Custom Search

Nov 18, 2019

ตรงเส้นขอบฟ้า

ตรงเส้นขอบฟ้า / ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์

   โดย: MGR Online



ผมกะว่าจะเขียนเรื่อง การท่องเที่ยวแบบยาจก – ภาคจบ โดยนำแพคเกจ "เที่ยวสนุก...ลดทั้งเกาะ" มาเป็นตัวตั้ง ก่อนวิเคราะห์ในรายละเอียด แต่บังเอิญมีเรื่องต้องยั้งไว้ เพราะเมื่อผมลองโทรไปจอง ปรากฏว่าเจ้า "ดอกจัน" ตัวจิ๋วที่อยู่หลังราคา มันไม่ค่อยจิ๋วสมขนาด เพราะดอกจันอันหมายถึง ราคานี้ไม่รวมภาษีอื่น ๆ ทำให้ต้องจ่ายเงินเพิ่มอีกกว่าแปดร้อยบาท (แอร์เอเชีย ไป-กลับ) จึงขออนุญาตยั้งไว้รอทำใจอีกแป๊บ


แต่เรื่องราวในพฤหัสนี้ไม่น่าเบื่อแน่ เพราะผมเพิ่งได้รับหนังสือจาก "โฉ" ดร.ปาริชาต สถาปิตานนท์ เป็นเรื่องราวและภาพชีวิตของครอบครัวเธอ ทั้งก่อนและหลังเหตุการณ์สึนามิ

โฉเป็นรุ่นน้องของผมที่โรงเรียนสาธิตจุฬาฯ อยู่รุ่นใกล้กันจนพอคุ้นหน้า ยังเคยได้รางวัลเปรียวอะวอร์ดพร้อมกันเมื่อสองปีก่อน สำหรับคุณผู้อ่าน คงต้องอธิบายเพิ่มอีกนิด ดร.ปาริชาตเป็นอาจารย์จุฬาฯ คุณพ่อเคยเป็นคุณครูของผมผู้หนึ่ง ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.ประสม สถาปิตานนท์ ท่านทำงานอยู่ที่คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ จนเกษียณอายุ คุณแม่เป็นนักวิทยาศาสตร์ ทำราชการจนเกษียณอายุเช่นกัน

โฉมีน้องสาวสองคน ล้วนเป็นรุ่นน้องที่สาธิตจุฬาฯ ฉันท์เป็นคนกลาง เธอเป็นเพื่อนของเพื่อนผมอีกหลายคน ฉมเป็นน้องเล็ก ผมไม่รู้จัก ยกเว้นทราบว่าเป็นรุ่นน้องสาธิตฯ

เหตุการณ์เริ่มต้นด้วยการเดินทางไปท่องอันดามันของครอบครัวสถาปิตานนท์ ก่อนเกิดคลื่นสึนามิ เกิดความสูญเสีย มีเพียงโฉเท่านั้นที่ติดภารกิจอื่นไม่ได้ไปด้วย

ขอหยุดกึกที่ตรงนี้ เพื่อให้คุณผู้อ่านลองคิดตาม หญิงสาวผู้หนึ่ง ยังไม่มีครอบครัวเป็นของตัวเอง แต่มีครอบครัวสุดรักอยู่แล้ว มีคุณพ่อคุณแม่และน้องสาวอีกสองคน ภายในเช้าเดียว เธอเหลือเพียงลำพัง

แน่นอนว่าเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ได้เกิดเฉพาะเธอ ยังเกิดกับอีกหลายต่อหลายคน หลายต่อหลายครอบครัว ความเศร้ามีเท่าเทียม แต่ในสภาพแวดล้อมของโฉ คล้ายคลึงกับผม เราอยู่ในตระกูลราชการ เป็นลูกคนโต ทำงานสายวิชาการ เรามีสังคมคล้ายกัน

ผมเศร้าเมื่อทราบถึงเรื่องร้ายที่เกิดขึ้นกับใครต่อใครหลายคน แต่รู้สึกอินกับเหตุการณ์ของโฉมากกว่า เพราะโฉก็คือตัวแทนของคนอย่างผม โฉเป็นคนใกล้ตัว

ผมอ่านเรื่องของโฉในหลายสื่อ ดูในบางรายการทีวี ยังได้พบโฉหลังจากเกิดเหตุการณ์ ผมได้แต่ยิ้มให้เธอ เพราะเธอเริ่มต้นด้วยรอยยิ้ม เป็นรอยยิ้มอย่างจริงใจ ยิ้มที่คนเห็นแล้วอบอุ่นใจ เป็นยิ้มที่ปลอบใจเรา โดยไม่ต้องรอให้เราปลอบใจเธอ

ในยามที่สังคมตะพึดตะพือตีโพยตีพาย โน่นนิดนี่หน่อย เรื่องที่ไม่เป็นเรื่องกลับเป็นเรื่อง อาจเป็นเพราะอิทธิพลของโลกยุคปัจจุบัน ผมอยากเห็นรอยยิ้มอย่างโฉเยอะ ๆ ยิ้มที่ทำให้ผมรู้สึกดี รู้สึกว่าในสังคมนี้ยังมีคนสู้ ยังมีคนที่ตกอยู่ในสภาวะที่เป็นไปแทบไม่ได้ที่จะยิ้ม...แต่เธอยิ้ม
เขียนเน้นย้ำซ้ำสอง เป็นยิ้มที่สร้างความอบอุ่น...เหลือเกิน
และแล้วเรื่องของเธอก็เป็นหนังสือ เป็นหนังสือเกี่ยวกับสึนามิอีกเล่ม ในยามที่แผงมีมากกว่าสิบเล่ม และผมอ่านแทบทุกเล่ม (ไม่ได้ซื้อทุกเล่ม บางเล่มแค่ยืนอ่าน...ก็จบ) ผมอ่าน "ตรงเส้นขอบฟ้า" เป็นเล่มสุดท้าย ก่อนตัดสินใจเขียนถึงเล่มนี้

ไม่ได้หมายความว่า เล่มนี้ดีกว่าเล่มอื่น ผมขออนุญาตไม่เปรียบเทียบ ไม่ได้หมายความว่า โฉเป็นคนที่ผมรู้จัก มิฉะนั้นผมคงต้องเขียนถึงหนังสืออีกหลายสิบเล่มในท้องตลาด เรื่องของโฉยังไม่น่าสะพรึงหรือลุ้นเร้าใจในทุกฉากทุกตอน ในทางตรงกันข้าม ผมรู้เรื่องของโฉแทบหมด เพราะเคยอ่านบทสัมภาษณ์เธอหลายหน

แต่สิ่งหนึ่งที่หนังสือเล่มนี้มี คือสิ่งที่ผมชอบ คือสิ่งที่ผมคิดว่าเป็นประโยชน์ คือเรื่องราวไม่ได้ปรุงแต่งให้เกินเหตุ คือสถานการณ์ในโลกแห่งความเป็นจริงที่เกิดขึ้นกับลูกผู้หญิงคนหนึ่ง ผมอ่านหนังสือด้วยความรู้สึกอยากรู้จักโฉ อยากทราบความรู้สึกอารมณ์ของเธอ มากกว่าอยากทราบเหตุการณ์ที่เกิดกับครอบครัวเธอ

ผมได้ในสิ่งที่ผมหวัง ด้วยความเป็นลูกนักวิทยาศาสตร์ของโฉ ดังที่เธอเล่าไว้ คุณพ่อคุณแม่สอนให้ลูก ๆ ทุกคนเป็นคนมีเหตุผล การลำดับขั้นตอน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น การต่อสู้หาทางออก ทุกอย่างดำเนินอย่างตรงไปตรงมา ง่ายต่อการนึกภาพตาม ง่ายต่อการเข้าถึงอารมณ์ความรู้สึก

หนังสือมีภาพประกอบ เป็นภาพประกอบที่งดงาม แม้ไม่ได้ถ่ายด้วยช่างกล้องมืออาชีพ เป็นภาพที่พี่ถ่ายภาพน้อง ลูกถ่ายภาพพ่อ แต่จากภาพที่มีแทบทุกหน้า สอดคล้องสัมพันธ์กับเนื้อหา ทำให้ผมรู้ผ่านหนังสือว่า โฉรักครอบครัวของเธอเพียงใด พิถีพิถันกับหนังสือเล่มนี้ขนาดไหน

ภาพที่คุณแม่เก็บไว้ในกล่อง ถูกนำออกมาใช้อีกครั้ง ผมไม่ทราบว่าเธอรู้สึกเช่นใด ระหว่างเรียงร้อยวางภาพจัดหน้า แต่เชื่อเลยว่า ไม่ง่ายแน่ ไม่สนุกแน่ แต่เธอทำออกมาอย่างงดงาม ที่ผมสงสัยคือระหว่างเรียงภาพเหล่านั้นลงไปในเนื้อหา ใส่ความทรงจำลงไปข้างตัวอักษร เธอร้องไห้หรือเธอยิ้ม ?

หลังจากอ่านจบ ผมขอเดา...เธอยิ้ม อาจเป็นยิ้มทั้งน้ำตา แต่ "ยิ้ม" มาก่อน "น้ำตา" ภาพในหนังสือ 168 หน้า มีแต่รอยยิ้ม มีแต่ความรัก ไม่มีภาพความพินาศ พังทลาย หายนะ เหมือนหนังสืออีกหลายต่อหลายเล่ม ที่เน้นจุดขายในเรื่องความเศร้า

ในทางตรงกันข้าม ผมคิดว่าโฉคงไม่อยากทำหนังสือเล่มนี้ เรื่องที่ควรจะเศร้า ให้เป็นเรื่องเศร้า เธอคงอยากทำหนังสือรัก ความรักที่เหลืออยู่ ยามเมื่อผู้ที่เธอรักจากไป ผมเคยพบเรื่องรักเช่นนี้มาบ้าง เช่นภาพยนต์ Be with You ที่เคยเขียนถึง เรื่องรักที่เรียกน้ำตามากกว่าเรื่องเศร้า แต่นั่นคือนิยาย นี่คือความจริง

ความจริงไม่เรียกน้ำตาเท่านิยาย แต่ความจริงทิ้งบางอย่างไว้ บางอย่างหนักแน่นมั่นคง บางอย่างที่ไม่มีใครเสกสรรค์ประพันธ์ได้ บางอย่างที่หมายถึง "ความจริง"

อาจารย์ประสมคงภูมิใจ...ต้องภูมิใจ เพราะอย่างน้อยมีบางอย่างที่ท่านฝากให้เหลือไว้ มิใช่เพียงคุณประโยชน์นานาประการที่ท่านทำให้สังคมไทย แต่ท่านฝาก "ความจริง" ไว้กับลูกสาวคนหนึ่ง

ความจริงที่ยามเรารับรู้ หมายถึงกำลังใจให้เราพยายามทำต่อไป ในหนทางที่เราเชื่อ ในช่วงเวลาที่โลกรอบตัวทำให้เราลังเล โลกที่เงินมีค่าเหลือเกิน แต่เงินสร้างความจริงไม่ได้ เงินสร้างลูกอย่างโฉไม่ได้ มีเพียงความจริงเท่านั้นที่สร้างคนเยี่ยงนี้ได้

หนังสือเล่มนี้มอบ "ความจริง"

ข้อนี้ให้แก่ผม ในขณะที่ท้องตลาดมีหนังสือมากเหลือเกินสอนให้เราหา "เงิน" แต่มีน้อยแสนน้อยในวงการหนังสือบ้านเราที่หา "ความจริง" และ "ความรัก"

ในฐานะคนอ่าน ขอบคุณสำนักพิมพ์ "รักลูก" ที่ยังคงให้คำว่า "รัก" นำหน้าคำว่า "ค้า" ทำหนังสือออกมาตามเจตนาของเจ้าของ ขอบคุณ "โฉ" ที่ทำให้ผู้ชายคนหนึ่งได้เห็นผู้หญิงในอีกหนึ่งมุมมอง

"ตรงเส้นขอบฟ้า" ไม่ใช่หนังสือดีเลิศเลอค่าอมตะ ไม่ได้เร้าใจจนกระตุ้นให้ขนลุกซู่หรือต่อมน้ำตาทำงานไหลพราก อย่าตั้งความหวังกับลีลาการประพันธ์ให้มากเกินไป แต่ตั้งความหวังได้ หวังให้เต็มเปี่ยมเลยกับ "ความรัก" และ "ความจริง"

"ตรงเส้นขอบฟ้า" มีทั้งสองสิ่งครบถ้วน...เพียงพอ


หมายเหตุ – "ตรงเส้นขอบฟ้า" จัดจำหน่ายโดยสำนักพิมพ์ซีเอ็ด พิมพ์อีกสักสิบครั้ง โฉก็คงไม่รวยขึ้น เพราะรายได้จากค่าลิขสิทธิ์ทั้งหมด เธอมอบให้เพื่อการฟื้นฟูชุมชนบ้านบางกล้วยนอก กิ่งอำเภอสุขสำราญ จังหวัดระนองครับ




เพลง : ตรงเส้นขอบฟ้า ศิลปิน : พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ คอนเสิร์ต : สัญญาหน้าฝน 60 ปี เขียว คาราบาว