“ไสว่าสิบ่ถิ่มกัน” คำร้องยอดฮิตติดลมบน จากชนบทจรดเมืองหลวง ล้วนเคยผ่านยินบทเพลงนี้ ที่ขีดเขียนขับขานผ่านเนื้อหาชีวิตของ “ก้อง ห้วยไร่” จากไอ้หนุ่มบ้านนาฝ่าฝัน ล้มลุกคลุกคลาน เคยแม้กระทั่งอาศัยที่ว่างข้างเมรุเป็นที่พักพิงอิงกาย...
“ก้อง ห้วยไร่” หรือ “ก้องหล้า ยอดจำปา” หรือ "อัครเดช ยอดจำปา" ตามบัตรประชาชน หนุ่มบ้านห้วยไร่ อ.วานรนิวาส จังหวัดสกลนครที่ถึงตอนนี้ คงไม่จำเป็นต้องแนะนำอันใดให้มากมายในชื่อเสียงความดัง เพราะตลอดระยะเวลากว่าหนึ่งขวบปีที่ผ่านพ้น บทเพลงของเขา ทำให้เขาเป็นที่รู้จักไปทั่วบ้านทั่วเมือง พอๆ กับเพลงของเขาที่มีคนร้องตามอย่างสะทกสะเทือนต่อความรู้สึก...ในห้วงรักและจากลา...
ก่อเกิดเป็น “ก้อง” ที่ไม่ได้ก้องอยู่แค่ “ห้วยไร่”
แต่เป็น “ก้อง” ที่ก้องไกล ไปทั่วโลกแห่งเสียงเพลง...
“สะเลเตดอกนี้ไร้กลิ่นหอม”
ยอมทิ้งฝัน เพื่อวันใหม่
“ผมเติบโตมาจากครอบครัวคนทำนา และเมื่อก่อน คนแถบแถวภาคอีสานจะไม่เหมือนสมัยนี้ที่มีบ้านติดๆ กัน เป็นสิบยี่สิบหลัง ไฟฟ้าก็ไม่มี น้ำก็ไม่ค่อยสะอาด ต้องขุดน้ำจากบ่อน้ำ คือทุกคนจะแยกย้ายกันไปตามทุ่งนาที่ตัวเองรับผิดชอบแล้วก็จะใช้ชีวิตตรงนั้นเลย ปลูกเพิงขึ้นมาเรียกว่า 'เถียงนา' ใช้ชีวิต กิน อยู่ นอน เรียน อยู่ตรงนั้น เติบโต เรียนรู้
“การใช้ชีวิตก็หาปูหาปลากินไปวันๆ เด็กๆ ก็ไปเรียนหนังสือตามปกติ จนอายุเริ่มโตขึ้น อายุประมาณ 7-8 ขวบ เราก็เริ่มมีความคิดว่าทำไมพ่อแม่ของเราเวลาที่จะเดินทางเข้าเมืองหรือเข้าอำเภอ เขาถึงเดิน ซึ่งแตกต่างจากคนอื่นๆ ที่เราเห็นเขามีจักรยานบ้าง มีรถเครื่องบ้าง มีขับรถยนต์ ก็เลยตั้งคำถามว่าเพราะอะไร ตอนนั้นด้วยความเป็นเด็กก็เลยคิดว่าเพราะเราไม่ทำงาน ฉะนั้น เราต้องทำงาน ก็เลยเกิดความคิดตั้งแต่เด็กว่าต้องทำงาน เพื่อที่จะมีเงินซื้อรถให้พ่อแม่ใช้”
ศิลปินหนุ่มย้อนถึงความฝันแรกที่แล่นเข้ามาในชีวิต ตั้งแต่ครั้งยังเป็นเด็กชาย “ก้องหล้า ยอดจำปา” โดยที่หารู้ไม่ว่าเหตุผลเหล่านั้นจะมีส่วนผลักดันให้เขาจับพลัดจับผลูกลายมาเป็นนักร้องชื่อดัง
“ก็เป็นความคิดแบบเด็กๆ และก็ยังไม่เข้าใจหรอกครับว่าจะต้องหาเงินอย่างไร จนวันหนึ่ง โทรทัศน์ที่มีอยู่ในโรงเรียน เขาบังเอิญเปิดไปเจอละครเรื่องหนึ่ง จำได้เลยว่าเป็นพี่หนุ่ม-ศรราม เทพพิทักษ์ กำลังขับรถมาในฉาก เราก็เลยถามคุณครูว่าพี่คนนั้นเขาเป็นใคร ทำไมถึงมีรถขับได้ คุณครูท่านก็ตอบว่าเขาเป็นดารา ด้วยความคิดแบบเด็กๆ ผมคิดว่า ถ้าอย่างนั้น เราก็ต้องเป็นดารา ถ้าเราอยากจะมีรถให้พ่อแม่ได้ใช้
“ก็ฝันไว้ตั้งแต่ตอนนั้นเลยว่าจะเป็นดารา”
ก้อง ห้วยไร่ หัวเราะให้ความฝันอันแสนหวานในวันเยาว์เก่าก่อน ตั้งแต่สมัยที่ถนนหนทาง “มีแต่ขี้ไหง่”
“แล้วต่อมา ก็บังเอิญได้เห็นอีกในข่าว คราวนี้เป็นพี่ซิโก้-เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง เขาก็ขับรถมา ก็เลยถามครูอีกว่าทำไมพี่เขามีรถขับ คุณครูเขาก็บอกว่า เขาเป็นนักบอลทีมชาติ เราก็คิดไว้เลย 2 อย่างตอนเด็ก และก็ไม่รู้ด้วยว่าเส้นทางที่วาดฝันนั้นจะเป็นอย่างไร ดาราคืออะไร นักกีฬาทีมชาติต้องทำอย่างไร แต่อยากจะเป็น เพราะจะได้มีรถ
“ตอนนั้นพ่อแม่ท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ก็ตามประสาคนบ้านนอก ก็อยากให้เราเป็นครู เพราะมันมั่นคง มีคนมากราบมาไหว้ เขาพูดอย่างนี้ แต่ด้วยท่านก็ไม่ได้บังคับอะไรมากมาย แล้วท่านก็ไม่ได้หวังว่าลูกจะต้องกลับมาเลี้ยงท่าน ท่านก็แค่บอกว่าให้เลี้ยงดูตัวเองให้ได้แค่นั้น เขาปล่อยอิสระให้คิด เราก็มุ่งมาทางนี้ดารากับนักฟุตบอลทีมชาติ”
“ไม่มีทางดนตรีอยู่ในหัวความคิดเลยในตอนนั้น”
ศิลปินหนุ่มกล่าวถึงความรู้สึกในช่วงนั้น แม้เลือดเนื้อเชื้อไขต้นฉบับอย่างพ่อจะเคยสร้างพิณขึ้นจากมือตัวเอง เหมือนรู้อะไรบางสิ่งในภายภาคหน้า ให้ฝึกหวังเป็นความสามารถเลี้ยงชีพยามขับขัน
“พ่อของผมเป็นคนที่เล่นพิณเก่ง แต่ว่าแกไม่มีเงินจะซื้อพิณอยู่แล้ว แกก็เลยไปเอาต้นงิ้วมาเจาะรู แล้วก็ทำเป็นรูปทรงเหมือนพิณ จากนั้นก็ไปเอาไม้อัดมาปิดฝาทำเป็นโปร่ง แล้วไปตัดไม้ไผ่มาทำเป็นลิ่ม ทำที่หมุนตั้งสาย แล้วก็ไปเอาสายเบรกจักรยานมาทำสายพิณ เล่นให้เราเห็นตั้งแต่เด็กๆ แล้วแกก็ให้เรามา บอกว่าเอาไว้ใช้เพื่อวันหนึ่งจะได้เลี้ยงชีพ แต่ผมไม่เคยจับ เราก็มุ่งมาสองทางนั้นอย่างที่ฝันในตอนแรก
“จนกระทั่งวันหนึ่ง ระหว่างที่ชีวิตก็ดำเนินไปเรื่อยๆ กำลังเรียนอยู่มัธยมต้น เราไปเห็นเพื่อนเล่นกีตาร์แล้วมันเท่ เราก็เลยลองๆ จับดู จับไปสักพักก็เลยลองร้องเพลง ตอนนั้นอายุ 15 ปี มีการประกวดร้องเพลงของโรงเรียน เราก็เลยไปแข่ง แต่ก็ร้องเพลงไม่เข้าคีย์ ดีดกีตาร์ไม่ค่อยได้ (หัวเราะ) ซึ่งตอนนั้นก็เลยคิดว่าเราคงเป็นนักร้อง นักดนตรี ร่วมถึงนักแสดงคงไม่ได้ ก็เลยเลือกที่จะเตะฟุตบอลอย่างเดียวหลังจากนั้น”
ในระหว่างที่ลากไต่บนทางสายชีวิตที่มุ่งหวังพังประตูแห่งความฝัน ทักษะความรู้เพิ่มพูนขึ้นตามขั้นตามอายุ เริ่มรู้แนวทางการเป็นนักกีฬาทีมชาติ ก็กลับโดนสกัดให้ล้มคว่ำและเป็นบาดแผลมาจนปัจจุบัน
“พอเราโตขึ้น เราก็เริ่มรู้แล้วว่านักกีฬาฟุตบอลทีมชาติจะเป็นอย่างไร เวลามีการคัดตัว เราก็ไปคัดๆ กับเขาหมด คัดระดับเยาวชนทีมชาติ มีโอกาสผ่านเข้าไปด้วยตั้งแต่อายุ 16 ปี ตอนนั้นผมเป็นคนที่เรียนค่อนข้างพอใช้ได้ สามารถเอนทรานซ์ติดนายร้อย และติดเกี่ยวกับหมอที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แต่ไม่มีเงินเรียน ก็เข้าไปคัดๆ แล้วก็มีการซ้อม ผมโดนเขาสกัดข้างหลัง เอ็นไขว้หน้าซ้ายขาด
“ทุกวันนี้ก็ยังเดินกะเผลกอยู่เลย ตอนนั้นถ้าจะผ่าตัดก็ต้องใช้เงินเป็นแสน เราไม่มีเงิน ก็ถามตัวเองว่าทำไมโชคชะตาทำร้ายเราขนาดนี้ ก็มีแอบน้อยใจบ้าง แต่ผมก็นึกถึง “ทฤษฏีหนูนา” ที่พ่อเคยบอกว่าให้เป็นหนูนา หนูนากับหนูพุกต่างกันอย่างไร หนุพุกตัวใหญ่มาก เปรียบเสมือนคนที่ร่ำรวย แต่รูหลบหนีของหนูพุกมีแค่รูเดียว ต่างกับหนูนา หนูนาบ้านผมเรียกว่าหนูซิง จะมีรูหลบหนีถึง 8-9 รู พ่อผมบอกว่าถ้าทำอย่างนี้ไม่ได้ อย่าลืมเผื่อไว้อีกสักหลายๆ ทาง ให้อยู่รอดในชีวิต
“ผมก็เลยเล็งใหม่ โอเค นักฟุตบอลเลี้ยงชีพไม่ได้แล้ว แต่ยังเหลือเรียนหนังสือเส้นทางนี้ยังพอมีอยู่ เราก็สำรวจตัวเอง เรายังสามารถใช้เสียงได้ ถึงจะไม่ตรงคีย์ แต่ก็พอมีความสามารถ ก็เลยร้องเพลง เอาใหม่ ก็ยังเหลือเส้นทาง ทีนี้พอเรียนจบก็เดินทางมาเรียนต่อกรุงเทพฯ”
สะพายกีตาร์ราคาตัวละ 200 บาทที่พ่อซื้อให้และทุนรอนในกระเป๋า 300 บาท เดิมพันเดินทางออกล่าหาความฝันที่หลงเหลือในชีวิต
“ผมก็นั่งมากับรถเหมา เป็นรถกระบะที่สามารถนั่งซ้อนๆ กันหลายๆ คน นั่งมาลงหน้าราม ความรู้สึกแรก ความฝันหลายๆ อย่างที่วาดฝันไว้ พอก้าวลงจากรถ แป้วเลยครับ ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรดี
“สมัครเรียนก็ยังไม่รู้จะเรียนอะไร ตอนไปซื้อใบสมัครใบละ 100 บาท เล่มที่เป็นหนังสือคู่มือด้วย แล้วเขาถามว่าจะเรียนคณะอะไร เราก็ไม่รู้ก็เลยบอกเขาว่าคณะที่ดีที่สุดของที่นี่ (หัวเราะ) เอาอย่างนั้นเลย ก็ได้เรียนคณะนิติศาสตร์ เราก็คิดว่าสบายๆ คือความคิดของเด็กต่างจังหวัด
“หลังจากสมัครเรียนเสร็จปุ๊บ ก็ต้องไปทำงานก่อสร้างเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าเทอม ตอนนั้นราคาหน่วยกิตละ 25 บาท รวมแล้วก็ประมาณพันสองพันบาท ไปทำ งานได้เงินมาก้อนหนึ่ง ก็ไปซื้อชุดนักศึกษาแล้วก็ไปจ่ายค่าเทอม”
“บ่คิดบ่ฝันว่าฮักสิฮ่างสิเพ”
ผ่านคืนซวนเซ ก่อนถึงวันสดสวย
ชีวิตดำเนินควบคู่ขนานไปได้สักระยะในช่วงเริ่มแรก สามารถประคับประคองไปได้ด้วยดี แต่ทว่าสิ่งแวดล้อมรอบตัว ทั้งสังคม ทั้งเพื่อนฝูง ก็เข้ามาเปลี่ยนแปลงเด็กจากห้วยไร่
“คือเริ่มเรียนแรกๆ ก็ทำงานก่อสร้างควบคู่กันไป แต่หลังๆ ทำงานทุกวันไม่ได้ด้วยความที่...หนึ่ง เราต้องไปเรียนหนังสือ สอง เริ่มมีกลุ่มเพื่อน เราก็อยากจะสำอางไม่อยากจะทำงานหนักๆ แล้ว ก็เลิก ก็ยอมรับว่าเราเปลี่ยนแปลงไป ทีนี้พอไม่มีงานทำก็ไม่มีที่พัก ก็ต้องไปอาศัยอยู่วัด วัดเทพลีลา ตรงเมรุเผาศพ คือเพื่อนไปอยู่ก่อนแล้วก็ชวนเราไปอยู่ ช่วงที่มีงานศพมันจะมีข้าวต้ม ผมก็จะลงมากิน ตีเนียนประทังชีวิตไป (หัวเราะ) ตอนกลางวันก็ไปเรียนหนังสือ ตกตอนเย็นก็เอากีตาร์มาเปิดหมวกเพื่อหาเงิน
“จากนั้นก็ใช้ทฤษฏีหนูนาหาทางออก เพราะตอนนั้นเริ่มคิดแล้วว่าเราร้องเพลงพอได้ แต่เราต้องร้องให้มันจริงๆ จังๆ ก็หัดแต่งเพลงเอง ร้องเองไปด้วย แล้วอีกทางหนึ่งก็ต้องทำงานประจำ ก็บังเอิญเดินออกมาจากหน้าปากซอยที่พัก เจอป้ายรับสมัครงาน เงินเดือน 15,000 บาท แต่ไม่รู้ว่าคืองานอะไร เห็นที่รับสมัครงานก็เลยรีบไป พอไปถึงปุ๊บ เขาเข้าแถวกันเต็มเลย มีแต่คนหน้าตาดีๆ ผิวพรรณดีๆ เราก็มองเพราะเราไม่รู้ว่างานที่เรามาสมัครเป็นงานเกี่ยวกับสถาบันความงาม เรารู้แต่ว่ามันเป็นงานที่ได้เงินเยอะ ก็เลยไปสมัคร
“พอถึงคิว เขาก็บอกเราเลยตรงๆ ว่าน้องหน้าตาไม่ได้ ผิวพรรณไม่ได้ แล้วงานต้องใช้วุฒิปริญญาตรี น้องยังเรียนไม่จบ”
ศิลปินหนุ่มกล่าวพลางเว้นวรรคให้ห้วงวินาทีนั้นที่เหมือนบานประตูชีวิตกำลังจะปิดอับ
“เพราะเราต้องหางานทำให้ได้ ก็เลยขอว่าพอจะมีงานอื่นให้ผมทำได้ไหม เขาถามว่ายกของได้ไหม ก็เลยเริ่มจากทำหน้าที่ยกของ ทำงานไปหมดทุกสาขาทั่วประเทศ แล้วก็ไต่มาจนเป็นฝ่ายประชาสัมพันธ์การตลาด”
เงินเดือนหลักหมื่นปลายๆ มีที่ห้องหับหอที่พัก มีรถเก๋ง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ “ความรัก” ที่ก่อเริ่มขึ้น
“ตอนแรกๆ ที่เริ่มทำงานนี้ ก็ยังไม่ย้ายออกจากเมรุวัดเทพลีลานะ ก็ยังพออยู่ได้ ทีนี้มันมีปัญหาเรื่องเสื้อผ้าที่พอเราได้มาจากการที่เราไปเจอคนใหญ่ๆ เพราะเราทำการตลาด เขาก็จะมีของแจก เสื้อทีมชาติ ร่ม ของดีๆ เราใช้เสร็จซักตาก คนอื่นเห็นว่าเป็นของดี เขารู้ก็เอาไป (หัวเราะ) เอาไปเรื่อยๆ กางเกงในยังเอา จนเหลือแต่ชุดทำงาน หลังๆ ก็เลยเอาไปตากตรงที่นอน แล้วก็เหม็นอับ ก็เลยเริ่มคิดแล้วว่าต้องมีที่พักใหม่ จากนั้นก็มีความรัก
“มีความรัก...เราก็อยากจะสร้างอนาคต เริ่มมีความหวังกับชีวิต เพราะชีวิตเราก็ขยับขึ้นมาแล้ว เขาก็บอกว่าจะสร้างอนาคตกับเรา ให้เราตั้งใจทำงาน ขยันทำงาน คือสัญญาว่าจะอยู่ด้วยกัน จะมีครอบครัวด้วยกัน จะแต่งงานกัน ก็ทำทุกอย่างเพื่อที่จะสร้างครอบครัว”
แม้ว่างานที่ทำต้องออกต่างจังหวัดตลอด แต่ชีวิตก็ไปได้สวย (ยิ้ม) มีรถเก๋งขับไปทำงาน มีห้องพัก ความเป็นอยู่ดีขึ้น หน้าที่การงานขยับขึ้นเรื่อยๆ จนมาวันหนึ่ง หลังกลับจากทำงานที่ต่างจังหวัดถึงกรุงเทพฯ แฟนเขาบอกเราว่าเขามีคนอื่น มีไปนานแล้วนะ
“นานแล้ว คำนี้...”
หนุ่มสกลคนดัง เผยความรู้สึกผ่านน้ำเสียงที่บอกกล่าวเป็นนัยๆ ถึงแรงสะเทือนใจในประโยคบอกเลิก ซึ่งไม่เคยจางหายมาจนกระทั่งทุกวันนี้
“ในระหว่างที่เราไปทำงาน 3 เดือนเต็มๆ เราไม่เคยรู้มาก่อน แล้วเขาบอกเราวันนั้น ก็แย่เลยชีวิตหลังจากนั้น จากคนที่ขับรถเก๋งไปทำงาน ผูกเนคไท ก็ทำงานไม่ได้ ต้องลาออก กลับไปอยู่จุดเดิมอีก เพราะเราไม่ได้เอาอะไรติดตัวมา ให้เขาหมดที่สร้างร่วมกันมา กลายเป็นคนเร่ร่อน ไม่มีที่พัก กลับไปอยู่ใช้ชีวิตเหมือนเดิม เพื่อนก็ไม่อยากจะเจอ เพราะกลัวเรายืมเงิน
“มีกีตาร์ตัวเดียว ร้องเพลงข้างถนนเหมือนเดิม เพื่อประทังชีวิตไปวันๆ ไม่อยากกลับบ้าน ไม่กล้ากลับบ้าน เพราะเราเคยขึ้นมาแล้ว แล้วเราลงมา และไม่ใช่ลงธรรมดา แต่ลงฮวบเลย
“ตอนนั้นก็คิดตลอดเวลาว่า ทำไมเรื่องนี้ต้องเกิดขึ้นกับเรา
ก็รำพึงรำพันออกมา... “ไสว่าสิบ่ทิ้งกัน””
"สิบสิฮ่าง หรือซาวสิฮ่าง"
สิจับฝันดั้นย่าง ว่าซั่นว่า
“ก็เขียนตั้งสถานะโพสต์ลงในเฟซบุ๊ก ก็ได้กระแสตอบรับจากเพื่อนที่รู้จัก เริ่มมีการเอาคำนี้ไปโพสต์ ไม่ใช่แค่เรื่องความรัก เรื่องงานก็มี อย่างเพื่อนร่วมงานต้องแยกย้ายกัน ก็โพสต์...ไสว่าสิบ่ทิ้งกัน... เอาคำของเราไปใช้
“ช่วงนั้นก็ใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ เตร่ไปเรื่อยๆ เล่นตามหน้าถนน สะพานลอยวัดเทพลีลาบ้าง ในซอยมหาดไทยบ้าง (รามคำแหง 65) ถือกีตาร์ไปออดิชั่นร้านแถวนั้น เขาก็ไม่รับ เพราะเรายังไม่เก่งพอ แล้วเราก็ดันไปพักไว้ช่วงที่ทำงานตอนนั้น
“ชีวิตก็แย่ น้ำหนักเบาสุด 56-57 กิโลกรัม สภาพเหมือนคนติดยาเลย เพราะเราไม่มีเงินกินข้าว ประทังชีวิตด้วยการกินน้ำ หาเหรียญตามตู้โทรศัพท์ที่เวลาคุยเสร็จปุ๊บ จะมีเหรียญที่พอตกค้างอยู่บ้าง เราก็ไปหามา
“เราก็แปลกใจว่าทำไมเราถึงปล่อยตัวเองได้ขนาดนั้น”
...ตั้งคำถามกับตัวเอง ชีวิตจมดิ่ง ปล่อยให้ความรักซึ่งเป็นสิ่งสวยงาม เป็นยาชูกำลังกายใจ เมื่อหมดและขาดหายไป ทำร้ายตัวเองถึงเพียงนั้น
“ไม่รู้ตัวเองจริงๆ ว่าตอนนั้นคิดอะไร เพราะมันยิ่งกว่าตอนเริ่มต้นชีวิตเราด้วยซ้ำ เลี้ยงดูตัวเองก็ไม่ได้ เล่นดนตรีเปิดหมวกได้วันละร้อยกว่าบาท แถมเวลาที่พ่อแม่โทรมาหา เราก็ต้องโกหกพวกท่านว่าเรายังดีอยู่ ชีวิตยังเหมือนเดิม ทำหน้าที่การงานที่ดีเหมือนเดิม
“อยู่อย่างนั้นเรื่อยมา จนมีวันหนึ่ง ระหว่างที่ไปดีดกีตาร์ร้องเพลงอยู่ที่ตลาดนัด กกท.(การกีฬาแห่งประเทศไทย) บังเอิญไปตรงกับคอนเสิร์ต Live in คราม ของวงบอดี้สแลม เราก็เล่นของเรา เพราะเราไม่ใช่คนที่ติดตามถึงขนาดเป็นแฟนคลับ ณ ตอนนั้น รู้จักก็แต่เพลงกระแทก เพลงสนุก ของเขา แต่แล้วช่วงหนึ่ง เสียงเพลงลอยมามันเงียบ ผมยืนฟังแล้วก็ได้ยินเสียงเปียโนค่อยๆ ดังขึ้น แล้วพี่ตูน (อาทิวราห์ คงมาลัย) ก็พูดเกี่ยวกับความคิดถึงบ้าน แล้วก็ร้องเพลง “ทางกลับบ้าน” ขึ้นมา
“...เมื่อไหร่ที่ล้มยังคิดถึงพ่อ เมื่อไรที่ท้อยังคิดถึงแม่...” (เนื้อเพลงทางกลับบ้าน)
“ผมยืนฟัง น้ำตาไหลไปตามเนื้อหา ที่ประมาณว่า ในวันอะไรก็ตามที่เจ็บปวดแค่ไหน เราก็ยังคิดถึงพ่อแม่ แล้ววันนี้เราก็ยังทำตามฝันอยู่ แต่มันแค่ยังไม่สำเร็จ พี่ตูนเขายังอยากกลับบ้านเลย แล้วทำไมเราไม่อยากกลับบ้าน ทำไมเราถึงปล่อยชีวิตเราล้มเหลว ปล่อยชีวิตเราเน่าเฟะ ทำไมคิดคนเดียว คิดว่าเป็นเรื่องที่อับยศ เป็นเรื่องที่ไม่น่าที่จะให้ใครรู้
“คิดได้อย่างนั้น ก็ตัดสินใจกลับบ้านเลยตอนนั้น”
“พอกลับไปบ้าน เขาเห็นเราผอมมาก พ่อร้องไห้เลย เพราะเหมือนเขารู้ว่ามันไม่ใช่อย่างที่เราพูด ก็ทำให้ผมมีกำลังที่จะสู้ต่อไป ก็เริ่มจริงๆ จังๆ เขียนเพลงที่กระท่อม ที่เถียงปลายนา เงียบๆ คนเดียว แต่ในระหว่างนั้นก็ยังคิดถึงความรักที่ผ่านไปอยู่ 'ไสว่าซิบ่ทิ้งกัน' เป็นหยังถึงทิ้งกัน คิดในใจ แล้วบังเอิญได้ไปเจอกับอาจารย์สุริยนต์ หลานหนองแสง ซึ่งรู้จักกันนานแล้ว รู้จักกันด้วยการเรียนหนังสือ รู้จักกันด้วยความที่คนที่ชอบในภาษาอีสานด้วยกัน และท่านเคยโทรให้เราไปร้องเพลงช่วงมัธยมต้น ท่านเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยนครปฐม เราเจอกันแล้วคุยถูกคอกัน เขาก็เล่าให้ฟังว่า เขาเคยมีแฟนสัญญากันว่าอย่างนั้นอย่างนี้เหมือนกันกับเรา แล้วมีคำพูดคำสัญญาระหว่างกันว่าจะไม่ทิ้งกัน เขาก็เลยเหมือนอาการเหลืออดเหลือทน อาจารย์ก็พูดคำนี้ออกมา 'ไสว่าสิบ่ถิ่มกัน'
“เราก็คิดว่า เออ คำนี้ ถ้ามันเป็นเพลงขึ้นมา มันคงจะดี ก็เริ่มแต่งเนื้อร้อง คิดถึงช่วงเวลานั้น แล้วก็เอาเมโลดี้บทสวดสรภัญญะที่แม่ชอบร้องสวดให้ฟัง กลายเป็นเพลง 'ไสว่าสิบ่ถิ่มกัน' แล้วก็เล่นกีตาร์อัดลงโพสต์ในเฟซบุ๊ก แล้วก็ยูทูป”
โดยที่ไม่ล่วงรู้เลยว่านี้ไม่ใช่เพียงการระบายความรู้สึกจากหัวใจดวงหนึ่งซึ่งบอบช้ำจากพิษแผลคำสัญญา หากแต่คมของคำยังบาดลึกไปถึงความรู้สึกของใครต่อใครอีกไม่น้อยที่กำลังละห้อยหวนไห้ในสถานการณ์แบบเดียวกัน
“เราก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะโดนใจใครต่อใครอีกหลายคน เพราะที่แต่งขึ้นมาเป็นเพลงแค่อยากให้ผู้หญิงคนหนึ่งได้ฟังเท่านั้น แต่เราไม่มีโอกาสไปถ่ายถอดให้เขาได้ฟัง เพราะไม่สามารถติดต่อกันได้แล้ว ผมก็เลยใช้ภาษาความรู้สึกของตัวเอง เป็นภาษาอีสานที่เป็นภาษาอีสานโบราณด้วยซ้ำ ค่อนข้างฟังเข้าใจยาก
“แต่วันดีคืนดี กลับกลายเป็นเพลงที่ทุกคนร้องได้ ร้องตาม ข้ามคืนก็เป็นหลักล้านคนที่เข้ามาฟัง เรางงและสับสนว่า นี่คือเราจริงๆ หรือ? เช้ามาอีกวัน หยิกตัวเอง จับมือตัวเอง สิ่งที่มันเกิดขึ้น ณ ตอนนี้คือเราจริงๆ ใช่ไหม หรือเราแค่เพ้อ เราคิดไปเอง เราหลับอยู่
“ก็ทำให้ผมมีกำลังใจในการเลือกเดินสายอาชีพนี้อีกครั้ง คือก่อนหน้านี้ เราร้องเพลงของคนอื่น เราก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ แต่คราวนี้ เราลองร้องเพลงตัวเอง มีคนชื่นชอบ ก็เหมือนเราอาจจะมาถูกทางแล้ว ก็เขียนเพลงทำเพลงขึ้นมาเรื่อยๆ”
เพลงคึดฮอดถิ่น เพลงกระเทยศรีอีสาน เพลงคอยทาง ซึ่งแม้จะได้รับการตอบรับจากผู้คนโลกออนไลน์ แต่กระนั้น ในเส้นทางโลกแห่งความจริง เขากลับต้องผิดหวัง
“เกือบทำให้ผมทรุดอีกรอบ และหมดหวังกับเส้นทางสายอาชีพนี้ คือเราเห็นอาชีพนี้เป็นอาชีพเลี้ยงเราได้ แล้วเราทำเล่นไม่ได้ ต้องทำจริงจัง ผมก็เลยเอาเดโมอัดเพลง 'ไสว่าสิบ่ถิ่มกัน' อัดดนตรีกีตาร์ตัวเดียวกับเสียงร้องไปเสนอค่ายเพลงค่ายหนึ่ง เขาบอกว่าฟังไม่รู้เรื่อง แนวเพลงก็ไม่ได้ แล้วเขาก็ถามสัมภาษณ์ผมตรงๆ ว่าทำไมถึงอยากเป็นศิลปิน ผมก็ตอบว่าผมอยากมีเงินเยอะๆ เพื่อที่จะดูแลตัวเองและครอบครัวได้ เขาไล่ผมออกมาเลย เขาให้เหตุผลว่าการจะเป็นศิลปินนักร้องในค่ายเทปเขา ต้องอนุรักษ์ รักษาวัฒนธรรม
“ทีนี้ พอโดนปฏิเสธ ผมก็หยุดเลย หยุดที่จะตามล่าแล้ว เพราะเราคิดว่าคงไม่ใช่ทางของเรา คงเป็นอย่างที่เขาพูดว่าเพลงเราไม่ได้เรื่อง เราก็หยุด เราเชื่ออย่างนั้น”
ศิลปินหนุ่มเผยความรู้สึกและชีวิตที่ต้องกลับไปมุ่งสู่แขนงการทำงานอื่นเพื่อให้รอดต่อชีวิต
“ตอนนั้นยังหางานอื่นๆ ทำไปด้วย ไปเป็นพนักงานอยู่เมเจอร์ ขายตั๋วหนัง ก็ไม่ได้ดี ทำได้อาทิตย์หนึ่งก็ออกมาแล้วก็ไปขายตั๋วแพคเกจเที่ยวแบบที่พักก็ไม่ได้ดี ก็ออกมา จนประมาณ 3-4 เดือน พี่ที่สัมภาษณ์เราตอนที่ไปออดิชันเอาเดโมไปส่ง โทรมาบอกว่าตอนนี้บริษัทกำลังทำโปรเจคต์เพลง เขามีโปรเจคต์อยากจะทำบอยแบนด์อีสาน คนเขาไม่พอ บอกตรงๆ คนเขาไม่พอ ตอนนั้นก็ตัดสินใจคว้าเอาไว้เลย”
แต่ก็ต้องล้มเหลวอีกครั้ง แม้จังหวะจะลงตัว แต่ไม่ใช่ทางและสไตล์ที่สามารถทำได้ดี
“เพราะความที่เราร้องเพลงสไตล์สตริงลูกทุ่งเพื่อชีวิต แต่เขาให้ร้องหมอลำ มันก็ไม่ใช่ตัวตนของเรา ก็ทำให้เรารู้อีกบทเรียนหนึ่งของชีวิตว่าการที่มีอะไรแล้วจับไว้ก่อน คว้าไว้ก่อน แต่โอกาสนั้นอาจไม่ได้สวยงามเสมอไป โอกาสเข้ามาในชีวิต คุณอย่าเอาให้หมด อย่าจับต้องให้หมด ให้คิดก่อนว่าโอกาสนั้นมันดีกับชีวิตจริงๆ ไหม ค่อยคว้ามันมา ไม่ใช่ว่าเขาหยิบยื่นอะไรให้เอาหมด ไม่อย่างนั้น...หนึ่งเลย จะเสียเวลาเปล่าๆ สองเสียที่ตัวเรา สามเพื่อนร่วมงาน สี่ บุคคลที่เขาที่ให้โอกาสเรา เขาก็จะเสียไปด้วย โอกาสไม่ใช่สิ่งที่สวยงามเสมอไป อย่าคว้าอย่างเดียว
“เราก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จกับตรงนั้นอีกครั้ง แต่ผมก็บอกว่าผมยังจะยืนยันถ้าผมอยากจะเป็นนักร้องจริงๆ ผมต้องเป็นเพลงผม ผมก็ออกมาก็หาทางไป
“ในระหว่างที่เรากำลังหาทางของตัวเอง วันหนึ่งก็บังเอิญได้ไปเจอพี่กบ-ปรีชาพล ศรีธาตุ ซึ่งปัจจุบันเป็นเจ้าของค่าย “ซาวด์มีแฮง” (SOUND ME HANG RECORD) แต่ตอนนั้นยังไม่มีค่าย ค่ายเกิดขึ้นมาพร้อมผม บังเอิญไปเจอกันตามงาน แล้วแกก็เคยติดตามงานเรา เขามองว่าเรามีความสามารถ มีของ แต่ปล่อยไม่ถูก พี่กบเล่าให้ฟังว่า ชมอยู่ในใจ ไม่ได้คิดว่าจะมีโอกาสได้เจอกัน แต่ว่ามันมีเพลงต่อมา เพลง “คอยทาง” บ้างอะไรบ้าง ซึ่งก็เราคนเดิม คนนี้จำได้ ไอ้นี่อีกแล้ว (หัวเราะ) เขารู้ว่าไม่ใช่แค่เขียนดีเพลงนั้นเพลงเดียว เขาสื่อความหมายได้ คำพูดมันตรง เรียบเรียงมาแล้วมาหักให้เป็นในสไตล์ของเรา คือมันใช่
“พี่เขาบอกว่าไหนๆ เราก็มีเพลงอยู่แล้ว เดี๋ยวพี่เป็นคนลงทุนให้ ทำเพลงนี้ให้ ก็เลยเอาเพลงมาให้เลือก แกเลือกเพลง 'ไสว่าสิบ่ถิ่มกัน' ซึ่งตอนนั้นเป็นเพลงที่ยังไม่มีท่อนแยก ที่ร้องว่า "ทวงสัญญา คองถ่าจนจ่อย ไปมิดจ้อย บ่หวนคืนมา...โอ้วววว" แกบอกว่าพี่อยากได้ท่อนแยกเพื่อที่จะได้เติมเต็มเพลงนี้ โดยที่ไม่ใช่มีแค่ท่อนร้องแล้วฮุค ก็เลยเขียนเพิ่ม เขียนเสร็จแกก็ไปทำดนตรี ทีนี้ก็พลิกเลย
“จากคนที่ไม่คิดว่าอาชีพนี้จะเป็นทางส่องชีวิตตัวเอง เคยคิดแล้วแต่ก็ปิ๋ว คิดอีกก็ปิ๋วอีก ไม่รู้กี่รอบ จนมาเจอะเจอกับพี่กบ ถึงตอบโจทย์ได้ มี ก้อง ห้วยไร่ ทุกวันนี้”
ก้อง ห้วยไร่ ชายหนุ่มที่ป๊อปสุดคนหนึ่งในสายลูกทุ่ง กล่าวด้วยรอยยิ้ม พร้อมชำเลืองแลไปยังผู้ที่เป็นทั้งหัวหน้าค่าย ผู้จัดการ และพี่ ที่ร่วมสร้างปลุกปั้น ซึ่งความรู้สึกตลอดระยะเวลา 7 เดือนที่สำเร็จ จากสิบกว่าปีที่ต่อสู้ แม้ไม่มีใครสามารถรับรู้ได้ว่าเป็นอย่างไร แต่จากสีหน้าและริ้วรอยบนใบหน้าอายุ 28 ทำให้เราสัมผัสถึงเรื่องทั้งหมดนี้ได้ไม่ยากว่าเขาฟันฝ่ามามากเพียงใด และตั้งมั่นเพียงใดในความฝัน...
"ตั้งแต่ทางมีแต่ขี้ไหง่"
เคยเป็นจังได๋ ก็บ่เป็นไปลายต่าง
“ผมถือว่าเป็นกำไรชีวิต ผมคิดและพยายามจะบอกกับตัวเองว่ามันอาจจะเป็นครั้งแรกและครั้งเดียว หรือครั้งสุดท้ายสำหรับตัวผม ต่อไปจากนี้อีก 3-4 วัน คนอาจจะลืม ก้อง ห้วยไร่ ไปแล้วก็ได้ แต่สิ่งที่ผมพยายามจดจำคือว่า สิ่งที่ผมพยายามมาตั้งแต่เด็ก คำพูดที่ผมพยายามพูดมาตั้งแต่เด็ก พ่อผมจะซื้อรถให้พ่อ ผมทำได้แล้ว พ่อผมจะสร้างบ้านให้พ่อ ผมทำได้แล้ว ผมจะนั่นนี่ให้ครอบครัว ผมทำได้แล้ว ณ ตอนนี้ ที่เหลือยู่ก็เพียงว่าผมจะดำเนินชีวิตของผมต่ออย่างไร เพราะสิ่งที่เราเคยพูดและพยายามตลอด 10-20 ปี เราทำได้แล้ว เราประสบความสำเร็จระดับหนึ่งแล้ว”
ศิลปินหนุ่มกล่าวถ่อมตน แม้ว่าไม่กี่วันที่ผ่านมา จะถูกเสนอชื่อเข้ารับรางวัลนาคราช สาขา “ตัวแทนคนรุ่นใหม่ที่จรรโลงวัฒนธรรมอีสาน”
“ผมเชื่อว่าในตัวตนของแต่ละคนก็จะมีความเป็นตัวตนของตัวเองอยู่แล้ว ไม่เปลี่ยนไปสำหรับตัวผมเอง เราเคยลำบากมา พอมาเจอกลุ่มคนที่เขาชื่นชอบเรา ก็คือกลุ่มคนที่เคยลำบากมากับเราเนี่ยล่ะ มันเลยกลับกลายเป็นว่าเราเสมอกัน เราเท่าเทียมกันตลอด ไม่ทำให้ผมคิดว่าผมมีอะไรที่เหนือกว่าคนอื่น ผมก็สบายๆ
“เราพยายามทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อที่จะเอาตัวรอด ไม่ใช่ว่าทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองมีชื่อเสียงเงินทอง ไม่ใช่ผม ผมแค่เอาตัวรอด วันนี้ผมเอาตัวรอดได้ ไม่เป็นภาระกับใคร หลายๆ คนที่ไม่รู้จักก็ไม่แปลกครับที่เขาจะคิดว่า อยู่ดีๆ โชคดีจัง เขียนเพลงขึ้นมาเพลงเดียว แล้วดังเลย ไม่ผิด เพราะว่าเขาไม่รู้จักเรา แต่คนที่รู้จักเรา ติดตามเรา เขาจะรู้ว่าเรามาอย่างไรบ้าง จากเราเป็นเด็กที่เรียนเก่งมาก เล่นกีฬาเก่งมาก เป็นเด็กที่มีความขยันมาก มีความทะเยอทะยานมาก พอเข้ามาใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ เราเป็นคนที่แข็งแกร่ง ทำทุกอย่างอะไรก็ได้ ขอแต่ตัวเองไม่ตาย เพื่อที่จะเอาชีวิตอยู่รอด เพื่อที่จะทำความฝันตัวเองที่เราวางเอาไว้
“สิ่งเหล่านี้ ส่วนมากคนเขาจะไม่เข้ามาเสพกัน เขาจะเสพแค่ว่าเพลงเพราะไหม เสพเสร็จเขาก็จากไป แต่สิ่งเหล่านี้ผมก็อยากให้คนมาเสพได้เห็นว่า กว่าที่ใครสักคนจะประสบความสำเร็จในชีวิต ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีฟลุค ทุกสิ่งทุกอย่างมาจากความตั้งใจทั้งหมด อยู่ที่ว่ามันจะประสบความสำเร็จวันไหน ก็เลยไม่อยากให้ทุกคนมองว่าเราแต่งเพลงขึ้นมาเพลงเดียวร้องขึ้นมาดัง ฟลุคจังเลย ไม่อยากให้มองอย่างนั้น เพราะถ้าเกิดคนมองอย่างนั้น ชีวิตของคนที่ดำเนินต่อเรามาคนหลังๆ ก็ไม่เป็นไร สำมะเลเทเมาไป เดี๋ยววันหนึ่งเราก็จะถูกรางวัลที่ 1 เหมือนก้อง ห้วยไร่ ที่แต่งเพลงเดียวแล้วก็ดังเลย ไม่อยากให้คิดอย่างนั้น อยากให้ทุกคนคิดว่าคนจะประสบความสำเร็จในชีวิต มันต้องพบเจอความเจ็บปวดเจ็บช้ำความทรมานมาเหมือนกัน”
ทั้งชีวิต ความรัก และความฝัน ที่ล้วนต้องฟันฝ่า...
“เรื่องความรัก เวลาอกหัก เสียใจ หลายคนอาจจะคิดว่าความรักทำร้ายเราเหลือเกิน ทำร้ายจิตใจเรามาก ทำร้ายเราทุกอย่าง ทำร้ายครอบครัว แต่จริงๆ แล้วความรักไม่เคยทำร้ายใคร มีแต่กิเลสของเราที่ทำร้ายตัวเรา กิเลสอย่างไร คืออยากครอบครองเขา เรามีกิเลสที่อยากครอบครองคนๆ นั้น พอไม่ได้ เราก็บอกว่าเขาทำร้ายเรา ที่จริงความรักไม่เคยทำร้ายเลย เรานี้แหละทำร้ายตัวเราเอง ผมมองอย่างนั้นมากกว่า คือตอนนี้เรามีประสบการณ์เรื่องการอกหักมาแล้ว เราคิดว่าความรักทำร้ายเรา ต่อไปนี้คือเราอยู่กับมันให้เป็นมากกว่า
“ส่วนเรื่องชีวิตก็เหมือนกัน การต่อสู้ อยากให้ทุกคนแข็งแกร่ง อดทนกับแข็งแกร่งต่างกัน อดทนก็คือว่า เหมือนวันนี้ ผมเจ็บขา ผมก็ฝืนๆ ไปแค่วันเดียว แต่แข็งแกร่งคือคนขาขาดแต่เขายังพยายามเดินให้ได้ ยังไงก็ได้ช่วยตัวเองให้ได้ ผมอยากให้ทุกคนแข็งแกร่ง ไม่ต้องเป็นดาราหรือนักร้อง เรียนจบสูงๆ มีหน้าที่การงานสูงๆ มีฐานะร่ำรวย ขอแค่เลี้ยงดูตัวเองได้ ดูแลพ่อแม่ได้พอ นั่นคือความสำเร็จจริงๆ ในชีวิตแค่นั้น ไม่ใช่ชื่อเสียง ไม่ใช่เงินทอง ลาภยศ
“แต่ถ้าการเลือกเดินในเส้นทางที่ฝัน เพื่อประสบความสำเร็จ ก็อยากฝากให้กำลังใจหลายคน ให้คิดว่าความฝันคือความฝัน ความจริงคือความจริง ให้ควบคู่กัน ให้ชีวิตสองอย่างนี้มันควบคู่กัน ความฝันอยากเป็นศิลปินนักร้อง ซื่อสัตย์กับมัน อย่าให้ใครอื่นมาทำให้เราเขว ความจริงต้องรักษาชีวิตไว้ ห้ามตาย แล้วในตอนนั้นห้ามเป็นภาระของคนอื่น ในขณะที่คุณกำลังทำความฝันให้ควบคู่ไปกับความจริง ต้องเลี้ยงชีพตัวเองให้ได้ก่อนที่จะทำความฝัน ชอบร้องเพลง ต้องมีงานประจำ อย่าคิดว่าฉันจะต้องร้องเพลงเลี้ยงชีพ ฉันต้องเป็นนักร้องดัง มีชื่อเสียงเงินทองมากมายจากอาชีพนี้ ถ้าวันหนึ่งไม่เป็นอย่างนั้นล่ะ คุณจะทรุดเลย อยากให้ควบคู่กัน
“และถ้าถึงวันหนึ่ง สิ่งที่เราฝัน เราได้เป็นจริงๆ
ก็อย่าลืมเป็นตัวตนรากเหง้าของตัวเรา”