Custom Search

Jun 11, 2025

Jun 10, 2025

พล.อ.สุจินดา คราประยูร นายกรัฐมนตรี คนที่ 19 ถึงแก่อสัญกรรม สิริอายุ 91 ปี

  สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว


วันที่ 10 มิถุนายน 2568 มีรายงานว่า พล.อ. สุจินดา คราประยูร อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 19
อดีตผู้บัญชาการทหารบก ถึงแก่อสัญกรรม ในวัย 91 ปี
พลเอก สุจินดา คราประยูร อดีตนายกรัฐมนตรีไทยคนที่ 19 ได้ถึงแก่อสัญกรรมอย่างสงบด้วยโรคชรา
เมื่อเวลา 01:57 น. ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎฯ สิริอายุ 91 ปี 10 เดือน 4 วัน
พล.อ. สุจินดา คราประยูร เกิดเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2476 ท่านเป็นทั้งนายทหารและนักการเมือง
โดยเคยดำรงตำแหน่งสำคัญ อาทิ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม,
ผู้บัญชาการทหารบก และผู้บัญชาการทหารสูงสุด
รวมถึงเป็นหนึ่งในสมาชิกคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ที่ก่อรัฐประหารในปี พ.ศ. 2534
กำหนดการพิธีศพจะแจ้งให้ทราบต่อไป


“วันอานันทมหิดล” 9 มิถุนายนของทุกปี เป็นวันคล้ายวันสวรรคตของ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร รัชกาลที่ 8 แห่งราชวงศ์จักรี

 f         กรมการปกครอง fanpage

“วันอานันทมหิดล”

9 มิถุนายนของทุกปี เป็นวันคล้ายวันสวรรคตของ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร รัชกาลที่ 8 แห่งราชวงศ์จักรี

เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ของพระองค์ ผู้ทรงมีพระราชปณิธานแน่วแน่ในการพัฒนาวงการแพทย์และการศึกษาของประเทศไทย





Jun 8, 2025

"ทอม ครูซ" ( Tom Cruise ) คว้าสถิติ กินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ด ฉากโดดร่มสุดผาดโผนในภาพยนตร์เรื่อง Mission: Impossible – The Final Reckoning (2025)

f         สวพ.91 

วันที่ 7 มิถุนายน 2568 เวลา 15:00 น.

สื่อต่างประเทศเผย ทอม ครูซ นักแสดงนำจากภาพยนตร์ Mission: Impossible – The Final Reckoning คว้าสถิติโลกเป็นที่เรียบร้อย หลังเจ้าตัวทุ่มสุดตัวโดดเฮลิคอปเตอร์ถึง 6 ครั้ง พร้อมร่มชูชีพที่ติดไฟ ขณะถ่ายทำฉากสุดระห่ำ

7 มิถุนายน 2568 องค์กรกินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ด ระบุ "ทอม ครูซ" นักแสดงแอ็กชันชื่อดัง ได้รับสถิติโลกจากฉากการ "กระโดดร่มพร้อมไฟลุกจำนวนมากที่สุด" โดยบุคคลเพียงคนเดียวไม่มีนักแสดงแทน ซึ่งเป็นฉากระหว่างการถ่ายทำภาพยนตร์ Mission: Impossible – The Final Reckoning และนั่นก็ทำให้เขากลายเป็นเจ้าของฉากเสี่ยงตายที่ทั้งโลกต้องจดจำอีกครั้ง

สำหรับการกระโดดร่มทั้งหมด 16 ครั้ง ทอม ครูซ ต้องผูกติดกับร่มชูชีพที่ถูกแช่น้ำมันเชื้อเพลิง และจุดไฟเผาขณะอยู่กลางอากาศ ก่อนจะปลดตัวเองออกจากร่มที่กำลังลุกไหม้นั้น และกางร่มสำรองเพื่อร่อนลงอย่างปลอดภัย ไม่มีนักแสดงหรือสตันต์แมนคนใดที่กระโดดได้ใกล้เคียงกับจำนวนครั้งที่ท้าทายความตายมากขนาดนี้ของเค้า  "แม้ว่าจะมีความเสี่ยง แต่ทอมก็พร้อมที่จะเผชิญกับความท้าทายเสมอ ดาราคนนี้มีใบอนุญาตเป็นนักกระโดดร่มมาหลายปี และเขาได้กระโดดมาแล้วหลายร้อยครั้งเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการแสดงผาดโผนครั้งล่าสุดของเขา"

เครก เกลนเดย์ (Craig Glenday) บรรณาธิการผู้บริหารของกินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ด กล่าวในแถลงการณ์ว่า "ทอมไม่ได้แค่แสดงเป็นฮีโร่ในหนังแอ็กชันเพียงเท่านั้น เขาคือฮีโร่แอ็กชันของจริงต่างหาก  ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของเขา ส่วนหนึ่งมาจากความทุ่มเทอย่างเต็มที่ในความต้องการสร้างความสมจริง และการผลักขีดจำกัดของสิ่งที่นักแสดงนำชายสามารถทำได้  เป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่ทางเราได้มอบตำแหน่ง ‘กินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ด’ นี้ เพื่อยกย่องความกล้าหาญอย่างแท้จริงของเขา"

การคว้าสถิติโลกในครั้งนี้ ไม่เพียงเป็นการยืนยันถึงความทุ่มเท และความกล้าหาญของ ทอม ครูซ แต่ยังตอกย้ำว่าเขาคือนักแสดงที่ไม่ยอมให้ ข้อจำกัดของร่างกาย หรือ ความเสี่ยง มาหยุดยั้งการเล่าเรื่องอันยิ่งใหญ่บนจอภาพยนตร์ได้

ไม่ว่าจะเป็นการปีนตึกเบิร์จ คาลิฟา (Burj Khalifa) ที่ดูไบในภาคก่อน หรือกระโดดร่มเพลิงในภาคล่าสุด ทอม ครูซ ในวัย 62 ปี ยังคงท้าทายขีดจำกัดของตัวเองอย่างต่อเนื่อง และแฟนหนังทั่วโลกก็ตั้งตารอดูว่าเขาผู้นี้จะทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้อะไรอีกใน Mission: Impossible – The Final Reckoning

ทอม ครูซ ผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์มาแล้วถึง 3 ครั้ง เป็นที่รู้กันดีจากภาพลักษณ์พระเอกและการแสดงที่มากความสามารถ ด้วยบุคลิกที่บ้าบิ่นและเสน่ห์อันน่ากวน ทำให้ดาราผู้นี้สามารถครองใจผู้ชมจากทั่วโลก ภาพยนตร์ชุด Mission Impossible ประสบความสำเร็จอย่างสูง โดยตัวละคร "สายลับอีธาน ฮันท์ " ฉาก ปีนตึกระฟ้า ขี่มอเตอร์ไซค์ลงจากหน้าผา และแม้กระทั่งเกาะข้างเครื่องบินระหว่างบิน ล้วนสร้างภาพจำที่ยิ่งใหญ่ของเขา 

ที่มา : https://www.guinnessworldrecords.com/news/2025/6/hollywood-legend-tom-cruise-becomes-record-holder-for-his-fiery-mission-impossible-stunt

 
http://www.impawards.com


Jun 7, 2025

ปัจจุบัน คนเรามีอายุเฉลี่ยที่ 72 ปี

        เป็นกำลังใจ

ปัจจุบัน คนเรามีอายุเฉลี่ยที่ 72 ปี

ถ้าคุณอายุ 50 ปีไปแล้ว จะมีชีวิตได้อีก 22 ปี
ถ้าไม่ตายเพราะเหตุอื่นซะก่อนนะ
เวลาผ่านไปเร็วมาก จงอย่าประมาท
และเตรียมตัวให้พร้อม
1. รักษาสุขภาพให้แข็งแรง
เพราะชีวิตหลังเลข 5 คือขาลงแล้ว
สวยหล่อเป็นเรื่องรอง สตรองคือเรื่องหลัก
2. ทำงานและเก็บเงินให้ได้ หากตอนแก่ไม่มีเงิน
ถ้าป่วยแล้ว หนังเหนียว เป็นโรคเรื้อรัง จะตายก็ไม่ตาย
แล้วจะเอาเงินที่ไหนมารักษา
3. ปลดหนี้เก่า และไม่สร้างหนี้ใหม่
4. มีที่อยู่เป็นของตัวเอง
(ห้อง หรือบ้าน มีโลกส่วนตัว)
5. เรียนรู้เทคโนโลยี และรับรู้ข่าวสารใหม่ๆ เสมอ
จะทำให้เราไม่บื้อ รู้เท่าทันโลกในปัจจุบัน
6. พูดคุยกับลูกหลาน ฟังเขาด้วย ไม่ใช่ให้เขาฟังแต่เรื่องของเรา
ต้องแลกเปลี่ยนความคิดกันอยู่เสมอ
7. เพื่อนดี ไม่ต้องมีเยอะ เพื่อนเรื่องเยอะ ไม่ต้องมี
8. ฝึกคิดบวก เลิกอารมณ์ร้อน ปากร้าย ขาเม้าท์นินทา
อาจจะหมดวัยที่คนอื่นจะอภัยให้เราแล้ว
เพราะคุณจะไม่น่าเอ็นดูเหมือนตอนที่เป็นหนุ่มสาว
9. ยิ้มให้มาก โกรธให้น้อย หัวเราะให้มากๆ
10. อภัยให้กันในตอนที่ยังมีชีวิตอยู่
เพราะอีกไม่ช้า ก็ต้องแยกย้ายลาโลกกันไปแล้ว
ยังแข็งแรง จงรีบออกไปใช้ชีวิตซะ ไปหาเพื่อน ไปเที่ยว
เพราะประสบการณ์จะติดตัวติดตาคุณไปจนวันสุดท้าย
ใครก็ขโมยตัวตนของคุณไปไม่ได้

10 things about how to make “I’m ok // not ok” campaign

 f       Pete Creative


สำหรับคนที่เป็นนักโฆษณา และมาร์เก็ตเตอร์จะเข้าใจ
คำว่า Organic Viral สำหรับพวกเรา มันยากมากๆ
นอกจากพี่มาร์ค จะปิดกั้นการมองเห็นแล้ว
ความสนใจของคนดู ทุกวันนี้มันสั้นลง และสั้นลง
ตาม Media Platform ต่างๆ ที่ยิ่งลดความสั้นของคอนเทนท์ลงไปทุกที
แต่ใครจะไปเชื่อว่า เอ็มวีความยาว 6 นาที จะสามารถแย่งพื้นที่ Facebook Feed / X / IG
ที่กำลังพูดถึงข่าวประเทศเพื่อนบ้านเรา หรือหนังซีรี่ย์สุดเจ๋งอย่าง Mad Unicorn ไปได้
ขณะที่เขียนบทความบทนี้ยอดวิวของเอ็มวีตัวนี้ก็ปาไป 4 ล้านแบบ Organic
ผมชื่อพีท ทสร เป็นผู้กำกับเอ็มวี “I’m ok // not ok” ตัวนี้ครับ
จริงๆแล้วอาชีพของผมคือครีเอทีฟโฆษณา คนที่ติดตามเพจของพีทอยู่ก็จะรู้ว่า
เพจนี้วิเคราะห์งานโฆษณาทั้งในประเทศและนอกประเทศ
หลายครั้งพีทก็หยิบงานตัวเองมาเล่าให้ทุกคนฟัง หลายครั้งพีทก็แชร์ประสบการณ์การไปตัดสินงาน
ที่ต่างประเทศให้ทุกคนฟัง แต่วันนี้พีทอนุญาตเล่าวิธีคิดเอ็มวีตัวนี้ในแบบครีเอทีฟโฆษณา
คราฟด้วยวิธีผู้กำกับให้ทุกๆคนฟังนะครับ
และขอพูดถึง Effect ที่งานชิ้นนี้ทำให้เกิดปรากฏการณ์ให้ทุกคนฟังนะครับ
.
1. จุดเริ่มต้นของทั้งหมด
พี่บอยกลับมาทำอัลบั้ม BoydPod ในรอบ 16 ปี เลยอยากให้เราช่วยคิดคอนเซ็ปต์ให้เค้า
หลังจากช่วยโยนไอเดียไป ก็ทักไปเช็คพี่บอยเรื่อยๆว่ามีอะไรให้ช่วยไหม
จนเค้าบอกว่ามี 1 เอ็มวีที่ยังหาคนทำไม่ได้ คือเพลงๆนี้
เราเลยบอกเค้าว่า เราอยากช่วย แต่ขอเช็คกับทีมงานเราก่อน
.
ตอนนั้นที่บริษัทโฆษณาที่เราทำงาน กำลังมียูนิตใหม่ชื่อว่า Flare Bangkok
เป็นโปรดักชั่น ที่สามารถรับทำคอนเทนท์ ทำโฆษณาออนไลน์ง่ายๆ
ยังไม่ได้มีพอร์ทอะไรมากมาย ก็เลยคุยกับ พิม-ตวงรัก เป็นหัวหน้าโปรดิวเซอร์
และหัวหน้ายูนิตนี้ว่า พี่บอยมาชวนทำเอ็มวี เรามาทำกันมะ จะได้เป็นพอร์ท Flare
พิมดีใจมาก เพราะชอบเพลงของพี่บอยอยู่แล้ว (พวกเราเป็นสาวกพี่บอย พี่ป๊อด และ Bakery Music)
อยู่แล้วครับ เราเลยสามารถ Confirm กับพี่บอยได้ทันทีว่าเดี๋ยวทำแคมเปญและกำกับให้
2. ไอเดียมายังไง?
โจทย์ที่พี่บอยโยนให้ผมคือ “เพลงที่เกี่ยวกับเพื่อน” แค่นี้เลย ง่ายๆ ซิมเพิ้ล
ผมลองฟังเพลงที่เป็นเดโม่ จำได้ว่าเป็นเสียงนักร้องไกด์ที่ร้องเป็นคนสองคน
พี่บอยแยกเสียงคนสองคนไว้ที่หูซ้าย และหูขวา เพื่อเป็นไกด์ว่า
ฝั่งนึงเป็นพี่ป๊อด อีกฝั่งเป็นบิวกิ้น โดยที่ผมยังไม่รู้ว่าใครร้องก่อน ร้องหลัง
ฟังเสร็จแล้วก็คิดถึงเพื่อนตัวเอง ที่ไม่ได้คุยกันช่วงนี้ทันทีเลย เออเพลงแม่งโดนว่ะ
เลยคิดคอนเซปว่า “ถ้าเพลงๆนึง มันมีพลังมากกว่าแค่เพลง แต่สามารถพาเพื่อนสองคนให้กลับมาคุยกันได้ไหม?”
ผมมองว่า งานนี้จะไม่ใช่เอ็มวีท่าปกติ แต่เป็นงานทดลอง (Experimental Film)
ที่อยากพาคนสองคนให้มาเจอกัน โดยมีเครื่องจับเท็จ ที่เป็น Tools ที่คอยบอกคนดูว่า
เพื่อนที่ถูกจับเข้าเครื่องจับเท็จ เค้าโอเค หรือไม่โอเค
ได้ไอเดีย ก็เลยเล่าให้พี่บอยฟัง พี่บอยตอบทันที “โคตรโดนเลยครับพีท” จัดไปครับ
.
3. ทำไมถึงเป็นดากานดาและไข่ย้อย
ตอนแรก Direction ที่อยากได้ คือเอาเพื่อนจริงๆนี่แหละ ที่ทุกคนในประเทศรู้ว่าเค้าไม่คุยกัน
ให้กลับมาเจอกันได้ไหม? พิม ก็ช่วยติดต่อไปหลายคู่เลย คิดไปคิดมา เลยลอง Explore อีกทาง
นั่นคือ Fictional Character พิมกับผมเห็นตรงกัน หรือจะไข่ย้อยกับดากานดาดี?
เหตุผลที่หนึ่งเราสนใจในคาเรคเตอร์สองคนนี้คือเรื่อง Target ครับ
ผมถามพี่บอยก่อนทำเอ็มวีว่า คนฟังเพลงพี่เป็นใคร
เค้าบอกว่า Gen-Y ขึ้นไป จนถึง Gen-X เลย
แสดงว่าหนังเรื่องเพื่อนสนิท คือตรงทาร์เก็ตเป๊ะๆ
และเชื่อว่าคนฟังเพลงบิวกิ้น ก็น่าจะมีฐานแฟนที่ Overlap กันอยู่
เหตุผลที่สองที่ตัวละครคู่นี้น่าสนในคือความ PRable ของทั้งคู่
ถึงวันนี้เวลาพูดถึงไข่ย้อย กับดากานดา มันไม่เคยหายไปจากหัวของใครเลย
กลายเป็นความทรงจำที่ฝังลึกลงไป
ลำพังแค่ความเชื่อ มันไปต่อไม่ได้ ผมเลยทำการบ้านต่อ ในเชิงสตอรี่
โดยการกลับไปนั่งดูหนังเรื่อง “เพื่อนสนิท” อีกครั้งนึง
(ขอบคุณ Netflix ที่ยังฉายอยู่นะครับ)
กลับไปดูครั้งนี้ เก็บรายละเอียดในเรื่องใหม่หมดเลย เพราะจะเอามาเขียน Treatment
ผมได้ข้อมูลจากการดูแบบนี้ครับ
.
ตัวละคร
หมู - ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ (ฉายาไข่ย้อยได้มาจากไข่แตกในกางเกงตอนไปขโมยไข่ไก่)
ดากานดา - นุ่น ศิรพันธ์ วัฒนจินดา
ดากานดา [-กานดา] แปลว่าหญิงผู้เป็นที่รัก.
ฟุเหยิน – เพื่อนสนิททั้งคู่ สายหม้อ แต่จีบสาวไม่ติดซักที
พรหล้า กับ บอลลูน – เพื่อนในคณะ เห็นตอนเป็นเฟรชชี่
.
นุ้ย - นางพยาบาลที่ตกหลุมรักกัน
พี่แตน - นางพยาบาลเพื่อนนุ้ย
โอ๋ - เพื่อนดากานดา มนุษย์อิ้ง
.
Easter Eggs
-ดอกไม้ที่วาดเป็นดอกแรกคือ ชงโค กับ ขี้เหล็กเมกัน
-โปสการ์ด เป็นเหมือน Diary ที่เค้าส่งให้ดากานดา
เป็นกล่องที่รวบรวมโปสการ์ดเหล่านั้น
-หนังสือเจ้าชายน้อย
-รักและคิดถึงแกเสมอ ไข่ย้อย
.
ตอนจบ
-ทั้งคู่แยกย้าย ดากานดารับ Post Card ของไข่ย้อยมาอ่าน
แล้วก็ไม่เคยกลับมาเจอกันอีกเลย
.
จากข้อมูลชุดนี้ สิ่งที่ทำให้ผมสนใจมันคือตอนจบของหนังเรื่องเพื่อนสนิท
ทั้งคู่แยกย้ายกัน แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลยเนี้ยะ แปลว่าชุดข้อมูลในหัวของคนดู
ก็ต้องรู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน… เราไม่เคยเห็นเค้ากลับมาเจอกันอีกเลย
แม้กระทั่งในชีวิตจริงด้วยซ้ำ (ถึงแม้ผมจะสัมเค้ามาก่อน ว่าเจอกันไหม
เค้าบอกว่าเคยไปออกงานแล้วเจอกัน ผมว่าคนส่วนมากก็ยังคิดว่า ไม่เคยเจออยู่ดี)
แปลว่า เรามั่นใจละว่าคู่นี้มา งานนี้ได้ฟรี PR แน่นอน
4. พี่ซันกับพี่นุ่นอยากเจอกัน
-ผมเรียน Com Arts เหมือนกับพี่ซันนี่ เจอกันตั้งแต่ผมไปรับน้อง ไปกินเหล้า เตะบอล
แต่หลังๆไม่เจอกัน ก็เลยทักแล้วขอโทรหาเค้า เล่าไอเดียให้ฟังว่าอยากทำแบบนี้
ส่วนพี่นุ่น พิมเป็นคนติดต่อไป ปรากฏว่าทั้งคู่อยากเจอกัน และก็อยากเจอพี่ป๊อดด้วย 5555
เลยสนใจรับงานนี้ เหมือนเป็นโอกาสที่ปลายอุโมงค์ความหวังของผมมากๆ
ตอนที่พิมโทรมาบอกว่า เค้ารับงานนี้ทั้งคู่นะพี่ ผมแม่งตะโกนเลยว่า ลุยยยยยยยยย
นอกจากการติดต่อพี่ซันกับพี่นุ่นแล้ว พิมยังต่อติดต่อ GDH เรื่องลิขสิทธิ์ของหนังเรื่องเพื่อนสนิท
และหนังสือเรื่องตู้ไปรษณีย์สีแดงอีกด้วย ตรงนี้ก็ขอขอบคุณ เบย์ กับพี่เอ๋ มาด้วยนะครับ
5. ช็อตที่ยากที่สุดในงานนี้
-ช็อตที่ลืมตา มองหน้ากัน แล้ว Express ด้วยภาษากายล้วนๆอันนี้ยากจริง
ถ้าภาษากายเรามันโกหกกันไม่ได้ แต่ไอเดียมันคือการเอา Fictional Character มาเจอกัน
ผมโทรหาพิม เฮียไม่มั่นใจช็อตนี้เลยว่ะเอาไงดี
พิมบอก Acting Coach ไหมพี่ พี่มีแนะนำใครไหม
ผมเลยบอกพิมไปว่าขอ “พี่ร่ม ร่มฉัตร Spark Drama Studio” ได้ไหม
เรียกได้ว่าถามถูกคนจริงๆครับ เพราะครูร่ม (ให้เกียรติพี่ร่มก่อน)
เค้าแนะนำว่า ทั้งพี่ซันกับพี่นุ่น เค้าเป็นนักแสดงมืออาชีพ
พีทไม่จำเป็นต้องมี Acting Coach ในกอง แต่มาเวิร์คช้อปกัน
แล้วลองดึงคาเรคเตอร์ดากานดากับไข่ย้อยออกมาให้พีทดูก่อน
ผมก็เลยเห็นด้วย แล้วก็ไปเจอพวกเค้าวันเวิร์คช้อป
.
ครูร่มอ่าน Director Treatment ของผมเค้าเลยรู้ว่าช็อตที่สำคัญมากๆ
ของหนังเรื่องนี้ คือตอนลืมตามาเจอกัน และรู้ว่าพีทอยากให้ทั้งคู่
ใช้ภาษากายสื่อสารกันมากๆ เค้าเลยแนะนำให้พี่นุ่นกับพี่ซันแยกกันเวิร์คช้อป
โห ดีเลย แยกเค้าไม่ให้เห็นกันตอนถ่ายหนังไปด้วยเลยดีไหม
แปลว่า ทั้งคู่ไม่ได้เจอกันเลยแหละ อันนี้ผมให้อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้มันดี
คือเรื่อง “เวลา” หมายความว่าไร เวลาที่ทั้งคู่ไม่เจอกันนี่แหละครับ
เลยทำให้ความคิดถึงมันเกิดขึ้น
.
6. ตัวละครที่สามในเรื่อง
วันเวิร์คช้อป เริ่มจากพี่ซันก่อน ตอนเค้าเข้าคาเรคเตอร์เป็นไข่ย้อย
ทั้งทีมงานผมวันนั้นช็อคเลย แบบเชื่อเลยว่านี่คือไข่ย้อยตัวจริง
ครูร่มบอกให้ผม สร้างสตอรี่ ให้ชวนไข่ย้อยไปเจอดากานดา
ผมก็พยายามคอนวิ้นซ์เค้าอยู่นาน จนทำให้
หลังจากไข่ย้อย เป็นตาของพี่นุ่น ครูร่มก็ชวนให้ดากานดาออกมา
แล้วให้ผมหาวิธีคอนวิ้นซ์ดากานดาให้ไปถ่ายเอ็มวี
วิธีการนี้เอง มันเลยทำให้เกิดตัวละครที่สามในเรื่องขึ้นมา
เกิดที่มาที่ไป สร้างความคุ้นเคยของนักแสดงกับผู้กำกับ
ตอนนั้นผมรู้เลยว่า เรื่องนี้กูรอดแล้วว่ะ
เพราะไข่ย้อยกับดากานดา เค้าไม่เคยหายไปไหนเลย
เค้าแค่ซ่อนอยู่ในตัวสองคนนี้เท่านั้นเอง
เรื่องนี้จึงมี ดากานดา ไข่ย้อย และรุ่นน้องที่เป็นผู้กำกับที่ชวน
พี่ๆ มาทำหนัง Experimental กัน
7. สถานที่และ Set Design
โลเคชั่นสำคัญมาก ด้วยความที่ Budget ทำเอ็มวีๆนึง มันไม่เหมือนหนังโฆษณา
มิ้งค์ พิม เลยเป็นหัวเรือใหญ่ในการช่วยหาทำเลถ่ายทำ มียุ้ย-ปารมี ทีมของพิมช่วยด้วยอีกแรง
วิธีคิดของการหาโลนี้ คืออยากได้โลที่เป็นสตูดิโอวาดรูป มีหน้าต่าง หรือกระจกใหญ่ๆ
โปร่งๆ ไม่อึดอัด เพราะอยากได้แสง Day Light จากข้างนอก
สุดท้ายมิ้งค์เป็นคนหาโลนี้มาจนเจอ…
เห็นในโซเชี่ยลมีคนพยายามหาว่าโลเคชั่นนี้คือที่ไหน วิเคราะห์จริงจังมากๆ
ฟิลเกมส์ GeoGuesser เลยครับ 55555 ผมเลยขอโปรโมตให้เค้าเลย
สตูชื่อ Fame Light Studio อยู่สุขุมวิท 67 ครับ
ส่วนเรื่องเซ็ตดีไซน์ มิงค์ แนะนำ น้องเสือ อาร์ทได มาช่วยเปลี่ยนสตูภาพนิ่งให้เป็นสตูวาดรูป
8. Lyric Video ที่ไม่ใช่ Lyric Video
ในวงการดนตรี เราจะเห็น Music Video ที่ออกมาพร้อมกับ Lyric Video
ใครเป็นแฟน T-Pop น่าจะรู้ดีเลยแหละ
แต่ตอนที่ผมถ่ายพี่ป๊อดกับบิวกิ้น ในช็อต Line Sync
ผมถามพี่ป๊อดว่า เค้าร้องเพลงนี้ให้ใคร
พอเค้าเล่าเรื่องของเพื่อนคนนั้นให้ผมฟัง
ผมเลยบอกพี่ป๊อดว่า ลองเอาเพื่อนคนนั้นมานั่งตรงข้ามได้ไหม?
เราลองถ่ายเป็น Full Song
แล้ว Magic ก็เกิดขึ้นทันทีตั้งแต่ 1st Take
พี่ป๊อดน้ำตาไหล คิดถึงเพื่อนคนนั้น
บิวกิ้นส่งความรู้สึก เหมือนกับว่าเค้าคือเพื่อนคนนั้นที่มานั่งจริงๆ
แล้วมันทำให้เพลงๆนี้ มีความหมายกว้างขึ้นในหัวคนฟังทันที
ตอนแรกตั้งใจทำหนึ่งเอ็มวี แต่มันกลายเป็นว่า
เราคุยกับพิมว่า แยกกันดีกว่า
เพราะตัวพี่ป๊อดบิวกิ้นตัวนี้ สามารถอยู่ด้วยตัวเองได้
กลายเป็น Lyric Video ที่เหมือนเป็น Another MV
ในคอนเซ็ปต์เพลงเดียวกัน พี่บอยจะได้มีสองระรอก
15 ชั่วโมงแรกใน YT ไป 250K วิวแล้วครับ
กลายเป็นว่า ในแคมเปญงานนี้เรามีวีดีโอ 3 ชิ้นหลัก
- Teaser ที่เลือกช่วงแรก จนถึงแนะนำตัวว่าชื่อดากานดา เพื่อเช็คว่า คนดูคิดถึงตัวละครนี้ขนาดไหน
- MV ที่พาเพื่อนสนิทสองคนกลับมาเจอกัน
- Lyric Video ที่มากกว่า Lyric Video
9. Teamwork จากทีมงานคือสิ่งที่สำคัญที่สุด
การจะสร้างงาน Masterpiece ได้ต้องมีทีมงานที่เราเชื่อใจ
ผมว่าผมโชคดีมากๆเลย ที่ได้เซ็ททีมนี้มาทำงานด้วยกัน
ถือว่าผมขอเขียนโปรโมตทีมงานผม และขอบคุณพวกเค้านะครับ
- ขอเริ่มจาก “มิ้งค์ ศิรดา” Producer งานนี้ก่อนเลย จริงๆเคยทำงานกับมิ้งค์ สมัยงาน Nike ที่ทำกับ “จีน-คำขวัญ” แล้วมิ้งค์เป็นโปรดิ้วเซอร์ที่ทำเอ็มวีและหนังใหญ่มาแล้วอย่างเรื่อง เพื่อน(ไม่)สนิท หรือ MV เช่น Whal and Dolph “ไม่รู้ทำไม” Taitosmith “กี่ฤดู” Three man down “ถ้าเธอรักฉันจริง” Lomosonic “ส่งเธอได้แค่นี้”
- “เบส ชุติมณฑน์” ผู้ช่วยผู้กำกับเรา ซึ่งเบสผ่านงานเอ็มวีเจ๋งๆมากมาย อาทิ Only Monday “ซ่อนเธอไว้ในเพลง” Polycat “เครื่องหมายมากกว่า” เบสที่เรียกผมว่าพ่อใหญ่ ช่วยผมได้เยอะมากๆเลย
- อาร์ทไดงานนี้คือ “เสือ” เคยทำเอ็มวีอย่าง Only Monday “ซ่อนเธอไว้ในเพลง” หรือ แว่นใหญ่ “ปล่อยให้มันเป็นไป” เสือน่ารักมาก ทำงานด้วยง่ายสุดๆ
- Editor 1 งานไข่ย้อยดากานดาคือ บอล Krint ที่ตัดเอ็มวี Slot Machine “หมื่นล้านคำ”
หรือ Youngohm “ดูไว้”
- Editor 2 งานพี่ป๊อดบิวกิ้นคือ กัน-ภาณุวัตร มือตัดเบอร์ตองของบริษัทผมเอง แค่คัทแรกที่ตัดมาก็ดีมากๆแล้วครับ
- ตากล้อง1 คือพี่แอนท์ ยืนหนึ่งในดวงใจผมตลอดมา พี่แอนท์มีผลงานหนังใหญ่มากมาย ไม่ว่าจะเป็น One for the road, Bad Genius, หรือซีรีย์สุดดัง Mad Unicorn สงครามส่งด่วน คงไม่ต้องบอกว่าพี่แอ้นท์เก่งขนาดไหน ดีใจที่พี่รับงานผมครับ!
- ตากล้อง2 น้องฟาง ถ้าใครเคยดูโฆษณา Jason Wang กับ Pantene เค้าเป็นคนกำกับภาพงานนั้นครับ สุดยอด
- เจด ภีรดล Colorist ที่ Young Blood ที่ทำหนังภาพยนตร์มาหลายเรื่องเช่น เธอกับฉันกับฉัน เพื่อนไม่สนิท วิมานหนาม เดี๋ยวก่อนนะ มึงอายุเท่าไหร่ก่อนเจด เก่งไปปป!
- ขอบคุณ พิม PM ประจำงานนี้ น้องบอสน้องนน ที่มาฝึกงาน แล้วช่วยพวกเราในกองด้วยนะครับ
10. ดอกไม้เก่าๆ กับบทสนทนากับดากานดา กับไข่ย้อย
เรื่องวันถ่ายเป็นยังไง พิม เค้าได้เล่าในโพสต์ของเค้าอยู่แล้ว
ส่วนผมอยากเล่าซีนตอนจบให้ฟัง
หลังจากที่ไข่ย้อยกับดากานดากลับมาเจอกันแล้ว
ผมคิดว่าคนดูคงอยากรู้ว่า พวกเค้าจะยังไงต่อ
เลยชวนทั้งคู่มานั่งคุยกัน โดยที่ผมไม่ถ่ายอะไรทั้งนั้น
แค่อยากเก็บเสียงที่เค้าคุยกันไว้นั้นแหละ
จริงๆ เค้าคุยกัน 10 นาทีเลยนะครับ 
และแต่ละไดอาล็อคที่คุยกัน มันดีมากๆเลย
เลยเลือกที่จะใช้ช่วงดอกไม้ตอนจบกับ End Credit พื้นดำ
ให้คนดูยังเห็นชื่อคนทำงาน และได้จิ้นไปกับทั้งคู่อีกด้วย
ส่วนซีนดอกไม้ ถ้าใครไม่ทันเรื่องเพื่อนสนิท ก็จะรู้สึกถึง
Aesthetic ของเสียงเปียนโนที่พี่บอยแต่งขึ้น แต่ถ้าใครเคยดู
เพื่อนสนิทก็จะรู้ว่ามันคือ ขี้เหล็กเมกัน กับชงโค ที่ไข่ย้อยกับดากานดา
เคยวาดด้วยกัน ตั้งแต่ตอนเจอกัน
.
I’m ok // not ok // effect
เหมือนเวลาผมทำแคมเปญให้ลูกค้า KPI ลูกค้าสำคัญที่สุด
แคมเปญจะได้ถึงที่ลูกค้าตั้งใจไว้รึเปล่า
พี่บอยเค้าตั้ง KPI ไว้ว่าอยากให้คนฟังเพลงเค้า รู้จักเพลงเค้า
วันแรกที่ออก MV ตัวนี้มา ยอดวิวก็ปาไป 1 ล้านตั้งแต่ 14 ชั่วโมงแรก
แบบไม่มีบูสต์มีเดี่ยใดๆทั้งนั้น
วันที่สอง FB ฟีดของผม และเชื่อว่าทุกคนในโซเชี่ยล
เปลี่ยนจากคอนเทนท์สงครามส่งด่วน หรือปัญหาเรื่องเขมร
กลายเป็นการกลับมาของไข่ย้อยและดากานดา
- #Im_Ok_NotoOk ขึ้นเทรนด์ดิ้งใน X #1 คืนวันที่ 5 มิถุนายน ส่วนอีก #BOYdPODxBillikin อันดับ 2
- I’m ok // not ok ขึ้น #1 Trending music ของ Youtube ตั้งแต่คืนแรก จนถึงวันที่ผมโพสต์
- รายการเรื่องเล่าเช้านี้ นำปรากฏการณ์ของเอ็มวี มาเปิด วันที่ 6 มิถุนายน อันนี้คือรู้เลยว่าดังจริงละ
- หนังเรื่องเพื่อนสนิท กลับมาติดอันดับหนัง Top 10 Movies อันดับ 2!
- หนังสือตู้ไปรษณีย์สีแดงภาค 2 กำลังผลิตเพิ่ม เพราะยอดออร์เดอร์ถล่ม!
- แบรนด์เป็นสิบๆแบรนด์ หยิบภาพในเอ็มวีมากลายเป็นมีม
- ยอดวิวใน Youtube 4 วันคือ 4.4 ล้าน แบบ Organic ยอดวิวใน IG พี่นุ่นศิรพันธ์คือ 3.1 ล้าน
- เกิดกระแส Reaction Video ใน Tiktok 5,026 วีดีโอ ภายใน 4 วัน
- Reach 190M Engagement 1M จาก Brandwatch // Hashtag ทั้งหมดสร้างให้เกิด 545M Impression
16 ปีที่รอคอย อัลบั้มใหม่ของพี่บอย กลับมาอยู่ในใจคนอีกครั้ง
สิ่งที่ผมเรียนรู้จากการทำแคมเปญนี้คือ
1. ความเชื่อใจจากลูกค้าสำคัญที่สุด… ผมไม่ได้ทำงานกำกับมานานมากๆ และพี่บอยเองก็ไม่รู้จักตัวละครดากานดากับไข่ย้อยมาก่อน แต่เค้าก็เชื่อใจให้เราทำเอ็มวีนี้ แล้วมันก็ออกมาประทับใจเค้าจริงๆ ความเชื่อใจจึงสำคัญ
2. บรีฟที่ดี คือบรีฟที่ Simple… แต่เปิดพื้นที่ให้ครีเอทีฟสามารถ Explore Option ได้
3. Make it Happens สำคัญที่สุด…ไอเดียดีแค่ไหน ถ้าไม่สามารถสร้างมันจริงๆได้ ไอเดียก็คงถูกคุมกำเนิดงานนี้ต้องยกเครดิตให้พิม-ตวงรัก หัวหน้าโปรดิ้วเซอร์ของผม ว่าเค้าสามารถพาไอเดีย และทรีตเมนท์ของเรา ให้เกิดขึ้นได้จริงๆ ขอชื่นชมพิมออกสื่อครับ (มีอะไรเรียกใช้ Flare Bangkok และ BBDO Bangkok ได้นะครับ ฮ่าๆๆ)
4. การฟังสำคัญที่สุด…ผมฟังคอมเมนท์ทุกคนเลย ไม่ใช่แค่ได้ยิน.. อย่างเช่น ในเอ็มวีจะมี
5. งานไวรัลจริงๆ มันวางแผนเป๊ะๆไม่ได้ แผนต้องยืดหยุ่น… ลูกค้ามากมายอยากได้งานไวรัล แต่มีข้อจำกัดมากมาย มีแต่ข้อห้าม ซึ่งมันทำให้ความเพียวของไอเดีย หายไป งานนี้ทำให้ผมรู้เลยว่า มันวางแผนไม่ได้
6. คิดถึงคนดูก่อนคิดถึงแบรนด์ตัวเอง… ในยุคนี้ หมดสมัยแบรนด์ทอล์คแล้วครับ การยิงแอดโฆษณาช่วยให้คนเห็นงานก็จริง แต่ถ้าอยากให้คนจำ หรือเสิร์จ หรือแชร์ หรือรักมันมากๆ จนปกป้องแคมเปญลูกค้า ต้องเอาสิ่งที่คนชอบเป็นตัวตั้ง แล้วค่อยหาวิธีเอาแบรนด์ตัวเองเข้าไป งานนี้เพลงคือโปรดัก ที่มีพี่บอยเป็นเจ้าของแบรนด์ การที่ทำให้คนรักเพลง อาจจะง่ายกว่าการทำให้คนรักสินค้าต่างๆ
7. ทีมงานสำคัญมากๆ… ผมกับพิมทำงานกันมาปีที่สี่ เรารู้มือกันอยู่แล้ว พี่แอนท์เป็นตากล้องที่ผมทำงานด้วยในทุกๆงานที่ผมกำกับ เดียร์ (อาร์ทไดในทีมผม) หรือแบม Retoucher เหล่านี้คือเราทำงานด้วยกันอยู่ทุกวัน แต่นอกนั้นคือใหม่หมดเลย เจอทั้งคนที่เป็น Solutionist และคนที่ทำให้ผมปวดหัวก็มี ทีมงานจึงโคตรสำคัญเลย
8. AI ยังแย่งงานเราไม่ได้… แย่ง Acting พี่นุ่นพี่ซันไม่ได้ งานชิ้นนี้น่าจะพิสูจน์ให้เห็นอยู่ครับ
9. อย่าให้ความดังข้ามคืน ทำให้เราเป็นคนเหี้ย… ผมเคยแต่เห็นคนดังแบบ over night หรือคนดังแบบ over week / over year อีโก้ที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว… หลังจากที่เอ็มวีออกมา คนแท็กผมเยอะมาก ทั้ง mention ทั้งไลน์มาหา ทั้งโทรมา แปลว่าเค้าชอบในผลงานของเราจริงๆ มันเป็นความรู้สึก Overwhelming นะครับ แต่ผมพยายามไม่เกาะกระแสนั้น กระทั่งโพสต์ๆนี้ ยังรอให้กระแสมันเงียบลง แล้วค่อยลง เพราะคิดว่า มันน่าจะเปิดมุมมองของมาร์เก็ตติ้ง และเพื่อนๆพี่ๆน้องๆ วงการโฆษณา ให้ลองทำงานที่ตัวเองมี Passion
สุดท้ายนี้ขอขอบคุณคุณแม่ของผม ขอบคุณภรรยาและลูก ที่เข้าใจชีวิตของผม และให้ผมได้ทำงานที่ตัวเองชอบ
Effect MV ที่ผมชอบที่สุด คือคลิปที่ลูกผมเอาตุ๊กตามาใส่เครื่องจับเท็จ แล้วบอกว่า “เบเบ๋ โกหก”
ผมดูคลิปนั้นแล้วร้องไห้เลย ถ้าเราจะทำงานๆนึงให้ดี คนที่เราอยากให้ message มันไปถึงจริงๆ
ก็คือครอบครัวของเรานี่แหละ ขอบคุณเพื่อนทุกๆคน ที่ชอบงานนี้แล้วแชร์ด้วยนะครับ
ขออนุญาต Signing Off ไว้เท่านี้ ใครที่ติดตามเพจนี้ต่อไป ผมจะลงแคมเปญอื่นๆของพวกเราต่อละครับ
พีท-ทสร บุณยเนตร

Jun 6, 2025

น้ำใจของคนแปลกหน้า เสียงจากฟอเรสต์ กัมพ์ (Forrest Gump) ที่ปลอบหัวใจถึงปลายทางชีวิต

 f            เจาะเวลาหาอดีต


น้ำใจของคนแปลกหน้า เสียงจากฟอเรสต์ กัมพ์ (Forrest Gump) ... ที่ปลอบหัวใจถึงปลายทางชีวิต
ในปี 2020 ทอม แฮงส์กำลังอยู่ในรถเทรลเลอร์ของเขา บนกองถ่ายภาพยนตร์ News of the World
เมื่อผู้ช่วยส่วนตัวเดินเข้ามาพร้อมกับกระดาษโน้ตที่พับเรียบร้อย ข้อความในนั้นเรียบง่ายแต่ทรงพลัง
มีชายคนหนึ่งชื่อ เจมส์ มัลลอรี่ อดีตครูมัธยมจากรัฐโอไฮโอกำลังป่วยด้วยโรคมะเร็งตับอ่อนระยะสุดท้าย
เอมิลี่ ลูกสาวของเขาได้พยายามส่งข้อความผ่านเว็บแฟนคลับและทวิตเตอร์
เพื่อหวังว่าคำขอของพ่อจะไปถึง ทอม แฮงส์
สิ่งที่พ่อของเธอต้องการเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิต ก็คือ ได้ยิน “เสียงของฟอเรสต์ กัมพ์” อีกครั้งหนึ่ง
คำขอที่เรียบง่ายนั้นกระทบใจแฮงส์อย่างลึกซึ้ง เขาเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วขอให้ผู้ช่วยช่วยหาหมายเลขโทรศัพท์ติดต่อ
ภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมง เขานั่งอยู่เงียบ ๆ ถือโทรศัพท์ที่เปิดลำโพง
รอเสียงตอบรับจากห้องพักสุดท้ายในสถานพยาบาลกว่า 2,000 ไมล์จากกองถ่าย

เอมิลี่ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าข้อความของเธอไปถึงมือแฮงส์หรือไม่
และเมื่อโทรศัพท์ขึ้นเบอร์จากรัฐแคลิฟอร์เนีย เธอเกือบจะไม่รับ แต่บางสิ่งในใจบอกให้เธอกด “รับสาย”
“ฮัลโหล... นี่คุณเอมิลี่ มัลลอรี่หรือเปล่าครับ?”
เสียงที่เธอคุ้นเคยดังขึ้น
“ใช่ค่ะ?”
“ผมคือทอม แฮงส์ ได้ยินมาว่าคุณพ่ออยากคุยกับฟอเรสต์ กัมพ์... ท่านอยู่ไหมครับ?”
ห้องเงียบกริบ แม่ของเธออ้าปากค้าง พยาบาลหยุดเดิน
เอมิลี่รีบวิ่งไปข้างเตียงและค่อย ๆ วางโทรศัพท์แนบหูพ่อของเธอ
เจมส์แทบไม่พูดอะไรมาเป็นวันแล้ว แต่เมื่อแฮงส์เปลี่ยนเสียงเป็น ฟอเรสต์ กัมพ์ และพูดประโยคคลาสสิกว่า

“สวัสดีครับเจมส์... แม่ผมเคยบอกว่า ชีวิตก็เหมือนกล่องช็อกโกแลต...”
รอยยิ้มบาง ๆ ก็ผุดขึ้นบนใบหน้าชายชรา
น้ำตาไหลอาบหน้าเอมิลี่ พ่อของเธอพูดอะไรแทบไม่ได้แล้ว แต่ขยับริมฝีปากเบา ๆ ว่า
“ขอบคุณ...”

แฮงส์ยังคงพูดต่อด้วยน้ำเสียงช้า ๆ แบบฟอเรสต์ กัมพ์ เต็มไปด้วยความอบอุ่น
และสติปัญญาเรียบง่ายที่เป็นเอกลักษณ์
“ผมไม่รู้หรอกว่าเรามีโชคชะตารออยู่
หรือแค่ล่องลอยไปตามสายลม...
แต่บางที มันอาจจะเป็นทั้งสองอย่างพร้อมกันก็ได้นะครับ”
ช่วงเวลาสั้น ๆ ไม่กี่นาทีนั้น 
เจมส์ไม่ใช่ผู้ป่วยมะเร็งที่รอวันสุดท้ายของชีวิตอีกต่อไป
เขาคือผู้ฟัง ที่กำลังคุยกับตัวละครโปรดตัวละคร
ที่เคยพาเขาผ่านช่วงเวลาเศร้าจากการหย่าร้าง
ที่เคยอยู่เป็นเพื่อนเงียบ ๆ
ตอนเขานั่งตรวจข้อสอบดึก ๆที่เคยทำให้เขาหัวเราะ
แม้ในวันที่ชีวิตไม่ปรานี
สิ่งที่ทำให้ช่วงเวลานั้นยิ่งพิเศษก็คือ แฮงส์ ไม่เคยหลุดจากบทบาทเลยแม้แต่วินาทีเดียว
เขาพูดกับเจมส์อย่างที่ฟอเรสต์ กัมพ์จะพูด 
ไม่ใช่ในฐานะดาราต่อแฟนคลับ แต่ในฐานะ “เพื่อนคนหนึ่ง” 
บนม้านั่งในสวนสาธารณะ
เจมส์บีบมือลูกสาวแน่น น้ำตาหนึ่งหยดกลิ้งลงข้างแก้มแล้วเขากระซิบเบา ๆ ว่า
“วันนี้...ดีที่สุดในชีวิตเลย”
วันถัดมา เจมส์จากไปอย่างสงบ โดยยังมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า
ทอม แฮงส์ ไม่เคยพูดถึงเหตุการณ์นี้ในที่สาธารณะ
ไม่มีโพสต์ ไม่มีข่าว ไม่มีคำโอ้อวด
เอมิลี่เป็นคนมาเล่าเรื่องนี้ผ่านเพจสนับสนุนผู้สูญเสีย
ก่อนที่ผู้ใช้ Reddit คนหนึ่งจะนำไปเล่าต่อ
และเรื่องราวก็แพร่กระจายออกไป สะกดหัวใจผู้คนมากมายทั่วโลก
โดยเฉพาะผู้ที่เติบโตมากับเสียงของฟอเรสต์ กัมพ์
พยาบาลในสถานพยาบาลซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ บอกว่า
“ฉันไม่เคยเห็นหน้าคนไข้คนไหนเปลี่ยนเร็วขนาดนั้นมาก่อนเลย
เขาเหนื่อยมาก ดูหมดแรงแล้ว... แต่พอได้ยินฟอเรสต์ กัมพ์ เหมือนมีแสงบางอย่างจุดขึ้นในตัวเขา”
ทุกวันนี้ เอมิลี่ยังคงเก็บ บันทึกเสียงโทรศัพท์ ครั้งนั้นไว้ และเปิดฟังเป็นครั้งคราว
ไม่ใช่แค่เพื่อระลึกถึงเสียงของพ่อในบทสนทนาสุดท้ายแต่เพื่อเตือนใจว่า
ความเมตตาง่าย ๆ จากคนแปลกหน้า แม้จะโด่งดังเพียงใด
ก็สามารถเปลี่ยนช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตให้มีความหมายได้

ในห้องที่เงียบที่สุด
เสียงจากภาพยนตร์
ได้นำความสงบมาให้... ในแบบที่ยารักษาใดก็ทำไม่ได้




        




        

Jun 5, 2025

วันข้าวและชาวนาแห่งชาติ 5 มิถุนายน 2568

   King Health Society

5 มิถุนายน วันข้าวและชาวนาไทยแห่งชาติ 🌾

วันที่รำลึกถึงความสำคัญของข้าว รวมทั้งเชิดชูเกียรติ
และสนับสนุนส่งเสริมอาชีพของชาวนาไทย


Jun 4, 2025

ถอดสูตรสำเร็จ Top Gun Maverick หนัง 1,000 ล้านเรื่องแรกของ ทอม ครูซ

f       Thairath - ไทยรัฐออนไลน์ 


3 ก.ค. 2565 

Top Gun : Maverick กลายเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของนักแสดงแถวหน้าฮอลลีวูดอย่าง “ทอม ครูซ” (Tom Cruise) ที่ทำรายได้เกิน 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หลัง Megastar ผู้มีวัยเหยียบย่างเข้าใกล้แซยิด ผ่านร้อนผ่านหนาวในวงการบันเทิงมาเนิ่นนานร่วม 40 ปีเข้าให้แล้ว

อะไรคือ "กุญแจสำคัญ" ที่ทำให้หนังภาคต่อที่แฟนๆ อดทนรอคอยการกลับมาของ "นักบินผู้มุทะลุดื้อดึงและชอบฉายเดี่ยว" มายาวนานถึง 36 ปี (Top Gun ภาคแรก ออกฉายในปี 1986) แถม โทนี สกอต (Tony Scott) ผู้กำกับผู้อยู่เบื้องหลังมุมกล้องเหวี่ยงซ้ายเหวี่ยงขวาไปมาในห้องนักบินขับไล่ ที่ทำผู้เด็กผู้ชายในยุคปลาย 80 พากันอยากสวมแว่นเรย์แบน ไปสมัครเป็นทหารอากาศกันเป็นทิวแถว เกิดมาเสียชีวิตก่อนที่โปรเจกต์จะเริ่มต้น จนต้องหันไปพึ่งบริการของ ผู้กำกับหนุ่มอย่าง "โจเซฟ คาซินสกี้" (Joseph Kosinski) ผู้ที่เคยดูภาพยนตร์ Top Gun ภาคแรกตอนอายุได้เพียง 12 ปี!

กลับประสบความสำเร็จจนกลายเป็น ภาพยนตร์เรื่องที่ 50 ที่ทำรายได้เกินกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (แชมป์ทำเงินอันดับหนึ่งคือ Avartar 2,847 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) รวมถึงยังเป็น ภาพยนตร์เรื่องที่ 2 ในยุคโควิด-19 แพร่ระบาด ต่อจาก Spider-Man : No Way Home (1,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ที่ทำรายได้ทะลุ 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ทุนสร้าง Top Gun Maverick :

ภาพยนตร์เรื่องนี้ใช้ทุนสร้างสูงถึง 170 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 6,046 ล้านบาท) ซึ่งถือว่าเป็นภาพยนตร์ที่ใช้ทุนสร้างสูงมากสำหรับฮอลลีวูดในยุคนี้ ทำให้หากเกิด “พลาดพลั้ง” ขึ้นมาย่อมแปลว่า นั่นคือหายนะครั้งใหญ่สำหรับ ค่ายตราดาวภูเขา บริษัทพาราเมาท์ พิกเจอร์ส (Paramount Pictures) อย่างแน่นอน นั่นเป็นเพราะทุนสร้างภาพยนตร์ฮอลลีวูดในยุคปัจจุบัน ค่าเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 65 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเรื่อง แต่หากเป็นหนังฟอร์มใหญ่จะอยู่ที่ประมาณ 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และจำนวนเงินที่ว่านี้ยังไม่ครอบคลุมต้นทุนเรื่องการจัดจำหน่ายและการทำตลาด ซึ่งโดยมากจะอยู่ที่ประมาณ 35 ล้านดอลลาร์สหรัฐเป็นอย่างน้อยด้วย

ถอดรหัสความสำเร็จ Top Gun Maverick :

1. การกลับเข้าโรงภาพยนตร์ของกลุ่มผู้ใหญ่

จากผลสำรวจก่อนหน้านี้ พบว่ากลุ่มผู้ใหญ่ที่มีอายุเกินกว่า 35 ปีขึ้นไปส่วนใหญ่ ยังรู้สึกไม่ปลอดภัยที่จะกลับเข้าไปดูหนังในโรงภาพยนตร์เนื่องจากหวั่นเกรงเรื่องการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ซึ่งประเด็นนี้สอดคล้องกับกรณีสายลับดับเบิลโอเซเวนภาคล่าสุด No Time To Die ก่อนหน้านี้ ที่เหล่าด้อมรุ่นเก๋าเข้าโรงภาพยนตร์น้อยกว่าที่คาดไว้ จนกระทั่งทำให้รายได้หนังน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้พอสมควรถึงแม้จะลงทุนยื้อเวลาฉายเพื่อรอให้สถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ในสหรัฐฯ ดีขึ้นก็ตาม

แต่สำหรับ Top Gun Maverick กลุ่มผู้ใหญ่ที่อายุเกินกว่า 35 ปี ต่างพร้อมใจแห่เข้าโรงภาพยนตร์โดยคิดเป็นสัดส่วนมากถึง 55% ในขณะที่กลุ่มอายุเกินกว่า 45 ปี คิดเป็นสัดส่วนมากถึง 38% และกลุ่มอายุเกินกว่า 55 ปี คิดเป็นสัดส่วนถึง 18% ซึ่งแตกต่างจากกรณี Spider-Man : No Way Home ที่กลุ่มวัยรุ่นเข้าไปอุดหนุนพ่อหนุ่ม “ทอม ฮอลแลนด์” (Tom Holland) เป็นส่วนใหญ่ หรือในกรณี ภาพยนตร์ Doctor Strange in the Multiverse of Madness นั้น มากกว่า 66% ที่ซื้อตั๋วเข้าชมเป็นกลุ่มอายุต่ำกว่า 34 ปี ทำให้ "ปรากฏการณ์ด้อมวัยเก๋าคืนโรง" อย่างขนานใหญ่แบบนี้ แทบไม่เคยปรากฏมาก่อนเลยก็ว่าได้ในยุคโควิด-19 ในสหรัฐฯ

2. ปากต่อปากและคะแนนรีวิวสุดเลิศหรู

คะแนนรีวิวใน Rotten Tomatoes พุ่งเร็วกว่าจรวดต่อต้านอากาศยาน SAM S-125 Neva/Pechora ที่แหวกอากาศจี้เข้าหาเครื่องบินรบ FA-18 Super Hornet ของ Captain Pete “Maverick” Mitchell เสียอีก โดยได้คะแนนไปอย่างท่วมท้นถึง 97% อีกทั้งเสียงชื่นชมแบบ “ปากต่อปาก” ยังส่งให้คลื่นมหาชนแห่เข้าไปดู “การปฏิบัติการที่เป็นไปไม่ได้ด้วยความเร็วเหนือเสียง” จนล้นหลาม

3. ยอดขายตั๋วอันแข็งแกร่งในตลาดสหรัฐฯ และแคนาดา

โดยสัปดาห์แรกที่ Top Gun Maverick เข้าฉายในสหรัฐฯ และแคนาดา (27-29 พ.ค. ศุกร์-อาทิตย์ และต่อด้วยวันจันทร์ที่ 30 พ.ค. ซึ่งเป็นวันหยุดเนื่องในวัน Memorial Day ซึ่งเป็นวันรำลึกถึงทหารผ่านศึกสหรัฐฯ) หนังทำรายได้รวมถึง 160 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่ สัปดาห์ที่ 2 ทำรายได้รวม 135 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัปดาห์ที่ 3 ทำรายได้รวม 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัปดาห์ที่ 4 ทำรายได้รวม 71 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และแม้เข้าสู่สัปดาห์ที่ 5 ก็ยังสามารถทำรายได้รวมถึง 54 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ทำให้เพียงเฉพาะในตลาดสหรัฐฯ และแคนาดา หนังทำเงินได้สูงถึง 520 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากระยะเวลาการฉาย 5 สัปดาห์ (สิ้นสุดวันที่ 27 มิ.ย.22) นับตั้งแต่เปิดตัว ซึ่งจากตัวเลขดังกล่าวจะเห็นได้ว่า รายได้ของหนังในแต่ละสัปดาห์ “ไม่มี” การตกลงอย่างฮวบฮาบโดยเฉพาะในช่วงสัปดาห์ที่ 2 ซึ่งมักเป็นสัปดาห์ตัดสินว่า หนังจะสามารถทำเงินได้อย่างถล่มทลายใน Box office ได้หรือไม่?

4. กระแสการตอบรับในตลาดต่างประเทศ

ความพยายามหลีกเลี่ยงอย่างสุดความสามารถว่า “เป้าหมายในการปฏิบัติภารกิจที่เป็นไปไม่ได้ด้วยความเร็วเหนือเสียง” คือ ประเทศใด ถึงแม้ว่าโรงงานเสริมสมรรถนะแร่ยูเรเนียม, เครื่องบิน SU-57 ที่เห็นได้อย่างชัดเจน ก็ยังอุตส่าห์เลี่ยงไปเรียกว่า เครื่องบินรบเจเนอเรชันที่ 5, รวมถึงการมีอยู่ของเครื่องบิน F-14 TOMCAT ที่นอกจากสหรัฐฯ แล้วก็มีเพียงประเทศเดียวที่มีอยู่ในครอบครอง (เรียกว่าชัดเจนมากว่าคือประเทศใด) เพื่อมุ่งหวัง “ลดแรงเสียดทานต่างๆ” ที่อาจเกิดขึ้นเมื่อเวลาออกไปฉายในตลาดต่างประเทศโดยเฉพาะในยามที่โลกเต็มไปด้วยความขัดแย้งจากจุดเริ่มต้นในสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน (ถึงแม้จะพลาดไปบ้างกับอะไรๆ บนเสื้อแจ็กเก็ตนักบินของ “ทอม ครูซ” ที่ทำให้เกิดการตีความไปต่างๆ นานาก็ตาม)

และอาจจะเพราะการเลือกเดินทางสายกลาง รวมถึงการเดินทางไปร่วมโปรโมตหนังอย่างชนิดไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยของ ทอม ครูซ ไม่ว่าจะเป็นทั้ง ประเทศเม็กซิโก ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส อังกฤษ เกาหลีใต้ และสเปน จึงทำให้ Top Gun Maverick ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีเช่นกันในตลาดนอกสหรัฐฯ โดยสามารถทำเงินรวมได้สูงถึง124 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากการเปิดตัวใน 62 ประเทศทั่วโลก และสิ้นสุด วันที่ 27 มิ.ย. 22 หนังทำรายได้ในตลาดนอกสหรัฐฯ รวมกันแล้วถึง 486 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ด้วยเหตุนี้เมื่อรวมเข้ากับรายได้ในสหรัฐฯ Top Gun Maverick จึงทำเงินรวมไปแล้ว 1,010 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยรายได้ในสหรัฐฯ และแคนาดา คิดเป็น 52.4% ส่วนรายได้นอกสหรัฐฯ คิดเป็น 47.6%

Jun 3, 2025

๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๘ วันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี

 f       กรมประชาสัมพันธ์ 

เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี
๓ มิถุนายน ๒๕๖๘
ขอพระองค์ทรงพระเจริญ