ 4 ได้ทรงกำหนดขึ้น
วันอาสาฬหบูชา ก็เพิ่งเกิดขึ้นในรัชกาลปัจจุบันนี้เอง
เมื่อ พ.ศ.2501 นับเป็นวัน "น้องใหม่" ทั้งวันมาฆบูชา และวันอาสาฬหบูชา
ไม่เป็นที่รู้กันแพร่หลายนัก ในหมู่ชาวพุทธประเทศอื่น เรียกได้ว่าไม่สากล
เฉพาะวันวิสาขบูชาเท่านั้นที่รู้กันแพร่หลาย

ชาวพุทธทั่วโลกได้ทำการบูชาในวันนี้ เพื่อรำลึกถึงพระพุทธคุณ
มีเรื่องที่น่ายินดีอย่างหนึ่งก็คือ การสื่อสารแห่งประเทศไทยได้ออกแสตมป์ชุดวันวิสาขบูชา
และวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาติดต่อกันมาหลายปีแล้ว
ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่เคยมีแสตมป์เช่นนี้เลย เครดิตนี้ต้องยกให้การสื่อสารแห่งประเทศไทย
ที่เห็นคุณค่าและความสำคัญของวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา และเหนืออื่นใด
ต้องขอขอบคุณท่านอาจารย์ชัชวาล ปุญปัน อาจารย์พรศิลป์ รัตนชูเดช
ที่ช่วยผลักดันจนเกิดผลสัมฤทธิ์นี้ขึ้นมาได้
(ผมต้องเล่าเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก เพื่อขอบคุณอาจารย์ทั้งสอง
และการสื่อสารแห่งประเทศไทย ที่ผลักดันให้เรื่องนี้สำเร็จ)

วันวิสาขบูชาได้รับการยอมรับว่าเป็นวันสำคัญของโลกด้วย
แสดงให้เห็นว่าวันวิสาขบูชามิใช่สำคัญเฉพาะในหมู่ชาวพุทธเท่านั้น
หากมีความสำคัญสำหรับมนุษยชาติทั่วโลกด้วย
พระพุทธเจ้าทรงเป็นบุคคลสำคัญที่มีความหมายต่อชาวโลกทั้งปวง
การตรัสรู้ของพระองค์นำมาซึ่งสันติสุขแก่ชาวโลกทั้งปวงอย่างแท้จริง
เราชาวพุทธน่าจะภาคภูมิใจในเกียรติภูมิครั้งนี้
ทราบไหมครับว่า ในขณะที่พวกเราชาวพุทธมีของดี มีของล้ำค่าอย่างพระพุทธศาสนา
พวกเราส่วนมากก็ไม่รู้สึกตื่นเต้น ภาคภูมิใจอะไร
กลับไปให้ความสำคัญแก่สิ่งอื่นซึ่งไร้แก่นสารมากกว่า ไม่ต่างอะไรกับ
"ไก่ได้พลอย" หรือ "ลิงได้แก้ว"

ในขณะที่ชาวต่างชาติต่างศาสนาหลายคน
เมื่อมาได้สัมผัสความวิเศษมหัศจรรย์ของพระพุทธเจ้าและพระพุทธศาสนาแล้ว
ต่างก็ทึ่งไปตามๆ กันผมได้รู้จักกับฝรั่งหนุ่มคนหนึ่ง
เขามาหาผมด้วยท่าทางกระตือรือร้น นำหนังสือมาให้เล่มหนึ่ง
เป็นผลงานการถ่ายภาพของเขา
ขณะที่ตระเวณไปทั่วประเทศไทย เขาเล่าว่า เขาไม่รู้จักพระพุทธศาสนา
ไม่รู้จักว่าชาวพุทธเขานับถืออะไร ปฏิบัติอย่างไร เข้ามาประเทศไทยในฐานะนักท่องเที่ยว
ขณะนั่งรถผ่านไปตามจังหวัดต่างๆ
ผ่านสถานที่หลายแห่งที่มีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ๆประดิษฐานตามเชิงเขาบ้าง
บนพื้นที่ราบบ้าง ในวัดบ้าง รู้สึกประทับใจ
ว่าใบหน้าของพระผู้เป็นเจ้าของรูปปั้นนั้นมันช่างสงบเย็น
มีพลังกระตุ้นจิตใจเขาให้ตื่นจาก "ความหลับ" ได้อย่างประหลาด
ตั้งแต่นั้นมาเขาก็ตัดสินใจไปดูทุกแห่งที่มีพระพุทธรูป ดู "โลเกชั่น"
รอวัน รอเวลา และองค์ประกอบอื่นๆ ที่เหมาะสม แล้วก็เก็บภาพเหล่านั้นไว้
ตั้งใจว่าเก็บได้เพียงพอแล้วก็จะพิมพ์ออกมาเป็นเล่ม
และเขาก็ได้ทำสำเร็จตามเป้าหมายแล้ว เขาเล่าว่า
หนังสือเล่มนี้มิใช่สมุดรวมภาพพระพุทธเจ้าเฉยๆ
หากเป็น "เครื่องเตือนสติ" ให้รำลึกถึงความบริสุทธิ์ ความสงบ
แห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยสำหรับตัวเขาเองนั้น
เขาเล่าว่า เขาได้สัมผัสกับความสะอาด สว่าง สงบ อย่างไม่เคยได้รับที่ไหนมาก่อนเลย
ผ่านการจ้องมองพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า
เพียงแค่จ้องพระพักตร์พระพุทธเจ้า เขายังได้ปรัชญาชีวิต
ได้สัมผัสกับมิติที่ล้ำลึกแห่งชีวิตปานฉะนี้
ถ้าหากเขาได้มีโอกาสเรียนรู้และปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์
เขาจะได้รับอานิสงส์อย่างมหาศาลเพียงใด
เด็กหนุ่มคนนี้บอกผมอย่างนี้ก่อนจากกันเขาเล่าว่า
วันหนึ่งเขาตั้งกล้องแล้ว นั่งรอให้พระอาทิตย์คล้อยต่ำ
เพื่อเอาแสงยามพระอาทิตย์อัสดง
พระภิกษุรูปหนึ่งซึ่งมองเขาด้วยความสงสัยมาแต่ต้น
ทำนองว่า ไอ้หมอนี่มันทำอะไรของมัน จะถ่ายรูป ทำไมไม่รีบๆ
ถ่ายเสียให้เสร็จ จับนั่น จับนี่
มองนั่นมองนี่อยู่เป็นชั่วโมงๆ จึงเข้ามาถามว่า
"คุณรออะไร"
"รอแสงสว่าง" เขาตอบ คือรอให้แสงพระอาทิตย์ได้ที่เสียก่อน
"แสงสว่างอยู่ในใจของคุณแล้วมิใช่หรือ" พระรูปนั้นกล่าวเป็นปริศนาเขาว่า
เท่านั้นแหละครับ เขาได้คิดขึ้นมาทันที และคิดไกลไปว่า
เพียงแค่รอเวลาจะถ่ายพระพุทธรูปเท่านั้น ยังมีแง่มุม มีเงื่อนไข ให้เกิดความรู้
ความเข้าใจ อะไรได้ขนาดนี้ หากได้มองดูพระพักตร์และองค์ของพระพุทธที่สง่างาม
ในพระอิริยาบถต่างๆ อาจเป็น "สื่อ" ให้บุคคลนั้นๆ ได้สัมผัสกับความรู้
และความสงบภายในอันล้ำลึกเป็นแน่แท้
เขาจึงมีฉันทะที่จะพิมพ์หนังสือเล่มนั้นขึ้นมาใหม่ดัดแปลงรูปแบบให้สะดวกแก่การพกพา
และน่าจับต้องมากขึ้นเขากล่าวทิ้งท้ายว่า
เพียงดูพระพุทธรูปอันเป็นรูปภายนอก
เขายังได้ประโยชน์มากเพียงนี้ ถ้าได้นำเอาคำสอนของพระพุทธเจ้าไปปฏิบัติ
จะได้รับประโยชน์มากเพียงใด
กาลข้างหน้าเขาว่าเขาจะมุ่งหน้าแสวงความสงบแห่งจิตใจให้ล้ำลึกกว่านี้เชื่อได้เลยว่า
ไม่ช้าไม่นานวงการพระพุทธศาสนาก็คงได้
พระภิกษุหนุ่มจากอัสดงคตปรเทศเพิ่มขึ้นอีกรูปหนึ่ง
เหตุการณ์นี้หลายปีมาแล้วป่านนี้เขาผู้นั้นอาจกลายเป็นพระภิกษุไปแล้วหรืออย่างไร
ไม่ได้ติดต่อกันเลยผมขอนำคำสรรเสริญพระพุทธเจ้า และพระพุทธศาสนา
ที่ออกจากปากของนักปราชญ์สำคัญระดับโลกมาให้อ่านเพื่อเฉลิมศรัทธาปสาทะ
ในพระพุทธองค์และพระพุทธศาสนาดังนี้ครับ

พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาสากลจักรวาล

"ศาสนาในอนาคตจะเป็นศาสนาสากลจักรวาล ซึ่งข้ามพ้นเรื่องพระเจ้าที่มีตัวตน
และไม่มีเรื่องความเชื่อคำสั่งสอนแบบฝังหัว และเทววิทยา
ศาสนานั้นครอบคลุมเรื่องธรรมชาติและเรื่องจิตวิญญาณตั้งอยู่บนฐาน
ความรู้สึกทางศาสนาที่เกิดจากประสบการณ์แห่งสรรพสิ่ง
ทั้งเรื่องธรรมชาติ และจิตวิญญาณซึ่งเป็นเอกภาพรวมอย่างมีความหมาย
พระพุทธศาสนาสามารถตอบสนองสิ่งที่พรรณนามานี้....
ถ้าจะมีศาสนาใดที่เข้ากันได้กับความต้องการทางวิทยาศาสตร์
ศาสนานั้น ก็คือพระพุทธศาสนา"
(อัลเบิร์ต ไอสไตน์ ยอดนักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่)

ไม่มีศาสนาใดเหนือกว่าพระพุทธศาสนา

"ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธศาสนา หรือมิใช่พระพุทธศาสนา
ข้าพเจ้าตรวจสอบระบบศาสนาใหญ่ๆ แห่งโลกทั้งหมด
ในระบบศาสนาโลกดังกล่าวทั้งหมดนั้น ข้าพเจ้าไม่พบคำสอนของศาสนาใด
จะล้ำเลิศกว่าอริยมรรคมีองค์แปด และอริยสัจสี่ ของพระพุทธเจ้าเลย
ไม่ว่าในแง่ความงดงาม และความสมบูรณ์ครบถ้วน
ดังนั้นข้าพเจ้าจึงพึงพอใจ ที่จะประคับประคองชีวิตของตนไปตามนั้น"
(ศาสตราจารย์รีส เดวิดส์ ผู้ก่อตั้ง-นายกสมาคมบาลีปกรณ์)

พระพุทธศาสนาทำสิ่งที่วิทยาศาสตร์ทำไม่ได้
"พระพุทธศาสนาเป็นการผสมผสานกันเข้าระหว่างปรัชญาแบบการคาดการณ์
และปรัชญาแบบวิทยาศาสตร์ พระพุทธศาสนาสนับสนุนวิธีการทางวิทยาศาสตร์
และดำเนินตามวิธีนั้นไปสู่เป้าหมายสุดท้าย ซึ่งอาจจะเรียกว่าวิธีการแบบเหตุผล...
พระพุทธศาสนาได้ลงมือทำ ในที่ๆ วิทยาศาสตร์ไม่อาจทำได้
เพราะว่าความจำกัดของสมรรถนะทางเครื่องมือแสวงหาความจริงของวิทยาศาสตร์
ชัยนะของพระพุทธศาสนาคือการชนะใจตนเอง...
ไม่มีเหตุผลใดเลยที่จะตั้งข้อสมมติฐานว่า
โลกนี้มีการเริ่มต้น แนวความคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องมีการเริ่มต้น
เกิดขึ้นจากความด้อยทางจินตนาการของพวกเราเอง"
(เบอร์ทรันด์ รัสเซลล์ ยอดนักปรัชญาอังกฤษยุคปัจจุบัน)

จิตวิญญาณแห่งเหตุผล

"เมื่ออ่านพระสูตรเทศนาของพระพุทธเจ้าแล้ว พวกเราจะรู้สึกประทับใจ
ด้วยจิตวิญญาณแห่งเหตุผล มรรควิธีของพระพุทธองค์ เริ่มต้นด้วยสัมมาทิฐิ
ทรรศนะตามหลักเหตุผลเป็นข้อแรก พระพุทธเจ้านั้น ทรงพากเพียรกำจัดธุลีมลทิน
ที่คอยปิดบังดวงตาไม่ให้เห็นชะตากรรมของตนเอง"
(ดร.เอส. ราธะกฤษณัน)

ผมกำลังคร่ำเคร่งทำเพลงวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาอยู่ กะจะให้ทันวันวิสาขบูชา
แต่ยังไม่เสร็จโดยสมบูรณ์ ขอนำเนื้อเพลง มาให้ดูเป็นน้ำจิ้มไปพลางๆ ก่อน

"อ้า องค์พระบรมโพธิสัตว์ ปฏิบัติสายกลางอันยิ่งใหญ่
ไม่ตึงไม่หย่อนหย่อนเกินไป ดุจพิณสามสายขึงพอดี
ประทับนั่งนิ่งจิตสงบ ค้นพบอริยสัจวิถี
เลิศล้ำพิสุทธิ์พุทธวิธี "ไม่มี-ไม่เป็น-ตัวตน"ใคร
ทรงรู้ประจักษ์แจ้ง ดับเพลิงกิเลสแรงโหมไหม้
ดับทุกข์ดับเหตุเภทภัย ดับ-เย็น-สนิท สุขยืนนาน
ใกล้รุ่งปัจจูสสมัย ใต้ร่มโพธิพฤกษ์ไพศาล
พระบังเกิด-ตรัสรู้-นิพพาน ขณะจิตเดียวนั้นกระจ่างใจ
วิสาขะปุณณะมียัง โส พุทโธ สัมภูตะ นิพพุโต
วิสาขะปูชา ติถี"ยัง อะภิมังคะละสัมมตา
ทรงรู้-ทรงตื่น-เบิกบานแล้ว ดวงแก้วตระการสดใส
ชูโลกชูธรรมอำไพ เทิด "วิสาขะ"ให้ยิ่งใหญ่เอย."

May 16, 2008

ครูฟินแลนด์ : NITIPOOM.CO.TH


เปิดฟ้าส่องโลก

นิติภูมิ นวรัตน์
www.nitipoom.co.th

ไทยรัฐ

2 พ.ค. 51


น่าสนใจว่าทำไมฟินแลนด์ ซึ่งเป็นประเทศเล็ก มีพลเมืองแค่ 5.2 ล้านคน
มีชนกลุ่มน้อยมากมายหลายกลุ่ม
ทั้งพวกแลปป์ที่อาศัยในเขตแลปแลนด์ ยิว ตาตาร์ ยิปซี ฯลฯ
แต่มีเศรษฐกิจรุดหน้ากว่าหลายชาติ
มีผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ 131.01 พันล้านยูโร
ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติต่อคน 25,080 ยูโร พลเมืองน้อย
ทรัพยากรธรรมชาติไม่มาก
รัฐบาลฟินน์มอบการศึกษาแก่ประชาชนคนของตนยังไง
จึงทำให้ฟินแลนด์มีมาตรฐานการครองชีพสูงมากประเทศหนึ่งในยุโรป
ฟินแลนด์มีพลเมืองน้อย แต่คนมีคุณภาพสูง
เป็นเพราะรัฐบาลทุ่มการศึกษาให้ประชาชนอย่างเต็มที่
ฟินแลนด์มีคนเพียงห้าล้านกว่า แต่มี ครู 8 หมื่น
และมีบุคลากรทางการศึกษาอื่นอีก 5.5 หมื่น
ผมได้รับเอกสารงานวิจัยของ ผศ.ดร.สร้อยสน สกลรักษ์ และ
ผศ.ชุติมา พงศ์วรินทร์
เกี่ยวกับการพัฒนาคุณภาพการศึกษา : เยอรมนีและฟินแลนด์
เมื่ออ่านจบครบถ้วนกระบวนความแล้วก็จึงถึงบางอ้อว่า
การศึกษาเป็นเครื่องมือที่ยิ่งใหญ่ของทั้งสองประเทศ
ช่วยขับเคลื่อนพัฒนาให้ทั้งเยอรมนี/ ฟินแลนด์ไปยืนแถวหน้าของโลกได้
ฟินแลนด์ลงทุนครู ครูในฟินแลนด์มีหลายพวก
พวกแรกเป็นครูประจำชั้นที่เรียกว่า class teachers
ท่านเหล่านี้สอนชั้นประถม ศึกษา ซึ่งเป็นชั้นที่ 1 ถึง 6
อีกพวกหนึ่งเป็นครูประจำวิชาที่เรียกว่า subject teachers
พวกนี้สอนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น
(ซึ่งเป็นชั้นที่ 7 ถึง 9) + มัธยมศึกษาตอนปลาย + การศึกษาสำหรับผู้ใหญ่
คนฟินแลนด์ไม่บ้าปริญญามหาวิทยาลัยเหมือนบ้านเรา
นักเรียนจำนวนไม่น้อยไม่เลือกเรียนชั้นมัธยมสายทั่วไป
ซึ่งจะต้องไปเรียนต่อปริญญาในมหาวิทยาลัย
แต่เลือกเรียนอาชีวศึกษา เพื่อออกมาทำงานที่ใช้ฝีมือ/ แรงงาน
มัธยมศึกษาตอนปลายจึงแยกสายสามัญ และสายอาชีวศึกษา
บ้านเราเอาครูจบมหาวิทยาลัยสายอื่นมาสอนในโรงเรียนอาชีวศึกษา
แต่ที่ฟินแลนด์ไม่ใช่ ครูผู้สอนนักเรียนอาชีวศึกษา
ต้องจบมาด้านเดียวกันนี้ด้วย และต้องมีประสบการณ์ทำงานมาก่อน 3 ปี
เมื่อสั่งสมประสบการณ์งานครบแล้ว จึงไปเรียนวิชาชีพครูอีก 1 ปี
ใครจะเป็นครูประจำชั้น ซึ่งก็คือสอนประถมศึกษาชั้น 1 ถึง 6
จะต้องไปเข้าเรียนและฝึกหัดจากคณะศึกษาศาสตร์ในมหาวิทยาลัย
คณะศึกษาศาสตร์จะมีโรงเรียนสาธิตเป็นของตัวเอง
เพื่อเอาไว้เป็นสถานที่ใช้ฝึกสอน ทดลอง และวิจัยพลเมือง
ฟินแลนด์ร้อยละ 93 เป็นชาวฟินน์ พูดภาษาฟินน์
(คล้าย กับภาษาแมกยาร์ของพวกฮังกาเรียน)
รัฐจึงให้มีคณะศึกษาศาสตร์ที่สอนเป็นภาษาฟินน์
เพื่อผลิตผู้คนให้ออกไปเป็นครูประจำชั้นมากถึง 7 แห่ง
ประชากรอีกร้อยละ 6 เป็นชาวสวีเดน
พวกนี้พูดภาษาสวีเดน ถ้าผู้อ่านท่านไปที่หมู่เกาะโอลันด์
ท่านจะพบว่าผู้คนแถวนั้นพูดภาษาโอลันด์ทั้งนั้น
รัฐบาลจึงให้คณะศึกษาศาสตร์ในมหาวิทยาลัย 1 แห่ง
สอนการฝึกหัดครูเป็นภาษาสวีเดน
ส่วนคนที่ปรารถนาจะเป็นครูประจำวิชา
ผมหมายถึงท่านที่ปรารถนาจะไปสอนในระดับมัธยมศึกษา
ท่านต้องไปเรียนในคณะที่ท่านจะสอนมาซะก่อน
เช่น ท่านจะสอนวิชาฟิสิกส์ ท่านก็ต้องไปเข้าเรียนในคณะฟิสิกส์ของมหาวิทยาลัย
เมื่อจบปริญญาตรีได้วุฒิการศึกษาวิทยาศาสตรบัณฑิตทางฟิสิกส์แล้ว
ก็ยังสอนไม่ได้ ท่านต้องไปเรียนต่อในคณะศึกษาศาสตร์ให้ได้ประกาศนียบัตรอีกใบหนึ่ง
หรือจะเรียนทั้งสองอย่างพร้อมกันไปก็ไม่มีใครว่า
จบมาแล้วจึงทำหน้าที่เป็นครูประจำวิชาได้
ผู้ที่อยากมีอาชีพเป็นครูอนุบาลและศูนย์เด็กเล็ก
ท่านต้องจบการศึกษาระดับปริญญาตรีทางภาษาและการสื่อสารวิชาพื้นฐานวิชาครู
และการฝึกสอน การอนุบาลศึกษา และการศึกษาก่อนประถมศึกษา
สำหรับครูที่จะสอนในโรงเรียนอนุบาลระดับพิเศษจะต้องจบปริญญาโท
ตามหลักสูตรที่กำหนดไว้เท่านั้น
เยาวชนคนฟินแลนด์อยากเป็นครู ครูจึงเป็นอาชีพแรกๆที่คนฟินแลนด์
เลือก สาเหตุหนึ่งซึ่งทำให้ฟินแลนด์เจริญเพราะมีการศึกษามีคุณภาพสูง
การศึกษาที่ดีมีคุณภาพของฟินแลนด์มาจากการที่มีครูดี
รัฐบาลฟินแลนด์ทุ่มสุดตัว
ไปที่ครูเขียนเรื่องครูฟินแลนด์แล้วก็ย้อนกลับมาที่
ประเทศไทยรัฐบาลไทยทุ่มให้ครูไทยน้อยเกินไป
จึงไม่ค่อยมีใครอยากเป็นครู
อย่างหนึ่งซึ่งผู้อ่านท่านสังเกตเหมือนผมไหมครับ
บัณฑิตเยาวชนคนไทยยุคใหม่บางส่วน ไม่ค่อยมีความอดทน
ความรู้น้อย และไม่ค่อยได้คุณภาพหลายสถาบัน
ไม่น่าที่จะผลิตมหาบัณฑิต/และดุษฎีบัณฑิตได้ ก็ผลิต




May 13, 2008

ในหลวง ร.๙ ทรงห่วงเหตุการณ์ประเทศเพื่อนบ้าน

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ร.๙ ทรงห่วงเหตุการณ์ประเทศเพื่อนบ้าน-จีน
มีพระบรมราโชวาทให้คนไทยมีความเอื้อเฟื้อ ช่วยเหลืออย่างพร้อมเพรียง
อุ้มชูประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้เมืองไทยอยู่ได้
เมื่อเวลาเวลา 16.52 น.วันที่ 13 พฤษภาคม 2551
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ร.๙ เสด็จลง ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต
พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ นายขวัญแก้ว วัชโรทัย นายกมูลนิธิราชประชานุเคราะห์
ในพระบรมราชูปถัมภ์ และประธานกรรมการบริหารมูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม
นำคณะกรรมการมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ในส่วนกลาง
,คณะกรรมการมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ประจำจังหวัด
,อาสาสมัคร ฯลฯเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ทูลเกล้าถวายเงิน
เพื่อสมทบทุนมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์
และมูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม
กับโล่ของมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์
ในการนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ร.๙ พระราชทานพระบรมราโชวาทความว่า
"ในระยะเวลานี้ที่สถานการณ์ไม่ค่อยปกติในทางที่มีเหตุการณ์
ทำให้ประชาชนเดือดร้อนและแม้จะในประเทศใกล้เคียงก็มีเหตุการณ์ที่ไม่เรียบร้อย
รวมทั้งประเทศที่ห่างออกไปเช่นประเทศจีนได้มีเหตุการณ์ที่น่าหนักใจ
มูลนิธิสามารถที่จะช่วยเพื่อนบ้านบรรเทาทุกข์เพื่อนบ้านก็เป็นการดี
ในทางที่คนจะเห็นว่า เมืองไทยมีความอยู่เย็นเป็นสุขพอสมควร
เพราะว่า ประชาชนร่วมกันสร้างสถานการณ์ให้ดีช่วยกันในโอกาสที่มีเหตุการณ์
แสดงให้เห็นว่า เราจะต้องช่วยกันเพื่อให้ประเทศชาติ ประชาชนอยู่ดีกินดี
นอกจากนั้นก็ให้ประเทศที่อยู่ใกล้เคียงได้ผลพลอยได้ไปด้วย การที่จะช่วยอย่างที่เห็น
ช่วยประเทศเพื่อนบ้านให้ประชาชนมีความอยู่ดีกินดีขึ้น เพราะว่าไม่ใช่เฉพาะว่า
มีเหตุการณ์ไม่ปกติ แต่ว่า คนที่น่าจะได้รับประโยชน์ก็ไม่ได้รับประโยชน์
อันนี้จะทำให้ลำบาก เราก็ลำบาก แต่ก็ทำให้เห็นว่า คนไทยมีความเอื้อเฟื้อ
คนที่จะได้รับความเอื้อเฟื้อก็ไม่ยอมรับความเอื้อเฟื้อ แต่อย่างไรโดยที่ได้ทำให้คนยอมรับ
ความเอื้อเฟื้อทำให้ในที่สุดเขาก็ต้องรับ
และไม่ใช่เฉพาะประชาชนที่เดือดร้อนแต่บางประเทศชาติประเทศอื่นๆ
ที่ไม่ได้รับความเดือดร้อน แต่เขารับภาระที่จะช่วยประชาชนเพื่อนที่อยู่ในโลก
เขาก็ยอมรับว่า เราพยายามและพยายามเต็มที่ เพื่อจะช่วยประชาชนทุกชาติ ทุกภาษา
การที่มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ฯ ได้ทำมาเป็นเวลาเกือบ 50 ปี แสดงให้เห็นว่า
คนไทยเป็นคนที่เอื้อเฟื้อคนไทยด้วยกัน เอื้อเฟื้อประชาชนที่ไม่ใช่คนไทย
แต่ก็อยู่เป็นเพื่อนบ้าน พื้นที่ที่อยู่ใกล้เคียงทำให้เห็นว่า คนไทยมีความดี
ในการที่คนไทยมีความดีนี้ทำให้เมืองไทยอยู่ได้
ไม่ใช่ประเทศที่อยู่ใกล้เคียงจะอยู่ได้เท่านั้น
คนไทยด้วยกันก็จะอยู่ได้แล้วคนไทยก็ควรจะสำนึกว่า
การทำอย่างที่ได้ทำมาเป็นเวลาเกือบ 50 ปีนี้ไม่เปล่าประโยชน์ที่ได้ทำตอนต้น
ทำอย่างเล็กๆน้อยๆ พยายามที่จะช่วยกันอุ้มชูประชาชนประชาชนอุ้มชูคนไทยด้วยกัน
แล้วก็ไปอุ้มชูประเทศชาติอื่นด้วย
ดังนั้นการที่ได้ทำนี้เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ไม่ใช่พูดอย่างนี้มิได้แสดงให้เห็นว่า
คนไทยดีมากแต่ว่าดีที่รู้จักช่วยกัน ช่วยเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้เคียงทำให้โลกอยู่ได้
ฉะนั้นที่ได้ทำมาเป็นเวลา 50 ปี ก็มีประโยชน์พยามที่จะอธิบายให้ท่านฟังว่า
การกระทำอย่างนี้เป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่จะช่วยให้ตัวเราเองดี มีความอยู่ดีกินดี
และก็ช่วยชาวโลกด้วยคือว่าพร้อมเพียง
ขอบใจทุกคนที่ได้ทำประโยชน์เพื่อมูลนิธิฯ ทั้งสอง
ในการทำประโยชน์แก่มูลนิธินี้ก็หมายความว่า ทำประโยชน์แก่กิจการที่ก้าวหน้า
ที่เห็นได้ชัดเจนว่า ก้าวหน้า และจะเห็นว่า เดี๋ยวนี้กิจการก้าวหน้าลำบาก
เพราะว่า สถานการณ์ลำบากกว่าทุกปี แต่ว่าความก้าวหน้ามี
ถ้าพูดถึงความก้าวหน้าทางการเงิน ชอบแต่พูดว่า การเงินดีมากมายจริงๆ มีพันล้าน
ความจริงเป็นความก้าวหน้าที่มหัศจรรย์ แต่ว่า ความก้าวหน้านี้ก็มีอยู่
ฉะนั้นก็ขอให้ท่านสังเกตว่า มีความก้าวหน้าในทางการเงิน
คนที่ชอบพูดถึงการเงิน มีการเงินเพิ่มเติมอย่างนั้นอย่างนี้ ก็เป็นอันว่า มีความพอใจได้
แต่มีความก้าวหน้าในทางการเงินก็หมายความว่า จิตใจอยากที่จะบริจาคเงิน
ไม่ใช่เงินเท่านั้นเองแต่บริจาคกำลัง หรือกำลังทรัพย์ที่จะเพียรบริจาคเป็นการแสดงว่า
ท่านทั้งหลายได้มีความตั้งใจที่จะทำให้กิจการต่างๆ ก้าวหน้าจริง
การนี้ที่กิจการก้าวหน้าดียิ่ง กิจการเป็นสิ่งที่น่าชื่นชม
เพราะแสดงให้เห็นว่า ในเมืองไทยนี้อยากที่จะให้กิจการก้าวหน้า
มีความตั้งใจและเพื่อกิจการก้าวหน้าก็จะต้องพยามยามบ่ม ลงแรงให้ดี ลงทุนให้ดี
ที่สำคัญจะต้องตั้งใจช่วยกันเกื้อหนุนซึ่งกันให้ยั่งยืน ให้กิจการก้าวหน้าดี"



May 12, 2008

คิด-เลือก-ทำ



"...ธรรมชาติได้สร้างวิธีคิดมาให้เรามากมาย เหตุไรเราจึงจะไปคิดในทางที่เป็นโทษ
แก่ตัวเรา ทำไมเราไม่หาวิธีคิดในทางที่จะให้เราสบายใจ ให้มีความสดชื่น...
ให้เป็นเรื่องตลกขบขันไปเสียหมด เราก็จะมีความสุขอย่างแท้จริง..."
(กำลังใจ หลวงวิจิตรวาทการ)

"...สัญญากับตัวเองว่า ในวันพรุ่งนี้ เราจะทำให้ดีกว่าวันนี้... ...เสร็จแล้ว
ก็ให้ปลูกมโนคติมองเห็น เหมือนหนึ่ง เป็นเวลาพรุ่งนี้แล้ว
และเราดีขึ้นกว่าวันนี้เป็นอันมาก...คิดอยู่อย่างนี้จนกระทั่งหลับ"
(มหาบุรุษ หลวงวิจิตรวาทการ)

"...ความคิดหรือคำพูดที่มีมากเข้า ย่อมจะกลายเป็นจริงขึ้นมาวันหนึ่ง
เพราะฉะนั้น ถ้าเราคิดแต่ สิ่งที่จะช่วยให้เราเปลี่ยนนิสัยจากเลว
เข้ามาดีได้แล้ว นิสัยของเราก็จะเปลี่ยนเข้าได้จริงๆ"
(จิตตานุภาพฯ หลวงวิจิตรวาทการ)

" ใครจะประมาทลืมตัวก็ช่างเขา เราอย่าประมาทใครจะหลับสบายก็ช่างเขา
เราพยายามตื่นอยู่เสมอผู้ที่ฉลาดคิดในเรื่องนี้ ย่อมจะวิ่งขึ้นหน้าคนอื่นได้
เหมือนม้าฝีเท้าดีทิ้งมาฝีเท้าเลวไว้เบื้องหลัง "
(สมเด็จพระวันรัต เขมจารี)

"...การคิดถึงผู้อื่น แทนการคิดถึงแต่ตัวของตัวเองไม่เพียง
แต่จะช่วยให้ท่านหมดกังวลถึงตัวเอง เท่านั้นหากจะ
เป็นทางให้ท่านเป็นคนกว้างขวาง และมีมิตรสหายมากขึ้น
และชีวิตก็สูงสดชื่นยิ่งขึ้น..."
(ดร. เฮนรี่ ซี ลิงค์)

"...มนุษย์ไม่สามารถจะประสบความสำเร็จอย่างใด ๆ ด้วยวิธีที่เพียงแต่คิด
ความคิดเป็นงานของ ดวงจิตไม่สามารถจะสร้างความสำเร็จประโยชน์อะไรได้
ถ้าจะบันดาลความสำเร็จก็ต้องใช้ร่างกายคือ ต้องลงมือทำ
มัวแต่คิดอยู่ไม่มีประโยชน์อะไรคิดไปสักเท่าไรก็ไม่เกิดผล..."
(กุศโลบายฯ หลวงวิจิตรวาทการ)

สุขของฉันอยู่ที่งานหล่อเลี้ยงจิต สุขของฉันอยู่ที่คิดสมบัติบ้า
คิดทำ โน่นทำนี้ทุกเวลา เมื่อเห็นงานก้าวหน้าก็สุขใจ
งานยิ่งมากจริงยิ่งเป็นสุข งานยิ่งชุกมันสมองยิ่งผ่องใส
เมื่องานทำได้เสร็จสำเร็จไป ก็สุขใจปลาบปลื้มลืมทุกข์ร้อน
ฉันรักงานรักจริงยิ่งชีวิต ถูกหรือผิดอยากจะทำให้ถ้วนทั่ว
ถ้าทำผิดก็เป็นครูอยู่กับตัว ดีหรือชั่วขอแต่ให้ได้งาน
(หลวงวิจิตรวาทการ)

ชีวิตคือการต่อสู้ ศัตรูคือยากำลัง อุปสรรคคือหนทางแห่งความสำเร็จอันดี
ชีวิตที่ไม่เคยประสพการต่อสู้ ย่อมเป็นชีวิตที่อ่อนแอ
บุคคลที่ไม่เคยมีศัตรู จะเป็นผู้เข้มแข็งไม่ได้
งานที่สำเร็จราบรื่นโดยไม่มีอุปสรรค ย่อมเป็นงานที่ไม่หนักแน่นถาวร
ขอให้เราทั้งหลาย พึงใจในการต่อสู้ ยินดีเผชิญหน้าศัตรู กล้าฟันฝ่าอุปสรรค
(ทางสู้ชีวิต หลวงวิจิตรวาทการ)








May 10, 2008

ศิลปะกับการศึกษาเรียนรู้



ดร.อุทัย ดุลยเกษม
กันยายน ๒๕๕๐


แม้ผมเคยทำงานที่มหาวิทยาลัยศิลปากรมาหลายปี
แต่ผมก็ไม่รู้เรื่องทางด้านศิลปะ
พูดไปก็น่าอายชนิดใกล้เกลือกินด่างที่โบราณว่าไว้
ทั้งๆที่มีเพื่อนฝูงทำงานอยู่ที่
คณะจิตรกรรมและประติมากรรม
และคณะมัณฑนศิลป์อยู่บ้าง
ก็ตาม
อย่างไรก็ตาม
แม้ผมไม่มีความรู้เรื่องศิลปะ
แต่ผมก็โชคดีกว่าคนอีกไม่น้อยเพราะว่าผมมีโอกาสได้เข้าชมศิลปะ
ในสถานที่ต่างๆหลายแห่งทั้งในเมืองไทยและต่างประเทศ
สถานที่แสดงภาพเขียนและแสดงประติมากรรมชิ้นสำคัญๆของโลก
ไม่ว่าที่กรุงโรม ประเทศอิตาลี กรุงปารีส
ประเทศฝรั่งเศส กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ประเทศเยอรมัน
ประเทศอเมริกา ประเทศกัมพูชา
ประเทศพม่า หรือในประเทศญี่ปุ่น ประเทศจีน
ประเทศออสเตรเลีย ประเทศเวียดนาม
ประเทศอินโดนีเซีย ฯลฯ

ผมมีโอกาสได้เข้าชมมาแล้ว เรียกว่าเมื่อมีโอกาสไปประเทศต่างๆ

ผมก็มักหาโอกาสไปชมพิพิธภัณฑ์บ้าง อาร์ตแกลเลอรี่บ้าง

ในบางประเทศมีโอกาสได้ดูหลายเมืองและในหลายเมืองที่ได้ดูหลายครั้ง

อย่างเช่นที่กรุงปารีสผมคิดว่าผมได้ดูมากกว่าห้าครั้ง

แม้กระนั้น ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจอะไรมากนักนอกจากความเพลิดเพลิน

ในการดูและชื่นชมในความสามารถด้านความคิดสร้างสรรค์

และจินตนาการของผู้สร้างงานศิลปะเหล่านั้นและ

นึกว่าตัวเองนี้ช่างเป็นคนที่หยาบกระด้างอะไรเช่นนี้

ที่ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องศิลปะเอาเสียเลย


ตอนเป็นนักเรียนนักศึกษาก็มีโอกาสตามไปดูภาพเขียน

ตามฝาผนังของวัดต่างๆในประเทศไทยทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด

และได้ตามไปดูการเขียนภาพฝาผนังที่ท่านอังคาร กัลยาณพงศ์

เขียนทั้งที่วัดแถวบางละมุงและ ที่โรงพยาบาลสระบุรี ฯลฯ

ที่ไม่ได้ไปดูก็ที่วัดโคมคำจังหวัดพะเยาเท่านั้น


เมื่อทำงานอยู่ที่มหาวิทยาลัยศิลปากรวิทยาเขตสนามจันทร์

เคยขอภาพเขียนและประติมากรรมจากคณะจิตรกรรมและประติมากรรม

มาติดไว้ที่สำนักงานที่ผมทำงานอยู่หลายชิ้น

พรรคพวกเขาช่วยคัดเลือกภาพเขียนและประติมากรรมชิ้นสวยๆให้

ผมไม่ทราบว่าบัดนี้ภาพเขียนและประติมากรรมเหล่านั้น

ยังติดตั้งอยู่ในสถานที่เดิมหรือไม่

เพราะผมออกจากมหาวิทยาลัยศิลปากรมานานแล้ว


แม้ผมจะออกจากมหาวิทยาลัยสอนศิลปะแห่งสำคัญ

ของประเทศไทยมานานแล้ว

แต่ ความสนใจด้านศิลปะของผมก็ยังไม่มอดสนิทเสียทีเดียว

เพราะเมื่อไม่นานมานี้ผมได้รับเชิญไปประเทศอเมริกา

ก็ได้แวะไปชมพิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่งที่รวบรวม

และจัดแสดงภาพเขียนของจิตรกรนามอุโฆษหลายคน

ต่อมาเมื่อไม่นานมานี้ผมได้อ่าน

หนังสือเล่มหนึ่งซึ่งแปลมาจากภาษาอังกฤษ

โดย คุณอนิตรา พวงสุวรรณ-โมเซอร์

แต่ผู้เขียนเป็นชาวอินเดีย

ชื่อ
นายเทวี ประสาท

นายเทวีนี้จบการศึกษาจากวิทยาลัยศานตินิเกตันของท่านรพินทรนาถ

และเป็นครูสอนศิลปะเด็ก ที่อาศรมเสวาคราม

อันเป็นสถาบันการศึกษาของท่านมหาตมคานธีอยู่สิบห้าปี

และหลังจากนั้นก็ได้ทำงานด้าน

การต่อต้านสงครามแต่ก็ไม่เคยละทิ้งเรื่องศิลปะ

ผมอ่านหนังสือเล่มนี้แล้วทำให้เข้าใจชัดขึ้นมากว่า

เรื่องศิลปะนั้นมิใช่สิ่งที่แยกออกจากชีวิตประจำวัน

แต่โชคร้ายที่ในโลกทุกวันนี้

ศิลปะกลายเป็นวัตถุแห่งความหรูหราฟุ่มเฟือย

สำหรับคนรวยและพวกบ้าเสพจนลืมตัวหรือไม่งานศิลปะ

ก็กลายเป็นสินค้าที่คนบางคนเก็บรวบรวมไว้เพื่อค้ากำไร

จึงทำให้ผู้คนจำนวนมากเห็นว่า

งานศิลปะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับชีวิต


นักการศึกษาบางคนอาจให้ที่ทางกับ

ศิลปศึกษาในระบบการศึกษาของตน

ไม่ใช่เพราะเขาเหล่านั้นคิดว่าศิลปะ

เป็นบ่อเกิดสำคัญของความเบิกบาน

และความอิ่มเอิบในชีวิต

หากแต่เห็นว่ามันเป็นกิจกรรมในเวลาว่างอย่างหนึ่ง

ถือว่าเป็นงานอดิเรก

บางคนเหล่านี้คิดว่ามนุษย์แต่ละคน

ควรใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์

เพราะฉะนั้นงานศิลปะจึงมักถูกละเลยเพราะมองไม่เห็นประโยชน์

การที่คิดว่าศิลปะและศิลปศึกษาเป็น

เรื่องของกิจกรรมยามว่างทำให้ศิลปะ

กลายเป็นของที่มีไว้สำหรับรับใช้คนมีเงิน

และนำไปสู่การเกิดช่องว่างระหว่าง

ชีวิตของคนธรรมดาทั่วไปกับคนมีเงินมีทอง

เมื่อเป็นเช่นนี้ศิลปะก็ไม่ถูกมองว่า

เป็นส่วนสำคัญของการพัฒนาบุคลิกภาพ

และเป็นพลังทางสังคม

เป็นเรื่องสุนทรียภาพและเป็นเรื่องจิตวิญญาณ

นักปรัชญาชาวอังกฤษที่ชื่อเฮอร์เบิร์ต รีด เคยกล่าวว่า


“เราต้องทำให้ศิลปะเข้มอยู่ในการดำเนินชีวิตของเรา

หากเราหวังที่จะได้รับผลจากศิลปะ

เราต้องลงมือเขียนภาพเองมากกว่าไปชมภาพเขียน

เราต้องเล่นดนตรีเองมากกว่าไปฟังคอนเสิร์ต

เราต้องร้องรำทำเพลงและเล่นละครเองมากกว่าการไปดูละคร

เราต้องให้ประสาทสัมผัสของเราทั้งหมดเข้าไปร่วมอยู่ใน

พิธีกรรมและการรังสรรค์ศิลปะ

เมื่อนั้นอาจมีบางอย่างเกิดขึ้นกับเรา

เพื่อที่จะเกื้อกูลกับร่างกายและวิญญาณของเรา”


แท้ที่จริงมนุษย์เริ่มมีประสบการณ์กับ
ความคิดสร้างสรรค์ตั้งแต่วัยเยาว์ของชีวิต
แต่น่าเสียดายที่ความคิด เชิงสร้างสรรค์ที่
มีอยู่มากตั้งแต่วัยเด็กนั้นค่อยหดหายไปเมื่อเราโตขึ้น
ถ้าเรามาพินิจพิเคราะห์ดูก็จะพบว่า
ระบบการศึกษาสมัยใหม่ละเลยบทบาทของศิลปะ
ในการพัฒนาบุคลิกภาพของเด็กเกือบจะสิ้นเชิง
ด้วยเหตุดังนั้นความคิดสร้างสรรค์ตามธรรมชาติของเด็กไทย
จึงมักสิ้นสุดลง
เมื่อย่างเข้าสู่วัยรุ่น
เฮอร์เบิร์ต รีด
ได้กล่าวอีกว่า

“งานศิลปะเด็กเป็นหนังสือเดินทางไปสู่อิสรภาพ
ไปสู่ผลสำเร็จอันบริบูรณ์ของพรสวรรค์และความสามารถทั้งหมดที่มี

และไปสู่ความสุขที่แท้และมั่นคงในชีวิตเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่

ศิลปะจะช่วยดึง เด็กๆออกมาจากตัวของพวกเขา

อาจเริ่มจากกิจกรรมของปัจเจกผู้เดียวดาย

จากลายเส้นขยุกขยุยบนเศษกระดาษ

ของเด็กเล็กที่หมกมุ่นอยู่กับตัวเอง

ทว่าก็เป็นลายเส้นขยุกขยุยของเด็ก

ที่ต้องการจะ สื่อสารถึงโลกภายในของพวกเขา

กับผู้ดูที่เข้าใจ ซึ่งอาจเป็นพ่อแม่หรือ

บุคคลที่ใกล้ชิดที่พวกเขาคาดหวัง

การตอบสนองด้วยความเข้าใจนั้น เอง”

บ่อเกิดของ ความคิดสร้างสรรค์มีอยู่ในธรรมชาติ
และ มีอยู่ในตัวเด็กทุกคน

เด็กไทยเองก็มีความคิดสร้างสรรค์ไม่ด้อยไปกว่าเด็กเผ่าพันธุ์อื่น

ดังที่เรา เห็นได้ว่าในอดีตนั้นเด็กไทยเล่นกับของเล่น ที่พวกเขาสร้าง

หรือ ประดิษฐ์ขึ้นเอง

ไม่ว่าจะ เป็นม้าก้านกล้วยหรือ การตีวงล้อ หรือกิจกรรมอื่นๆก็ดี

เด็กๆค้นพบสิ่งเหล่านี้ด้วยการเป็นผู้สร้าง ด้วยตัวของเขาเอง

ผู้ใหญ่เป็นเพียงผู้เปิดโอกาสให้กับ

พวกเขาได้มีโอกาสแสดงออกเท่านั้น

และผู้ใหญ่ ควรทำความเข้าใจกับสิ่ง ที่พวกเขาสร้างขึ้น


ท่าน รพินทรนาถ
ได้ แยกแยะความแตกต่างระหว่าง
“การเรียนรู้จากภายนอก” กับ “กระบวนการเรียนรู้จากภายใน”
และ เห็นว่า วัยเด็กควรได้รับความชุ่มชื่นของชีวิตอย่างเต็มเปี่ยม
เพราะเป็นวัยที่มี ความกระหายอันไม่สิ้นสุด
จิตใจของคนหนุ่มสาวควรเอิบอิ่มไปด้วยความคิดที่ ว่า
พวกเขาได้เกิดมาในโลกมนุษย์ที่
กลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับโลกรอบตัวเขา
นายเทวี ประสาท พบว่าในประสบการณ์ของเขา
ศิลปศึกษาสามารถ ทำให้วัตถุประสงค์สามประการ
สัมฤทธิ์ผลอย่างสมบูรณ์ในเวลาเดียวกัน
ประการ แรกและสำคัญที่สุด คือ เรื่องความคิดสร้างสรรค์
ประการที่สองคือด้านการ ปฏิบัติที่เป็นเรื่องของ
พลังที่ เป็นตัวกำกับการพัฒนาทักษะ
เช่นทักษะใน การเห็น ในการวัด หรือการวางแผน
และประการ ที่สามซึ่งเป็นด้านที่สำคัญและ
มีประโยชน์เท่าเทียมกันของศิลปศึกษา
คือ ศักยภาพทางด้านการวิเคราะห์
บุคลิกภาพและความป่วยไข้ทางจิต

นายเทวี ประสาทยังกล่าวอีกว่า ปรัชญาและ
ประเพณีทางการศึกษาของอินเดียที่บันทึกไว้
โดย นักปราชญ์ราชบัณฑิตและ
ที่ปรากฏอยู่ในตำนาน พื้นบ้านในอินเดีย
ชี้ให้เห็น อย่างชัดเจนว่าไม่มีการแบ่งแยกศิลปะ ออกจากชีวิต
เพราะจุด ประสงค์หลักของการศึกษาคือการแสวงหาความรู้
และการแสวงหาความรู้มิได้ หมายจำกัดแค่เพียงการค้นหา
และการเก็บรวบรวมข้อมูลเท่านั้น
แต่ยังรวม ถึงตัวปัญญา
ความสามารถในการคิดวิเคราะห์อย่างแยบคาย
การรู้จักควบคุม อัตตาตัวตน
ความอ่อนน้อมถ่อมตัว สัจจะ ศักดิ์ศรีในตัวเอง
การรับใช้ สังคม
ตลอดจนทักษะในการสร้างสรรค์
ครูมิได้สอนเฉพาะความรู้ทางวิชาการ ทั่วๆไป
แต่ ต้องสอนให้เด็กรู้จักกับทักษะ
ในทางปฏิบัติที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตที่ดีงาม
อย่าง ไรก็ตามเป็นเรื่องโชคร้าย
ที่การจัดการศึกษาในยุคอาณานิคมประเพณี
การ จัดการศึกษาในอินเดียได้ก่อให้
เกิดความสับสนอลหม่าน ในอินเดียเกือบทุกๆด้าน
โดย เฉพาะ อย่างยิ่งในระบบ คุณค่าทางสังคม
ระบบ การศึกษาที่เจ้าอาณานิคมจัดให้นั้น
หย่า ขาดจากวิถีชีวิตประจำวันของชาวอินเดียอย่างสิ้นเชิง
และแม้ในปัจจุบัน เจ้าอาณานิคมจะกับบ้านหมดแล้ว
แต่การศึกษาของอินเดียก็ยังยึดแนวของ อาณานิคม เป็นหลัก
ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นในสังคม จึงไม่อาจแก้ไขได้อย่างเด็ดขาด
เพราะ เป็นการศึกษาที่แยกส่วนเป็นส่วนเป็นเสี้ยว
ผมอ่านหนังสือเล่มนี้แล้วไม่ มีข้อสงสัยเลยว่า
เพราะเหตุใดการศึกษาในประเทศไทย
จึงเป็นอย่างที่ เป็นอยู่
ผลการประเมินคุณภาพการศึกษาทุกระดับ
ก็ยืนยันว่าการศึกษาไทย ยังมีปัญหามากมาย
ยิ่งมองดูคุณภาพของคนก็ยิ่งน่าใจหาย
ปัญหาในสังคม ไทยมีมากมายและแก้ไขยากขึ้นทุกที
เพราะระบบการศึกษาของเราไม่ค่อยให้ความ สำคัญ
กับความคิดเชิงสร้างสรรค์และจินตนาการ
เรามุ่งผลิตนักเทคนิค สาขาต่างๆมากมาย
โดยหวังว่า จะแก้ปัญหาต่างๆได้
แต่ก็ดัง ที่เราเห็นกันอยู่ว่า

แม้เราจะผลิตแพทย์มากขึ้น
แต่สุขภาวะ ของคนไทยโดยรวมกลับเลวลงอย่างมาก
เรา ผลิตนักเศรษฐศาสตร์มากขึ้น
แต่เศรษฐกิจของเรายิ่งแย่กว่าเดิม
เราผลิตบัณฑิตด้านการจัดการทรัพยากร ธรรมชาติมาก ขึ้น
แต่ ทรัพยาการธรรมชาติในประเทศเราถูกทำลายย่อยยับมากขึ้น
เราผลิตนักกฎหมาย และนักรัฐศาสตร์มากขึ้น แต่ ปัญหาการเมือง
ปัญหาความ ไม่เป็นธรรมมีมากขึ้น เป็นต้น
แล้ว เรายังมองไม่เห็นความสำคัญของการพัฒนาคนของเรา
ในมิติความเป็นมนุษย์มาก ขึ้นอีกหรือ

ผมคิดว่าลางทีศิลปศึกษาอาจเป็นทางออก
ที่เราน่า จะพิจารณากันอย่างจริงจังกันกระมัง
เพื่อการพัฒนากระบวนการเรียนรู้จาก ภายใน
ผมคิดว่าดีไม่ดีอาจจะช่วยแก้ปัญหาหลักๆ
ให้กับ สังคมไทยได้มากกว่า
การบรรจุพุทธศาสนาเป็น
ศาสนาประจำชาติไว้ในรัฐธรรมนูญกระมัง





ชื่อผลงาน : จินตนาการวัยเด็ก
ชื่อทีม : PPP
สมาชิก :

1. นางสาวพัสสา ทวยหาญรักษา

2. นางสาวปัณฑารีย์ แสนคำ

3. นางสาวเพิร์ล โกสีหเดช

สถาบัน : มหาวิทยาลัยศิลปากร
จังหวัด : กรุงเทพฯ
:-) http://www.youtube.com/watch?v=gJzblo8WgJ0&feature=related