Custom Search

Apr 28, 2008

สมัคร สุนทรเวช กับชีวิตเบื้องลึกของสตรีหมายเลข ๑


ที่มา: http://blog.eduzones.com/nuihappy/2509
อ่านเพิ่มเติม :

http://www.sakulthai.com/DSakulcolumndetail.asp?stauthorid=39&stcolcatid=1&stcolumnid=942&stissueid=2453


เปิดตำนานรักฉบับชั้นประหยัด ผ่อนก่อนบินไปแต่งที่ญี่ปุ่น

เจ้าตัวเผยวิธีการเลี้ยงลูกแบบประชาธิปไตยให้สิทธิได้แสดงความคิดเห็นทุกฝ่าย
ปล่อยฟรีสไตล์วิจารณ์ข่าวหลังมื้อเย็น
หลังได้รับพระราชทานพระบรมราชโองการ แต่งตั้ง นายสมัคร สุนทรเวช เป็น
นายกรัฐมนตรีคนที่ 25 ของประเทศไทย

สื่อหลายสำนักต่างตีพิมพ์ถึงประวัติชีวิตกันให้เกร่อแล้ว
แต่น้อยคนนักที่จะรู้จักดีถึง หลังบ้าน ผู้มั่นคง และอาจเป็นผู้อยู่เบื้องหลังแท้จริงของ
นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีคนที่ 25
ไม่ใช่อยู่ที่ต่างประเทศ อย่างที่โดนครหา
ทำให้หลายคนอยากจะทำความรู้จักว่า คนข้างกาย
หรือ
สตรีหมายเลข ๑ ของนายกรัฐมนตรีผู้นี้เป็นใคร?
คุณหญิงสุรัตน์ สุนทรเวช
ภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากมีอุปนิสัยค่อนข้างเก็บตัว
และเป็นข่าวน้อยมากในแวดวงสังคมแบบฉบับผู้อยู่หลังบ้านที่ดี
ในขณะที่สามีเป็นข่าวบนหนังสือพิมพ์์์์โดยตลอด

สมัคร
เคยพูดถึงภรรยาไว้ในหนังสือ
การเมืองเรื่องตัณหา
ซึ่งเป็นหนังสืออัตชีวประวัตสมัคร สุนทรเวช
โดย myst-man นำมาโพสต์ไว้ในเว็บไซต์ พันธ์ทิพย์

ว่าไปพบรักกับภรรยาที่มหาวิทยาธรรมศาสตร์และการเมือง

โดยขณะนั้นตนเองเรียนอยู่คณะนิติศาสตร์ส่วนคุณหญิงสุรัตน์เรียนอยู่ทีคณะบัญชี

...ตอนที่ผมโตเป็นหนุ่มขึ้นมาแล้ว ผมก็รู้จักชอบ รู้จักรักผู้หญิงเหมือน
กับชายหนุ่มทั้งหลาย และสำหรับชายที่บังเอิญมาเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย
คนที่ไปรักไปชอบนั้นก็เห็นจะไม่พ้นคนที่เรียนหนังสืออยู่สำนักเดียวกัน
เพราะยังงั้นหลังจากที่ได้มีโอกาสรู้จักมักคุ้น
มีเพื่อนมีฝูงทั้งใกล้ทั้งไกลมากมายอยู่พักหนึ่งแล้ว
คนที่ใกล้ชิดสนิทสนมจนถึงขั้นจะตกลงปรงใจกันก็เป็นชาวท่าพระจันทร์ด้วยกันนั่นแหละ
ผมเรียนกฎหมาย คุณเธอเรียนบัญชี...

...ถึงตอนนี้ผมอยากจะขออนุญาตเล่าลงไปให้ถึงรายละเอียดสักนิดเพื่อให้
ไอ้บรรดาคอลัมนิสต์ เลวชาติ ทั้งหลายมันได้รู้กันว่าคนอย่างผมนั้น
เริ่มก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาจากความไม่มีอะไร
โดยไม่ต้องทุจริตคดโกงอย่างที่พวกมันหลับหูหลับตาคิดกันอย่างไร...

หลังจากที่รักใคร่ชอบพอกันแล้ว สมัคร ก็ตัดสินใจขอหมั้น คุณหญิงสุรัตน์

ก่อนที่จะไปเรียนต่อที่สหรัฐฯ โดยสัญญากันเป็นหมั่นเหมาะว่า
หากเรียนจบกลับมาแล้วค่อยแต่งงานกัน

...ผมตกลงกันว่า เรียนหนังสือเสร็จแล้ว ผมจะทำงานเก็บเงิน
เพื่อให้คู่หมั้นผมบินไปแต่งงานกันที่โน่น
แต่แล้วด้วยความที่ไม่ต้องการให้เกิดการสิ้นเปลือง
จากเดิมที่วางไว้ว่าจะไปทำพิธีแต่งงานที่สหรัฐฯ

ก็ได้เปลี่ยนแผนมาแต่งที่ญี่ปุ่นแทน เพราะประหยัดค่าใช้จ่ายมากกว่า
โดยทั้งคู่จัดพิธีแต่งงานที่สถานเอกอัครราชทูตไทย ในกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
มีท่านอุปทูตเป็นประธาน เมื่อปี 2511 .
..
ท่านผู้อ่านคงจะนึกสงสัยว่าทำไมผมสองคนถึงได้ดิ้นรนอยากจะ
ออกมาแต่งงานเมืองนอกคำตอบที่บอกได้โดยไม่ต้องอาย ก็คือเราไม่มีเงิน
เพราะเราเคยนั่งคิดกันแล้วว่าในฐานะที่เคยเป็นชาวมหาวิทยาลัยที่ออกจะเป็นคน
มีเพื่อนฝูงมากทั้งคู่ ถ้าแต่งงานแล้วมีเลี้ยงดูกันอย่างพอสมควรในเมืองไทย
ค่าใช้จ่ายเห็นจะไม่หนี 4-5 หมื่นบาท เงินขนาดนั้นผมจะไปหากันมาจากที่ไหน
แต่ถ้าเลือกไปแต่งงานที่สถานทูตในญี่ปุ่น
ตอนที่ผมเดินทางกลับจากเรียนหนังสือคู่หมั้นผมเพียงแต่เสียค่าเครื่องบิน

ไปกลับกรุงเทพฯ-โตเกียวราคา 7,300 บาท
โดยวิธีซื้อแบบบินก่อนผ่อนที่หลัง
เพียงเดือนละ 300 กว่าบาทเท่านั้นเอง...

สำหรับบุตร-ธิดานั้น
นายกฯ สมัคร
มีธิดาฝาแฝด วันเวลาผ่านไปธิดาีทั้งสองก็เติบโต
และร่ำเรียนจบจากต่างประเทศ ได้แก่ นางกาญจนากร (สุนทรเวช) ไชยสาส์น
จบมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ABAC / MBA. มหาวิทยาลัยฮาร์ทฟอร์ด USA. CONN.
ปัจจุบันทำงานอยู่ฝ่ายการเงินของ ป.ต.ท. (สผ.) และ น.ส.กานดาภา สุนทรเวช
จบคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย / MBA.มหาวิทยาลัยฮาร์ทฟอร์ด USA.

CONN. ปัจจุบันทำงานกระทรวงการต่างประเทศ

ครั้งหนึ่ง
นายสมัคร เคยให้สัมภาษณ์ผ่านนิตยสารสกุลไทย

เมื่อครั้งรับรางวัล ครอบครัวส่งเสริมประชาธิปไตย ประจำปี 2544

ถึงการอบรมเลี้ยงดูลูกๆ ว่า ดูแลเรื่องสุขภาพและความเป็นอยู่อย่างใกล้ชิด

ในช่วงอายุ 1-6 ปีแรก ให้ความเอาใจใส่เรื่องการเรียนของลูก

ในช่วงชั้นประถมและมัธยมต้น ให้ลูกเป็นตัวของตัวเองในช่วงมัธยมปลาย

รวมทั้งการตัดสินใจเข้าเรียนต่อในชั้นอุดมศึกษา

ร่วมหาสถานที่เรียนให้ลูกในการเรียนต่อต่างประเทศ

ตลอดระยะเวลาที่ลูกโตแล้ว ก็ให้สิทธิเสรีภาพในการไปไหนมาไหน

แต่ต้องบอกเวลาไปและประมาณเวลากลับ

ยามที่ปัญหาเกิดขึ้นในครอบครัว

วิธีการแก้ไขปัญหา
คือการตั้งวงสนทนาถึงปัญหาที่เกิดขึ้นพร้อมทั้งแสดงแนวคิด

ในการแก้ไขปัญหา และแสดงท่าทีให้ลูกเห็นว่า

พ่อแม่พร้อมที่จะร่วมมือในการแก้ปัญหาเสมอ

ลูกทั้งสองคนมีความคิดเป็นของตัวเอง

ในขณะเดียวกันลูกทั้งสองก็ฟังความคิดเห็นของพ่อแม่

การได้กินข้าวพร้อมกัน ดูทีวีช่วงข่าวพร้อมกัน

มีการแสดงความคิดเห็นต่อการรายงานข่าวก็ร่วมกันแสดงความเห็นของตนเอง

เมื่อเห็นว่ามีสิ่งที่ควรแสดงความเห็นในเชิงวิพากษ์วิจารณ์

ยังทำอยู่แม้จนปัจจุบันที่กินข้าวร่วมกันทั้ง 6 คน ในครอบครัว

นายสมัคร
กล่าว



นายสมัคร สุนทรเวช เกิดเมื่อวันที่ 13 มิ.ย.2478 ที่บ้านหน้าวังบางขุนพรหม
ถ.สามเสน กรุงเทพฯ เป็นบุตรของเสวกเอก พระยาบำรุงราชบริพาร (เสมียน สุนทรเวช)
กับ คุณหญิงบำรุงราชบริพาร (อำพัน จิตรกร) และเป็นหลานลุงของ มหาเสวกตรี
พระยาแพทย์พงศาวิสุทธาธิบดี (สุ่น สุนทรเวช)
นายแพทย์ประจำพระองค์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6

และเป็นหลานตาของ มหาเสวกตรี พระยาอนุศาสน์จิตรกร (จันทร์ จิตรกร)
จิตรกรประจำราชสำนัก

โดยนายสมัคร เป็นบุตรคนที่ 4
ในจำนวนพี่น้องร่วมบิดา-มารดาทั้ง 6 คน ประกอบด้วย
1.พ.อ. (พิเศษ) พญ.มยุรี พลางกูร
2.นางเยาวมาลย์ ราชวังเมือง
3.พล.อ.อ.สมมต สุนทรเวช อดีตที่ปรึกษา ทอ.

4.นายสมัคร สุนทรเวช
5.นายมโนมัย สุนทรเวช และ
6.นายสุมิตร สุนทรเวช
การศึกษา เริ่มเข้าเรียนที่โรงเรียนสตรีบางขุนพรหมในระดับก่อนประถม
เมื่อขึ้นชั้นเรียนระดับประถมก็ย้ายไปโรงเรียนเทเวศร์ศึกษา
เรียนมัธยมที่โรงเรียนเซนต์คาเบรียล เริ่มเป็นหนุ่มย้ายเข้าโรงเรียนอัสสัมชัญพาณิชย์
ในระดับอาชีวะเข้าเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จนได้ปริญญานิติศาสตร์บัณฑิต
แล้วยังเรียนเพิ่มในด้านมัคคุเทศก์ ที่อักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
และเดินทางไปเรียนที่ชิคาโก สหรัฐอเมริกา ได้รับ
Dip.in Accounting and Business Administration จาก
Bryanmt&Stration Institute
ชีวิตสมรส นายสมัคร สมรสกับ คุณหญิงสุรัตน์ สุนทรเวช (สกุลเดิม ‘นาคน้อย’)
เป็นอดีตที่ปรึกษาด้านการเงินของบริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์
มีบุตรสาวฝาแฝด คือ กานดาภา-กาญจนากร

การทำงาน (ก่อนเข้าสู่เส้นทางการเมือง)
ในปี 2496 เริ่มทำงานแรก ที่บริษัท National Cash Registered
ตำแหน่งเจ้าหน้าที่สอนเครื่องลงบัญชีไฟฟ้า,
ปี 2497 เป็นเสมียนแผนกรถยนต์และผู้ช่วยหัวหน้าแผนกเครื่องอะไหล่
บริษัท Barrow Brown,
ปี 2502 เป็นผู้ช่วยหัวหน้าแผนกเครื่องอะไหล่ บริษัทลอกซเล่ย์,
ปี 2504 เป็นมัคคุเทศก์อิสระให้กับบริษัทเวิลด์ทราเวลเซอร์วิส
ปี 2507 เป็นผู้จัดการแผนกเครื่องอะไหล่ บริษัทเอื้อวิทยาพาณิชย์,
ปี 2510 ทำงานในตำแหน่ง DIETARY AID
ใน FOX REVER REHABLLITION HOSPITAL ชิคาโก สหรัฐอเมริกา,
ปี 2512 เป็นผู้จัดการแผนกเครื่องอะไหล่ บริษัทเอื้อวิทยาพาณิชย์,
ปี 2513 เป็นผู้บริหารฝ่ายขายบริษัท JOHN DEERE THAILAND,
ปี 2514 เป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สถานเอกอัครราชทูตอิสราเอล
ประจำประเทศไทย
สู่เส้นทางการเมือง...
ในปี 2516 นายสมัครได้ลาออกจากงานประจำ
เริ่มทำงานการเมืองอย่างเดียว และในปี 2522 นายสมัครได้ก่อตั้ง
“พรรคประชากรไทย”และดำรงตำแหน่ง “หัวหน้าพรรค”
ซึ่งอันที่จริงก่อนหน้านี้ในปี 2511 นายสมัคร
เคยเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น
สมาชิกสภาเทศบาลกรุงเทพมหานคร
ในปี 2514 ...จนในปี 2518 ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
ครั้งแรกผลงานทางการเมืองก็มีไม่น้อย...
สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ (2511-2519)กรรมการผู้ร่วมก่อตั้ง
กลุ่มหนุ่มพรรคประชาธิปัตย์สมาชิกสภาเทศบาลนครกรุงเทพฯ
(ได้รับเลือกตั้ง เมื่อ 15 สิงหาคม 2514)
สมาชิกสมัชชาแห่งชาติ (ได้รับแต่งตั้งเมื่อ 10 ธ.ค. 2516 )
สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (ได้รับแต่งตั้งเมื่อ 23 ธ.ค. 2516)
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรุงเทพมหานคร
(ได้รับแต่งตั้งเมื่อ ม.ค. 2518, เม.ย. 2519 เม.ย. 2522, 2526 ก.ค. 2529
ก.ค. 2531 มี.ค. 2535 – ก.ย. 2535 ก.ค. 2538 - พ.ย. 2539)
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (2518)
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (2519)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (2519 - 2520)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม (2526 - 2529)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม (2533 - 2534)
กรรมาธิการตรวจรายงานการประชุม (2516)
ประธานคณะกรรมาธิการการคลัง และสถาบันการเงิน (2523 - 2526)
ประธานคณะกรรมาธิการการปกครอง (2529 - 2531)
ประธานคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ (2531 - 2533)
ประธานคณะกรรมาธิการการคมนาคม (2535 - 2538)
กรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี2518,2519,2520,2521,2522,2523,2524,2525,2526,2527, และ 2528
พ.ศ. 2531 : สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร (ก.ค. 2531)
ประธานคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ (พ.ศ. 2531 - 2533)
พ.ศ. 2533 : รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม (พ.ศ. 2533 - 2534)
พ.ศ. 2535 : สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร (มี.ค. 2535) (ก.ย. 2535)
ประธานคณะกรรมาธิการการคมนาคม (พ.ศ. 2535 - 2538)
พ.ศ. 2538 : สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร (ก.ค. 2538)
พ.ศ. 2539 : สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร (พ.ย. 2539)
พ.ศ. 2543 : ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (พ.ศ. 2543 - 2547)
พ.ศ. 2550 : รับตำแหน่งหัวหน้าพรรคพลังประชาชน
(24 ส.ค. พ.ศ. 2550 - 30 ก.ย. พ.ศ. 2551)
พ.ศ. 2551 : นายกรัฐมนตรีของประเทศไทย (29 ม.ค. พ.ศ. 2551 - 9 ก.ย. 2551)







อาลัย"สมัคร"จากคนข่าวอารมณ์ดี กฤษณะ ไชยรัตน์

ตั้งแต่แรกเริ่มใน วงการข่าว เมื่อสมัยยังเป็น
นักข่าวหนังสือพิมพ์ ในปี 2535 จนถึงปัจจุบัน
มาเป็นคนคุยข่าวทางโทรทัศน์ กว่า 10 ปีปลายๆ
ที่ผมได้มีโอกาสพบ และสัมภาษณ์ คุณสมัคร
หลายต่อหลายครั้ง
ในฐานะแหล่งข่าวคนสำคัญ
ในแวดวงการเมือง
ถ้าจะถามถึงความทรงจำที่ประทับใจ
ที่มีต่อแหล่งข่าวชื่อ...สมัคร สุนทรเวช

ผมก็ต้องบอกว่า คุณสมัคร เป็นนักการเมืองรุ่นเก๋า
ระดับซูเปอร์สตาร์ ที่มีไมตรีจิตอันดี
ให้คนทำข่าวอย่างผมมาโดยตลอด

เพราะทุกครั้งที่ติดต่อขอนัดสัมภาษณ์
หรือจะสัมภาษ
ณ์แบบด่วนๆ ทางโทรศัพท์
เกี่ยวกับมุมมองที่มีต่อสถานการณ์ในบ้านเมือง
คุณสมัคร ก็ไม่เคยปฏิเสธ

จะให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีในทุกๆ ครั้ง
จนผมต้องยกให้คุณสมัคร

เป็นมหามิตรในกลุ่มแหล่งข่าว
คนสำคัญของผมมานานนับสิบปี

เวลามีประเด็นข่าวที่ร้อนแรงน่าสนใจ
ในสถานการณ์การเมือง
ในยุครัฐบาลต่างๆ
ที่ผ่านมา
ผมก็จะต้องนึกถึงแหล่งข่าว
ชื่อ สมัคร เป็นคนแรกๆ
ที่จะต้องโทรศัพท์ไปสัมภาษณ์
สอบถามความคิดเห็นอยู่เสมอๆ
และแทบทุกครั้ง คุณสมัคร
ก็จะรับสายเอง คุยเอง
แบบดุเด็ดเผ็ดมัน
ตามสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์

ที่ผมประทับใจเป็นการส่วนตั๊ว...ส่วนตัวก็คือ
...ไม่ว่าคุณสมัคร
จะอยู่ในฐานะตำแหน่งใด
จะเป็นแค่ ส.ส.
หรือเป็นหัวหน้าพรรคการเมือง
ตลอดจนเป็นรองนายกฯ
เป็นผู้ว่าฯ กทม. ฯลฯ
พอโทรศัพท์ไปทีไร
คุณสมัคร ก็มักจะรับสาย
พูดคุยเองด้วยทุกครั้งไป
ทำให้การทำงานข่าวของผม
รวดเร็ว และราบรื่นด้วยดีเสมอมา
จะมีที่ขาดหายไปบ้าง
ก็ช่วงตั้งแต่คุณสมัคร
กลับเข้ามาสู่เวทีการเมืองระดับชาติ
ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชาชน
และก้าวขึ้นสู่เก้าอี้นายกรัฐมนตรี คนที่ 25 ของประเทศไทย
ในราวเดือนมกราคม-กันยายน ปี 2551
ตอนนั้น ผมก็ไม่ได้มีโอกาสสัมภาษณ์คุณสมัครอีกเลย
หลังสุดที่ได้พูดคุยทางโทรศัพท์กับคุณสมัคร
ก็เมื่อตอนปิดหีบเลือกตั้งใหญ่
ในช่วงค่ำๆ ของวันที่ 23 ธันวาคม 2551
วันนั้น
ผมโทรศัพท์ไปหาคุณสมัครที่บ้าน
ท่านก็ยังรับสายผมเป็นปกติ
ผมยังถามท่านว่า
...เหนื่อยมั้ยครับท่าน
คุณสมัคร ตอบกลับมาว่า
...ก็เหนื่อยอยู่บ้าง
และก็ยังเครียดๆ กับปัญหาบ้านเมือง
ณ เวลานั้น
นับจากนั้น ผมก็ไม่มีโอกาสได้พบ
หรือพูดคุยกับคุณสมัครอีกเลย

จนกระทั่ง คุณสมัคร พ้นจากตำแหน่งนายกฯ
เพราะคดีชิมไปบ่นไป
ในเดือนกันยายน 2551
หลังจากนั้น
ก็มีข่าวว่าคุณสมัครป่วยเข้าโรงพยาบาล
ท่ามกลางข่าวลือต่างๆ นานา
ผมก็เลยตัดสินใจเดินทางไปเยี่ยม
คุณสมัครที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ในฐานะที่ท่านเป็นแหล่งข่าว
ที่ดีที่สุดคนหนึ่งของผมเสมอมา

ทีแรกตั้งใจจะแค่ไปเซ็นเยี่ยมท่านเท่านั้น
ผมก็ยังชวน อ.สุขุม นวลสกุล
ไปเซ็นเยี่ยมคุณสมัครด้วยกัน

ตอนนั้นราวๆ ต้นเดือนตุลาคม 2551
ผมไปถึงโรงพยาบาล ประมาณ 1 ทุ่ม
พอเซ็นเยี่ยมเสร็จ อ.สุขุม ก็ขอตัวกลับไปก่อน
ส่วนผมก็บังเอิญต้องไปเยี่ยมพระภิกษุรูปหนึ่ง
ที่มาตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาล นั้นพอดี
สักพัก คุณสมัคร ก็ให้คนใกล้ชิดโทรศัพท์มาตามผม
ให้เข้าไปหาท่านในห้อง

ผมก็เลยมีโอกาสพบคุณสมัครอีกครั้ง
ซึ่งเป็นครั้งสุดท้าย ที่ได้พบคุณสมัครก็ว่าได้
พอเข้าไปในห้อง ก็ได้เจอคุณหญิงสุรัตน์
คู่ชีวิตของคุณสมัคร

ที่มาอยู่เฝ้าอาการป่วยของคุณสมัครทุกวัน
ด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
แทบไม่เคยห่างกันเลยก็ว่าได้
วันนั้น ผมเห็นคุณสมัครยังดูสดชื่นแจ่มใสดี

กึ่งนั่ง กึ่งนอนอยู่บนเตียงคนป่วยในห้องพิเศษนั้น
และยังเปิดวิทยุฟังข่าว
ติดตามสถานการณ์บ้านเมือง

ผมยังแซวคุณสมัครว่า...
ช่วงนี้ ฟังข่าวมากๆ
ระวังเครียดนะครับท่าน คุณสมัคร
ก็ยังหัวเราะชอบใจ
ผมยังจำได้
และซาบซึ้งในไมตรีจิตที่คุณสมัครมีให้มาตลอด

ในห้องคนป่วยที่โรงพยาบาล
ค่ำวันนั้น คุณสมัครยังเอามือมาจับที่เข่า

และจับมือผมเบาๆ ก่อนจะเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับ
อาการป่วยในช่วงนั้นโดยละเอียด
สลับกับการพูดคุยวิพากษ์วิจารณ์
การบ้านการเมืองในบางช่วงบางตอน

ก่อนลากลับวันนั้นคุณสมัครยังฝากบอกคนที่เป็นห่วงว่า...
ไม่ต้องเป็นห่วง
เพราะคุณสมัคร ยังเชื่อว่า
อีกไม่นาน อาการป่วย
ก็คงจะทุเลาเบาบาง
และหายได้ในที่สุด
เมื่อหลายปีก่อน
ผมเคยไปที่บ้านคุณสมัคร
ในหมู่บ้านโอฬาร แถวๆ คลองกุ่ม
ยังเคยคุยเล่นกับคุณสมัคร เรื่องโหงวเฮ้งบนใบหน้า
คุณสมัคร มีใบหูค่อนข้างยาว ตามตำราโหราศาสตร์ทายว่า
จะมีอายุยืนยาวนาน คุณสมัคร ยิ้มชอบใจ

และบอกว่า หมอดูเคยดูดวงให้
ว่าจะมีอายุยืนถึง 93 ปี
จึงจะสิ้นอายุขัย
แต่ใดๆ ในโลกล้วนอนิจจัง
ที่สุด
คุณสมัคร ก็จากโลกนี้ไปในวัย 74 ปี

เหลือไว้เพียงแต่...ความทรงจำที่ดีๆ
ที่ผมจะไม่มีวันลืม
ด้วยอาลัยยิ่ง
แด่นักการเมืองผู้ยิ่งใหญ่...สมัคร สุนทรเวช




"บัณฑิต อึ้งรังสี" วาทยากรไทยบนเวทีโลก : BUNDITINSPIRE.COM

http://bunditinspire.com

คอลัมน์ "อาทิตย์"
ชุติมา สุวรรณเพิ่ม

ฉบับวันที่ 3 ต.ค. 47



"บัณฑิต อึ้งรังษี" วาทยากรไทยบนเวทีโลกความพยายามเอาชนะเพื่อจะทำให้ชื่อเสียงประเทศไทย ไม่น่าจำกัดอยู่เพียงแค่วงการกีฬาเท่านั้นเพราะเมื่อมองไปที่วงการดนตรีคลาสสิกก็พบว่ายังมีชายหนุ่มคนหนึ่งได้นำชื่อเสียงมาสู่บ้านเกิดเมืองนอนด้วยการทำในสิ่งที่ตนรักอย่างมุ่งมั่นอยู่ทุกวินาที



"ต้น" บัณฑิต อึ้งรังษี หนุ่มวัย 34 ปีเขาคือวาทยากรผู้ที่มีชื่อเสียงระดับโลก
ซึ่งสื่อต่างประเทศอย่างหนังสือพิมพ์ เดอะ ลอส แอนเจลิส ไทม์
ได้ตีพิมพ์บทความกล่าวถึงเขาว่า
"เขาบัญชาการด้วยความสุขุมและมั่นใจ...และแสดงออกอย่างหน้าตื่นตาตื่นใจ
บนโพเดียม...การอ่านตัวโน้ตเป็นไปอย่างไม่รีบเร่งแต่ชัดเจน
แนวทางการแสดงเป็นไปโดยความแม่นยำและละเอียดทุกตัวโน้ต
แม้กระทั่งพลังที่นุ่มนวลแผ่วเบา"


ด้านหนังสือพิมพ์ เดอะ ชาร์ลสตัน โพสต์ แอนด์ คูเรีย กล่าวถึงวาทยากรชาวไทยคนนี้ว่า
"แสดงให้เห็นถึงสัมผัสที่นุ่มนวล...เป็นผู้นำการแสดงที่ยอดเยี่ยม
โครงสร้างของการขับเดลื่อนจังหวะการควบคุมพลังและความแม่นยำเป็นเลิศ...
นำการแสดงอย่างตื่นเต้นเร้าใจจนทำให้ผู้ชมแทบลืมหายใจ...การอ่านโน้ตตั้งแต่ต้นจนจบ
เต็มไปด้วยสัมผัสอันเงียบสงบที่สามารถรับรู้ได้ถึงรายละเอียดทั้งหมด"
ปกติบัณฑิตมีโอกาศกลับเมืองไทยเพียงปีละครั้ง เพราะงานของเขาอยู่ที่นิวยอร์กและ
ในยุโรป ต้องรอช่วงซัมเมอร์จึงจะได้กลับมาเยี่ยมบ้านกันสักที
แต่ปีนี้นับว่าเป็นปีที่พิเศษสุดๆเพราะเขาได้กลับมาเมืองไทยถึงสองครั้งสองครา
ดยครั้งแรกเดือน ส.ค.
บัณฑิตได้รับเชิญจากรัฐบาลไทยให้มาเป็นผู้อำนวยเพลง
ในคอนเสิร์ตการกุศลเทิดพระเกียรติเนื่องในโอกาสที่
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ
และในเดือน ต.ค.เข้าได้กลับบ้านอีกเป็นครั้งที่สอง
โดยในค่ำคืนวันที่ 3 ต.ค. นี้ บัณฑิตจะเป็นผู้อำนวยเพลงในคอนเสิร์ต
"เดอะ พาวเวอร์ ออฟ คลาสสิก" โดยบรรเลงร่วมกับวงดนตรีระดับโลกจากประเทศอิตาลี
ซึ่งเป็นคอนเสิร์ตเทิดพระเกียรติอีกครั้งหนึ่ง ณ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย
"อาชีพผมต้องบินไปมาระหว่างอเมริกากับยุโรป แต่โดยส่วนใหญ่ผมจะอยู่อเมริกา
เพราะต้องทำงานให้กับวงนิวยอร์กฟิลฮาร์โมนิค ออเคสตร้า
ซึ่งผมมีสัญญากับวงโดยจะได้รับเชิญไปเล่นปีละ 4-5 ครั้ง
จะต้องเดินทางอย่างต่ำสามเดือนสี่ทวีป...เกือบทั่วโลกแล้วครับ
แต่ปีนี้ก็ขอยึดเอาเมืองไทยเป็นหลัก"
วาทยากรผู้มีชื่อเสียงเริ่มต้นบทสนทนาด้วยรอยยิ้ม
บัณฑิต อึ้งรังษี คือคนไทยเพียงคนเดียวที่ได้รับเลือกเข้าเป็นวาทยากรร่วม
ในวงออเคสตร้าระดับโลก "นิวยอร์กฟิลฮาร์โมนิค ออเคสตร้า"
(New York Philharmonic Ocrestra)
โดยเขาจะได้ไปร่วมแสดงทั้งในประเทศอิตาลี เกาหลี และในกรุงเทพฯ
สำหรับการแสดงในปี 2545-2547 จากการที่เขาได้รับการเสนอชื่อ
ให้รับรางวัลเกียรติยศและเป็นผู้ชนะร่วมกับวาทยากรสาวจากจีน
ในการแข่งขันวาทยากรระดับโลก (Maazel-vilar International
Conducter's Compettition)ซึ่งจัดขึ้นที่คาร์เนกีฮอลล์(Carnegie Hall)
ในนครนิวยอร์ก การแข่งขัน The Maazel-Vilarนี้ถือเป็น
โอลิมปิกของวงการดนตรีเลยทีเดียวรางวัลดังที่รู้จักในฐานะวาทยากรหนุ่ม
ระดับแนวหน้าของโลก
บัณฑิตเป็นชาวอำเภอหาดใหญ่ แววความสามารถทางดนตรีเริ่มฉายตอนอายุ 13 ปี
จากการเรียนกีตาร์คลาสสิก แล้วโลกของบัณฑิตก็ได้เปลี่ยนแปลงไป
เมื่อเขาชมการแสดงคอนเสิร์ตของวง New York Philharmonic Ocrestra
ซึ่งมาเปิดการแสดงที่กรุงเทพฯเมื่อสิบสามปีที่แล้ว
ตั้งแต่นั้นมาเขาก็มีความใฝ่ฝันอยากเป็น "วาทยากรที่มีชื่อเสียงของโลก"ให้ได้"
วงดนตรีวงนี้มีชื่อเสียงก้องโลกแล้วมีวาทยากรฝีมือฉกาจระดับ 1 ใน 3 ของโลก
ชาวอินเดียชื่อ สุบิน เมห์ธา ทำหน้าที่อำนวยเพลง
สิ่งที่ได้ฟังได้เห็นก็เหมือนมาจุดประกายความฝันของเราได้ทันที
"ผมอยากทำชื่อเสียงให้กับประเทศชาติแบบชาวอินเดียคนนั้นบ้าง
ความฝันนี้น่าจะเป็นไปได้เพราะอินเดียก็ไม่ต่างจากเรา
ทางด้านพื้นฐานเพลงคลาสสิกซึ่งก็ไม่ดีนัก แล้วสุบินก็เกิดเติบโตมาในประเทศอินเดีย
ไม่ใช่คนที่ไปเรียนไปโตในเมืองนอก
การที่เขาก้าวขึ้นมาในระดับนี้ได้จึงเป็นเรื่องที่น่าทึ่งมาก แล้วผมก็ตั้งเป้าหมายไว้ด้วยว่า
ถ้าจะเป็นวาทยากร จะไม่ทำอาชีพนี้แค่อำนวยเพลงได้ แต่ผมจะก้าวขึ้นสู่อันดับหนึ่งให้ได้"
คำกล่าวมุ่งมั่นของคนพูดทำเอาคนฟังอึ้งเลยทีเดียว
ความฝันของบัณฑิตจึงเริ่มจากจุดนี้ ตอนนั้นเขาอายุ 18 ปี
ศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ปี 2 ซึ่งแน่นอนว่าครอบครัวของเขาซึ่งประกอบ
อาชีพนักธุรกิจจะต้องทัดทานอย่างแน่นอน กับอาชีพคอนดักเตอร์หรือวาทยากร
ซึ่งคนไทยไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย
"ผมจึงต้องโน้มน้าวคุณพ่อคุณแม่ด้วยวิธีสารพัดเพื่อให้ท่ายยอม
โดยการขอไปเรียนต่อที่ประเทศออสเตรเลีย เมื่อที่บ้านมีธุรกิจส่วนตัวเรา
จึงเลือกเรียนสาขาบริหารธุรกิจ ส่วนอีกด้านก็คือ สาขาดนตรี"
บัณฑิตบอกว่าเป็นหนึ่งช่วงชีวิตที่เหนื่อยและหนักหน่วงมากๆ
จากชีวิตที่เป็นคนสบายๆ ไม่ค่อยจะมีระเบียบแบบแผนอะไรมากมายนัก
ต้องเปลี่ยนตัวเองให้มีระเบียบวินัยสูง จัดตารางชีวิตของตัวเองให้ได้
แล้วจิตใจยังต้องขวนขวายอย่างสูงด้วยคาถาที่ใช้ได้เสมอ เขาบอกว่า ก็คือ
"ต้องทำงานให้มากกว่าคนอื่น" แล้วความมุ่งมั่นของเขาก็ได้พิสูจน์ด้วยการคว้า
ปริญญาตรีมาได้พร้อมกันทั้ง 2 ใบ จากมหาวิทยาลัยวอลลองกอง (Wollongong)
ประเทศออสเตรเลียจากนั้นได้ไปศึกษาต่อระดับปริญญาโทสาขาวาทยากร
จากมหาวิทยาลัยแห่งมิชิแกน สหรัฐอเมริกา
จากนั้นการตระเวณเก็บสะสมรางวัลจึงเริ่มต้นขึ้น
ในเดือน ก.ย. 2542 บัณฑิตชนะการแข่งขัน"วาทยากรรุ่นเยาว์ระดับนานาชาติ"
ซึ่งจัดประจำทุกปี ณ กรุงลิสบอน ประเทศโปรตุเกส ต่อมาในปี 2545
เขาได้อันดับสี่จากผู้เข้าแข่งขัน 37 คน จาก 20 ประเทศ
ในการแข่งขัน The Hungarian TV-Radio International Conducter
Competition ณ กรุงบูดาเปสต์ และชัยชนะจากการแข่งขัน Maazel-vilar
เมื่อปีที่ผ่านมา เป็นการยืนยันได้ว่า เขาคือวาทยากรหนุ่มที่ฝีมือยอดเยี่ยมระดับในโลก
ดังกล่าว"ในยุโรปมึเวทีการแข่งขันวาทยากรที่ไหน เวทีนั้นจะต้องมีชื่อผม
แน่นอนครับว่าเราเป็นคนไทยเพียงคนเดียว แต่ผมรู้ว่าตัวเองต้องทำได้
เชื่อมั่นว่าต้องได้รางวัล การเล่นดนตรีเป็นอาชีพที่เครียดมากนะ
เพราะจะต้องซ้อมทุกวัน แล้ววาทยากรต้องนำนักดนตรีเป็นร้อยคน
พอเริ่มซ้อมเราก็จะได้ยินเสียงนาฬิกาเริ่มเดินดังติ๊กๆๆ แล้ว
เพราะนักดนตรีอาชีพแต่ละคนค่าตัวจะสูงมาก(บอกพร้อมเสียงหัวเราะ)
คนเป็นวาทยากรจึงมีหลายเรื่องให้คิด นอกจากจะต้องควบคุมวงแล้ว ต้องจัดเวลาให้เป็น
เมื่ออยู่หน้าเวทีจึงต้องใช้ทั้งพลังและสมาธิสูงมาก" บัณฑิตบอกเล่า
ทางด้านอาชีพวาทยากร เขาได้ร่วมเป็นวาทยากรร่วมกับ Charleston Symphony
Ocrestra ในเดือน ก.ย. 2543 ตำแหน่งก่อนหน้านี้ได้แก่ วาทยากรร่วมกับ Utah
Symphony ตำแหน่งผู้อำนวยเพลงการเพลงและวาทยากรของ Young Musician
Foundation (YMF) Ocretraในนครลอสแองเจลิส
วาทยากรฝึกหัดที่ The Oregon Symphony ภายใต้การควบคุมวงของ
James DePriestและวาทยากรผู้ช่วยที่ Santa Rosa Symphony
บัณฑิตถือว่าเป็นแรงบันดาลใจคือกลุ่มบรรดาครูผู้ฝึกสอนซึ่งได้แก่ศิลปินในระดับโลก
เช่นJorma Paluna และ Maestro Lorin Maazel
และเขาได้รับปริญญาโทสาขาวิชาวาทยากรจาก University of Michigan
ภายใต้การฝึกสอนของ Gustav Meier และ Kenneth Kiesler
ในส่วนของศิลปินระดับโลกที่บัณฑิตเคยร่วมงาน อาทิ The LaBeque Sister, Paula
Robinson, Christopher Parkening, Bernstein
รวมถึงเป็นหนึ่งในสมาชิกของ Los Angeles Philharmonic Ocretra
ประสบการณ์มาพร้อมกับรายได้ที่งดงาม
บัณฑิตพูดถึงเรื่องนี้ให้ฟังว่า สำหรับวาทยากรไทยรุ่นต่อไปที่อยากจะก้าวขึ้น สู่ระดับโลก
เขาก็ขอฝากไว้ว่า ถ้าใครคิดจะก้าวมาถึงจุดนี้ได้
ข้อแรกจะต้องมีพื้นฐานเป็นนักดนตรีที่ดี
มีพรสวรรค์เล่นดนตรีเก่ง แล้วจะต้องมี "หู"ที่ดี "มีรสนิยม"ที่ดี
จึงต้องผ่านประสบการณ์การฟังมามากพอสมควรจนสามารถแยกแยะได้ว่า
เพลงที่ฟังมีความไพเราะหรือไม่
ข้อสองศิลปะในการใช้ไม้นำคนเกือบร้อยคนนั้นลึกซึ้งมาก
วาทยากรจึงจะต้องมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูงทำให้คนเชื่อถือได้
เพียงถ้าวาทยากรไม่มีความเชื่อมั่นครั้งเดียวเมื่อขึ้นไปยืนหน้าเวที
ก็จะสูญเสียอำนาจการควบคุมวงไปเลย!!
การก้าวสู่อันดับโลกไม่ใช่เรื่องง่ายนัก
แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินไปสำหรับคนไทยตัวเล็กๆ ดั่งเช่น บัณฑิต อึ้งรังษี




30 วิธีเอาชนะโชคชะตา (THE LUCKIEST MAN IN THE WORLD)

ผู้แต่ง :บัณฑิต อึ้งรังษี
ราคา :175 บาท


กฎข้อที่ 1 คนโชคดี รู้ว่า “ โชค ” สามารถเปลี่ยนแปลงได้
กฎข้อที่ 2 คนโชคดีเชื่อว่า ตัวเขาเองสามารถเปลี่ยนแปลงโชคนั้น ได้
กฎข้อที่ 3 รู้จัก กฎพ่อ และกฎแม่ แห่งโชคลาภ
กฎข้อที่ 4 จงเคารพ กฎแห่ง เหตุและผล (กฎพ่อ แห่งโชคลาภ)
กฎข้อที่ 5 จงบูชา กฎแห่งแรงดึงดูด (กฎแม่แห่งโชคลาภ)
กฎข้อที่ 6 กำจัด ความเชื่อที่จำกัด
กฎข้อที่ 7 ทำตัวเป็น หมอดูที่แม่นที่สุดในโลก
กฎข้อที่ 8 คนโชคดี ตัดสินใจ ไขว่คว้าหาโชค
กฎข้อที่ 9 คนโชคดี ลงมือทำวันนี้
กฎข้อที่ 10 รู้จัก องค์ประกอบของโชค
กฎข้อที่ 11 เพิ่มโอกาส โดยลองสิ่งแปลกใหม่
กฎข้อที่ 12 เพิ่มโอกาส โดยการเอาตนเองเข้าไปอยู่ในหนทางของโอกาส
กฎข้อที่ 13 เพิ่มโอกาส โดยการเพิ่มคุณค่าของตนเอง
กฎข้อที่ 14 เพิ่มโอกาส โดยการออกไปเจอคน
กฎข้อที่ 15 คบคนพาล พาลพาไปหาผิด
กฎข้อที่ 16 เพิ่มโอกาส โดยการเอาประโยชน์ให้มากที่สุดจากสถานการณ์ปัจจุบัน
(ที่ไม่ดีนัก)
กฎข้อที่ 17 เตรียมความพร้อม สำหรับโอกาสที่กำลังจะมา เสมอ
กฎข้อที่ 18 เข้าใจว่า “โชคส่วนใหญ่ของคุณ จะมาจากคนอื่น.....”
กฎข้อที่ 19 เป็น “คนเก่งทางด้านมนุษยสัมพันธ์”
กฎข้อที่ 20 ช่วยเหลือผู้อื่น โดยไม่หวังผลตอบแทน
กฎข้อที่ 21 สร้างชื่อเสียงที่ดี
กฎข้อที่ 22 อย่าหาโชคที่การพนัน
กฎข้อที่ 23 อย่าแสวงโชคที่ล๊อตเตอรี่
กฎข้อที่ 24 อย่ามีศัตรู (ไม่ว่าโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ)
กฎข้อที่ 25 คนโชคดี คือ คนขยัน
กฎข้อที่ 26 หาทางให้คนอื่นได้ประโยชน์ด้วย
กฎข้อที่ 27 การอิจฉาจะนำโชคร้ายมาเพิ่ม
กฎข้อที่ 28 อย่าพูดว่า คู่แข่งหรือคนที่คุณไม่ชอบ “โชคดี”
กฎข้อที่ 29 “ดูดี” เหมือนคนโชคดี
กฎข้อที่ 30 จงรู้จักเห็นค่าของสิ่งที่มีอยู่แล้ว




Apr 27, 2008

ส่อง ''เพชร'' อารมณ์ดี''เพ็ชรทาย วงศ์คำเหลา''




วัน เสาร์ ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2550
เอ่ยชื่อ หม่ำ จ๊กมก เชื่อว่าคงทำเอาหลายคนถึงกับท้องคัดท้องแข็งกันได้
แค่เพียงนึกถึงหน้าตาเหลี่ยมๆ และมุกหน้าตายของหนุ่มที่ราบสูง ผู้เจนเวทีคาเฟ่
และเป็นโลโก้ของบริษัท เวิร์คพอยท์ อยู่ในขณะนี้
แต่ หม่ำ หรือในชื่อจริงว่า เพ็ชรทาย วงศ์คำเหลา ไม่ได้มีดีแค่สร้างเสียงหัวเราะ
ให้ประชาชนเท่านั้น แต่เขายังแสดงให้เห็น
ว่าเด็กผู้ชายที่หนีออกจากบ้านตั้งแต่อายุ 16-17 ปี
แถมเรียนไม่จบ ม.6 แต่กลับสามารถประสบความสำเร็จในชีวิต
ในทุกๆ เรื่องที่เขาหยิบจับเลยก็ว่าได้ รวมถึงการผันตัวเองมาเป็นผู้กำกับหนัง
บอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยม และ แหยม ยโสธร ก็สามารถทำรายได้ลอยลำร้อยล้านได้สบายๆ
และเวลานี้ เขานำ บอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยม ภาค 2
กลับมาเรียกเสียงหัวเราะจากแฟนๆอีกครั้งผู้กำกับหน้าเป็น

-บอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยม ภาค 2 ทำไมใช้ทุนสร้างถึงร้อยล้าน
มันเริ่มมาจากไอเดียก่อน มันเป็นโจทย์เป็นตั้ง ตั้งมาจากภาคแรก
คือเรามองดูแล้วว่าภาคแรกแอ็คชั่นมันอาจจะน้อยไป ภาคแรกขาดอะไรไปบ้าง
ภาคนี้มันก็น่าจะทำให้ได้ดีกว่าเดิม โปรดักชั่นใหญ่ขึ้นมโหฬารขึ้น
ดูดีเป็นสากลขึ้น ก็เลยลองเอาโปรเจคท์นี้ไปคุยกับเสี่ย เล่าให้เสี่ยฟัง
ว่าประมาณนี้นะเสี่ย เสี่ยหันหน้ามาถามว่า เท่าไร ผมบอก 100 นึง
เสี่ยเบิกตาโพลง แล้วก็บอกว่า แล้วแต่มึง...ไปทำมาไป ผมก็ไม่ได้รู้สึกกดดันอะไร
เสี่ยบอกให้ทำก็ทำเลย

-อย่างไรที่ว่าเป็นสากลมากขึ้น
ภาพรวมทั้งหมดแหละ อย่างแอ็คชั่น มันก็ต้องดูดีกว่าเดิม จะมาเหยาะแหยะไม่ได้แล้ว
มุกตลกมันก็ต้องทำให้คนหมู่กว้างเข้าใจได้ด้วย ฝรั่งขึ้นหน่อย ยุโรปนิดๆ
อเมริกันหน่อยๆ เอเชียอย่างมากมาย งงไหม (หัวเราะ) คือมันต้องคิดให้หนัก
หนังเรื่องนี้ผมคิดไว้แค่ให้คนแถบเอเชียดูแล้วเข้าใจ ก็โอเคแล้ว
ประเทศเพื่อนบ้านเราใกล้ๆ ต้องดูรู้เรื่อง แต่ภาคต่อไป
ผมอาจจะมีมุกแบบที่ทุกคนดูได้ทั่วไป กว้างกว่านี้ก็ได้...ไม่แน่

-การทำงานภาคนี้พิเศษกว่าภาคแรกขนาดไหน
เราคิดก่อนว่าภาคนี้ต้องดูแล้วรู้สึกดีกว่าภาคที่หนึ่ง พอเราได้ตรงนี้แล้ว
เราก็ดูภาคหนึ่ง ว่าอันไหนที่มันขาดหายไป ก็ต้องเอามาใส่ในภาคนี้
อย่างภาค 2 เนี่ย เรารู้อยู่แล้ว ว่าความยิ่งใหญ่มันอยู่ที่ตรงไหน เราก็รู้แล้ว
ว่างบมันต้องสูงตามมาแน่นอน แต่การทำให้หนังมันดูอลังการมากขึ้น
มันจะทำให้หนังน่าเชื่อถือขึ้นด้วย หน้าหนังมันก็แรงขึ้น แล้วได้ฮาด้วย
มันก็ยิ่งเป็นบวกเข้าไปใหญ่ นั่นเป็นวิธีคิดของผม
ถ้าคนอยากจะทำหนังที่ทำให้คนดูมีความสุขความบันเทิงก็สามารถคิดทำได้
แล้วก็ทำได้ง่ายด้วย แต่ต้องรู้จักที่จะทำให้คนดูรู้สึกสนุกสนานกับหนังของคุณด้วย
ไม่ใช่สักแต่ว่าทำ ไม่เคยถามคนดูว่าอยากดูหนังอะไร
ทุกวันคนดูก็เครียดอยู่แล้ว
ยังให้ไปดูหนังแล้วเครียดอีก
หนักกว่าเดิม


-การศึกษา-ตัวชี้วัด? การเรียนตอนนี้ไปถึงไหนแล้ว
ตอนนี้ผมสอบ กศน.จะจบชั้น ม.6 แล้ว และกำลังจะต่อปริญญาตรี
คาดว่าอาจจะเรียนต่อด้านนิติศาสตร์ เพราะผมอยากรู้เรื่องกฎหมาย
ที่อยากเรียนด้านนี้ คงเป็นเพราะพื้นฐานตัวเองเป็นคนชอบเรียนรู้
ผมเป็นคนไม่ชอบอยู่นิ่ง

-มองการศึกษาจำเป็นแค่ไหน เพราะคนอาจจะมองว่าก่อนหน้านี้ หม่ำ
ไม่จำเป็นต้องเรียนสูง ก็ประสบความสำเร็จได้
หน้าที่การงานกับการเรียน มันคนละอย่างกันนะ
มันไม่มีใครจะประสบความสำเร็จไปทุกสิ่งหรอก
ผมเองก็ยังไม่ได้ประสบความสำเร็จอะไร แต่ที่ผมไปเรียน
เพราะเป็นคนที่อยู่ว่างๆ ไม่ได้ ถ้ามีเวลาก็รู้สึกว่าน่าจะใช้ให้มันเกิดประโยชน์
ให้รางวัลกับตัวเอง ถึงวันนี้ได้วุฒิมา ผมก็ยังตอบไม่ได้นะ
ว่าผมจะเอาวุฒิไปทำไม แต่แค่อยากจะหาสิ่งใหม่ๆ ให้ตัวเอง

-วันนี้มองว่าประสบความสำเร็จในชีวิตแล้วหรือยัง
มันก็เป็นเรื่องของการทำงานทุกวันมากกว่า มันไม่ใช่เรื่องอมตะ
ผมรู้แต่ว่าผมเป็นคนทำงานแล้วให้ความเอาใจใส่กับการทำงาน
รักอาชีพตัวเอง ไม่ดูถูกอาชีพของตัวเอง ผมไม่ได้ถ่อมตัวเองนะ
ทุกคนคิดไม่เหมือนกัน ผมเป็นคนที่ต้องทำงานให้ดีที่สุด
ให้เวิร์คพอยท์ไว้ใจเรา
ให้สหมงคลฟิล์มไว้ใจเรา
บางคนถามว่าผมเป็นลูกรักของ 2 บริษัทนี้ไหม
จริงๆ ไม่ใช่ แต่ผมแค่ทำงานให้เขาอย่างเต็มที่
เมื่อเขาเห็น เขาก็ให้ความเอ็นดู

-ถ้ามีคนอยากจะเลียนแบบ หม่ำ จ๊กมก ต้องทำอย่างไร
โอ้ย...เลียนแบบไม่ได้หรอก มันต้องมองตัวเองก่อน
อย่างที่บอก หลายคนว่าผมวาสนาดี ถึงมาได้ขนาดนี้
แต่มันไม่ใช่ มันเป็นเพราะผมทำงานให้โชควาสนาเห็นมากกว่า
ถ้าเราไม่เคยทำ แล้วจะเอา เอาอย่างเดียว มันเอาเปรียบกันเกินไปหรือเปล่า
แต่นี่ผมทำให้เขาเห็น เขาก็เอ็นดู ฉะนั้นคุณต้องเป็นตัวของตัวเอง
ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการต่อสู้ ฝ่าฟัน ขยันหมั่นเพียร
เรามีความมุมานะแค่ไหน ผมอยู่วงดนตรีลูกทุ่ง
จนกระทั่งมาเป็นตลกคาเฟ่ได้ ก็ 20 ปี เหมือนมวยที่ต่อยไม่หยุด
มันก็เลยเก๋า

-ตลกแถวหน้าต้องมีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง
นักแสดงตลกมีเยอะนะ แต่คนที่จะเป็นตลกจริงๆ มันมีน้อย คนที่เป็นตลกจริงๆ
ต้องมีจิตวิญญาณ สามารถปรับสภาพได้ทุกที่ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน
ต้องสามารถปรับเปลี่ยนสีตัวเอง และพยายามเล่นวันพรุ่งนี้เสมอ
มุกต้องใหม่ทุกวัน บางทีผมเล่นมุกล้ำหน้าไป 2-3 เดือนเลยนะ
ที่สำคัญต้องรักอาชีพของตัวเอง และพัฒนามุกตลอด ต้องมีพรสวรรค์
จิตวิญญาณ พรแสวง โชค วาสนาด้วย

-พูดถึงการทำหน้าที่ตลกในรายการของเวิร์คพอยท์
กับเวิร์คพอยท์ ผมอยู่มาจนเป็นพี่เป็นน้องแล้ว อยู่มา 20 ปี ไว้ใจกัน
ถามว่าเวิร์คพอยท์ประสบความสำเร็จเพราะผมไหม มันก็คงจะรวมๆ กัน
ถ้าไม่มีเวิร์คพอยท์ก็ไม่มีผม มันเหมือนถูกประทับตราร่วมกัน มันบอกลำบาก
ทำงานด้วยกันนานๆ มันเป็นเรื่องของจิตใจ

-มีหุ้นใหญ่อยู่ในเวิร์คพอยท์จริงไหม
ก็มีทุกคนแหละ ทั้งเท่ง โหน่ง แต่ผมเป็นพี่ใหญ่
คนก็มองว่าผมต้องมีหุ้นใหญ่กว่าเพื่อน
มันก็แหง คนอยู่มาขนาดนี้ บริษัทก็เข้ามหาชนแล้ว

-จะอิ่มตัวกับงานที่เวิร์คพอยท์เมื่อไร
ก็คงวันที่ลูกผมเรียนจบนั่นแหละ ผมบอกลูกสาว เรียนจบให้ส่งน้องด้วย
เขาก็รับปาก ไม่ใช่ว่าผมเกรงใจพี่ตา ถ้าหากว่าผมรู้สึกว่าสุขภาพไม่ไหว
มันก็ต้องพัก ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ แต่ผมยังสนุกกับงานอยู่

-หม่ำแฟมิลี่ เคยเหลิงกับความดังของตัวเองไหม
เค้ย...(เสียงสูง) เคยมีช่วงหนึ่ง ตอนนั้นผมยังเล่นตลกอยู่คณะของพี่เทพ โพธิ์งาม
แล้วก็กำลังดัง ก็ติดแทงสนุกเกอร์ เสียเงินวันละ 4-5 หมื่นบาท อยู่ประมาณ 2-3 ปี
แต่ดีที่ลูกของผมเป็นตัวช่วยให้พลิกผันได้เหมือนกันนะ
ตอนนั้นลูกคนโตกำลังจะขึ้น ป.1 ผมก็กลัวว่าลูกจะโตมาลำบากเหมือนกัน
ต้องไปแบกของ ก็เลยเลิกเลย ถ้าไม่มีลูกให้ผมได้คิด ก็คงจะเสียคนไปแล้ว
จากนั้นผมก็เริ่มเก็บตังค์

-มีผู้หญิงเข้าหาบ้างหรือเปล่า
มี แต่เราก็รู้สึกว่าเขาเป็นน้อง คือมันเป็นสิทธิของเขาที่เขาจะคิดอะไรกับเรา
แต่เราก็ต้องมองว่าเขาเป็นน้อง เรื่องนอกลู่นอกทาง ผมเลิกไปนานแล้ว
เพราะถ้าพลาดมามันไม่ดี ลูกเราก็โตเป็นสาวแล้ว เวลามีผู้หญิงมาทักทาย
มาขอจับมือ ขอหอม ผมจะกลัวมากเลยนะ กลัวโดนปาปาราซซี
ตอบคำถามเมียไม่เท่าไร
แต่กลัวต้องตอบคำถามลูกสาว เราก็ต้องระวังตัว

-ดูเป็นคนรักลูก รักภรรยานะ
เราได้เขามาเป็นส่วนหนึ่งของการบริหารจิตใจเราแล้ว เราก็ต้องรับผิดชอบเขา
มันเหนือคำว่าหน้าที่ เหนือคำว่าเป็นห่วง มันบอกเป็นคำไม่ได้
แต่ผมก็ค่อนข้างแคร์กับครอบครัวมาก อาจจะเพราะช่วงเหลิงนั่นแหละ
ที่บอกให้ทำแบบนี้ ว่าเรายังมีคนรออยู่ข้างหลัง
เขารออะไรบางอย่างที่เป็นความสุขกับครอบครัว เราไม่ใช่ชายโสดแล้ว
ตอนช่วงที่ผมระเริงไป ทำอะไรไม่ได้คิด มันมีสิ่งที่ทำให้รู้สึกผิดมากกับตัวเอง
วันนี้ก็เลยต้องให้ผิดน้อยที่สุด เรื่องนอกใจ ถ้าจะมีก็แค่มอง แต่ก็แค่นั้น
เพราะถ้าทำแล้วมีปัญหา จะทำไปทำไม เต็มที่ก็แค่แทะโลมทางสายตา

-ลูกสาวคนโตที่ไปเรียนเมืองนอกเป็นอย่างไรบ้าง
อีก 3 ปีเขาก็เรียนจบแล้ว เขาไปเรียนที่โตรอนโต ด้านภาพยนตร์
ส่วนว่ากลับมาจะมาช่วยผมทำหนังไหม อันนี้อยู่ที่เขา ผมไม่บังคับ
การศึกษาเหมือนเป็นแค่การชี้แนะมากกว่า เพราะบางคนเรียนจบมาก็ไม่ได้ทำงาน
ตามสายที่ตัวเองเรียน ผมก็แล้วแต่เขา

-ส่งลูกไปเรียนนอก เพราะอยากให้เรียนรู้ชีวิต
เขาอยากไปเอง เป็นคนหาที่เรียน หาวีซ่าไปเอง พอผมรู้ว่าเขาจะไป
น้ำตาร่วงเลย เป็นห่วง แต่ไม่กล้าพูด พูดแล้วมันเหมือนเป็นการปิดกั้น
แค่เขาไปเดือนเดียว ก็เหมือนใจมันจะขาด
ส่วนลูกคนเล็กตอนนี้ก็เรียนที่โรงเรียนนานาชาติ แถวพัทยา
ที่พี่สาวเขาเป็นคนแนะนำให้นั่นแหละ

-หม่ำมีวิธีเลี้ยงลูกแบบไหน
ผมเลี้ยงลูกแบบเพื่อน แบบพี่ แต่ถ้านอกลู่นอกทางเมื่อไร
ผมก็จะดุเป็นทหารเลย

-ถึงวันนี้มีอะไรที่ยังอยากทำบ้าง
ผมอยากให้ลูกเป็นฝั่งเป็นฝา ลูกมีงานทำเมื่อไร ผมก็คงเลิกทำงานแล้ว
อยากให้ลูกมีผู้ชายดีๆ มาชอบ มารัก ผมไม่หวงหรอก มันเป็นเรื่องธรรมชาติ
แต่ก็บอกเขาว่าให้เรียนจบก่อนนะ ค่อยมาบอกพ่อ

-เรื่องที่ภูมิใจที่สุดของหม่ำ
ก็คงจะเป็นลูกทั้งสองคนของผมนี่แหละ ภูมิใจที่เขาเกิดมาเป็นลูกผม
แล้วก็ภูมิใจในภรรยาของผมด้วย

-เรื่องที่เสียใจที่สุดล่ะ
เสียใจที่พ่อกับแม่ผมไม่ได้มีโอกาสเห็นผมในทุกวันนี้
เมื่อก่อนญาติพี่น้องผมมองว่าผมเป็นตัวปัญหาของครอบครัว
เลยเป็นสาเหตุให้ผมหนีออกจากบ้านตั้งแต่อายุ 17
ซึ่งพ่อผมได้มีโอกาสเห็นความสำเร็จของผมรางๆ ตอนที่ผมเป็นตลกดาวรุ่งอยู่
เพิ่งได้ออกรายการ ก็เสียใจที่ยังไม่ได้ทดแทนบุญคุณเขา

นี่คงพิสูจน์ให้เห็นแล้ว ว่าโชคชะตาของคนเราพลิกได้เสมอ
ถ้าเพียงแต่เรามีความมุ่งมั่น เพียรพยายาม
วันหนึ่ง ดิน อย่างคุณอาจจะได้เป็น เพชร เหมือน เพ็ชรทาย วงศ์คำเหลา ก็ได้ ใครจะรู้...




Apr 25, 2008

ยุทธศาสตร์กู้ชาติและเข็มทิศใหม่ เพื่อผ่าทางตันการเมืองไทย

[25 เม.ย. 51 - 16:52]
พล.อ. ชวลิต ยงใจยุทธ กล่าวผ่านเวทีปาฐกถา ทำนายว่าบ้านเมือง
จะเกิดอาเพศ 10 ประการ เชื่อปมปัญหา อยู่ที่หลง ‘ลัทธิรัฐธรรมนูญ’
มีกระบวนการ ล้มปืน ล้มทุน ล้มเจ้า ซ่อนอยู่ แต่ยังให้เครดิตพปช. ว่าไม่ได้แก้รธน.
เพื่อตัวเอง เพราะรบ.มีอายุไม่น่าจะเกิน 8-9 เดือน เมื่อเวลา 13.30 น.
ที่ศูนย์พัฒนาทุนมนุษย์ ชั้น 3 อาคารดร.ศิโรจน์ ผลพันธิน มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต

พล.อ. ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี (คนที่ 22 ของประเทศไทย)
กล่าวปาฐกถา และบรรยายพิเศษในการสัมมนาวิชาการหลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต
สาขา ภาวะผู้นำเชิงยุทธศาสตร์ความเป็นเลิศ ในหัวข้อเรื่อง
“ ยุทธศาสตร์กู้ชาติและเข็มทิศใหม่ เพื่อผ่าทางตันการเมืองไทย ”
ทั้งนี้ เนื้อหาอาเพศ 10 ประการในเอกสารการบรรยายของพล.อ.ชวลิต ได้ระบุดังนี้ว่า
ประเทศไทยหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิ.ย. 2475 เป็นต้นมาถึงปัจจุบัน
ขาดผู้นำทางความคิดที่ถูกต้อง จึงเกิดปรากฎการณ์ทางการเมืองที่วิปริตผิดเพศ
ที่เรียกว่า “อาเพศประเทศไทย 10 ประการ” คือ
1. การเมืองปัจจุบัน เป็นการเมืองเรื่องตัณหา ไม่ใช่การเมืองเรื่องคุณธรรม
2. พรรคการเมือง ทำเป็นการแต่การหาเสียงเลือกตั้ง แต่ทำการจัดตั้งประชาธิปไตยไม่เป็น
3. ส.ส. เป็นได้แต่ผู้แทนผลประโยชน์ของปัจเจกชน
แต่เป็นผู้แทนประโยชน์ของปวงชนไม่ได้
4. ทหาร ทำเป็นแต่รัฐประหาร แต่ทำการปฏิวัติไม่เป็น
5. นักเคลื่อนไหว ทำเป็นแต่ม็อบ (Mob) แต่ทำแมส (Mass) ไม่เป็น
6. นักวิชาการ คิดเป็นแต่รัฐธรรมนูญ แต่คิดเป็นลัทธิประชาธิปไตยไม่เป็น
7. ผู้นำ ซึ่งนำเป็นแต่ม็อบและองค์กร แต่ทำทางการเมือง ความคิดจิตวิญญาณไม่เป็น
8. รัฐบาล สร้างเป็นแต่รัฐธรรมนูญ แต่สร้างประชาธิปไตยไม่เป็น
9. สื่อมวลชน สะท้อนได้แต่ปรากฎการณ์ แต่สะท้อนธาตุแท้ไม่เป็น
10. รัฐธรรมนูญ ทำหน้าที่เป็นนโยบาย แต่ไม่ทำหน้าที่เป็นกฎหมาย

โดยมีการสรุปว่า การเมืองในปัจจุบัน คือมีหลักการปกครองเป็นเผด็จการ
แต่มีรูปการปกครองเป็นประชาธิปไตย นั่นคือ ระบอบเผด็จการ
เพราะ อำนาจอธิปไตยในตอนนี้เป็นของคนส่วนน้อย
แต่มีระบบประชาธิปไตย ซึ่งในรูปของการปกครองแบบรัฐสภา
ซึ่งพรรคการเมืองของไทยก็ยังไม่มีความเป็นพรรคการเมืองจริง
เพราะเป็นพรรคของปัจเจกชนคนใดคนหนึ่ง ไม่สามารถสร้างสถาบันที่ดีได้
ตรงกันข้ามกลับมีการกระชับอำนาจเผด็จการมากขึ้น
การที่ประเทศยังเกิดปัญหา เพราะทั้ง 2 ฝ่ายมัวแต่ทะเลาะกัน
ส่วน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี (คนที่ 23 ของประเทศไทย)
ก็ตกเป็นเหยื่อว่าเป็นผู้สร้างปัญหาให้เกิดขึ้น
ส่วนการจะผ่าทางตันการเมืองไทยได้นั้น พล.อ.ชวลิต กล่าวว่า ต้องยึดหลักอริยมรรค
มีองค์ 8 ได้แก่
1.เห็นถูก 2.คิดถูก 3.พูดถูก 4.ทำถูก 5.เลี้ยงชีพถูก 6.เพียรถูก 7.สติถูก และ 8.สมาธิถูก




ภาพประกอบ : ชัย ราชวัตร






คิดถึง 'ฉัน(ท์)' ไหม? กชกร สถาปิตานนท์


ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.ประสม สถาปิตานนท์
ศาสตราจารย์ดร.ประสม สถาปิตานนท์
ถือเป็นทรัพยากรบุคคลที่ทำคุณประโยชน์ให้กับแผ่นดินมากมาย
ด้วยการเริ่มรับราชการที่คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
และเป็น 1 ในผู้ก่อตั้งภาควิชาเคมีเทคนิค
และรับราชการอยู่ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จนกระทั่งเกษียณอายุราชการ
พร้อมกับได้รับการแต่งตั้งให้เป็นศาสตราจารย์เกียรติคุณอีกด้วย
นอกจากนี้ ศาสตราจารย์ ดร.ประสม
ยังเป็นบุคคลแรกที่ได้แปลหนังสือกฎ กติกา มารยาทของการเล่นกอล์ฟ
แจกในนามสมาคมกอล์ฟแห่งประเทศไทย
ซึ่งได้รับลิขสิทธิ์จากต้นฉบับถูกต้องตามกฎหมาย
พร้อมกับยินยอมให้มีการพิมพ์เพื่อเผยแพร่แจกจ่าย
โดยมิได้หวงไว้เพื่อการพาณิชย์แต่อย่างใด
จนกระทั่ง สถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 7 สี
โดยนายวิษณุ นิลกลัด ผู้ดำเนินรายการด้านกีฬา
ได้นำเรื่องกฏ กติกา มารยาท ไปออกอากาศในรายการ "กอล์ฟ ทิปส์"
พร้อมกับ ศาสตราจารย์ดร.ประสม
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญที่จะเป็นผู้ตอบคำถามข้อสงสัยต่างๆ จากแฟนรายการทั่วประเทศ
จนเป็นที่รู้จักกันในวงการกีฬา โดยเฉพาะวงการกอล์ฟเป็นอย่างดี

แหล่งข่าว ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 5 มกราคม 2548 เวลา 18.09 น.


วันอาทิตย์ที่ 20 มีนาคม 2548 

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
เสด็จฯไปในการพระราชทานเพลิงศพ
ศาสตราจารย์เกียรติคุณประสม สถาปิตานนท์ นางกรรณิการ์ สถาปิตานนท์
นางสาวกชกร สถาปิตานนท์ และนางสาวนวมลลิ์ สถาปิตานนท์
ณ เมรุวัดโสมนัสวิหาร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย




ที่มา: เนชั่นสุดสัปดาห์ http://www.nationweekend.com/weekend/20050404/wed36.shtml (not active) Bizman Show ปิยาวันทน์ ประยุกต์ศิลป์
ไม่มีใครรู้หรอกว่า นาฬิกาชีวิตที่พระเจ้าตั้งไว้ จะหมดเวลาเมื่อไหร่!
ร้อยวันสึนามิทำให้เข็มนาฬิกาชีวิตของ 'ฉันท์-กชกร สถาปิตานนท์' ยอดหญิงนักการตลาดคนหนึ่งของเมืองไทย ถูกหมุนกลับอีกครั้ง

เธอคนนี้มีส่วนโน้มน้าวใจให้ผู้หญิงไทยควักกระเป๋าซื้อผลิตภัณฑ์บำรุงผิวแบรนด์ 'พอนด์ส'
และมีส่วนสร้างแรงจูงใจให้คนไทยเลือกใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ครองส่วนแบ่งตลาดสูงอันดับ 1 อย่าง 'โนเกีย'


กชกรได้ชื่อว่าเป็น 'ลูกหม้อยูนิลีเวอร์' มาตั้งแต่ที่นี่ยังเป็น 'ลีเวอร์ บราเธอร์ส' จึงไม่แปลกที่มุมมองด้านการตลาดของเธอจะคม ชัด ลึก ราวถูกฝังชิพเรื่อง Big Idea และ Strategy ไว้แน่นปึ้ก

ความเป็นสาวอินเทรนด์ได้ฉุดเธอให้กล้าที่จะกระโดดจากตลาดสินค้าอุปโภคบริโภค จากตำแหน่งผู้จัดการกลุ่มผลิตภัณฑ์พอนด์ส บริษัท ยูนิลีเวอร์ ไทย โฮลดิ้งส์ จำกัด มาเป็นผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท โนเกีย (ประเทศไทย) จำกัด หลังจากตกหลุมรักมือถือยี่ห้อดังกล่าวจนยอมเป็นลูกค้ามาตั้งแต่ รุ่น 2110 ที่เป็นระบบดิจิทัลรุ่นแรก

บนความเหมือนที่ทั้งยูนิลิเวอร์ และโนเกีย ต่างก็เป็นยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมนั้นๆ ด้วยกันทั้งคู่
ระหว่างปี 2539-2545 ที่ยูนิลีเวอร์ กชกรเป็นคนสำคัญผู้มีส่วนล้างภาพลักษณ์ความเก่าแก่เชยของพอนดส์ ให้กลายเป็นเพื่อนคู่ใจของสาวทันสมัย

ก่อนนำมาสู่ตำนานความภาคภูมิใจสูงสุดเมื่อยอดขายในประเทศติดอันดับ 1 ใน 5

ของยอดขายพอนดส์ทั่วโลก
ตามทฤษฎี ความสำเร็จใดๆ ย่อมมาจากการวางแผนการตลาด การส่งเสริมการขาย และการสื่อสารเกี่ยวกับแบรนด์อย่างถูกทิศถูกทาง


แต่ในแง่ปฏิบัติจริงแม้แต่ปรมาจารย์อย่าง 'ฟิลิปป์ ค็อตเลอร์' ยังบอกว่า
Marketing is everthing
ฉะนั้น ความรู้ในตำราย่อมเป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่ง
กชกรจบปริญญาตรี คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แล้วไปต่อปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจ สาขากลยุทธการจัดการและการเงิน มหาวิทยาลัยมินเนสโซต้า สหรัฐอเมริกา ฟังดูเหมือนทักษะด้านการสื่อสารเพื่อการสร้างแบรนด์ของเธอเริ่มที่นั่น

แต่ถ้าได้รู้จักเธออย่างลุ่มลึก จะเห็นด้วยว่า เธอสร้างแบรนด์จาก DNA
เป็น DNA ที่หมายถึงส่วนประกอบของสารพันธุกรรม หรือ GENE ของเธอนั่นเอง
'ฉันท์-กชกร' เป็นลูกสาว 'เถากลาง' ของสองนักวิทยาศาสตร์

'ดร.ประสม-กรรณิการ์ สถาปิตานนท์' ต่อจาก 'โฉ-ดร.ปาริชาติ' พี่สาวคนโต
ที่ต่างมา 'ฉม-นวมลลิ์' เป็นน้องเล็ก

ความเป็นนักวิทยาศาสตร์โดยสายเลือดของกชกร
ทำให้เธอมีความสามารถในการใช้ทักษะด้านการวิจัย, การใช้ข้อมูลอ้างอิงที่นำมาประยุกต์ใช้ในงานได้เก่งชนิดหาตัวจับยาก ซึ่งทำให้หลายคนยกย่องให้เธอเป็น 'เจ้าแม่ข้อมูล'
เพราะเธอจะทุ่มเทให้กับการวิจัย การวิเคราะห์ตลาด เพื่อสร้างโอกาสใหม่ทางธุรกิจด้วยการค้นหาความต้องการและทำความเข้าใจผู้บริโภค ก่อนจะวางแผนและลงมือทำให้สัมฤทธิผล
ไม่ว่าจะเป็นที่พอนด์ส และที่โนเกีย

คงไม่เว่อร์เกินไปถ้าอดคิดเล่นๆ ไม่ได้ว่า เธอเป็นอย่างนี้มาก่อน

ที่หนังสือ IT'S ALIVE ซึ่งพูดถึงการนำวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้ในงานธุรกิจ
ถูกพิมพ์เผยแพร่เสียอีก

ด้วยเหตุนี้จึงทำให้สติถิการทำงานของเธอแทบไม่ปรากฏคำว่า 'พลาด'
และทำให้เป็นที่รับรู้ในแวดวงเอเยนซีที่เคยทำงานกับเธอว่า ถ้าทำการบ้านไม่ดีพอ ระวังจะถูกเธอยิง (คำถาม) ตกลงมาตายได้ง่ายๆ ในขณะที่ถ้าเป็นพีอาร์เอเยนซีพากันชมเปาะว่าเธอเป็นผู้นำทีมที่ดี เตรียมข้อมูลไว้หนาแน่นเสมอ ติดตามตัวเลขสม่ำเสมอ

แม้กระทั่งการไปเที่ยว เธอจะใช้ทักษะด้านนี้หาข้อมูลจากทุกแหล่ง เปรียบเทียบราคา ความคุ้มค่าอย่างละเอียดถี่ถ้วนโดยมีกฎกติกาอยู่ว่าจะต้องสนุกที่สุด ประหยัดที่สุด คุ้มที่สุด ได้เห็นและได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่ๆ มากที่สุด

ไม่เว้นแม่กระทั่งการเก็บเงิน เธอยังแนะให้เพื่อนๆ แยกเก็บหลายๆที่ และที่ดีที่สุดเธอบอกว่าต้องซ่อนไว้ในรองเท้า


ความจริงเกี่ยวกับตัวเธอที่ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องล้อกันเล่นในกลุ่มเพื่อนก็คือ

ฉันท์คนนี้เธอก็มีแบรนด์ของตัวเองนะ..

เริ่มต้นด้วยการตั้งคำถามแบบวิชา Branding 101 ว่า ถ้า พูดถึงเธอจะคิดถึงอะไร?
ประการแรกที่ทุกคนคิดถึง คำพูด "นี่ฉันท์นะ" ซึ่งเป็นสรรพนามที่ฉันท์ใช้เรียกแทนตัวเองและที่กลายเป็นเอกลักษณ์เพราะมันมักสร้างความปั่นป่วนกวนอารมณ์ให้กับคนที่เพิ่งรู้จักเธอครั้งแรกว่ายายคนนี้ทำไมถึงหยิ่งเชิดขนาดนี้ ทั้งที่..ฉันท์ไม่ใช่แบบนั้นเลย


ประการที่2 'ความเป็นคนอินเทรนด์' ตลอดศก ทั้งการแต่งกายและทรงผม ลูกเล่นเครื่องแต่งกายอยู่ที่สีสันเสื้อผ้าต้องสดใส ไม่เน้นหรูแต่ดูดี ส่วนทรงผมจะรับกับหน้าเสมอตามสมัยนิยม ไม่ว่าจะสั้นหรือยาว แต่จะขาดต่างหูคู่โตไม่ได้
ตอนเปิดตัวพอนด์ส งานคืนนั้นเล่นตีมสีชมพูเพื่อให้เข้ากับตัวผลิตภัณฑ์ ฉันท์สามารถหาชุดสีชมพูสวยหวานมาใส่โดดเด่นไม่แพ้พรีเซนเตอร์ พอตอนโนเกียเปิดตัวมือถือรุ่นใหม่ที่มีลายกราฟฟิกโทนสีแดงดำ เธอสรรหาเสื้อผ้าที่มีลายและสีกลมกลืนมาใส่ ราวกับเป็นโนเกียเคลื่อนที่เสียเองปานนั้น


เธอเคยพูดถึงสาระสำคัญของการแต่งกายว่า ไม่ใช่แต่สวยแต่ต้องแต่งตัวให้ดีจะได้เป็นตัวอย่างที่ดีแก่ลูกน้อง และต้องแต่งตัวให้แมทช์ กับงาน เพราะผู้บริหารเป็นภาพลักษณ์องค์กร
ถึงจะทันสมัยปานฉนี้แต่ก็ยังติดโบ..โบราณในบางเรื่อง
เช่นถ้าจะลอนช์อะไรใหม่ๆ ออกสู่ตลาดเธอจะถามน้องๆ ในทีมก่อนว่า
วันนั้นเป็นวันแดงหรือวันดำ จนทุกคนต้องหาปฏิทินวันธงไชยมาไว้ประจำแผนก
ถ้าเป็นวันแดงเท่านั้นเธอถึงจะโอเค

ประการที่ 3 'มุกไม่แป้ก' ถึงฉันท์ได้ชื่อว่าเป็นเด็กเรียนเก่งของโรงเรียน แต่ตัวจริงเสียงจริงในกลุ่มเพื่อน เธอนั้นแสนจะอุดมไปด้วยอุดมไปด้วยมุกแปลกๆ สนุกสนานเฮฮาตลอด อย่างเวลาเรียกใครก็จะมีวิธีเรียกพิเศษที่คนได้ยินต้องลับสมองตามไปด้วยถึงจะเดาถูกว่าหมายถึงใคร เช่น ถ้าพูดถึงเอเยนซี่ที่ชื่อ 'หนุมาน' ย่อมหมายถึงบริษัท ลูกเซียน หรือการตั้งฉายาเพื่อนร่วมงานตามชื่อตัวการ์ตูนเรื่องโปรด 'โดราเอมอน' แถมด้วยความรอบรู้ในทุกเรื่อง ไม่ว่าเพื่อนจะคุยหัวข้อไหน เธอแจมได้หมด และเป็นที่ประทับใจยิ่งนัก

ประการที่ 4 'ใจดีมาก' สไตล์การทำงานของเธอเหมือนดูเขี้ยว แต่เธอเป็นผู้บริหารที่แสนจะเป็นกันเองกับทีมงาน เวลาเครียดมักเดินมาคุยกับน้องๆ และมักเอาขนมมาทิ้งไว้เป็นถุงกองรวมไว้กับส่วนกลางและหยิบไปกินแค่ชิ้นเดียว หรือถ้ามีเวลาว่าง ก็จะเปิดคอร์สอบรมการตลาดให้ทีมงานอีกโดยไม่คิดค่าวิชา แถมหาตำราดีๆ มาให้อ่านอีกต่างหาก
ไม่เพียงแค่นั้นเธอยังเป็นคนมีมารยาทมาก เวลาอยู่ในออฟฟิศจะไม่เปิดเสียงโทรศัพท์เพราะไม่อยากให้เสียงเรียกเข้าไปรบกวนคนอื่น

ประการที่ 5 'ชอบเดินทางท่องเที่ยว' คุณลักษณ์ข้อนี้เป็นปัจจัยที่ 2 และ3 รองจากอาหารและที่อยู่อาศัยสำหรับฉันท์ด้วยซ้ำ ถึงขนาดที่บอกกับเพื่อนสนิทว่า
จะต้องรีบหาเงินไว้เยอะๆ จะได้มีเงินไปเที่ยว

ล่าสุดเพิ่งไปเรียนเรื่องหุ้นเพื่อเพิ่มพูนความรู้และกำไร
แต่ผลที่ได้มากกว่าก็คือคานเหล็กตกใส่หัวราวเจาะจง
เธอจนถูกเพื่อนแซวว่าสงสัยไม่ต้องขึ้นคานแล้ว

เข็มนาฬิกาชีวิตของ 'ฉันท์-กชกร สถาปิตานนท์' ซึ่งเดินอยู่ในหนังสือที่ระลึกงานพระราชทานเพลิงศพ 4 ชีวิตครอบครัวสถาปิตานนท์ปกสีขาวบริสุทธิ์ 'นี่ฉัน(ท์)นะ' เต็มไปด้วยสีสัน
อ่านแล้วไม่รู้สึกเศร้า..แต่เมื่ออ่านจบเหมือนมีอะไรจุกอยู่ในลำคอลึกๆ

บางทีอาจเป็นเพราะตัวหนังสือที่ปรากฏในหน้าปิดท้ายที่บอกว่า
If you love somebody, let them go.
ไม่เชื่อลองหามาอ่านดู





รายการ "กอล์ฟ ทิปส์" ปี พ.ศ. 2538