Custom Search

Jun 21, 2018

โรจ ควันธรรม เอกลักษณ์แห่งความร่วมสมัย



ที่มา http://www.jr-rsu.net/article/1229

ภาพจาก http://www.megazy.com

ขณะยืนอยู่หน้าเตาไฟ มีกระทะอยู่หนึ่งใบ พร้อมเครื่องปรุงเต็มโต๊ะ เกลือป่น ซอส ซีอิ้ว น้ำปลา ผัก เนื้อ เป็นคุณจะใส่อะไรก่อน
ถ้าไล่ให้ไปถามพวกกุ๊กทำกับข้าว ผักหรือเนื้อสัตว์ บางอย่างต้องใส่ก่อน ถ้าใส่หลังไม่อร่อยเลยว่ะ หรือผักบางอย่างต้องใส่ลงไปผัดทีหลัง มันถึงจะเขียวหน้ากิน หรือบางอย่างต้องผัดให้สุกเลย บางอย่างอย่าสุกมาก เช่นเดียวกับการเป็นดีเจของ ‘หมึก’ ดีเจ 70s หรือ โรจ ควันธรรม ที่คลุกคลีกับการปรุงเพลงมานาน

“ตอนเราจัดรายการ เรากำลังปรุง แผ่นเสียง ดนตรีมีหลากหลายอารมณ์ทั้งโฆษณา ซิงเกิล ทั้งหมดนี้ เราจะเรียงคิวอย่างไรให้ชั่วโมงของรายการมีจุดพีคเพื่อส่งอารมณ์เพลงถึงคนฟัง”

ใกล้เคียงที่สุดแล้วเหมือนกับการทำกับข้าว คุณจะใส่น้ำปลาตอนไหน ซึ่งวิธีการทำเพลงคือการปรุง เพลงเสพด้วยหู กับข้าวเสพด้วยลิ้น มันคือการเสพความสุขเช่นเดียวกัน เรากำลังปรุงความสุขส่งให้กับคนฟัง คนฟังคือลูกค้าเราที่จะมานั่งกินอาหาร เราใช้ใจเรา เสพไปพร้อมๆ กับคนฟัง

ก่อนเข้ามาในวงการเพลง ประมาณปี พ.ศ.2526 ดูเหมือนเขาจะใช้ชีวิตโลดโผนในหมู่วัยรุ่นเพราะช่วงยุคสมัย 60s เกือบ 70s จะนิยมจัดปาร์ตี้กันตามบ้านเพื่อน ซึ่งในยุคนั้น ยังไม่ค่อยมีไนท์คลับสักเท่าไร ก็จะมีแต่วงดนตรีที่นักเรียนเล่นกันเอง นอกเหนือจากการปาร์ตี้กันในบ้านแล้ว เขามักออกมาแฮงเอาท์กับเพื่อนๆ ในย่านสยามสแควร์อยู่บ่อยครั้ง ก่อนที่จะมีแมวมองจาก
ไนท์สปอตโปรดักชั่นโทรเข้ามาเพราะเห็นว่าเขาชอบเล่นดนตรี เขาตอบตกลงทันทีเพราะมีไอดอลเป็นเจ้าของรายการไนท์สปอต และนี่ก็เป็นจุดเริ่มของดีเจแถวหน้า แห่งยุค 70s

สิ่งที่ประสบความสำเร็จมากๆ คือการที่เขาเอาเพลงจากอังกฤษมาเปิด ในช่วงนั้น บอกได้เลยว่ากระแสเพลงเต้นรำครองเมือง เพลงเต้นรำก็คือเพลงที่มีจังหวะสม่ำเสมอ แปะ แปะ แปะ (พี่หมึกตบมือ) วงดนตรีที่ไม่เคยทำในจังหวะแบบนี้  ออกมาทำกัน เพราะถือว่าเป็นจุดขาย จนเรียกได้ว่าเป็นปีของวงดังในยุค 70s และยุค 80s  Come Back Year

“หลายคนเข้าใจผิดกันว่า เพลงเต้นรำคือเพลงดิสโก้ แต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่ เพลงเต้นรำมันคือ แดนซ์ คนที่ไม่เข้าใจ จะเหมาเอาว่า เพลงที่เล่นในดิสโก้เทคเนี่ย คือ เพลงดิสโก้  แต่ในความเป็นจริงเป็นได้ทั้ง ร๊อค พังค์ โซล ดิสโก้  ป็อป”

มีสิ่งหนึ่งที่เขายึดถือตลอดเวลาคือ ไม่ชอบทำอะไรที่เหมือนใคร เขาเป็นคนที่ทำการบ้านก่อนทำงานเสมอและต้องคิดก่อนทำ เวลาฟังเพลงก็จะหาประเด็นของเพลงที่เล่น ทุกครั้งที่จัดรายการวิทยุ เวลาเล่นเพลงออกไป กำลังใส่หูฟังหรือทำอะไรอยู่ก็แล้วแต่ เขาจะทำจนกระทั่งเกิดความอัตโนมัติขึ้นกับตัวเอง โดยนำความรู้สึกของเพลงจากการจัดเพลงในแต่ละวันมาบอกต่อคนฟัง จากรายการวิทยุสู่รายการทีวี เป็นเสียงพากย์รายการ เสียงพากย์โฆษณาในทีวีกับวิทยุ หรือพิธีกรในงานดนตรีต่างๆ คนจึงเห็นเขาจากการได้ยินเสียง

“เราต้องบอกตัวเองว่าอะไรควรวางที่ไหน ตรงไหนวางผิดจังหวะอารมณ์โดดนี่เจ๊งเลย คล้ายกับเรากำลังดีไซน์จัดบ้าน อย่าทำให้บ้านรกเท่านั้นเอง การจัดเพลงก็เหมือนกัน เมื่อจัดรายการแบบเนิบๆ หมอนถามหา ง่วงแน่นอน ผมไม่ชอบแจกหมอนเครื่องดนตรี ซาวด์ดนตรี เสียงของกีตาร์ มันต้องมีเปลี่ยนบ้าง มันต้องมีอะไรใหม่ขึ้นมาบ้าง  เปลี่ยนซาวด์บ้างเล็กน้อย คือเรายอมรับว่าเพลงที่เปิดมามันไพเราะ แต่พอเกิน 5 เพลงขึ้นไป มันต้องขยับนิดนึงแล้ว ขยับเดี๋ยวค่อยกลับมาจึกๆ ก๊อกๆ ใหม่ได้”

นับวันครีเอทีฟยิ่งสำคัญที่สุด แม้กระทั่งการขายก๋วยเตี๋ยว ไม่รู้อร่อยหรือเปล่า หากหน้าร้านมีอะไรประหลาดไม่เหมือนคนอื่น คนจะต้องสนใจว่ามันคิดขึ้นมาได้อย่างไร หลังจากนั้นเรื่องรสชาติค่อยว่ากันอีกที ว่าจะครั้งเดียวผ่าน หรือจะกลับมาอีก เพราะฉะนั้นเรื่องครีเอทีฟเป็นเรื่องสำคัญที่สุดที่พี่หมึกฝากไว้ งานทุกชิ้นทุกอย่างขอแค่คิดต่าง กล้าคิด ว่าจะเริ่มจากจังหวะไหน จะเล่นซาวด์แบบไหน แล้วต่อด้วยอะไร เอาความพอดีเป็นตัวตั้ง แล้ววางบีทไว้ในใจ ผมเล่นเพลงสมัยเปิดแผ่น ตอนนั้นใช้แผ่นไวนิลเปิดแผ่นนี้เสร็จ หยิบอีกแผ่นวางเตรียมไว้ ใส่หูฟังไว้ตลอด

“นักจัดรายการสมัยก่อนมือเร็ว สันแผ่นเสียงแต่ละแผ่นจำได้หมด ลุกขึ้นไปหยิบได้ทันทีอย่างไม่มีพลาด ฉะนั้นแผ่นที่กำลังจะจบเหลือไม่ถึง 50 วินาทีเราฟังอยู่ถ้าแผ่นต่อไปไม่ใช่เพลงที่ต้องการ ก็ต้องรีบลุกขึ้นหยิบใหม่ ใจเราต้องอยู่กับงานที่เราทำ มันคือเรื่องของครีเอทีฟ”

ฉายาพี่หมึกดีเจ 70

“คือเราเกิดจากยุค 70 อยู่ในเหตุการณ์ ทำงานมากับมือ มาถึงยุค 2000 เห็นได้ทันทีว่า มันมีความแตกต่างกันมาก แต่คนชอบถามว่ายุคไหนดีกว่ากัน คำถามนี้ผมไม่ชอบเลยจริงๆ เพราะแต่ละยุคแต่ละสมัยมันเปรียบกันไม่ได้เลย การเสพของคนไม่เหมือนกันต่างคนต่างชอบคนละแบบเราสามารถบอกได้ว่า การทำงานในยุคนั้น มันเป็นแบบนี้นะ สมัยนี้มันเป็นแบบนี้นะ ยุคปัจจุบัน ดนตรีมันเปลี่ยนอารมณ์ไปเพราะมีการกดปุ่มโปรแกรม ทุกอย่างมีเครื่องช่วยหมด มันไม่เหมือนสมัยก่อนเวลานักดนตรีจะแกะเพลง ต้องเปิดเทปคาสเซ็ทฟัง กดกรอไปกรอมา สมัยนี้ทุกอย่างใช้อินเตอร์เน็ตกดเสิร์ชหาข้อมูลมา คนมันรีบเร่งไปหมด เพราะฉะนั้น ความละเอียดย่อมจะหายไป”

ชีวิตอิสระที่นอกเหนือจากการเป็นดีเจ
“ผมชอบดีไซน์การแต่งตัว เดินแหล่งวัยรุ่นดูเสื้อผ้า มีคนยุให้ทำเสื้อผ้า ผมสนใจอยู่เหมือนกันครับ แล้วก็มีเล่นดนตรีกับเพื่อนๆ”

เพลย์ลิสต์ที่ชอบตลอดกาล

ผมชอบวงดนตรียุคเก่าที่ยังมีผลงานถึงปัจจุบัน โพลิซ บลอนดีย์ ยูทู ส่วนวงฟังชิลล์ๆ ที่ชอบมากเลยก็คือ Lighthouse family  กับ Daft Punk  ซึ่ง Daft Punk ถือเป็นวงรุ่นใหม่ที่ได้รับอิทธิพลของเก่ามาผสมกับใหม่มาจนกลายเป็นคำโมเดิร์นคลาสสิคที่เอามาแมทช์กันจนลงตัว

“ความหล่อของเสียงและหน้าตายังคงเดิมไม่เปลี่ยนไปตามกาลเวลา แม้จะชอบเพลงใหม่ๆ แต่ไอเดียของเพลงต้องมีกลิ่นอายของเพลงยุคเก่า นี่เป็นสไตล์การฟังเพลงของพี่หมึกเลย”

ผมจะชอบนักดนตรีรุ่นใหม่ที่ทำเพลงแนววินเทจ ผมสนใจเพลงใหม่ๆ ที่เขาได้ ไอเดียจากเพลงยุคเก่ามาทำเพลงจังหวะเคลื่อนไหว เพลงพวกนี้เป็นเพลงที่ผมเปิดบ่อยมาก จุดที่น่าสนใจคือ ดนตรีจะเป็นอิเล็กทรอนิกส์ซาวด์ แต่กีตาร์สด กลองสด เอามาผสมกัน เวลานี้ทำให้กระแสของเพลงเก่าและศิลปินเก่ากลับมากันเยอะมาก

“การทำเพลงที่ดีสักเพลงหนึ่งเหมือนกับว่าเราต้องใช้ใจ ใช้รายละเอียดทุกอย่างในชีวิตทำออกมา ไม่ใช่แค่ต้องการให้ได้ผลตอบรับที่ดี แต่เพลงที่ดี มันจะเดินทางไปถึงหูฟังเอง”

จริงๆ แล้วมันเป็นสิ่งที่ผมอยากจะบอก มันคือความคลาสสิกที่อยู่ได้นาน แต่คนที่จะรับไปปฏิบัติจะสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการประยุกต์ของเขา คนรุ่นใหม่ที่ทำเพลงออกมาย่อมต้องการให้งานเพลงเป็นที่รู้จักเร็ว แต่คนที่รักดนตรีจริงๆ จะไม่คำนึงว่า เมื่อไหร่จะมีคนชื่นชอบงานของตนเอง เพลงเพราะของแท้ทิ้งวางไว้ก็ไม่มีวันเสื่อมสลาย  เพราะฉะนั้นคำพูดคำนี้ขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นผู้ฟังหรือใครจะเป็นผู้เอาไปตีความ มันไม่มีใครผิด ไม่มีใครถูก บางคนอาจจะแย้งว่า ทำงานเพลงก็ต้องการให้มีฟีดแบคกลับมา แต่ผมไม่สนใจ ผมถือว่างานของผม ต้องมีคนชอบแน่นอน เพราะมันมีคุณภาพในตัวมันเอง


Jun 16, 2018

ฉลาดเกมส์โกง (2017)




พูดคุยหมดเปลือกกับ จินา GDH เบื้องหลังความสำเร็จ “ฉลาดเกมส์โกง” หนังไทยบุกตลาดจีนอย่างไรให้ประสบความสำเร็จ

ถ้าพูดถึงค่ายหนังในลำดับต้นๆ ของประเทศ จะต้องมีชื่อของ GDH
หรือ บริษัท จีดีเอช ห้าห้าเก้า จำกัด ติดอยู่อย่างแน่นอน ซึ่งในช่วงระยะเวลาแค่ 3 ปีหลังการสลายตัวจาก GTH ทาง GDH ก็ผลิตหนัง
ออกมาได้ 4 เรื่องแล้วและได้รับการตอบรับดีแทบทุกเรื่อง
และเรื่องที่เปรี้ยงที่สุด ทำรายได้มากที่สุด ซึ่งเป็นหัวข้อใหญ่ของบทความนี้ ได้แก่ “ฉลาดเกมส์โกง” เข้าฉายเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคมที่ผ่านมา ทำรายได้ในประเทศสูงถึง 112.15 ล้านบาท แต่สิ่งที่ทำให้เราทึ่งไปมากกว่านั้น คือการบุกตลาดจีน และอีกหลายประเทศที่สำคัญคือได้รับการตอบรับดีอย่างคาดไม่ถึง

ฉลาดเกมส์โกง (Bad Genius) ทำรายได้อย่างสวยงามที่ประเทศจีน เพราะหลังฉายเพียงไปได้ 9 วัน สามารถทำรายได้ทะลุ 200 ล้านหยวน หรือ 1,000 ล้านบาท!!อึ้งไปกว่านั้นขนาดที่ว่ามีนักศึกษาจีน ทำรูปปั้น “ครูพี่ลิน” (ตัวละครในเรื่องแสดงโดย ออกแบบ-ชุติมณฑน์ จึงเจริญสุขยิ่ง) นำมาบูชายกให้เป็นเทพเจ้าแห่งการสอบเลยทีเดียว

นอกจากนี้ ยังเป็นหนังไทยที่ทำรายได้สูงสุดในต่างประเทศ แซงหน้าเจ้าของสถิติเดิมอย่าง องค์บาก (ปี 2546) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และยังขึ้นสู่อันดับ 6 ของ Worldwide Box Office อีกด้วย



ดังนั้น เราจึงได้โอกาสมาพูดคุยชนิดหมดเปลือกกับหนึ่งในผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของภาพยนตร์เรื่องนี้ และการวางกลยุทธ์วางหมากต่างๆ ของการทำธุรกิจภาพยนตร์ว่าอะไรที่ทำให้อุตสาหกรรมหนังไทยที่ซบเซาในตลาดต่างประเทศมานานกลับมาคึกคักอีกครั้ง กับผู้หญิงเก่งคนนี้ “จินา โอสถศิลป์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท จีดีเอช ห้าห้าเก้า จำกัด”

คิดว่าปัจจัยอะไรที่ทำให้หนังประสบความสำเร็จที่จีน
ผลที่ประสบความสำเร็จ เพราะเนื้อหาโดนใจ มีความเข้มข้นในสิ่งที่เป็น ประเด็นของหนังหรือคอนเซ็ปต์เป็นสากลมาก คือ การโกงการสอบมันเป็นการสื่อสารที่คุยกับใครทุกประเทศทุกคนเป็นอย่างนี้หมด มันอิน ไม่ว่าประเทศไหนมีสอบหมด ชั้นเชิงการทำหนัง การโกงที่ตื่นเต้นเร้าใจ นักแสดงเล่นสมบทบาทด้วย ทุกอย่างมันส่งให้หนังสนุก และได้รับความนิยม

จริงๆ ถ้าพูดถึงฉลาดเกมส์โกงที่ฉายที่จีน เพราะหนังเราได้ไปเมืองคานส์ ดิสทริบิวเตอร์เมืองจีนมาติดต่อ เขาเห็นแค่หนังตัวอย่างเท่านั้น ดังนั้น ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าหนังทั้งเรื่องจะถูกใจคนจีน หรือแม้แต่ยังไม่รู้เลยว่าจะผ่านระบบเซ็นเซอร์ที่จีนหรือเปล่า ดังนั้น พอเขาซื้อเสร็จเขาต้องไปทำระบบเซ็นเซอร์ และระบบโควต้า พอผ่านเสร็จก็ถึงจะวาง timing ทั้งเรื่องวันฉายและวันโปรโมท ซึ่งตอนนั้นเหลือเวลาไม่มากแต่เขาก็ทำได้ดีทีเดียว ใช้สื่อออนไลน์ในการสร้างกระแสด้วย ซึ่งทำให้มันไปได้อยางรวดเร็วอีกด้วย


“แต่สิ่งหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในจีน คือ การบอกต่อ (Word of mouth) จากตอนแรกที่เปิดตัวเลขไม่ได้ดีมากนัก เปิดตัวตอนแรกๆ ฉลาดเกมส์โกงไม่ได้แรงเลย แต่ว่าพอคนไปดูแล้วมีการส่ง WeChat กันว่าต้องไปดูนะเรื่องนี้ เลยทำให้ตัวเลขเราวิ่งมาก”

สร้างกระแสผ่านออนไลน์อย่างไรบ้าง
ในประเทศจีนต้องยอมรับว่าโซเชียลมีเดียเขาดีกว่าเราและเร็วกว่าเรา คนเล่นกันหมดทำให้ไปถึงคนได้ไม่ยาก แล้วก็มีการทำคลิปออกมาเยอะมากด้วย ทำให้เกิดการเข้าถึงคนดูง่าย แต่ที่สำคัญอย่างที่บอกว่า เกิดการบอกต่อๆ กันว่าต้องมาดูเรื่องนี้นะ ในขณะที่การตลาดก็ทำ แต่เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งที่ทำให้คนเข้าใจก่อนว่าหนังเรื่องนี้มันเป็นยังไง แต่ไม่ใช่ปัจจัยหลักที่ทำให้หนังประสบความสำเร็จได้มากขนาดนี้

ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นจึงเกิดปากต่อปากแบบธรรมชาติ ซึ่งไม่เฉพาะแค่จีนเท่านั้น แม้กระทั่งในไทย ตอนนั้นใครก็บอกว่าฉลาดเกมส์โกงเป็นหนังฟอร์มเล็กหมด เพราะไม่มีนักแสดงที่รู้จักเลย แต่พอหนังฉาย มันกลับเป็นสากล ดังนั้น ขอให้ทำเนื้อหาให้ดีให้โดนให้ได้ หนังก็จะประสบความสำเร็จเอง

มีการกลยุทธ์ในการทำตลาดต่างประเทศอย่างไร และแตกต่างกันหรือไม่
ในหลักการคือเราต้องทำหนังในประเทศให้ดีมากๆ คือด้วยคอนเซ็ปต์ที่ต้องแปลก ต้องใหม่ ท้าทาย ทำตัวเนื้อให้ดี มันก็ไปได้เอง แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าเนื้อเรื่องมันเฉพาะทางมากเกินไปหรือไม่ อย่างฉลาดเกมส์โกง เนื้อเรื่องค่อนข้างสากล ดังนั้นมันก็ไปได้ไกล แต่ถ้าเฉพาะทางมากไปบางชาติก็อาจไม่อิน อย่างเช่นหนังผีไปจีนไม่ได้ เราจะเอา “เพื่อน…ที่ระลึก” ไปฉายจีนไมได้ เพราะจีนไม่มีหนังผี ถ้าเป็นผีก็จะต้องเป็นหนังตลก ไม่ใช่ผีน่ากลัว แต่หนังผีอาจไปอเมริกาหรือยุโรปก็ได้ ดังนั้น การทำตลาดต่างประเทศจึงไม่เหมือนกัน

“เพราะฉะนั้นหนังทุกเรื่องที่เราทำ เราจึงคิดในคอนเซ็ปต์ของการทำคนไทยดูก่อน เราทำของให้ดีที่สุดก่อน แต่ในธุรกิจของต่างประเทศเราไปทุกที่ที่มีคนซื้ออยู่แล้ว ยิ่งถ้าได้ดิสทริบิวเตอร์ที่เก่งเข้าใจในทาร์เก็ตของตัวเอง มีมุมมอง Marketing ที่เก่งก็ช่วยทำให้งานเราง่ายขึ้น ซึ่งมันก็ขึ้นอยู่กับการคุยกันตั้งแต่ตอนก่อนจะซื้อขาย”

คิดว่าโซเชียลมีเดีย ช่วยผลักดันให้หนังไปถึงผู้ชมได้เร็วขึ้นหรือไม่
คิดว่ามันเป็นช่องทางที่สำคัญมากเลย บางทีทำการโปรโมทหนังเรื่องหนึ่งมันอาจจะไปไม่กว้าง ดังนั้น การทำหนังให้เกิดปรากฏการณ์แบบปากต่อปากได้ ให้มันกระจายในวงกว้างได้ ก็คือการสื่อสารของบุคคลที่ใช้โซเชียลมีเดียในการที่จะบอกออกไปว่าหนังของเราเป็นอย่างไร แต่เราต้องยอมรับได้ว่าวันหนึ่งถ้าหนังของเราไม่โดน โซเชียลมีเดียก็จะเป็นพลังให้หนังของเราถูกตีกลับมาเหมือนกัน

แต่การใช้โซเชียลมีเดีย หรือกลยุทธ์ทางการตลาดอื่นๆ ก็ดี มันจะต้องควบคู่กับความคิดสร้างสรรค์ ทุกคนก็มีเงินหมด แต่การทำภาพยนตร์ไทยคือเราไม่ได้มีเงินมากขนาดนั้น เราต้องมีวิธีคิด เราต้องมีความคิดสร้างสรรค์ ต้องมีกลยุทธ์ว่าเราจะทำอะไร ต้องมีแผนการ แต่แผนการจะเกิดขึ้นเมื่อเราเห็นแล้วว่าหนังมันควรจะดำเนินงานไปในทิศทางไหน การทำงานด้านนี้เราต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ควบคู่ไปด้วย

ในการทำหนังเพื่อให้เกิดการตอบโจทย์ทางด้านธุรกิจ และอีกทางหนึ่งให้ตอบโจทย์ทางด้านศิลปะ จะต้องมีการบาลานซ์อย่างไรที่จะทำให้สองสิ่งนี้อยู่ในเรื่องเดียวกันได้
มันอาจจะไม่ต้องบาลานซ์ มันอาจต้องกลับมาที่จุดตั้งต้นของบริษัท ตอนที่เราตั้งบริษัทว่าเราต้องการทำหนังดีมีคุณภาพและเป็นอาชีพได้ มันก็คือ “พาณิชย์ศิลป์” ทำหนังดีมีคุณภาพเป็นหลักใหญ่ และทำให้เกิดอาชีพได้ แต่อาชีพจะเกิดขึ้นได้ธุรกิจจะเดินได้ถ้า product ของเราดี ซึ่งมันเป็นหลักการตั้งแต่วันแรกที่เปิดบริษัทของเราเลย

ในอดีตหนังไทยเป็นอาชีพไม่ได้ แต่ถ้าเกิดเราทำได้แปลว่าเราต้องสร้างงานที่ดี การสร้างงานที่ดีก็จะเกิดแบรนด์ดิ้ง แต่ก็ไม่ได้แปลว่าแบรนด์ดิ้งมันคือคุณภาพที่คนดูเกิดความไว้วางใจ ดังนั้น มันจึงมีอยู่ยุคหนึ่งที่หนังไทยดรอปมาก คนไปดูแต่หนังฝรั่ง แต่ว่าจริงๆ ลึกๆ คนไทยดูหนังไทยง่ายกว่าหนังฝรั่ง เพราะมันเกิดการสื่อสารเป็นภาษาไทย ดังนั้นเราก็ตั้งใจทำมันให้ดีสิ คนไทยจะได้เลือกมาดูเรา ในราคาค่าตั๋วที่เท่ากันแล้วเขาอยากดูหนังไทยมากกว่าหนังฝรั่ง ดังน้น ทำหนังไทยให้มันดีสิ

“เพราะฉะนั้นถ้าถามว่ามันต้องบาลานซ์ไหม ถ้าเราตั้งใจทำงานทุกงานให้เป็นงานที่ดีมีคุณภาพภายใต้สิ่งที่เราอยากจะสื่อสารกับคนดูวงกว้าง นั่นคือการบาลานซ์พาณิชย์ศิลป์อยู่ด้วยกันแล้ว โดยไม่ได้ไปฝืน ซึ่งเป็น Mission ของบริษัทอยู่แล้ว และมิสชั่นของเราคือตั้งใจทุ่มเททำให้สุดทาง”

คิดว่าการบุกต่างประเทศอย่างฉลาดเกมส์โกงมีความสำคัญกับแวดวงอุตสาหกรรมหนังของไทยหรือไม่ 
ก็ควร เพราะหนังไทยฉายในประเทศปัจจุบันถือว่าค่อนข้างลำบาก เพราะว่างบประมาณของการทำงานสูงขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีวันน้อยลงมีแต่จะมากขึ้น แต่สิ่งที่หายไปคือรายได้ รายได้ที่เคยได้จากการขายดีวีดีที่เป็นฟิสิคัล ตลาดที่เคยขายแผ่นไม่มีแล้ว ซึ่งเคยเป็นรายได้ใหญ่อันหนึ่งเลย มันก็เป็นไปตามวัฏจักร ฉะนั้น แปลว่าตอนนี้การทำงานธุรกิจให้รายได้เพิ่มขึ้นบนข้อจำกัดที่มีอยู่มันน้อยลง ดังนั้น การไปตลาดต่างประเทศจึงเป็นอีกสิ่งที่ช่วยทำให้รายได้มันเพิ่มขึ้นได้ ถ้าเราไปได้ก็เป็นผลดีกับเราเอง

อย่างฉลาดเกมส์โกงนี่ไปได้ไกลกว่าที่เราคาดการณ์ จีนอาจจะมาช่วยชีวิตเรา ซึ่งไม่ใช่แค่จีนอย่างเดียว ทั้งไต้หวัน เวียดนาม ขึ้น Box Office อันดับ 1 เพราะฉะนั้นถามว่าต่างประเทศเป็นตลาดที่ดีที่เราไม่เคยมองข้าม โดยเฉพาะในประเทศแถบอาเซียเพราะเรามีวัฒนธรรมที่ใกล้เคียงกัน แต่ถามว่ามันจะไปได้หรือไม่นั้น ก็ไม่ใช่ทุกเรื่องอยู่ที่คุณภาพของหนังแต่ละเรื่องด้วย 

สุดท้าย หลักการ 3 ข้อในการทำงานของ GDH ให้ประสบความสำเร็จ
จริงใจกับตัวเราเอง จริงใจกับคนทำงานด้วยกัน และต้องจริงใจกับคนดูด้วย
ทุ่มเททำงานอย่างเต็มที่ ถ้าเราไม่เต็มที่ ไม่ว่าคนดูจะชอบหรือไม่ชอบ เราจะไม่มีทางเสียใจ เพราะได้ทำงานอย่างเต็มที่แล้ว ส่วนตัวเรียกว่า “ไม่ชุ่ย”
มองทุกอย่างให้เป็นพลังบวก ทุกอย่างในชีวิตจะดี ทำงานมองพลังบวกทุกอย่างทั้งกับงานและกับคนที่เราทำงานด้วย
ใจความสำคัญของสิ่งที่เราจับได้จากการทำงานแบบ GDH ให้ประสบความสำเร็จ คือความมุ่งมั่นตั้งใจทำคอนเทนต์ หรือโปรดักส์ของคุณให้ออกมาดีที่สุด แล้วผลตอบกลับที่ได้รับจะเป็นทั้งกำไรในรูปแบบรายได้และคำชื่นชม เชื่อว่าเคล็ดลับในการทำหนังของ GDH ให้ประสบความสำเร็จ น่าจะสามารถปรับเป็นกลยุทธ์ให้เข้ากับการทำธุรกิจอื่นๆ ได้.

Copyright © MarketingOops.com


ธรรมะ? อ่ะทำ

เขียนโดย ปิยา วัชระสวัสดิ์
สำนักพิมพ์ Post Books
คำนิยมโดย พระไพศาล วิสาโล



ที่มา : http://www.visalo.org/prefaces/dhamAtum.html

คำนิยม

หนังสือเล่มนี้แม้มีชื่อว่า Faithbook  แต่ไม่ได้เรียกร้องให้ผู้อ่านเชื่อหรือใช้ศรัทธาในการอ่าน แท้จริงแล้วเนื้อหาตลอดทั้งเล่มล้วนกระตุ้นให้ผู้อ่านใช้ความคิด บางตอนถึงกับกระตุกให้เกิดคำถามขึ้นมา ไม่ว่าคำตอบจะเป็นอย่างไร หากไตร่ตรองอย่างจริงจัง ย่อมเอื้อให้เกิดปัญญา อันอาจส่งผลถึงการดำเนินชีวิตของตนได้

คุณปิยา วัชระสวัสดิ์ เป็นคนรุ่นใหม่ที่ไม่เคยสนใจธรรมะมาก่อน แต่เมื่อได้อ่านหนังสือของท่านอาจารย์พุทธทาสแล้ว ความคิดก็เปลี่ยนไป เห็นธรรมะเป็นเรื่อง “สนุก”และอยากให้ผู้อื่นได้สัมผัสกับรสชาติของธรรมะบ้าง โดยคัดเลือกข้อความที่น่าสนใจจากคำบรรยายของท่านอาจารย์พุทธทาสมานำเสนอ พร้อมกับเขียนภาพประกอบด้วยตนเอง  ผลที่เกิดขึ้นก็คือ หนังสือธรรมะเล่มกะทัดรัดที่มีสีสันน่าอ่านรูปเล่มน่าจับต้อง

ท่านอาจารย์พุทธทาสเป็นปราชญ์ที่สำคัญที่สุดผู้หนึ่งของเมืองไทยยุคนี้  งานเขียนและงานบรรยายของท่านมีมากมาย และก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านแนวคิดและการปฏิบัติของชาวพุทธจำนวนไม่น้อย ชนิดที่เรียกได้ว่าเป็นการปฏิรูปพุทธศาสนาครั้งสำคัญในรอบร้อยปี ทั้ง ๆ ที่ท่านไม่มีอำนาจในการบริหารคณะสงฆ์เลย อย่างไรก็ตามสำหรับคนที่ไกลวัดโดยเฉพาะคนหนุ่มสาว ผลงานของท่านอาจารย์พุทธทาสกลายเป็นเรื่องที่ไกลตัวและเข้าถึงยาก  ไม่ใช่เพราะว่าหาอ่านยาก แต่เป็นเพราะเนื้อหาที่ลุ่มลึกและภาพลักษณ์ที่ดูเคร่งขรึมพ้นสมัย

อย่างไรก็ตามเชื่อว่าวัยรุ่นคนใดที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ จะพบว่าธรรมะของท่านอาจารย์พุทธทาส ไม่ใช่เรื่องยาก  อีกทั้งยังมีสาระใกล้ชิดกับชีวิตของตนมาก  ขณะเดียวกันก็จะเห็นเลยไปอีกว่า ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้น แท้ที่จริงก็คือ เรื่องของชีวิตจิตใจของเราแต่ละคนนั้นเอง ไม่ใช่เรื่องพิธีกรรมอันยุ่งยากหรือเรื่องของพระสงฆ์เท่านั้น  หากนำธรรมะมาใช้กับชีวิต วางจิตวางใจให้ถูกต้อง ก็จะห่างไกลจากความทุกข์ มีความปกติสุขได้ไม่ยาก

หนังสือเล่มนี้นำเอาธรรมะมาจัดวางแบบไม่มีพิธีรีตองหรือกฎเกณฑ์ โดยดึงเอาประเด็นที่น่าสนใจมาถ่ายทอดเป็นเรื่อง ๆ ไม่ได้นำเสนอตามกรอบที่มักเห็นตามหนังสือธรรมะ เช่น อริยสัจ ๔ หรือ อริยมรรคมีองค์ ๘  ดังนั้นผู้อ่านจึงสามารถเลือกอ่านเป็นตอน ๆ โดยไม่จำต้องเรียงลำดับก็ได้ อีกทั้งแต่ละตอนก็สั้น ๆ ใช้เวลาอ่านไม่นาน แต่ถ้าอ่านอย่างขบคิด ไม่เร่งรีบ ก็จะได้ประโยชน์อย่างมาก ชนิดที่อาจพลิกชีวิตของตนได้

ขออนุโมทนาคุณปิยา วัชระสวัสดิ์ ที่มีกุศลฉันทะนำธรรมะของท่านอาจารย์พุทธทาสมาสื่อให้คนรุ่นเดียวกับตนได้อย่างน่าสนใจ  หวังว่าผู้อ่านจะเกิดฉันทะในธรรมเช่นเดียวกับคุณปิยาด้วย

พระไพศาล วิสาโล
๕ มีนาคม ๒๕๕๕


Jun 4, 2018

สาเหตุ ปัจจัย และอาการของโรคอ้วนคืออะไร?


ที่มา http://amprohealth.com/obesity/what-is-overweight-obesity/



สังคมในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงจากในอดีตหลายอย่าง วิวัฒนาการและเทคโนโลยีต่างๆ ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับมนุษย์มากขึ้น แต่ความสบายที่ว่านี้ ก็สร้างผลเสียในอีกมุมหนึ่งคือ มนุษย์จะลดการเคลื่อนไหวร่างกายและ ใช้พลังงานในแต่ละวันน้อยลง เช่น จากเดินขึ้นบันใด ก็ใช้ลิฟต์แทนหรือ จากการเดินหรือขี่จักรยานไปสถานที่ต่างๆ ก็จะไปใช้มอเตอร์ไซด์หรือรถยนต์แทน เป็นต้น รวมกับการทานอาหารที่มากไปด้วย แป้ง น้ำตาลและไขมัน การขาดการออกกำลังกาย สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นปัจจัยทำให้เกิดเป็นโรคอ้วนได้นั้นเอง

โรคอ้วนคืออะไร?
โรคอ้วน หมายถึง ภาวะที่ร่างกายมีปริมาณไขมันมากเกินกว่าปกติ มีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน ซึ่งสามารถอธิบายการเกิดภาวะนี้ได้ง่ายๆคือ การที่ร่างกายได้รับพลังงานจากการกินอาหารเข้าไปมากกว่าพลังงานที่ได้ใช้ออกมาในแต่ละวัน ทำให้พลังงานส่วนที่เหลือถูกเก็บสะสมไว้ในรูปแบบของไขมัน เมื่อมีปริมาณมากๆก็จะกลายเป็นโรคอ้วนได้นั้นเอง

ผู้ที่เป็นโรคอ้วนนั้น มักจะมีอาการแทรกซ้อนของโรคอื่นที่จะสามารถพบได้บ่อยๆ เข้ามาด้วย เช่น โรคความดัน โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคกระดูกและข้อเสื่อม โรคนอนกรนและหยุดหายใจขณะหลับ

ผู้ที่เป็นโรคอ้วนนั้นมีความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ และอื่นๆอีกมามาย เนื่องจาก โรคอ้วนไปทำให้ ระบบเผาผลาญของร่างกาย (ระบบเมตาโบลิซึม) และระบบฮอร์โมนต่างๆในร่างกายทำงานรวนหรือ ผิดเพี้ยนไปจากเดินนั้นเอง

นอกจากนี้ยังมีอาการแทรกซ้อนอื่นๆ ที่เกิดจากการเป็นโรคอ้วน ทำให้ความสุขในชีวิตลดลง เช่น การหายใจที่ลำบาก ปัญหาเกี่ยวกับผิวหนังและทำให้มีบุตรยากอีกด้วยปัญหาโรคอ้วน นับวันจะค่อยๆร้ายแรงขึ้น กลายเป็นปัญหาหนึ่งที่คนทั่วโลกให้ความสนใจ และเริ่มระบาดไปในเด็กและวัยรุ่น โดยเฉพาะประเทศที่กำลังพัฒนา โรคอ้วนกำลังระบาดอย่างหนักมาก โดยตั้งแต่ปี ค.ศ.1980 เป็นต้นมา พบผู้ป่วยเป็นโรคอ้วนเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่ามาโดยตลอดในทั่วโลก  หากดูข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก  มีสถิตที่น่าสนใจคือ ในปี ค.ศ. 2014 มีผู้ป่วยเป็นโรคอ้วนมากถึง 600 ล้านคน และในจำนวนนี้เป็นเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี ถึง 42 ล้านคนเลยทีเดียว ซึ่งเป็นข้อมูลและสถิติที่น่าตกไม่น้อยเลย



สาเหตุของการเกิดโรคอ้วน
สำหรับสาเหตุของการเกิดโรคอ้วนนั้น สามารถแบ่งออกเป็นปัจจัยหลักๆ ได้ 2 ข้อ ดังต่อไปนี้

1. ปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้
1.1 กรรมพันธุ์ ปัจจัยทางกรรมพันธุ์มีผลต่อการเกิดโรคอ้วนมากถึง 50 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว หากครอบครัวใดที่พ่อแม่เป็นโรคอ้วน ลูกที่ออกมามีโอกาสจะเป็นโรคอ้วนมากถึง 80 เปอร์เซ็นต์ แต่หากมีพ่อหรือแม่แค่คนใดคนหนึ่งเป็นโรคอ้วน โอกาสที่ลูกจะเป็นโรคอ้วนจะลดลงมาเหลือ 40 เปอร์เซ็นต์ และสำหรับครอบครัวที่พ่อและแม่ไม่ได้เป็นโรคอ้วน ลูกที่ออกมาจะมีโอกาสเป็นโรคอ้วนแค่ 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการดูแลตนเองและการควบคุมอาหารด้วย ที่สามารถลดปัจจัยด้านกรรมพันธุ์นี้ได้

1.2 เพศ โดยปกติแล้วโอกาสที่เพศหญิงจะเป็นโรคอ้วนมีสูงกว่าผู้ชายเนื่องจากในผู้ชายมีกล้ามเนื้อมากกว่าผู้หญิง จึงใช้พลังงานในแต่ละวันมากกว่าผู้หญิง และจากข้อมูลจะพบว่าผู้หญิงมีนิสัยชอบกินจุกกินจิกมากกว่าผู้ชายด้วยเลยทำให้อ้วนได้ง่ายกว่าผู้ชายนั้นเอง

1.3 อายุ ด้วยอายุที่มากขึ้นในทุกๆปี ทำให้ปริมาณของกล้ามเนื้อในร่างกาย และการทำกิจกรรมต่างๆในแต่ละวันจะน้อยลงกว่าวัยหนุ่มสาว การใช้พลังงานน้อยลงทำให้ร่างกายเผาผลาญพลังน้อยลดตามไปด้วย และสำหรับผู้หญิงในวัยหมดประจำเดือนแล้วมวลกล้ามเนื้อจะลดลง 1 เปอร์เซ็นต์ของทุกๆปี เพราะฉะนั้นพลังงานจากอาหารที่กินเข้าไปจึงไปสะสมในรูปของไขมันได้ง่ายขึ้น เลยเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดความอ้วนได้นั้นเอง
1.4 อัตราการเผาผลาญพลังงาน (Metabolic Rate) ร่างกายของคนแต่ละคน จะมีอัตราการเผาผลาญพลังงานไม่เท่ากัน หากคนใดที่มีอัตราการเผาผลาญพลังงานที่ต่ำก็จะทำให้อ้วนได้ง่าย กว่าผู้ที่มีอัตราการเผาผลาญพลังงานที่สูงนั้นเอง มีข้อมูลการวิจัยพบว่า ยีนมีอิทธิพลต่อการควบคุมอัตราการเผาผลาญพลังงานขั้นพื้นฐาน และพลังงานที่ใช้ในการเผาผลาญอาหารด้วย

1.5 สรีรวิทยาของร่างกายส่วนประกอบของร่างกาย เช่น กล้ามเนื้อ ไขมัน แลฮอร์โมนจะเปลี่ยนแปลงไปตามอายุ เมื่อเราเคลื่อนไหวได้ช้าลง กล้ามเนื้อจะลดลง ไขมันจะเพิ่มขึ้นมาแทนที่ปริมาณของไขมันที่สะสมในร่างกายในแต่ละวัยก็จะแตกต่างกันไป  เมื่อเข้าสู่วัยกลางคนมีอายุมากขึ้น ร่างกายมีการใช้พลังงานลดลงก็จะทำให้อาหารที่ทานเข้าไปและใช้พลังงานไม่หมด ถูกเปลี่ยนและไปสะสมไว้ในรูปของไขมันจนทำให้อ้วนขึ้นนั้นเอง



2. ปัจจัยที่ควบคุมได้
2.1 กิจวัตรประจำวัน ในแต่ละวันเรามีกิจวัตรประจำวันต่างๆที่ต้องทำมากมาย สิ่งเหล่านี้เป็นการใช้พลังงานจากการทานอาหารเข้าไป หากไม่มีการออกกำลังกาย หรือมีการใช้เครื่องทุ่นแรงเพื่ออำนวยความสะดวกสบายพร้อมทั้งกิจกรรมที่ทำในแต่ละวันมีการขยับเขยื้อนร่างกายที่น้อย เช่น งานที่นั่งทำอยู่แต่บนโต๊ะ ก็จะทำให้เป็นสาเหตุของการเกิดความอ้วนได้ง่ายดังนั้นจึงควรออกกำลังกายเป็นประจำ หรือหากิจกรรมที่ช่วยให้เกิดการเคลื่อนไหวของร่างกายเพื่อช่วยลดพลังงานส่วนเกินไม่ให้ไปเป็นไขมันสะสม
2.2 กินอาหารไขมันสูงและกินเกินความต้องการของร่างกาย อาหารที่นิยมทานกันในปัจจุบัน เช่น อาหารฟาสต์ฟู้ด หรือ อาหารสำเร็จรูปต่างๆ ที่สามารถหาทานได้ง่ายและรวดเร็วนั้น โดยส่วนมากจะมีส่วนประกอบของแป้งและไขมันในปริมาณสูงทำให้เกิดเป็นโรคอ้วนได้ง่าย ดังนั้นจึงควรทานอาหารที่ดีและมีประโยชน์แทนการทานอาหารฟาสต์ฟู้ดจะดีที่สุด

2.3 การเลี้ยงดู ครอบครัวใดที่นิยมทานอาหารที่มีความเสี่ยงในการเกิดโรคอ้วนโดยให้ทานแต่ในสิ่งที่ชอบแบบตามใจ โดยไม่นึกถึงหลักโภชนาการที่จะได้รับเข้าไปก็อาจจะทำให้เกิดการเป็นโรคอ้วนได้ง่าย โดยเฉพาะในเด็ก ควรมีการเลี้ยงดู ให้ทานอาหารที่มีประโยชน์ มีสารอาหารครบ 5 หมู่ และไม่ตามใจเด็กจนมากเกินไป

2.4 จิตใจและอารมณ์ หลายคนใช้การกินตอบสนองอารมณ์ด้านต่างๆที่เกิดขึ้น เช่น เสียใจก็กิน ดีใจก็กิน บางคนใช้วิธีการกินอาหารแก้อาการโรคซึมเศร้าซึ่งไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง กรณีแบบนี้อาจจะต้องใช้วิธีการทางจิตเวช เข้ามาช่วยบำบัดด้วย

2.5 ความเครียดหากมีความเครียดเกิดขึ้น ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนที่ชื่อว่า คอร์ติซอล ออกมาซึ่งจะมีผลไปทำให้ไขมันจะถูกเก็บสะสมไว้มากขึ้นกว่าปกติ โดยเฉพาะในส่วนพุงหน้าท้อง สำหรับผู้หญิงจะมีความอยากอาหารมากขึ้นเมื่อเกิดภาวะความเครียด ดังนั้นความเครียดจึงเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการสะสมของไขมันเพิ่มในร่างกาย
2.6 นอนน้อย หรือนอนไม่พอ ผลทางการวิจัยพบว่าการนอนน้อยทำให้ระดับฮอร์โมนที่ควบคุมความอยากอาหารทำงานแปรปรวน ทำให้เกิดความอยากในการกินอาหารเพิ่มขึ้นจากปกติเช่น ผู้หญิงที่นอนเพียงวันละ 5 – 6 ชั่วโมงจะอ้วนได้ง่ายกว่าผู้หญิงที่นอนวันละ 7 ชั่วโมง ขึ้นไป และการนอนไม่เพียงพอ ยังจะมีผลกระทบต่ออัตราการเผาผลาญพลังงาน และลดระดับการใช้พลังงานในร่างกายลงอีกด้วย

2.7 นอนดึก หรือผู้มีอาชีพทำงานตอนกลางคืน เวลาในการนอนพักผ่อนเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญในการทำให้เกิดโรคอ้วนได้ แม้จะนอนได้ถึง 8 ชั่วโมงก็ตาม เนื่องจาก มีผลการวิจัยออกมาว่า การนอนที่ผิดเวลาจากปกติ หรือ มีคุณภาพการนอนที่ไม่ดี จะไปลดความไวของฮอร์โมนอินซูลินลงซึ่งนำไปสู่โรคเบาหวานชนิดที่ 2 และโรคอ้วนได้รวมทั้งทำให้มวลกล้ามเนื้อลดลง  มีไขมันในร่างกายและไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง มากกว่าผู้ที่นอนแต่หัวค่ำปกติผู้นอนดึกส่วนมากมักจะขาดการออกกำลังกาย กินอาหารดึกๆ มีการสูบบุหรี่ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดความอ้วนและโรคเบาหวานนั้นเอง

หากนอนไม่พอจะเกิดอะไรขึ้น
การนอนไม่เพียงพอ นอกจากจะทำให้เสียสุขภาพ รู้สึกง่วง ทำให้นาฬิกาชีวิตเสียสมดุล หรือมีอาการอ่อนเพลียแล้ว ยังมีข้อเสียอีกมากมายเช่น

– ทำให้ระดับฮอร์โมนที่ทำงานร่วมกับระบบเผาผลาญ การควบคุมความอยากอาหาร การตอบสมองต่อความเครียด เปลี่ยนแปลงไปจากปกติ

– มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และโรคอ้วน

– เพิ่มความเสี่ยงสะสมของแคลเซียมในหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งมีแนวโน้มทำให้เกิด โรคหัวใจวายในอนาคตได้

– มีความเสี่ยงการเกิดภาวะหยุดหายใจขณะหลับ

– เพิ่มความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจ สโตรกความดันโลหิตสูง และหัวใจเต้นผิดปกติ

– ทำให้ภูมิคุ้มกันลดลงและอาจทำให้ติดเชื้อหวัดได้ง่ายขึ้น

– อาจทำให้มีความเสี่ยงที่จะอายุสั้นลง มากถึง 15 เปอร์เซ็นต์



ควรนอนหลับพักผ่อนให้มากเพียงพอและอยู่ในช่วงเวลาที่เหมาะสม ควรนอนให้ได้คืนละ 8 ชั่วโมง



และสำหรับคนที่นอนดึกเป็นประจำแล้วไปชดเชยโดยการตื่นสายให้มากขึ้น ไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้อง ควรค่อยๆปรับเวลาการนอนให้เร็วขึ้น โดยมีเป้าหมายในการเข้านอนไม่ควรเกิน 22.00 น. เพราะโกร๊ธฮอร์โมนซึ่งทำหน้าที่ซ่อมแซมร่างกายจะเริ่มหลั่งมากเวลา 22.00 น. และหลั่งสูงสุดประมาณ 24.00 น. เมื่อตื่นขึ้นจะรู้สึกว่ามีความสดชื่น แจ่มใส มีเรี่ยวแรงในการเริ่มกิจวัตรประจำวัน ทำให้สุขภาพโดยรวมเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นนั้นเอง

เหตุผลที่ต้องลดความอ้วน
เนื่องจากผู้ที่เป็นโรคอ้วน มักจะมีโอกาสเจ็บป่วยด้วยโรคร้ายแรงต่างๆ  มากมายดังนี้
1. โรคหัวใจและโรคหลอดเลือดตีบ โดยส่วนมากคนอ้วนจะมีโอกาสเป็นโรคความดันโลหิต หรือโรคไขมันในเลือดสูง มากกว่าคนปกติ โดยโรคเหล่านี้ก็จะไปเป็นปัจจัยเสี่ยงของ โรคหัวใจและ โรคหลอดเลือดอุดตันได้ทางป้องกันก็คือต้องลดน้ำหนักลงอย่างน้อยให้ได้ 10 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัวปัจจุบัน ก็จะสามารถช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันโรคดังกล่าวได้

2. โรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่เกิดจากการดื้อต่อฮอร์โมนอินซูลิน โรคยอดฮิตอีกโรคสำหรับคนอ้วนก็คือ โรคเบาหวานนั้นเองโรคเบาหวานชนิดนี้เกิดจาก ภาวะที่ตับอ่อนยังสามารถสร้างอินซูลินได้ปกติ แต่อินซูลินทำงานได้ไม่เต็มร้อยทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงมากขึ้น โดยอาจจะมีโรคร้ายแรงอื่นๆตามมาได้ เช่น  โรคหัวใจ หลอดเลือดตีบเป็นต้น  ซึ่งการควบคุมน้ำหนักและหมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมอ สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานได้ถึง 58 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียวนอกจากนี้ยังช่วยลดความเสี่ยงโรคแทรกซ้อนที่มากับโรคเบาหวานได้ด้วย เช่น เบาหวานขึ้นตา เบาหวานลงไต และเบาหวานลงเท้า จากปลายประสาทเสื่อม

3. โรคมะเร็ง โดยผู้ชายที่อ้วนจะมีความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งสำไส้ใหญ่และต่อมลูกหมากส่วนผู้หญิงที่อ้วนก็จะมีความเสี่ยงการเป็นโรคมะเร็งปากมดลูก ถุงน้ำดี รังไข่ เต้านม และลำไส้ใหญ่

4. โรคหยุดหายใจขณะหลับ ผู้ที่เป็นโรคอ้วนมักจะมีปัญหาเรื่องการหยุดหายใจชั่วคราวขณะนอนหลับ มีอาการนอนกรน ซึ่งมีผลกระบทตามมาคือ ทำให้ง่วงนอนในเวลากลางวัน ประสิทธิภาพในการทำงานก็จะลดลงตามไปด้วย

5. โรคไขข้อเสื่อม คนอ้วนจะมีน้ำหนักตัวที่มากพร้อมกับขนาดร่างกายที่ใหญ่กว่าปกติ ทำให้มีแรงกดทับให้กับส่วนล่างของร่างกาย เช่น ข้อต่อหัวเข่า สะโพก ขาและเท้าต้องรองรับน้ำหนักมากขึ้น ทำให้กระดูกอ่อนของข้อต่อเหล่านั้นเสื่อมเร็ว  จึงมักมีอาการปวดข้อปวดเข่ามาก บ่อยๆ

6. โรคเกาต์ โรคนี้ก็จะพบได้บ่อยๆสำหรับคนที่เป็นโรคอ้วน โรคเกาต์ เกิดจากการที่กรดยูริกสะสมตามข้อต่อปริมาณมาก ส่งผลให้ปวดตามข้อต่างๆ ของร่างกาย

7. โรคนิ่วในถุงน้ำดี การลดน้ำหนักสำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคอ้วนเป็นสิ่งที่ดี แต่ควรทำอย่างเหมาะสมเนื่องจาก การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วในระยะเวลาสั้นๆ อาจจะก่อให้เกิดโรคนี้นิ่วในถุงน้ำดี ได้ ดังนั้นการลดน้ำหนักอย่างช้าๆและเหมาะสม เช่น สัปดาห์ละครึ่งกิโลกรัม จะเป็นวิธีที่ดีที่สุด

แม้โรคอ้วนจะไม่ได้เป็นโรคที่มีความร้ายแรงมากมาย แต่หากมองถึงโรคแทรกซ้อนต่างๆที่จะเกิดขึ้นตามมา ก็นับว่ามีความน่ากลัวไม่น้อยเลยทีเดียว หากตัวเราเองนั้นไม่อยากเผชิญกับโรคหรือภาวะแทรกซ้อนต่างๆเหล่านี้ ก็ควรจะรู้จักวิธีในการป้องกันโรคอ้วน ซึ่งวิธีป้องกันโรคอ้วนที่ดีที่สุดและสามารถทำได้ง่ายๆด้วยตนเองก็คือ การทานอาหารที่มีประโยชน์ในปริมาณที่เหมาะสม พร้อมกับการออกกำลังกายเป็นประจำ ก็จะเป็นสิ่งที่ช่วยให้หลีกเลี่ยงและลดปัจจัยเสี่ยงในการเป็นโรคอ้วนได้นั้นเอง

เอกสารอ้างอิง

Body mass index. http://en.wikipedia.org/wiki/Body_mass_index [2014,March6].

Jitnarin, N.et al. (2009). Risk factors for overweight and obesity among Thai adults:

results of the National Thai Food Consumption Survey. Nutrients. 2, 60-74.

ดัชนีมวลกาย http://th.wikipedia.org/wiki/ดัชนีมวลกาย