Sep 11, 2011
Sep 7, 2011
ระบบการศึกษา...ระบบควบคุมหรือระบบส่งเสริมความงอกงาม
วันที่ 07 กันยายน พ.ศ. 2554
ศ.นพ.ประเวศ วะสี
เหตุเกิดที่วิทยาลัยดุริยางคศิลป์มหาวิทยาลัยมหิดลที่
ดร.สุกรี เจริญสุข คณบดีประท้วง
ด้วยการยื่นใบลาออกและนักศึกษาไปประท้วงที่หน้า
สำนักงานคณะ กรรมการอุดมศึกษา
(สกอ.)
ด้วยการบรรเลงดนตรีที่มีคนเรียกว่าการประท้วงที่ไพเราะที่สุด
ความข้ดแย้งระหว่างวิทยาลัยดุริยางคศิลป์กับ สกอ.
เป็นเรื่องการรับรองหลักสูตรวิทยาลัย
ต้องการให้เรียกปริญญาของหลักสูตรว่า ดุริยางคศาสตร์บัณฑิต
แต่ สกอ.ไม่อนุมัติ การไม่ผ่านการอนุมัติของ สกอ.
มีผลลามไปถึงการรับรองหลักสูตรโดย กพ.
มีผลทำให้บัณฑิตที่จบตามหลักสูตรนี้ไม่สามารถบรรจุเข้ารับราชการโดยได้รับ
เงินเดือนตามอัตราที่ควรจะได้ ถ้าเรียกปริญญานี้ว่าดุริยางคศาสตร์บัณฑิต
วิทยาลัยคิดว่าวิทยาลัยรู้ดีกว่า สกอ. และคิดว่า สกอ. ใช้อำนาจโดยไม่รู้
การศึกษากับระบบที่ใช้กับการศึกษาเป็นเรื่องที่ขัดแย้งกัน
และเป็นต้นเหตุของความอ่อนแอของการศึกษาไทยที่แก้เท่าไรๆก็แก้ไม่ตก
เพราะไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุ
การศึกษาเป็นระบบของความงอกงามอย่างหลากหลาย
แต่ระบบราชการเป็นระบบของการควบคุม
เมื่อเอาระบบการควบคุมมาใช้กับการศึกษาความงอกงามก็ไม่บังเกิดสมกับที่เป็นการศึกษา
การศึกษานั้นควรจะเป็นการกระตุ้นสมองส่วน หน้า แต่การควบคุมนั้น
กระตุ้นสมองส่วนหลัง สมองส่วนหลังนั้นเป็นสมองสัตว์เลื่อยคลาน (Reptilian brain)
มีหน้าที่เกี่ยวกับความอยู่รอด เช่น การกิน การสืบพันธุ์ การต่อสู้ การหลบภัย การทำร้ายสัตว์อื่น
หรือคนอื่น สมองส่วนหน้า (Neo-cortex)
เป็นสมองมนุษย์ทำหน้าที่เกี่ยวกับสติปัญญาขั้นสูง จินตนาการ วิจารณญาน ศีลธรรม
ถ้าผู้เรียนรู้มีอิสระที่จะจินตนาการ ที่จะเลือกเรียนรู้อย่างหลากหลายได้ทดลองของใหม่ๆ
จะกระตุ้นสมองส่วนหน้าให้ เจริญ มีสติปัญญาสูง มีวิจารณญาน มีความเห็นใจเพื่อนมนุษย์ (Empathy)
มีจิตใจเพื่อเพื่อนมนุษย์ (Altruism) มีศีลธรรม
การถูกควบคุมจะไปกระตุ้นสมองส่วนหลังซึ่งเป็นสมองสัตว์เลื่อยคลานทำให้
ขาดจินตนาการ (ตะกวดไม่มีจินตนาการ) ขาดสติปัญญา ขาดวิจารณญาน
ขาดศีลธรรม มีความหยาบและการทำร้ายกันสูง
การที่คนไทยเป็นอย่างนี้ๆก็เพราะเราอยู่ในระบบอำนาจแบบ top down ทุกแห่งหน
พ่อแม่ก็ top down กับลูก ครูก็ top down กับนักเรียน
เจ้านายก็ top down กับลูกน้อง ระบบการศึกษาก็ใช้ระบบราชกา
ซึ่งเป็นระบบควบคุมมากกว่าระบบส่งเสริมความงอก งาม
จึงไม่แปลกที่สังคมไทยเป็นสังคมที่ใช้สมองส่วนหลังมากเกิน และใช้สมองส่วนหน้าน้อยเกิน
การต่อสู้ทางการเมืองเป็นตัวอย่างของการใช้สมองส่วนหลัง
ในการใช้สมองส่วนหลังนั้นจะไม่คำนึงถึงความจริงและศีลธรรม แต่มุ่งเอาชนะอย่างเดียว
การต่อสู้กันโดยไม่ใช้ความจริงและศีลธรรม
ทำให้สังคมแบนราบขาดความสูงส่งทางคุณค่าหรือจิตวิญญาน
สังคมที่ขาดคุณค่าของความดีงามเป็นสังคมที่น่ากลัวยิ่งนัก
เนื่องจากระบบการศึกษาไทยเป็นระบบการควบคุม กระทรวงศึกษาธิการจึงหนักอึ้งรกรุงรังไปด้วย
เครื่องมือในการควบคุม การกำหนดมาตรฐานต่างๆก็คือการควบคุมให้เป็นไป
ตามมาตรฐานที่กระทรวงกำหนด การกำหนดชื่อปริญญา
กำหนดอัตราเงินเดือน กำหนดตัวชี้วัด ล้วนเป็นการควบคุมให้เป็นไปตามมาตรฐาน
การควบคุมทำให้เกิดความบีบคั้น ความขัดแย้ง และความไม่งอกงามอย่างหลากหลาย
มนุษย์นั้นไม่มีใครสองคนในโลกที่เหมือนกันแม้แต่ฝาแฝดไข่ใบเดียวกัน
ควรจะมีโอกาสงอกงามหลากหลายแตกต่างกัน
การพัฒนามนุษย์ไม่ใช่การหล่อหลอมให้ออกจากเบ้าเดียวกันเหมือนการปั๊มขวดปั๊ม
กระป๋องออกมาจากโรงงาน
การศึกษาไม่ใช่การหล่อหลอมให้เหมือนกันแต่เป็นการส่งเสริมความงอกงามอย่างหลากหลาย
จึงไม่ควรมีมาตรฐานเดียวหรือตัวชี้วัดเดียวที่ใช้ทั่วไปหมด ซึ่งจะไปทำลายความงอกงามอย่างหลากหลาย
ถ้าระบบการศึกษาจะเป็นระบบการส่งเสริมความงอกงามแล้วไซร้จะเบาสบาย สวยสดงดงาม
สร้างสรรค์ และประหยัดกว่าปัจจุบันนี้มาก กล่าวคือ ส่งเสริมให้บุคคล กลุ่มบุคคล ชุมชน องค์กรต่างๆ
มีอิสระในการจัดการการเรียนรู้อย่างหลากหลาย ตามความต้องการของบุคคล ชุมชน ท้องถิ่น
และองค์กรต่างๆ จะเกิดจินตนาการใหม่ๆ ความริเริ่มใหม่ๆ ความสร้างสรรค์ใหม่ๆ อย่างหลากหลาย
มีความยืดหยุ่นไปตามสถานการณ์ต่างๆ จะเกิดนวัตกรรมการเรียนรู้เต็มแผ่นดิน
ความหลากหลายของจินตนาการและนวัตกรรมการเรียนรู้
เป็นความงามที่ก่อให้เกิดความปิติสุขแก่ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย
ในระบบการศึกษาที่ส่งเสริมความงอกงามอย่างหลากหลาย กระทรวงศึกษาธิการไม่เหมือนเดิม
น้ำหนักจะไปอยู่ที่ครูมากกว่าผู้บริหาร(ควบคุม) การศึกษา ครูที่ส่งเสริมการเรียนรู้และร่วมเรียนรู้จะกลายเป็นครูที่เก่ง
ครูที่ใช้อำนาจจะเป็นครูที่ไม่เก่ง เราก็ได้แต่ร้องว่าครูไม่เก่งๆ
โดยไม่เปลี่ยนระบบอำนาจ กระทรวงศึกษาธิการจะมีขนาดเล็กลง
เหมือนในประเทศที่เจริญทั้งหลาย และปรับบทบาทจากผู้ควบคุม
กลายเป็นผู้สนับสนุนเชิงนโยบายและเชิงวิชาการ
การที่จะสนับสนุนทางนโยบายและทางวิชาการได้ ตัวเองจะต้องเก่ง
ถ้ามีอำนาจและใช้อำนาจตัวเอง
ก็ไม่ต้องเก่งและจะไม่เก่ง กระทรวงศึกษาธิการในรูปใหม่จะไปติดตาม
ชื่นชมความงอกงามอย่างหลากหลาย
ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ต่อยอดให้งดงามและดียิ่งๆขึ้นไป
คนทั้งประเทศจะถูกปลดปล่อยไปเป็นอิสระและพัฒนา
อย่างหลากหลายเต็มตามศักยภาพ
ของความเป็นมนุษย์ ประเทศไทยจะเข้มแข็งขึ้น
ในท้ายที่สุดผมขออาราธนาอาจารย์สุกรี เจริญสุข อย่าไปโกรธใครเลย
ไม่ว่าจะเป็นหมอวิจารณ์หรือใครอื่น
เพราะในระบบการควบคุมทุกคนล้วนตกอยู่ภายใต้ความบีบคั้น
ขอให้อาจารย์สุกรีและคณะจงบรรเลงเพลงปฏิรูประบบการศึกษาไทยให้กระหึ่มไปทั้ง ประเทศ
ประเทศไทยพยายามปฏิรูปการศึกษามาด้วยวิธีต่างๆมากแล้วแต่ไม่สำเร็จ
การใช้ดนตรีปฏิรูปอาจสำเร็จ เพราะเมื่อผู้คนได้ฟังดนตรีแล้วจะมีความสุข
เมื่อมีความสุขแล้วสมองจะดี เรียนรู้เรื่องที่ซับซ้อนได้ดีขึ้น
ถึงเวลาประเทศไทยจะต้องเข้าเกียร์ใหม่ เปลี่ยนจากเกียร์ใช้สมองส่วนหลัง
ไปใช้เกียร์สมองส่วนหน้าหรือสมองแห่งความเป็นมนุษย์ซึ่ง
ทำให้เกิดจินตนาการ สติปัญญาที่ลึกซึ้ง มีวิจารณญาน มีสุนทรียธรรม และมีศีลธรรม
ด้วยการปรับระบบการศึกษา จากระบบการควบคุม
ไปเป็นระบบส่งเสริมความงอกงามอย่างหลากหลาย.
Sep 6, 2011
ดุสิต นนทะนาคร
ประวัติบุคคลสำคัญ
ชื่อ-สกุล ดุสิต นนทะนาคร
ครอบครัว สมรสกับนางนิรมล นามสกุลเดิมของคู่สมรส หงสไกรมีบุตรสาว 2 คน คือ
นางนีลัญชนา นนทะนาคร และนางสาวรวิสุดา นนทะนาคร
การศึกษา
- ปริญญาโท สาขาบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแองเจลิส (ยูซีแอลเอ) สหรัฐอเมริกา
(นักเรียนทุนจากบริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน)
- ปริญญาโท วิศวกรรมศาสตร์ สาขาโครงสร้าง มหาวิทยาลัยแห่งรัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา
- ปริญญาตรีวิศวกรรมศาสตร์โยธา มหาวิทยาลัยยังสทาวน์ รัฐโอไฮโอ
- ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย
การทำงาน/ตำแหน่งหน้าที่
1 กรกฎาคม 2548 กรรมการบริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน)
ตำแหน่งอื่นๆ
26 มีนาคม 2552 ประธานสภาหอการค้าไทย คนที่ 21
10 มีนาคม 2552 กรรมการสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง
(กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านการบริหารจัดการ)
18 ธันวาคม 2550 กรรมการการรถไฟแห่งประเทศไทย
9 ตุลาคม 2550 กรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย
(ด้านบริหารธุรกิจ)
26 ธันวาคม 2549 กรรมการธนาคารออมสิน
7 พฤศจิกายน 2549 กรรมการการรถไฟแห่งประเทศไทย
20 ธันวาคม 2548 กรรมการสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง
27 สิงหาคม 2545 กรรมการมาตรฐานสินค้า
นายดุสิต นนทะนาคร ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย
และประธานหอการค้าไทย คนที่ 21 มีอายุ 64 ปี ได้เสียชีวิตลงแล้วอย่างสงบ
ที่โรงพยาบาลกรุงเทพ เมื่อเวลา 20.00 น.ของวันที่ 6 กันยายน 2554
หลังเข้ารับการรักษาอาการป่วยด้วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือ ลูคีเมีย มาได้ระยะหนึ่งแล้ว
นายดุสิต นนทะนาคร ได้เป็นผู้นำกลุ่มนักธุรกิจประกาศเจตนารมณ์ในการต่อต้านการคอรัปชั่น
ในช่วงรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กระทั่ง 21 องค์กรเอกชนได้ประกาศเข้าร่วมเจตนารมณ์ดังกล่าว
จนกลายเป็นเรื่องฮือฮาไปทั้งประเทศ
ชื่อ-สกุล ดุสิต นนทะนาคร
ครอบครัว สมรสกับนางนิรมล นามสกุลเดิมของคู่สมรส หงสไกรมีบุตรสาว 2 คน คือ
นางนีลัญชนา นนทะนาคร และนางสาวรวิสุดา นนทะนาคร
การศึกษา
- ปริญญาโท สาขาบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแองเจลิส (ยูซีแอลเอ) สหรัฐอเมริกา
(นักเรียนทุนจากบริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน)
- ปริญญาโท วิศวกรรมศาสตร์ สาขาโครงสร้าง มหาวิทยาลัยแห่งรัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา
- ปริญญาตรีวิศวกรรมศาสตร์โยธา มหาวิทยาลัยยังสทาวน์ รัฐโอไฮโอ
- ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย
การทำงาน/ตำแหน่งหน้าที่
1 กรกฎาคม 2548 กรรมการบริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน)
ตำแหน่งอื่นๆ
26 มีนาคม 2552 ประธานสภาหอการค้าไทย คนที่ 21
10 มีนาคม 2552 กรรมการสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง
(กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านการบริหารจัดการ)
18 ธันวาคม 2550 กรรมการการรถไฟแห่งประเทศไทย
9 ตุลาคม 2550 กรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย
(ด้านบริหารธุรกิจ)
26 ธันวาคม 2549 กรรมการธนาคารออมสิน
7 พฤศจิกายน 2549 กรรมการการรถไฟแห่งประเทศไทย
20 ธันวาคม 2548 กรรมการสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง
27 สิงหาคม 2545 กรรมการมาตรฐานสินค้า
นายดุสิต นนทะนาคร ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย
และประธานหอการค้าไทย คนที่ 21 มีอายุ 64 ปี ได้เสียชีวิตลงแล้วอย่างสงบ
ที่โรงพยาบาลกรุงเทพ เมื่อเวลา 20.00 น.ของวันที่ 6 กันยายน 2554
หลังเข้ารับการรักษาอาการป่วยด้วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือ ลูคีเมีย มาได้ระยะหนึ่งแล้ว
นายดุสิต นนทะนาคร ได้เป็นผู้นำกลุ่มนักธุรกิจประกาศเจตนารมณ์ในการต่อต้านการคอรัปชั่น
ในช่วงรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กระทั่ง 21 องค์กรเอกชนได้ประกาศเข้าร่วมเจตนารมณ์ดังกล่าว
จนกลายเป็นเรื่องฮือฮาไปทั้งประเทศ