มติชน
16 ธันวาคม 2553
ก่อนหน้าปี 2010 "มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก" ผู้ก่อตั้งและซีอีโอแห่งเฟซบุค
ยังเป็นเพียงแค่ชายหนุ่มวัย 26 ปี ที่บ้างานและมีความลึกลับอยู่ในตัว
และคุ้นเคยแค่เพียงโลกของเทคโนโลยีในซิลิคอน วัลเลย์เท่านั้น
แต่ ในปีนี้เขากลับกลายต้องเข้าไปอยู่ท่ามกลางวัฒนธรรมป๊อปอันหวือหวา
ปรากฏตัวอยู่ในสื่อที่มีรูปแบบและรูปลักษณ์ที่แตกต่างกันไป
จนกระทั่งชีวิตของเขากลายเป็นภาพยนตร์ที่ได้รับการยกย่องมากเรื่องหนึ่งแห่งปี
เมื่อ วันพุธที่ผ่านมา สถานะทางสังคมของเขาก็ได้ขึ้นสู่จุดสูงสุดอีกครั้ง เมื่อนิตยสาร "ไทม์"
ได้เลือกให้เขาเป็น "บุคคลแห่งปี" และถือว่าซักเคอร์เบิร์ก
เป็นบุคคลที่อายุน้อยที่สุดที่ได้รับเกียรติเช่นนี้ นับตั้งแต่ "ชาร์ลส ลินด์เบิร์ก"
ได้รับเกียรตินี้เมื่อปี 1927 ในขณะที่มีอายุเพียง 25 ปี
โดยเขามีอายุน้อยกว่าสมเด็จพระนางเจ้าเอลิซาเบธที่ 2 เพียง 2 สัปดาห์เท่านั้น
ในครั้งที่ท่านได้รับการยกย่องในปี 1952 และทั้งคู่มีอายุเพียง 26 ปีเท่ากัน
"บุคคลแห่งปี" ของนิตยสารไทม์ คือบุคคลหรือสิ่งที่มีอิทธิพลต่อวัฒนธรรม
และข้อมูลข่าวสารในช่วงหนึ่งปีที่ ผ่านมา ทั้งในแง่บวกและแง่ลบ
โดยเมื่อปีที่แล้วบุคคลที่ได้รับตำแหน่งนี้ก็คือนายเบ็น เบอร์นานเก้
ผู้ว่าการธนาคารกลางแห่งสหรัฐฯ ในขณะที่ปี 2008 คือนายบารัค โอบามา
และปี 2007 คือนายวลาดิเมียร์ ปูติน นายกรัฐมนตรีแห่งรัสเซีย
ส่วนผู้ที่ได้รับรางวัลก่อนหน้านี้ อาทิ โบโน่ นักร้องนำแห่งวงยูทู
อดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช และนายเจฟฟ์ เบซอส
ประธานและผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ Amazon.com
ในขณะที่ก่อนหน้า นี้ นิตยสารไทม์ ได้จัดทำผลสำรวจ
บุคคลผู้ทรงอิทธิพลมากที่สุดประจำปี 2010 ซึ่งปรากฏว่านายจูเลียน แอสแซนจ์
ผู้ก่อตั้งวิกิลีกส์ ได้รับการโหวตถึง 382,000 คะแนน
ให้ได้รับตำแหน่งดังกล่าว นำหน้านายเรเซป เออร์โดกัน นายกรัฐมนตรีแห่งตุรกี
และเลดี้ กาก้า นักร้องเพลงป๊อปชื่อดัง
ในขณะที่ซักเคอร์เบิร์ก ได้เพียงอันดับ 10 ด้วยคะแนนที่ต่ำกว่า 20,000 เสียง
โดยนาย ริชาร์ด สเตนเกล บรรรณาธิการบริหารแห่งนิตยสารไทม์กล่าวว่า
สาเหตุที่ตนเลือกให้ซักเคอร์เบิร์ก ได้รับตำแหน่งนี้ก็เพราะเฟซบุค
เป็นสิ่งที่สามารถส่งอิทธิพลต่อโลกในวงกว้างอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
"การ เชื่อมโยงคนจำนวน 500 ล้านคน และสร้างเครือข่ายความสัมพันธ์ทางสังคม
(อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน) การสร้างสรรค์ระบบการแลกเปลี่ยนข้อมูลแบบใหม่
ซึ่งกลายเป็นทั้ง "สิ่งที่ขาดไม่ได้" และสิ่งที่สร้างความหวั่นวิตก
และในที่สุดแล้วมันก็จะสร้างความท้าทายใหม่ๆในการใช้ชีวิตของผู้คนใน
ปัจจุบันที่ทั้งมีความสร้างสรรค์ และกระทั่งการมองโลกในแง่ดี"
กลุ่มทีปาร์ตี้ (ไม่มีภาพ)
นายจูเลียน แอสแซนจ์ (ไม่มีภาพ)
นายฮาร์มิด คาร์ไซ (ไม่มีภาพ)
ในขณะ ที่ผู้ที่ได้รับตำแหน่งรองลงจากซักเคอร์เบิร์ก ประกอบด้วย กลุ่มทีปาร์ตี้
กลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองในพรรครีพับลิกันของสหรัฐฯ ; นายจูเลียน แอสแซนจ์ ;
นายฮาร์มิด คาร์ไซ ประธานาธิบดีแห่งอัฟกานิสถาน และกลุ่มคนงานเหมืองชิลี
เขาแสดงความคิดเห็นในหน้าเฟซบุ คของเขาว่า "ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง
ที่ทีมงานเล็กๆของเราได้สร้างสรรค์สิ่งที่ผู้คนนับร้อยล้านคนต้องการนำมันไป
ใช้เพื่อทำให้โลกเปิดกว้างและเชื่อมต่อได้มากขึ้น ผมดีใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของมัน"
ปีที่ผ่านมา ถือเป็นปีที่น่าจดจำทั้งต่อซักเคอร์เบิร์กและเฟซบุค
ทั้งยอดผู้ใช้ที่เพิ่มขึ้นถึง 500 ล้านรายทั่วโลก
และมูลค่าทางการตลาดที่พุ่งขึ้นถึงหลักหมื่นล้านเหรียญ
อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบและรูปแบบนับครั้งไม่ถ้วน
เฟซบุคไปได้ไกลกว่าความเป็นแหล่งพบปะของผู้คนในเว็บไซด์สังคมออนไลน์
แต่ถือเป็นสิ่งสำคัญแห่งการเชื่อมต่อในโลกอินเตอร์เน็ต
ก่อน หน้านี้ มีการคาดการณ์ไปต่างๆนานาว่า ไทม์อาจเลือก
"จูเลียน แอสแซนจ์" ผู้ก่อตั้งวิกิลีกส์ ให้รับตำแหน่งนี้ โดยซักเคอร์เบิร์ก
กล่าวถึงแอสแซนจ์ว่า "เนื่องจากเขาเปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินชีวิตของเรา"
"ผมพยายามทำให้โลกเป็นพื้นที่ที่เปิดกว้างมากขึ้น"
ซักเคอร์เบิร์กกล่าวในส่วน "ประวัติ" ของเขาในเฟซบุค
บาง ทีซักเคอร์เบิร์ก อาจเตรียมพร้อมที่จะรับในการเปิดเผยตัวตนต่อสาธารณชน
ต่อสิ่งที่คนอื่นๆพยายามสร้างมันให้กับเขาอยู่เสมอๆ
ในภาพยนตร์เรื่อง "The Social Network" โดยเดวิด ฟินเชอร์
อาจตีความเป็นตัวตนของเขาและความเป็นเฟซบุค
ในวิธีที่ไร้ความปราณีอยู่เสียหน่อย
ภาพยนตร์ เล่าถึงซักเคอร์เบิร์ก ในฐานะบุคคลที่มีความฉลาดเฉลียว
บ้าพลัง และนักแฮ็คเกอร์ผู้ต้องการเป็นที่ยอมรับของสังคมและหญิงสาว
และเฟซบุคก็เรียกภาพยนตร์เรื่องนี้
(ดัดแปลงมาจากหนังสือชื่อ "The Accidental Billionaires"
ของเบ็น เมซริช ซึ่งซักเคอร์เบิร์กไม่ได้มีส่วนร่วมในการเขียนแต่อย่างใด)
ว่า "หนังสือนวนิยาย"
แต่กระนั้น ก็ไม่สามารถหยุดกระแสความชื่นชม
ทั้งจากนักวิจารณ์และผู้ชมได้ และถือเป็นหนึ่งในภาพยนตร์
ที่มีการพูดถึงมากที่สุดเรื่องหนึ่งของปีนี้ และถือเป็นตัวเก็งที่สำคัญในเวทีออสการ์อีกด้วย
ทั้งสมาคม นักวิจารณ์ภาพยนตร์นิวยอร์ค สมาคมนักวิจารณ์ภาพยนตร์ลอสแองเจลิส
คณะกรรมการวิจารณ์ภาพยนตร์แห่งชาติ
ต่างก็เลือกให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ยอดเยี่ยมแห่งปี
และเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา
มันก็ยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำถึง 6 สาขา
ซึ่งรวมถึงสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
"บิล เกตส์" และ "วอร์เรน บัฟเฟต์" ผู้ก่อตั้งกองทุน Giving Pledge (ไม่มีภาพ)
ซัก เคอร์เบิร์ก บริจาคเงินจำนวนกว่า 100 ล้านเหรียญ
ให้หน่วยงานการศึกษาต่างๆในรัฐนิวเจอร์ซี
และปรากฏตัวในรายการทอล์คโชว์ของโอปราห์ วินฟรีย์
เพื่อแสดงเจตนารมณ์ดังกล่าว เขาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของกองทุน "Giving Pledge"
ซึ่งก่อตั้งโดย "บิล เกตส์" เจ้าพ่อไมโครซอฟท์ และ "วอร์เรน บัฟเฟต์"
เพื่อร่วมรณรงค์ให้บุคคลที่มีฐานะร่ำรวยในลำดับต้นๆของประเทศร่วมบริจาคเงิน เพื่อการกุศล
สำหรับซักเคอร์เบิร์ก "The Social Network" ไม่ได้สร้างความรู้สึกหวาดกลัวให้เขามากนัก
ในทางตรงกันข้าม เขาเหมาโรงภาพยนตร์สองโรง
เพื่อพาพนักงานทั้งหมดไปชมภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว
"มัน น่าสนใจทีเดียวที่ได้เห็นในส่วนที่เขาเข้าใจถูก
และส่วนที่เขาเข้าใจผิด เหมือนกับว่าเขาได้ทำเสื้อยืดตัวหนึ่งแทนสิ่งที่
มาร์ก ซักเคอร์เบิร์กเป็น และผมคิดว่าผมคงเป็นเจ้าของเสื้อยืดพวกนั้นทั้งหมด"
ซักเคอร์เบิร์กกล่าวในระหว่างการให้สัมภาษณ์ในรายการ 60 Minutes
"แต่ สิ่งที่ผมต้องการพูดถึงก็คือ มีสิ่งที่ธรรมดาๆมากมายที่เขาตีความพลาด
ผมว่าเขาทำให้มันดูเหมือนว่าแรงขับในการสร้างสรรค์
เฟซบุคของผมก็เพื่อที่จะเอาชนะใจผู้หญิงเท่านั้น
และพวกเขาก็ลืมความจริงไปว่า
ผมคบแฟนสาวคนนี้มาตั้งแต่ก่อนที่จะทำเฟซบุคเสียอีก"
ซัก เคอร์เบิร์ก ผู้เติบโตในย่านด็อบส์ เฟอร์รี่ เขตชานเมืองนครนิวยอร์ค
เป็นบุตรชายของหมอฟันผู้หลงใหลในคอมพิวเตอร์
และสร้างเฟซบุคจากห้องพักเล็กๆในหอพักของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
จนกลายเป็นเว็บไซต์สังคมออนไลน์ระดับโลก
ก่อนที่จะก้าวมาถึงในระดับนี้
เขาได้ปฏิเสธข้อเสนอมูลค่ามหาศาลของบริษัทต่างๆ อาทิ
ยาฮู และไมโครซอฟท์ และปฏิเสธที่จะนำเฟซบุคออกสู่สาธารณชนมาแล้ว
มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก พร้อมทั้งสมาชิกในครอบครัวทั้งหมด ระหว่างการพักผ่อนในวันขอบคุณพระเจ้า ปี 2010 (ไม่มีภาพ)
และเมื่อถามถึงการเสนอขายหุ้นแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก
(IPO)ของเฟซบุค ซักเคอร์เบิร์กกล่าวว่า "บางทีอาจเป็นเช่นนั้น"
"คน จำนวนมากที่ผมคิดว่าพวกเขาเริ่มต้นที่จะสร้างบริษัท
คิดว่าการขายบริษัทและการเปิดตัวออกสู่สาธารณะคือจุดจบ" เขากล่าว
"มันเหมือนกับว่าคุณได้ชัยชนะแล้วเมื่อคุณกลายเป็น "สาธารณะ" แต่ผมกลับไม่มองอย่างนั้น"
ไม่ทุกคนที่เห็นว่าการเติบโตของ เฟซบุคเป็นสิ่งที่ดี
บางคนตั้งคำถามถึงการสร้างความมีปฏิสัมพันธ์ในเชิงลึกของมัน
และหลายคนตั้งคำถามถึงทัศนคติด้านความเป็นส่วนตัวของมัน
เฟซบุคได้กระตุ้นให้ผู้ใช้แบ่งปันข้อมูลส่วนตัวอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งสร้างกระเแสการวิพากษ์วิจารณ์จากผู้ใช้ที่ต้องการความเป็นส่วนตัวอยู่ เสมอ
แต่ซักเคอร์เบิร์กในปัจจุบัน ซึ่งกลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง
และกลายเป็นมหาเศรษฐีที่อายุน้อยที่สุด
มองว่าเฟซบุคคือระบบการบ่งบอกตัวตนที่เป็นสากล
ที่สามารถต่อกรกับกูเกิ้ล หรือแม้กระทั่งอีเมล์
บนพื้นฐานของการสื่อสารบนโครงข่ายอินเตอร์เน็ต
ใน หนังสือที่เกี่ยวข้องกับเขาอีกเล่มหนึ่งชื่อ "The Facebook Effect"
โดย "เดวิด เคิร์กแพทริก" กล่าวไว้ในหนังสือว่า
เงินแทบไม่ใช่แรงบันดาลใจในการสร้างเว็บไซด์
และเฟซบุคได้มากเท่ากับวิสัย ทัศน์ของตัวเขาเอง
"คำถามที่ผมถามตัวเองทุกวันก็คือ
ผมได้ทำในสิ่งสำคัญที่สุดที่ผมสามารถทำได้หรือเปล่า?"
ซักเคอร์เบิร์กกล่าวในหนังสือ "เมื่อไหร่ที่ผมไม่รู้สึกว่า
ผมได้แก้ไขปัญหาที่สำคัญที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้
เมื่อนั้นผมก็จะรู้สึกว่าตนเองใช้เวลาได้ไม่คุ้มค่าพอ ซึ่งเป็นสิ่งที่บริษัทของเราเป็น"
ทีมผู้บริหารเฟซบุค (ซ้ายไปขวา) ชามัธ พาลีหะพิทยา รองประธานด้านการเติบโต, ธุรกิจมือถือ และธุรกิจต่างประเทศ; ซักเคอร์เบิร์ก ; ไมค์ ชโรฟเฟอร์ รองประธานด้านวิศวกรรม ; โจนาธาน ไฮลิเกอร์ รองประธานด้านการปฏิบัติการเทคนิค ; คริส ค็อกซ์ รองประธานด้านผลิตภัณฑ์ (ไม่มีภาพ)
บรรยากาศภายในสำนักงาน
ห้องดนตรี (ไม่มีภาพ)
ตู้กดน้ำอัดลม (ไม่มีภาพ)
วอลล์แสดงความคิดเห็น (ไม่มีภาพ)
ห้องเก็บเสิร์ฟเวอร์ (ไม่มีภาพ)
"แบบว่า...บังเอิญรวย" หากเฟซบุ๊คจะสร้างเพื่อนหรือศัตรู โดย รักษ์การอ่าน วันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2553
ฮอตไม่เลิกกับหนังดังอย่าง "เดอะ โซเชียล เน็ตเวิร์ก"
ที่ทุกคนต่างยกย่องและคว้ารางวัลมามากมาย
จนอดไม่ได้ที่ต้องพูดถึง The Accidental Billionaires
ของเบน เมซริช หนังสือที่เป็นแรงบันดาลใจให้เรื่องราวของ "มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก"
โลดแล่นอยู่บนแผ่นฟิล์ม
มติชนออนไลน์ดึง "ไพรัตน์ พงศ์พานิชย์" ผู้แปล แบบว่า...บังเอิญรวย
มาพูดคุยกันถึงหนังสือเล่มนี้ "The Accidental Billionaires"
เป็นการนำเอาเฟซบุ๊คเป็นหลักเล่าถึงสถานการณ์ต่างๆ ไม่ได้เรียงลำดับเวลา
แต่บอกเล่าถึงความคิด การใช้ชีวิต สภาพแวดล้อม
ตั้งแต่จุดเริ่มต้นของเฟซบุ๊คจนถึงวันนี้ที่มีคนร่วมเป็นสมาชิกในเครือข่าย
มากกว่า 500 ล้านคน เสน่ห์สำคัญที่เป็นจุดเด่นคือ
ผู้เขียนฉลาดเลือกวิธีการเล่าเรื่องไม่วิพากษ์หรือตัดสินว่าใครถูกหรือผิด แต่กลับให้คนอ่านวิเคราะห์เอง มาร์คคิด "เฟซบุ๊ค" โดย
ใช้ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลเป็นตัวตั้ง "เพื่อน"
คือหลักของโซเชียล เน็ตเวิร์ก แทบจะไม่ได้ใส่เนื้อหาอื่นลงในเว็บไซต์
แต่ให้ผู้ใช้บริการเลือกที่จะสร้างสรรค์ทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง
ดังนั้น เฟซบุ๊คสามารถสร้างเพื่อนหรือศัตรูก็เป็นได้
เหมือนการสร้างสมุดบันทึก แต่เราเองเป็นผู้เขียนใส่เนื้อหาเข้าไป"
ตัวตนของมาร์คในความคิดผู้แปล
มาร์คเป็นคนเก่งมีไหวพริบดี คิดไวแต่อีโก้จัดมาก
บุคลิกทั่วไปเป็นคนเก็บตัวและเข้าสังคมยาก
จึงทำให้มีเพื่อนน้อย ขณะเดียวกันสิ่งที่เขาทำก็มีทั้งคนที่ดูถูกและบูชา
จุดเริ่มต้นของเฟซบุ๊ค
มาร์คตั้งต้นทำเว็บไซต์นี้ตั้งแต่อายุเหยียบ 20 ปี
และใช้เวลาเขียนโปรแกรมแค่ 2 สัปดาห์
ด้วยความอัจฉริยะทางคอมพิวเตอร์ที่มีมาแต่วัยเยาว์
เริ่มเขียนโปรแกรมครั้งแรกขณะเรียนมัธยมปลาย
สามารถสร้างโปรแกรมจนไมโครซอฟท์เสนอเงินให้ถึง 1 ล้านดอลลาร์
แต่เขาปฏิเสธด้วยความเชื่อมั่นว่าสามารถหาเงินได้มากกว่านั้น ช่วงปี 2004
จากจุดเริ่ม ใช้เวลา 2 ปี ก็นิยมไปทั่วสหรัฐฯ และอีก 2 ปี
ที่คนทั่วโลกรู้จักกับเว็บไซต์นี้ ตอนที่อายุ 25 ปี
เฟซบุ๊คทำเงินให้มาร์คกว่าพันล้านดอลลาร์
จนกลายเป็นเศรษฐีอายุน้อยที่สุดใน โลก
และเขาก็ประสบความสำเร็จอย่างมาก
โดยมีสมาชิกกว่า 500 ล้านคนในขณะนี้ที่มีอายุเพียง 26 ปี
ความสัมพันธ์ของมาร์คและเพื่อนรัก
จากจุดเริ่มต้น มาร์คกับเพื่อนสนิทอย่าง "เอดูอาร์โด เซเวอริน"
เพียง ต้องการเรียกความสนใจจากสาวๆ
สร้างตัวตนจาก "Nobody" ให้กลายเป็น "Somebody"
เมื่อเว็บไซต์นี้ได้รับความนิยมและเติบโตขึ้นจนเกินกว่าคน
เพียงสองคนจะดูแล ได้ก็เกิดเรื่องราวอีกมากมายตามมา
"เฟซบุ๊คให้ความสำคัญกับความเป็นเพื่อน
เพราะถ้าไม่มีเพื่อนก็จะกลายเป็นเว็บไซต์ที่ไม่มีอะไรเลย
แต่มาร์คกลับให้ความสำคัญของเพื่อนน้อยกว่า
ความก้าวหน้าของบริษัท เมื่อวันหนึ่งที่ธุรกิจต้องเดินหน้า
เอดูอาร์โดซึ่งไม่ค่อยมีศักยภาพในการหาเงินทุน
มาร์คจึงเลือกคบคนอื่น โดยหนังสือเล่มนี้ค่อยๆ
บอกถึงพัฒนาการจากเพื่อนรักกลายเป็นศัตรู"
ความสำเร็จของเด็กหนุ่มที่เรียนไม่จบมหาวิทยาลัย
เขาออกจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ประมาณปี 3
ที่จริงแล้วก่อนหน้านั้นก็ไม่ค่อยเข้าเรียน
แต่ใช้เวลาในการศึกษาเรื่องเซิฟเวอร์ เขียนโปรแกรม
และพัฒนาเฟซบุ๊ค หากถามว่ามาร์ครวยจากอะไร
ความจริงคือการนำหุ้นเข้าตลาดหลักทรัพย์
เว็บไซต์จะรวยได้จากนักลงทุนที่เห็นคุณค่าของสมาชิก
โดยมีเพียงรายได้ส่วนหนึ่งจากการขายโฆษณา
และค่าแอพพริเคชั่น จำนวนเงินที่พูดๆ กัน
คือการตีราคารวมเป็นมูลค่าและแตกออกมา
เป็นหุ้นที่มีมูลค่าสูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งมาร์คดำรงตำแหน่ง
เป็นประธานบริษัท ความเป็นจริงของโลกธุรกิจทุนนิยม
คนอาจมองว่าเขาร้าย แต่ในแวดวงธุรกิจมันอาจจะ
"สมควรแล้ว" เพราะทุกอย่างมันต้องโต
แต่ในแง่ของศีลธรรมและคุณค่าทางจิตใจ
แต่ละคนก็ต้องใช้วิจารณญาณของตัวเอง
พูดถึง "เบน เมซริช" ผู้เขียน
สำหรับตัวผู้เขียนเองเคยทำงานข่าวมาก่อน
จากนั้นจึงเริ่มเขียนหนังสือนิยาย
ทำให้การเล่าเรื่องสนุกสนานโดยใช้วิธีการเขียนแบบนิยาย
เรียบเรียงข้อเท็จจริงในเชิงธุรกิจให้มีชีวิตชีวา
พรรณนาตัวละคนให้คนอ่านสามารถสัมผัสถึงตัวตน
เรียกได้ว่าอ่านสนุก วิธีตัดฉากไปมาก็ทำได้ดี
อย่างเช่นฉากเปิดตัวคู่แฝดวิงเคิลวอสส์
ที่ผู้เขียนพยายามสร้างบุคลิกให้ชัดเจนในความคิดของผู้อ่าน
และเขียนขึ้นจากการศึกษาเอกสารต่างๆ
รวมไปถึงสัมภาษณ์คนแวดล้อม เนื่องจากมาร์คปฏิเสธการให้สัมภาษณ์
จบการพูดคุยทำให้ตระหนักว่า หนังสือเล่มนี้ไม่อาจตัดสินใคร
แต่เราเองเป็นคนตัดสินใจว่า เฟซบุ๊คจะมีไว้เพื่อสร้างเพื่อน
หรือศัตรู เหมือนที่ "นิ้วกลม" เขียนคำนิยมไว้ว่า
"ไม่แน่,หลังจากอ่านจบ คุณอาจพบว่า
คุณจะไม่กดรับ "Friend" ง่ายๆ เหมือนเดิมอีกต่อไป
ทั้งในเฟซบุ๊ค และในชีวิตจริง!"