Custom Search

Nov 16, 2024

จำไว้นะ ! ครอบครัวสำคัญที่สุด

มัส สักวันต้องเป็นของเรา

จำไว้นะ ! ครอบครัวสำคัญที่สุด

ลองสังเกตตอนป่วยหรือตอนใกล้ตาย

ใครกันที่อยู่ข้างเราเสมอ 

เพื่อนอย่างน้อยก็มาเยี่ยม 1-2 ชั่วโมง

จ้านายอย่างน้อยก็ช่อดอกไม้เยี่ยมสัก 5 นาที

ลูก-เมียเขาอยู่กับเราตลอดเวลา

ตอนแข็งแรง ตอนเด่นดัง ตอนมีผลประโยชน์ ใคร ๆ ก็กรูเข้าหา 

ตอนหมดผลประโยชน์ ตอนใกล้ตายแทบไม่เหลือสักคน 

เหลือแต่ครอบครัว 

*เลิกละเลยครอบครัวได้แล้ว

*เลิกเห็นคนอื่นดีกว่าครอบครัวได้แล้ว

*เลิกพูดแรงๆให้ครอบครัวเสียใจได้แล้ว

เพราะตอนไม่เหลืออะไร 

ก็มีแต่ครอบครัวนี่แหละที่เขาอยู่กับเราและดูแลเราดีที่สุดแล้ว 

ชีวิตก็แค่นั้น...

#สักวันต้องเป็นของเรา


Nov 4, 2024

จุดหักเหชีวิตทนายตั้ม


Image from tnnthailand.com

โอนคดี "ทนายตั้ม" ฉ้อโกงเงิน 71 ล้าน ให้สอบสวนกลาง


26 ต.ค. 67

ตำรวจ สภ.ปากช่อง โอนคดีนักธุรกิจสาวแจ้งความนายษิทรา หรือทนายตั้ม ในข้อหาฉ้อโกงเงินกว่า 71 ล้านบาท ให้ตำรวจสอบสวนกลางดูแล

วันที่ 25 ต.ค.2567 นายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือทนายอั๋น บุรีรัมย์ ทนายความกลุ่มคนรุ่นใหม่ประชาธิปไตยบริสุทธิ์ ยื่นหนังสือให้กับ พ.ต.อ.วีระพล ระเบียบโพธิ์ ผกก.สภ.ปากช่อง เพื่อโอนคดีที่ น.ส.จตุพร หรืออ้อย ได้ส่งทนายความเข้าแจ้งความที่ สภ.ปากช่อง เพื่อดำเนินคดีกับนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ในข้อหาฉ้อโกง โดยอ้างว่าถูกหลอกให้ลงทุนซื้อแพลตฟอร์มหวยออนไลน์เป็นเงินกว่า 2 ล้านยูโร หรือ 71 ล้านบาท ให้ตำรวจสอบสวนกลาง มาสอบสวนต่อ

นายภัทรพงศ์ กล่าวว่า คดีนี้เป็นคดีใหญ่ อีกทั้งตำรวจสอบสวนกลางมีบุคลากรและอุปกรณ์ที่ทันสมัย เพื่อดำเนินการตรวจสอบเส้นทางการเงิน การโอนเงินข้ามชาติ และตรวจสอบประเด็นการฟอกเงิน

ด้าน ผกก.สภ.ปากช่อง ระบุว่า คดีนี้ตำรวจได้สอบปากคำพยานแล้ว 3 ปาก และสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้สั่งให้โอนคดีของนายษิทราให้ตำรวจสอบสวนกลางแล้ว ซึ่งทางพนักงานสอบสวนได้ส่งสำนวนให้ทั้งหมดแล้ว

ขณะที่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กล่าวว่า ได้พูดคุยกับทาง พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน ผู้บังคับการกองปราบปราม ว่า เรื่องนี้ตนไม่ได้มีความเกี่ยวข้องแต่อย่างใด เป็นเรื่องที่ผู้เสียหายต้องการให้โอนคดีมาที่ส่วนกลาง ไม่ใช่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามไปนำคดีนี้มา ยืนยันส่วนตัวไม่มีความขัดแย้งกับทนายคนดังกล่าว และไม่มีเรื่องที่จะต้องเอาคืน โดยไม่ขอให้ความเห็นในเรื่องนี้

ทนายตั้มย้ำเงิน 71 ล้านบาทเป็นการให้โดยเสน่หา

ส่วนความเคลื่อนไหวของนายษิทรา ก่อนหน้านี้ได้แจ้งกับผู้สื่อข่าวว่าจะเดินทางมาให้ปากคำ พร้อมแจ้งความคู่กรณีในข้อหาแจ้งความเท็จ โดยระบุว่าเงินที่ได้มาเป็นการให้โดยเสน่หา แต่นายษิทราได้เลื่อนการเดินทางไปที่พบตำรวจ และระบุทราบว่า น.ส.จตุพร จะเดินทางกลับมาไทย อาจมีการเจรจากันก่อน เพราะไม่อยากดำเนินคดีกับ น.ส.จตุพร

นายษิทรา ยังได้ให้สัมภาษณ์ในรายการรายการเจาะลึกทั่วไทยอินไซต์ไทยแลนด์ อธิบายเรื่องดังกล่าวว่า น.ส.จตุพร เป็นหญิงไทยที่แต่งงานกับชาวต่างชาติอยู่ที่ฝรั่งเศส และจะเข้ามาทำธุรกิจในไทย โดยเป็นลูกความของตนเอง จ่ายเงินค่าจ้างให้เดือนละ 300,000 บาท แต่ต่อมาตนเองกับเลขาฯ ของ น.ส.จตุพร เกิดมีปัญหากัน จึงพูดคุยกับ น.ส.จตุพร ขอเงิน 1 ก้อน 2 ล้านยูโร เพื่อมาทำธุรกิจและดูแลครอบครัวแลกกับการที่ยังดูแลงานให้อยู่ ซึ่งลูกความก็ตกลงให้ และเงินจำนวนนี้ก็ได้แจ้งกับลูกความว่าจะเอาไปทำสัญญาว่าจ้างพัฒนาแพลตฟอร์มหวยออนไลน์ เป็นการให้เงินทำธุรกิจ ไม่ใช่มาร่วมลงทุน

Music titan Quincy Jones dies aged 91


RIP Quincy Jones (March 14, 1933 – November 3, 2024) ,
who leaves us at age 91. No musician of his generation moved
so effortlessly and brilliantly between styles and settings—collaborating
with everyone from Frank Sinatra to Michael Jackson to Miles Davis.
What a remarkable career!

Nov 2, 2024

𝐂𝐨𝐝𝐞 𝐎𝐟 𝐋𝐢𝐟𝐞

 Code of Life



𝐶𝑟𝑒𝑑𝑖𝑡 : 𝑈𝑛𝑘𝑛𝑜𝑤𝑛

เรื่องที่ไม่ควรพูด ก็ไม่ต้องพูด

เรื่องที่ไม่ควรยุ่ง ก็ไม่ต้องยุ่ง

เรื่องที่ไม่ควรขุดคุ้ย ก็ไม่ต้องขุดคุ้ย

เรื่องที่ไม่ควรโมโห ก็ไม่ต้องโมโห

แสร้งบอดบ้าง น้ำจะได้ไม่ต้องไหลออกตา

แสร้งใบ้บ้าง เรื่องจะได้ไม่ต้องเกิดเพราะปาก

แสร้งโง่ให้เป็นเสียบ้าง บางสิ่งที่กำลังจะสูญหาย

จึงคงไว้ในสถานะเดิม

เพราะอยากรู้ พอรู้ จึงสั่นไหว

เพราะอยากพูด พอพูด จึงสูญเสีย

เพราะอยากทำ พอทำ จึงเสียใจไปตลอดชีวิต

ฝึกหยุดและยับยั้งบ้าง ยังชีวิตสงบสุข

❤︎ 𝖧𝖾𝗅𝗅𝗈 November | 𝟮𝟬𝟮𝟰| ❤︎



Oct 4, 2024

4 ตุลาคม 2313 พระเจ้าตากสินมหาราช สถาปนา “กรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร” เป็นราชธานี

พระเจ้าตากสินมหาราช ทรงสถาปนาเมืองธนบุรี เป็นราชธานีแห่งใหม่ ทรงสร้างพระราชวังทางทิศใต้ของกรุงธนบุรี ขนาบข้างด้วย วัดแจ้ง(วัดมะกอก - วัดอรุณราชวรารามราชวรวิหาร) และวัดท้ายตลาด (วัดโมลีโลกยารามราชวรวิหาร) และพระราชทานนามว่า “กรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร”

4 ตุลาคม “วันสัตว์โลก” (World Animal Day)

https://www.prd.go.th/th/content/category/detail/id/9/iid/220715

ในวันที่ 4 ตุลาคมของทุกปี ถูกกำหนดขึ้นให้เป็นวันสำคัญของโลกอีกวันหนึ่งก็คือ วันสัตว์โลก (World Animal Day) เพื่อให้เราได้เห็นถึงความสำคัญของการเป็นอยู่ของเหล่าสัตว์ทั้งหลาย รวมทั้งถึงเรื่องสิทธิต่างๆ ที่ถูกกำหนดขึ้นมา เพื่อสวัสดิภาพของสัตว์ เป็นการช่วยทำให้สัตว์ประเภทต่างๆ สามารถอาศัยอยู่ได้อย่างปลอดภัยจากอันตรายต่างๆ และเป็นการคุ้มครองสัตว์ไม่ให้ถูกทำร้าย ไม่ว่าจะในผืนป่า ในสวนสัตว์ ในเมือง หรือกระทั่งในบ้านเรือน

ความสำคัญของ วันสัตว์โลก (World Animal Day) สำหรับ วันสัตว์โลก ถูกกำหนดขึ้นเป็นครั้งแรกโดย Heinrich Zimmermann นักเขียนชาวเยอรมัน และเจ้าของนิตยสารชื่อดัง โดยที่ทั้งสองได้กำหนดวันสัตว์โลกเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 24 มีนาคม ค.ศ. 1925 ณ สปอร์ตพาเลซ กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี หลังจากนั้น เมื่อเวลาผ่านไป ก็ได้มีการกำหนดวันสัตว์โลกขึ้นมาใหม่อีกครั้ง คือ วันที่ 4 ตุลาคม เพื่อที่จะได้ตรงกับวันเฉลิมฉลองของนักบุญฟรานซิส แห่งอัสซีซี ซึ่งท่านเป็นนักบุญผู้อุปถัมภ์ระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมของโลก

จนมาถึงในปี ค.ศ. 1931 สภาคองเกรส แห่งสภาคุ้มครองสัตว์นานาชาติ ในเมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี ได้ทำการยอมรับข้อเสนอ ที่จะกำหนดให้วันที่ 4 ตุลาคม ของทุกปี เป็นวันสัตว์โลกสากล เพราะประเทศอิตาลี ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของปัญหาและสิทธิของเหล่าสัตว์น้อยใหญ่ทั้งหลาย

รวมถึงยังต้องการที่จะมีส่วนในการดูแลและป้องกันสัตว์ทั้งหลายไม่ให้สูญพันธุ์ไปอีกด้วย นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของวันที่ 4 ตุลาคม ที่ถูกกำหนดให้เป็นวันสัตว์โลกตั้งแต่นั้นมาจนถึงในปัจจุบัน

สัตว์ป่าที่อาศัยและหากินอยู่ในป่า

3 ตุลาคม : วันรวมชาติเยอรมัน (German Unity Day) 🇩🇪


https://www.thaipbs.or.th/now/content/1639

หลังจากรัฐบาลคอมมิวนิสต์ของเยอรมนีตะวันออก (German Democratic Republic) เริ่มก่อสร้าง “กำแพงเบอร์ลิน (Berlin Wall)” เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2504 เพื่อปิดกั้นเส้นทางอพยพของประชาชนจากเยอรมนีตะวันออกไปสู่เยอมันตะวันตก (Federal Republic of Germany) ซึ่งเป็นดินแดนที่มั่งคั่งกว่า ทำให้ “กำแพงเบอร์ลิน (Berlin Wall)” แบ่งเมืองเบอร์ลินออกเป็นเบอร์ลินตะวันออกและตะวันตก กำแพงนี้เป็นเสมือนเป็นสัญลักษณ์ของการแบ่งแยกระหว่างฝ่ายประเทศเสรีและประเทศคอมมิวนิสต์ในยุคสงครามเย็น (Cold War)

“กำแพงเบอร์ลิน (Berlin Wall)” ตั้งอยู่เป็นระยะเวลา 28 ปี จนกระทั่งรัฐบาลเยอรมันตะวันออก (German Democratic Republic) ได้อนุมัติให้เปิดกำแพงเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2532 ชาวเบอร์ลินตะวันตกออกมาต้อนรับชาวเบอร์ลินตะวันออก บรรยากาศในวันนั้นเหมือนงานเฉลิมฉลอง ชาวเยอรมันจึงถือกันว่าวันนี้เป็น “วันล่มสลายของกำแพงเบอร์ลิน” ก่อนที่กำแพงเบอร์ลินจะถูกทุบทำลายเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2533

ชาติเยอรมันทั้งสองได้กลับเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้ง กล่าวคือ เยอรมนีตะวันออก (German Democratic Republic) ได้รวมชาติกับเยอรมนีตะวันตก (Federal Republic of Germany) อย่างเป็นทางการ กลายเป็น “สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี (Federal Republic of Germany)” เพียงหนึ่งเดียว ในวันที่ 3 ตุลาคม 2533 ภายหลังจึงถือเอาวันที่ 3 ตุลาคม ของทุกปีเป็น “วันรวมชาติเยอรมัน (German Unity Day)”

Oct 1, 2024

1 ตุลาคม พ.ศ.2567


สิ่งเล็กๆที่เรียกว่ารัก

Sep 30, 2024

30 กันยายน พ.ศ. 2567


คิ้วต่ำ

พอรู้ตัวอีกที

ก็แกร่งขึ้นด้วยไม่รู้ตัว

เรื่องหนักหนา ปัญหามากมาย

แก้ได้บ้าง พังไปบ้าง

แต่ก็ผ่านมันมาได้อีกเดือน

ขอบคุณคนรอบข้างที่ดี

ขอบคุณตัวเองที่ไม่ยอมแพ้

Sep 27, 2024

นิทรรศการเชิดชูเกียรติ ครบรอบ 10 ปี วันถวัลย์ ดัชนี 27 กันยายน 2567


ขัวศิลปะ



นิทรรศการพิเศษ นำร่องในการเปิด THAILAND ART & CULTURE EXPO 2025

“ถวัลย์ ดัชนี นายคนภูเขา ผู้สร้างถ้ำแห่งศิลป์”

“La grotta dell’arte leggendario Thawan Duchanee”

เรื่องราวชีวิตและการเดินทางจากคนหลังเขาสู่ยอดภูเขาหิมาลัยแห่งวงการศิลปะ ในโอกาสครบรอบ 12 ปี

แห่งการสร้างสรรค์ร่วมกับอาณาจักรสยามพิวรรธน์

ครั้งแรกในการเปิดถ้ำแห่งศิลป์ ของถวัลย์ ดัชนี

ผู้สร้างบ้านดำอาณาจักรแห่งศิลปะ ศิลปินผู้มีสมญานามว่า

“จักรพรรดิบนผืนผ้าใบ“ ผู้ที่ใช้ฟ้าเป็นผืนผ้าใบ ผู้ใช้โลกเป็นเวที

ศิลปินในตำนานผู้สร้างสรรค์ปรากฏการณ์ศิลปะจนเป็นที่ยอมรับ

ในระดับนานาชาติ

ร่วมกัน ปักหมุดหมายใหม่ให้ประเทศไทยเป็น

“Art Destinations of Asia”


Sep 26, 2024

การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย

 Anne Channel



เรื่องลึกไม่ลับ...พระอาจารย์ภาสกร ภูริวฑฺฒโน (ภาวิไล)


พุทธาคม ปาฏิหาริย์อำนาจบุญ อริยะเหนือโลก


เรื่องลึกไม่ลับ...พระอาจารย์ภาสกร ภูริวฑฺฒโน (ภาวิไล)
วันเดือนปีเกิด : วันพฤหัสบดี ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2504 เป็นบุตรของ ศ. ดร. ระวี ภาวิไล และนางอุไรวรรณ ภาวิไล
บรรพชา อุปสมบท
พ.ศ . 2515. 2517 บรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อน ณ วัดชลประทานรังสฤษฏ์ นนทบุรี
ปี พ.ศ . 2519 อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดคุณแม่จันทร์ แขวงประเวศ กทม
การศึกษา
พ.ศ . 2522 สำเร็จชั้นมัธยมห้า จากโรงเรียนสาธิตจุฬา
พ.ศ . 2526 สำเร็จชั้นปริญญาตรี สาขาฟิสิกส์ จากคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
พ.ศ . 2542 สอบไล่ได้นักธรรมชั้นเอก สำนักเรียนจังหวัดเชียงใหม่
ประสบการณ์
พ.ศ . 2530-2538 ผู้จัดการบริษัทพิจเจอร์ โพรเจคจำกัด ให้บริการถ่ายภาพบุคคลและภาพโฆษณา
2544- ปัจจุบัน ผู้อำนวยการธรรมสถาน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
2544- ปัจจุบัน ผู้ดำเนินรายการ พุทธธรรมนำสุข สถานีวิทยุ ร ด เชียงใหม่ AM 1152 KHz ทุกวัน เวลา 22-23 นาฬิกา
บทความเกี่ยวกับท่าน :
พึ่งตนพึ่งธรรม-จากพระเครื่องสู่พระธรรมพระภาสกร ภาวิไล
ท่านเล่าว่า เมื่อก่อนทำสตูดิโออยู่แถวเอกมัย เช่าตึกแถวทำ ปรากฎว่า เจ้าของเขาเป็นลูกศิษย์แม่ชีเพียงเดือน ท่านอยู่เชียงใหม่ วันหนึ่งเขาก็พาแม่ชีมาทำแผ่นพับ เราก็ท่านบริการทำให้ วันนั้นท่านแม่ชีเห็นอาตมาแขวนพระปากน้ำรุ่นหนึ่ง ท่านก็ขอดูพระหน่อยสิ เราก็หยิบให้ท่านดู ท่านบอกว่า ปากน้ำนะคะ รุ่นแรกนะคะ รักษาให้ดี
"เราก็เอ๊ะ รู้ได้อย่างไร พระเราเป็นก้อนแป้งเลย รู้ได้อย่างไรว่าเป็นของแท้รุ่นหนึ่ง เราก็ถาม แม่ชีสัมผัสได้หรือ แม่ชีบอกว่าพอสัมผัสได้ค่ะ เราก็บอกว่ามีเยอะเลย ของพ่อเต็มถาดเลย ขออนุญาตนะ คราวหน้ามาขอเอาไปให้ตรวจ
"ผ่านไปไม่นาน ท่านแม่ชีเพียงเดือนมากรุงเทพฯ ท่านก็โทรศัพท์มาหาอีกว่าจะมา เราก็ซิ่งมอเตอร์ไซค์มาเลย มาถึงก็รีบเอาพระวางไว้บนโต๊ะ 300 กว่าองค์ให้ท่านตรวจให้ ท่านก็เมตตาตรวจให้ องค์นี้หลวงพ่อเงียบ องค์นี้มีติ๊ดๆ องค์นี้พลังเยอะค่ะ เราก็เริ่มแยกเห็นว่าพระที่หนีบมากับหนังสือพระเครื่องไม่มีพลัง เป็นพระเงียบ พวกมีพลังติ๊ดๆ คือพระเครื่องที่จัดพิธีใหญ่ พระที่มาเข้าพิธีไม่ใช่พระที่ได้ดีอะไรหนักหนา อาศัยจำนวนพระเข้าว่า ส่วนที่เป็นพระเครื่องมีพลังเยอะ ส่วนใหญ่เป็นพระจากสายปฏิบัติ สายพระป่า ที่ลูกศิษย์ทำไปให้หลวงพ่ออธิษฐาน ซึ่งจะไม่ทำรูปท่านเอง แต่จะเป็นรูปครูบาอาจารย์ของท่านและรูปพระพุทธเจ้า"
หลังจากดูพระวันนั้น พระภาสกรเล่าต่อว่า แม่ชีท่านก็หายเงียบไปเลยไม่โทรมา วันหนึ่งท่านก็โทรมาบอกว่าจะมาอีก
"เราบอกว่า หลวงแม่ยังมีพระอีกเต็มเลยช่วยตรวจหน่อยสิ ท่านบอกว่าไม่เอาแล้วค่ะ ยังไงก็ไม่เอา คราวที่แล้วกลับไปคางบวม ไข้ขึ้นหยอดน้ำข้าวต้ม ท่านบอกว่าไม่เอาแล้ว เราก็ต่อรอง งั้นเอาไปทีละน้อยๆ ได้ไหมครับ ต่อรองกับท่าน จากนั้นก็ค่อยๆ เอาพระทีละน้อยๆ ไปให้ท่านตรวจ ระหว่างที่เอาพระไปให้ท่านตรวจ ก็มีลูกศิษย์ลูกหามาฟังธรรม โดยมารยาทก็ต้องนั่งฟังก่อน เราไม่ได้สนใจเรื่องฟังธรรมก่อน สนใจเรื่องพระเครื่องนั่นแหละ แต่ฟังไปฟังมาเอ๊ะเข้าท่า ฟังไปฟังมาเริ่มมีเหตุมีผล ในที่สุดศรัทธาเพิ่มขึ้นพระเครื่องเป็นเรื่องรอง เริ่มสนุกกับการฟังธรรม ถึงขนาดขี่มอร์เตอร์ไซค์จากกรุงเทพฯ ไปฟังธรรมท่านที่จันทบุรี ท่านไปสอนพระอยู่ที่นั่น ก็ไปฟังธรรมกับท่าน สนุก ตื่นเต้นมากๆ"
นั่นเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตที่ทำให้ นิรันดร์ ภาวิไล ก้าวมาสู่หนทางธรรมในวัย 35 ปี
"ทุกอย่างที่เราสงสัยได้คำตอบ จนวันหนึ่งใจมันก็เอ๊ะ คนอะไร เรามีคำถาม 100 ข้อตอบเราได้หมด 100 ข้อ มีอยู่สองอย่างคือ ถ้าไม่จริง ก็จริงทั้งหมด ท่านจะโกหกเราเพื่อประโยชน์อะไร ไม่เห็นมีประโยชน์อะไรที่จะโกหกเราก็เกิดศรัทธาเพิ่มขึ้น ตามไปฟังธรรมอุตลุด แม่ชีท่านอายุเท่าโยมแม่อาตมา (อุไรวรรณ ภาวิไล) เกิดปีฉลู อาตมาก็ปีฉลู ตอนโยมแม่อายุ 24 ปี หลวงพี่จึงเกิดมา ที่ออสเตรเลีย
"แม่ชีเพียงเดือนต้องถือว่าท่านเป็นต้นสาย ท่านปฏิบัติตรงไปตรงมา ท่านพูดอันหนึ่งที่เป็นตัวหลักจริงๆ ว่า คุณภาสกรอยากปฏิบัติธรรมให้ก้าวหน้ารวดเร็ว ให้เขียนบารมี 10 สังโยชน์ 10 พร้อมกับคำแปลติดไว้ที่ข้างฝา แล้วตรวจมันทุกวัน อาตมาไม่เชื่อ ธรรมะมีตั้งเยอะแยะให้ใช้สองอย่างนี้เท่านั้นหรือ มันไม่ง่ายเกินไปหรือ ปรากฏว่าได้ผลจริงๆ การจะได้ผลจริงๆ ก็คือต้องปฏิบัติ และนี่คือแก่นของพระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญบารมี 10 มายาวนานมาก และบารมี 10 นี่เองที่แก้สมการพลิกมาเป็นอริยมรรคมีองค์ 8 ได้
"วันหนึ่งท่านแม่ชีมาบอกว่า คุณภาสกรต่อไปนี้ไม่ต้องมาถามอะไรแม่ชีอีก อ้าวทำไมล่ะกำลังสนุก ทำไมมาห้ามถาม ถ้าคุณภาสกรรู้มากไปกว่านี้จะอยู่ที่เดิมไม่ได้ ท่านเตือน 3 ครั้ง เราไม่เชื่อ กำลังสนุกมาก ที่ผ่านมาเรายิ่งรู้เรายิ่งเบิกบาน ท่านบอกว่าเตือนแล้วนะ 3 ครั้ง จะไม่เตือนอีกแล้วก็จริง ถามว่าที่ผ่านมาเราเจอใคร เรากำลังเจอโคตรเพชรลอยมาอยู่ข้างหน้า โคตรเพชรซึ่งแม้แต่พระพุทธเจ้าทรงสละราชสมบัติ สละความสุขในโลกทุกอย่างที่โลกยกย่องแล้วไปเอาโคตรเพชรนี้มา
"โคตรเพชรนี้คืออะไร คือพระนิพพาน แล้วเรามีโอกาสที่จะหยิบไหม 50-50 ไม่รู้ว่าจะหยิบได้ไหม แต่ในมือเราถือพลอยหุงอยู่ ถ้าไม่วางพลอยหุง หยิบโคตรเพชรไม่ได้ เอาอย่างไรดี ในโลกนี้จะมีสักกี่คนที่โคตรเพชรมาลอยอยู่ข้างหน้า คิดไปคิดมา ลงทุนไปก็เยอะแยะ ลงทุนทำกิจการของตัวเอง เราทำธุรกิจเสี่ยงภัยอยู่ตลอดเวลา ไอ้นี่ เสี่ยงก็ไม่มาก ต้องเอาชีวิตลงทุน แต่ถ้าได้ มันเป็นประโยชน์ยิ่งใหญ่ ก็เอาวะ สู้"
ท่านเลยตัดสินใจลุย วันนั้นแม่ชีบอกท่านว่าจะขึ้นมาเชียงใหม่ นั่งรถทัวร์มา ท่านภาสกรเมื่อยังเป็นฆราวาสอยู่ก็บอกว่าขอไปด้วย
"อาตมาก็กระโดดขึ้นรถตามมา พอถึงกำแพงเพชร เขาจอดรถรับประทานข้าวกลางคืน ท่านแม่ชีนั่งอยู่ในรถ เราเดินไปหาท่านแล้วบอกว่า ผมอยากรอด ผมตัดสินใจแล้ว แม่ชีบอกว่าคุณมั่นใจหรือ ถ้าอย่างนั้นไปเชียงใหม่ ไปเจออาจารย์อีกท่านหนึ่งให้ท่านช่วยเสริมกำลัง ก็ไปเจอครูบาอาจารย์อีกหลายท่าน ระยะแรกเรียกว่าเป็นระยะชุมบุญชาวบ้านเขาก่อน ก่อนที่จะเสริมบุญของตัวเองจนกระทั่งพึ่งพาตนเองได้"
จากนั้นชื่อของนิรันดร์ ภาวิไล นักฟิสิกส์ และช่างภาพโฆษณาที่มีสตูดิโอเป็นของตัวเอง ลูกชายของ ศ.ดร.ระวี ภาวิไล นักดาราศาสตร์ของเมืองไทย ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ปี 2549 ก็ได้หันหน้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์และไม่หวนกลับมาสู่ทางโลกอีกในฉายา พระภาสกร ภูริวฑฺฒโน พร้อมมีวงเล็บข้างท้ายว่า (ภาวิไล)
เหตุที่ท่านภาสกรวงเล็บนามสกุลข้างท้ายว่า "ภาวิไล" นั้น ท่านบอกว่าไม่ใช่เพื่อโด่งดังแต่เพื่อเอาบุญให้พ่อแม่ญาติพี่น้อง ให้เขาได้มีส่วนบุญจากการที่เราเอาเลือดเนื้อเชื้อไขเขามาทำความดี เพราะสิ่งที่พ่อสอนคือ สอนให้เคารพเหตุผล อันนี้สำคัญมาก ทำให้อำนาจการตัดสินใจเรามีกำลัง "ตอนเด็กๆ วันหนึ่งพ่อก็เรียกลูกๆ มาช่วยกันหน่อย ไปยกเอาเหล้ามาหน่อย พ่อให้เอาเหล้าจากตู้โชว์ออกมาหมดเลย แล้วไปเทลงส้วม พ่อทำไมเทลงส้วมหมดล่ะ พ่อเลิกกินแล้ว ทำไมไม่เอาไปให้คนอื่นล่ะ ของดีๆ ทั้งนั้น พ่อบอกว่า ในเมื่อเราเห็นว่าเป็นของไม่ดี เราจะเอาของไม่ดีไปให้คนอื่นทำไม ตั้งแต่วันนั้นมา เราไม่เคยเห็นพ่อกลับไปแตะต้องอีกเลย เราเห็นการตัดและการตัดสินใจของพ่ออย่างเฉียบขาด มันประทับใจอยู่ข้างใน ถึงเวลาที่เราตัดสินใจเดินหน้า เราไม่ลังเล มั่นใจว่าเดินหน้าคือเดินหน้า ลุยเป็นลุย ส่วนโยมแม่น่ารัก เป็นคนใจดี คนละด้านกับโยมพ่อ คือโยมแม่ไม่ค่อยมีเหตุผล แต่ทั้งคู่ก็เป็นคู่รักที่สวีทหวานแหววจนถึงทุกวันนี้"
ถ้าหากย้อนประวัติของท่านตั้งแต่ในวัยเยาว์ก็ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมท่าน จึงเลือกที่จะเดินบนหนทางนี้ เพราะทุกครั้งที่อาจารย์ระวีไปสนทนาธรรมกับท่านพุทธทาสภิกขุ ณ สวนโมกขพลาราม ก็จะพาท่านไปด้วย แล้วท่านก็วิ่งเล่นขมุกขมอมตามพระพยอม กัลยาโณ บรรยายธรรมอยู่ในโรงมหรสพทางวิญญาณ ตั้งแต่ยังเล็กๆ
วันนี้ ท่านเป็นผู้อำนวยการ "ธรรมสถาน" มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จำพรรษาอยู่ที่วัดฝายหิน ถนนสุเทพ ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ สอนเรื่องกรรม วิบาก และปฏิจจสมุปบาทให้ทุกท่านที่สนใจค้นหาความจริงของชีวิต
ชีวิตนักบวชของท่านเต็มเปี่ยมไปด้วยศรัทธาปสาทะในปัญญาของพระพุทธเจ้า แม้จุดเริ่มต้นที่ทำให้ท่านมาบวชคือ "พระเครื่อง" แต่ท่านก็สามารถมองพระเครื่องทะลุจนเห็นพระธรรมได้ ท่านเรียกการต่อสู้กับตัวเองว่าเหมือนการขึ้นชกชิงแชมป์โลก ต้องอาศัยวิปัสสนาชกมวย (คือชกกับกิเลสของตัวเอง) ด้วยการฝนสติ สมาธิ และปัญญาให้คมกริบ เพื่อเอาชนะกิเลสมารทั้งปวงที่ทำให้เวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสารไม่จบสิ้น
ท่านบอกว่าชีวิตคือความท้าทาย และโลกใบนี้เป็นเหมือนเวทีให้เราทดลองใช้ชีวิต แต่ว่าเราทดลองอะไรเราต้องรับผิดชอบด้วย เพราะฉะนั้นอย่าประมาท
ทางลัด ทางรอดสังโยชน์ ๑๐ และบารมี ๑๐
สังโยชน์ แปลว่า กิเลสเป็นเครื่องร้อยรัดจิตใจให้ตกอยู่ในวัฏฏะ มี ๑๐ อย่าง
๑.สักกายทิฏฐิ เห็นว่า ร่างกายเป็นเรา เป็นของเรา (คำว่าร่างกายนี้หมายถึง ขันธ์ ๕)
๒.วิจิกิจฉา ความลังเลสังสัย ในคุณพระรัตนตรัย
๓.สีลัพพตปรามาส รักษาศีลแบบลูบๆ คลำๆ ไม่รักษาศีลอย่างจริงจัง
๔.กามฉันทะ มีจิตมั่วสุมหมกมุ่น ใคร่อยู่ในกามารมณ์
๕.พยาบาท มีอารมณ์ผูกโกรธ จองล้างจองผลาญ
๖.รูปราคะ ยึดมั่นถือมั่นในรูปฌาน
๗.อรูปราคะ ยึดมั่นถือมั่นในอรูปฌาน คิดว่าเป็นคุณพิเศษที่ทำให้พ้นจากวัฏฏะ
๘.มานะ มีอารมณ์ถือตัวถือตน ถือชั้นวรรณะเกินพอดี
๙.อุทธัจจะ มีอารมณ์ฟุ้งซ่าน ครุ่นคิดอยู่ในอกุศล
๑๐.อวิชชา มีความคิดเห็นว่า โลกามิสเป็นสมบัติที่ทรงสภาพ
บารมี แปลว่า กำลังใจเต็ม บารมี ๑๐ ทิศ มีดังนี้
๑.ทานบารมี จิตพร้อมที่จะให้ทานเป็นปกติ - การให้ เป็นการตัดความโลภ
๒.ศีลบารมี จิตพร้อมในการปฏิบัติศีล - ศีล เป็นการตัดความโกรธ และความหลง
๓.เนกขัมมบารมี จิตพร้อมในการทรงเนกขัมมะเป็นปกติ เนกขัมมะ แปลว่า การถือบวช -เนกขัมมะ เป็นการตัดอารมณ์ของกามคุณ
๔.ปัญญาบารมี จิตพร้อมที่จะใช้ปัญญาเป็นเครื่องประหัตประหารให้พินาศไป -ปัญญา ตัดความโง่
๕.วิริยบารมี จิตมีความเพียรทุกขณะ - วิริยะ ตัดความขี้เกียจ
๖.ขันติบารมี มีความอดทน อดกลั้นต่อสิ่งที่เป็นปฏิปักษ์ - ขันติ ตัดความไม่รู้จักอดทน
๗.สัจจะบารมี สัจจะ ทรงตัวไว้ตลอดเวลาว่าเราจะจริงทุกอย่าง ในด้านของการทำความดี - สัจจะ ตัดความไม่จริงใจ มีอารมณ์ใจกลับกลอก
๘.อธิษฐานบารมี ตั้งใจไว้ให้ตรงโดยเฉพาะ - อธิษฐาน ตั้งจิตไว้ให้สมบูรณ์
๙.เมตตาบารมี สร้างความดี ไม่เป็นศัตรูกับใคร มีความรักตนเสมอด้วยบุคคลอื่น -เมตตา สร้างความเยือกเย็นของใจ
๑๐.อุเบกขาบารมี ช่วยจนถึงที่สุดแล้วจึงวางเฉย - วางเฉยไว้ในเรื่องของกายเรา มันเป็นเช่นนั้นเอง

Sep 25, 2024

25. 26❤️25Sep.26Years🧡MFU


Bangkok I Love You


"ฉันจะปลูกป่าบนดอยตุง" จะไม่เสด็จฯไปประทับที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
หลังจากพระชนมายุ 90 พรรษา
พระเมตตาของสมเด็จย่า พลิกฟื้นดอยตุงจาก ดอยหัวโล้นที่แห้งแล้งเป็นป่าดิบชื้นที่สมบูรณ์
ชาวบ้านมีอยู่มีกินกันอย่างสนุขสบาย
โดยโครงการพัฒนาดอยตุง (พื้นที่ทรงงาน )มีที่มาจาก
พระราชดำริในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ที่มีความสนพระทัยที่จะพัฒนาพื้นที่ดอยตุง
จังหวัดเชียงรายให้เป็นพื้นที่ ที่อุดมสมบูรณ์ที่สุด และเป็นโครงการทดลองรูปแบบการพัฒนาเบ็ดเสร็จ
เพื่อจะขยายผลการช่วยเหลือประชาชน ในพื้นที่ต่าง ๆ เนื่องจากทรงเจริญพระชนมพรรษามาก
แล้วการที่จะแปรพระราชฐานไปยังพื้นที่ต่าง ๆ คงไม่สามารถทรงงานเช่นเดิมได้
ในวันที่ 15 มกราคม 2530 สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ได้เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรบริเวณที่เห็น
สมควรจะ สร้างพระตำหนัก ได้มีพระราชกระแสรับสั่งกับหม่อมราชวงศ์ดิศนัดดา ดิศกุล
ราชเลขานุการในพระองค์ "ฉันจะปลูกป่าบนดอยตุง" จะไม่เสด็จฯไปประทับที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
หลังจากพระชนมายุ 90 พรรษา และ เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2530
สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีเสด็จแปรพระราชฐานไปประทับที่เขื่อนภูมิพล จังหวัดตาก
พร้อมกับทรงมีรับสั่งกับผู้เข้า เฝ้าทูลละอองพระบาทว่า "อยากจะไปปลูกป่าบนดอยตุง
แต่คงจะต้อง ใช้ระยะเวลายาวนานมาก อาจจะเป็นเวลานานถึง 10 ปี"


  MFU TODAY

เก่งแค่ไหนก็ถูกแทนที่ได้


 วินทร์ เลียววาริณ

นายเชี่ยวชาญแจ้งเจ้านายว่าจะขอลาออกจากงานที่ทำมาสิบปี บริษัทใหม่ให้ตำแหน่งและเงินเดือนสูงกว่า เจ้านายบอก “อย่าไปเลย ได้โปรด คุณมีค่าต่อบริษัท คุณเป็นทรัพยากรมีค่าของเรา ถ้าคุณไป บริษัทจะล้มแน่ อยู่ต่อก็แล้วกัน เดี๋ยวผมให้เงินเดือนขึ้น พลีส พลีส พลีส!” นายเชี่ยวชาญอยู่ต่ออีกสองปี เจ้านายก็เรียกนายเชี่ยวชาญไปพบ แจ้งว่าบริษัทจะเลิกจ้างเขา ทันใดนั้นนายเชี่ยวชาญพบว่าเขาไม่ได้เป็น ‘ทรัพยากรมีค่า’ สำหรับบริษัทนี้อีกต่อไป เขาถูกแทนที่ได้ ความจริงคือนายเชี่ยวชาญไม่ได้โง่ลง หรือขี้เกียจขึ้น เขายังเก่งเหมือนเดิม แต่เกมเปลี่ยนไปแล้ว มีปัจจัยมากมายที่เกี่ยวข้อง บางทีเงินเดือนของเขาสูงเกินไปแล้ว บางทีโลกทัศน์ของเขาไม่ขยายตามยุค บางทีภาษาอังกฤษที่เขารู้อาจไม่พอแล้ว บางทีประธานบริษัทคนใหม่แค่ไม่ชอบหน้าเขา ฯลฯ และเมื่อถึงเวลาตัดสินใจขององค์กร บริษัทแทบทั้งหมดจะถือประโยชน์ขององค์กรหรือผู้มีอำนาจตัดสินเป็นที่ตั้ง หลายคนทำงานอยู่ที่เดิมตลอดชีวิต บริษัทอื่นมาล่าตัวไปทำงานด้วย ก็ไม่ยอมไป เพราะจงรักภักดีต่อองค์กรอย่างมั่นคง ผมรู้จักคนที่จงรักภักดีต่อองค์กร ไม่ย้ายไปที่อื่นทั้งที่ได้รับข้อเสนอดีกว่า แต่เมื่อถึงจุดจุดหนึ่ง เช่น วัยเริ่มอ่อนล้า ความคิดอ่านเริ่มอ่อนแรง ความจงรักภักดีก็ไม่สามารถทำให้เขารักษาตำแหน่งและงานได้ เพราะแม้ความจงรักภักดีต่อองค์กรเป็นข้อดี แต่เมื่อถึงจุดตัดสินใจ บริษัทไม่ได้ดูที่ความจงรักภักดีเป็นหลัก ถึงทำงานมานานปี ก็อย่ามีอีโก้ เก่งแค่ไหนก็ถูกไล่ออกได้ อย่าคิดว่าตนเองสุดยอด ไม่มีใครแทนเราได้ มีตัวอย่างมากมายนับไม่ถ้วน ‘คนเก่ง’ และ ‘ทรัพยากรมีค่า’ ถูกแทนที่ได้เสมอ หากคุณเป็นที่ต้องการขององค์กร เวลาไปลาออก เจ้านายจะพูดว่าบริษัทขาดคุณไม่ได้ ล่มแน่ ฯลฯ ทั้งนี้เพราะเขาขี้เกียจหาคนใหม่ แต่หากจำเป็นก็หาได้เสมอ ไม่เชื่อลองตายดู รับรองว่าเขาหาคนใหม่มาจนได้ เพราะธุรกิจต้องดำเนินต่อไป แม้ในระดับของผู้บริหารและผู้นำองค์กร ไม่มีใครในโลกที่เป็นทรัพยากรมีค่าจนปลดออกไม่ได้ บริษัทหาคนมาแทนได้เสมอ ผู้นำคนไหนคิดว่าตัวเองเก่งกาจสุดยอด อาจประเมินตัวเองสูงเกินไป ในโลกธุรกิจ ไม่มีเทวดา หลักของพุทธสอนเรื่องใช้ชีวิตโดยไม่ประมาท แต่หลายคนเมื่ออยู่ที่สูงนาน ๆ สมองมักขาดออกซิเจน เห็นภาพลวงตาเป็นภาพจริง มนุษย์เงินเดือนพึงคิดเสมอว่าเราทุกคนเป็น ‘expendable’ แปลอย่างไม่สุภาพว่า ถูกขับออกจากสำนักได้ทุกเมื่อ ผู้ที่อยากอยู่จนเกษียณควรสร้างอำนาจต่อรองให้ตนเอง ถ้าเราเก่ง มีวิสัยทัศน์ และหาเงินเข้าบริษัทได้ ก็ยังสามารถดำรงตำแหน่ง ‘ทรัพยากรมีค่า’ ขององค์กรต่อไป พึงวิเคราะห์และประเมินตัวเองเป็นระยะ ควรรู้ว่าตนเองยืนอยู่ตรงไหน คุณภาพและคุณสมบัติของตนเองเป็นอย่างไร ยังใช้งานได้ดีหรือไม่ ต้องอัพเกรดแล้วยัง อย่ารอจนเบื้องบนเรียกไปบอกว่า “คุณเป็นทรัพยากรมีค่าของเรา แต่...” การรู้เขารู้เราจะทำให้เราพบจุดแข็งของตนเอง และมันจะเป็นอำนาจต่อรองโดยเราไม่ต้องพูดสักคำ และที่สำคัญ ในชีวิตการทำงาน ควรรู้ว่าเมื่อไรควรอยู่ต่อ เมื่อไรควรลาออก บางครั้งแม้ในเวลาที่กำลังมั่นคงที่สุด ก็ควรไป มองที่เป้าหมาย แล้วก้าวเดินไปหาเป้านั้นโดยไม่ว่อกแว่ก ปรับแผนและจังหวะช้าเร็วตามความเหมาะสม แต่อย่าให้เป้าหมายหลุดจากสายตา จากหนังสือ ตัวสุขอยู่ในหัวใจ วินทร์ เลียววาริณ

“วันที่ 27 กันยายนนี้ ช่วยทำตัวให้ว่างนะ มากินข้าวเย็นที่บ้านผม”


 วินทร์ เลียววาริณ

จดหมายเชิญเขียนว่า “วันที่ 27 กันยายนนี้ ช่วยทำตัวให้ว่างนะ มากินข้าวเย็นที่บ้านผม”

แขกสิบสี่คนผู้ได้รับจดหมายเชิญไปตามนัด ทั้งหมดนั่งล้อมวงที่โต๊ะอาหาร ข้างเก้าอี้แต่ละตัววางกระเป๋าเอกสารใบหนึ่ง

เจ้าของบ้านบอกแขกทั้งหมดว่า “นี่แน่ะ ผมอยากให้พวกคุณรู้ว่าพวกคุณมีความหมายต่อชีวิตผมแค่ไหน

ตอนที่ผมมา แอลเอ. ผมนอนบนโซฟาบ้านพวกคุณ ผมโชคดีมากที่ได้พวกคุณเป็นเพื่อน และถ้าไม่มีพวกคุณ

ผมจะไม่มีวันเป็นอย่างที่ผมเป็นในวันนี้ ดังนั้นเป็นเรื่องสำคัญมากตอนที่เรายังอยู่กันครบถ้วนอย่างนี้

ที่ผมขอตอบแทน ผมอยากให้ทุกคนเปิดกระเป๋าเอกสาร”

แขกทั้งสิบสี่คนเปิดกระเป๋า แล้วตะลึง ภายในแต่ละใบบรรจุธนบัตรหนึ่งล้านดอลลาร์

เจ้าของบ้านพูดต่อด้วยรอยยิ้ม “ผมรู้ว่าเราผ่านช่วงชีวิตที่หนักหนาสาหัสมา บางคนในกลุ่มเรายังต้องดิ้นรนอยู่

ตอนนี้พวกคุณไม่ต้องห่วงลูกๆ ไม่ต้องห่วงเรื่องที่เรียน ไม่ต้องห่วงเรื่องผ่อนบ้านอีก

อ้อ! ผมจ่ายค่าภาษีเงินได้ของเงินก้อนนี้ให้พวกคุณเรียบร้อยแล้ว”

นี่คือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2556

เจ้าของบ้านคนนั้นเป็นนักแสดงชื่อ จอร์จ คลูนีย์ ผู้ถือคติ มีบุญคุณต้องทดแทน มีเพื่อนดี ต้องยิ่งทดแทนหนักขึ้นล้านเท่า

จาก เหตุผลที่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้า / วินทร์ เลียววาริณ

Sep 15, 2024

15 กันยายน 2567 วัน “ศิลป์ พีระศรี”

ม.ศิลปากร จัดงานวันศิลป์ พีระศรี รำลึก 132 ปี ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี

132 ปีศาสตราจารย์ศิลป์  พีระศรี : ชาวศิลปากรรวมพลังน้อมรำลึกในคุณูปการศาสตราจารย์ศิลป์พีระศรีผู้วางรากฐานศิลปะสมัยใหม่ของไทยและผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยศิลปากร


เป็นประจำทุกปีของวันที่ 15 กันยายนมหาวิทยาลัยศิลปากรจัดงานวันศิลป์พีระศรีเพื่อระลึกถึงศาสตราจารย์ศิลป์พีระศรีผู้อุทิศชีวิตทั้งชีวิตให้แก่วงการศิลปะ  และวางรากฐานการศึกษาด้านศิลปะร่วมสมัยของไทยอย่างแท้จริงพวกเรายกย่องให้ศาสตราจารย์ศิลป์พีระศรีเป็น “บิดาแห่งศิลปร่วมสมัยของไทย”       


มหาวิทยาลัยศิลปากรร่วมกับกรมศิลปากรสมาคมนักศึกษาเก่ามหาวิทยาลัยศิลปากรและองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยศิลปากรร่วมแรงร่วมใจกันจัดงานวันศิลป์พีระศรีขึ้นตรงกับวันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน 2567 ด้วยความรักความผูกพันและความศรัทธาที่มีอยู่ในใจของลูกศิษย์ท่านไม่รู้ลืมโดยนายชวน  หลีกภัยอดีตนายกรัฐมนตรี  ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิดงานวันศิลป์  พีระศรี  ณลานอนุสาวรีย์ศาสตราจารย์ศิลป์พีระศรีมหาวิทยาลัยศิลปากรวังท่าพระกรุงเทพฯภายในงานประกอบด้วยพิธีทำบุญตักบาตรพิธีมอบทุนสร้างสรรค์ศิลป์พีระศรีพิธีมอบรางวัลศิลปกรรมร่วมสมัยของศิลปินรุ่นเยาว์และสำหรับการวางกระเช้าดอกไม้เพื่อคารวะศาสตราจารย์ศิลป์พีระศรีในปีนี้มหาวิทยาลัยศิลปากรขอความร่วมมือหน่วยงานภายในจัดเตรียมกระเช้าอุปกรณ์สร้างสรรค์งานศิลปะ  ภายหลังจากเสร็จสิ้นงานมหาวิทยาลัยฯจะนำไปมอบให้แก่สถานศึกษาระดับมัธยมศึกษาต่อไปและอีกหนึ่งกิจกรรมที่เป็นไฮไลท์ของการจัดงานครั้งนี้ “การแสดงปาฐกถาศิลป์พีระศรี” ในหัวข้อ “ผลิลานศิลป์ถิ่นอีสาน : ทวีรัชนีกร” ศิลปินแห่งชาติสาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรมประจำปีพ..2548 พิธีจุดเทียนรำลึกถึงศาสตราจารย์ศิลป์  พีระศรี  ในเวลา 19.00 การแสดงดนตรีการออกร้านจำหน่ายผลงานของนักศึกษาและกิจกรรมบันเทิงต่างๆ 


นอกจากนี้ยังมีการจัดแสดงนิทรรศการศิลปะที่น่าสนใจณหอศิลป์คณะวิชาต่างๆและหอศิลป์  มหาวิทยาลัยศิลปากรรวมทั้งสำนักหอสมุดกลางมหาวิทยาลัยศิลปากรวังท่าพระ

Sep 9, 2024

9.9.2024

 Lemon 8


วันที่ 9 เดือน 9 2024 | แกลเลอรีที่โพสต์โดย Vwiwa Wìranee



Sep 5, 2024

พิธีมอบเข็มที่ระลึกผู้บริจาคโลหิต ครบ 36 ครั้ง และ 108 ครั้ง ระหว่างปี พ.ศ. 2558 - 2565 ในเขตกรุงเทพมหานคร

พิธีมอบเข็มที่ระลึกผู้บริจาคโลหิต ครบ 36 ครั้ง และ 108 ครั้ง ระหว่างปี พ.ศ. 2558 - 2565 ในเขตกรุงเทพมหานคร

5 กันยายน 2567 เป็นวันคล้ายวันเกิด 76 ปีของพี่เต๋อ เรวัต พุทธินันทน์

Thammasat University Library

สองเราเท่ากัน: เรวัต พุทธินันทน์และเพลงเกี่ยวกับช้างไม่มีเท้า

 เรื่องและภาพประกอบ: ปัณณธร ตังเซ่งกี้

.
หากเธอคิดพบรักที่ชื่นฉ่ำ
อย่ามัวทำตัวเองมืดมน
อย่ากลัวฝนเพราะฝนนั้นเย็นฉ่ำ
อย่ามัวทำตามความคิดเดิม
ลองคิดดู ลองหาทางสู้กับฝน
.
ท่อนฮุคติดหูจากเพลง “เจ้าสาวที่กลัวฝน” เป็นสิ่งแรกที่พาผมไปรู้จัก “เรวัต พุทธินันทน์” น้าหนวด ผู้ปฏิวัติวงการเพลงไทย หรือที่หลายคนเรียก “เต๋อ เรวัต”, “พี่เต๋อ”, “อาเต๋อ” กระทั่ง “พ่อเต๋อ” ก็มี สำหรับผมเรียก “น้าเต๋อ” ตามประสาคนไทย ที่เรียกทุกคนอย่างญาติสนิท ซึ่งแน่นอนว่าผมไม่ได้รู้จักน้าเต๋อเป็นการส่วนตัว แค่นับถือท่านมากเหมือนน้าแท้ๆ
.
ส่วนเหตุที่ทำให้ผมศรัทธาท่านได้ขนาดนั้น มาจากความเป็นคนจริงของท่าน ทั้งจริงจังและจริงใจ น้าเต๋อทำงานอุทิศชีวิตให้ดนตรีที่รักอย่างเข้มข้นจนสุดทาง เพื่อล้างภาพนักดนตรีของบ้านเราในฐานะ “อาชีพเต้นกินรำกิน” ซึ่งที่สุดก็ทำได้จริง ดูได้จากความสำเร็จของ “จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่” ที่ท่านเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง และถึงงานที่ทำจะหนักหนาและต้องทุ่มเทเวลามากแค่ไหน น้าเต๋อกลับไม่เคยลืมความสัมพันธ์ใกล้ตัว ทำหน้าที่ในทุกบทบาทของชีวิตได้ดีอยู่เสมอ เป็นซุปเปอร์แฟมิลี่แมน เป็นพี่ชายใจดี จมูกโต หนวดดก ของน้องๆ เป็นคนรักงานและรักเพื่อนมนุษย์ ซึ่งผมถูกใจและหลงใหลคนประเภทนี้มาก
.
โดยนอกจากแง่ความเป็นมนุษย์ของน้าเต๋อแล้ว ในแง่ศิลปิน ผลงานน้าเต๋อเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ผมรักชายคนนี้แบบถอนตัวไม่ขึ้น น้าเต๋อเป็นผู้แหวกขนบ “ร้อยเนื้อทำนองเดียว” ของวงการเพลงไทยสากลสมัยนั้น ด้วยการนำเนื้อร้องที่มีภาษาตรงไปตรงมาแต่แฝงปรัชญา มาเรียบเรียงเข้ากับทำนองแบบสากลที่แต่งขึ้นใหม่ได้อย่างลงตัว เกิดเป็นเพลงแนว “เต๋อ” ที่มีเอกลักษณ์แปลกใหม่ไม่ซ้ำใคร ซึ่งถูกใจวัยรุ่นไทยยุคนั้นที่กำลังนิยมเพลงสากล จะพูดว่า น้าเต๋อเป็นหนึ่งใน “Trendsetter” ของวงการเพลงไทยยุค 80’s ก็คงไม่ผิดนัก และด้วยความล้ำยุคนี้เอง ทั้งในด้านเนื้อหาและรูปแบบการนำเสนอ จึงทำให้ทุกวันนี้ งานเพลงของน้าเต๋อยังคงร่วมสมัย เข้าถึงใจคนฟังได้ทั้งรุ่นเล็กและรุ่นใหญ่ อาทิ “ดอกไม้พลาสติก” ที่จิกกัดความงามแต่เพียงเปลือกมาแล้วกว่า 40 ปี “เจ้าสาวที่กลัวฝน” ที่คอยสอนคนทุกยุคไม่ให้กลัวความรัก “เมืองใหญ่เมืองนี้” ที่ยังเล่าถึงมหานครเดิมที่คนไม่ค่อยเป็นคน และอีกหลากหลายบทเพลงที่มีเนื้อหามาก่อนกาล
.
หนึ่งในนั้น คือ “สองเราเท่ากัน” ที่เขียนจากบริบทภายในครอบครัวของท่านเอง หลังฟังจบครั้งแรก ผมยิ่งรักชายธรรมดาแสนพิเศษคนนี้มากขึ้น ถ้าเกิดทันคงมีเทป “เต๋อ” เก็บไว้ทุกชุด รับบทแฟนตัวยง ความมาก่อนกาลของ “สองเราเท่ากัน” คือการพูดถึงประเด็น “ช้างเท้าหน้า ช้างเท้าหลัง” หรือว่าให้ง่ายก็คือ “ความเท่าเทียมทางเพศ” ซึ่งขณะนั้นที่เพลงเพิ่งปล่อย (2529) ค่านิยมที่ว่า “ผู้ชายต้องเป็นผู้นำครอบครัว (ช้างเท้าหน้า) และผู้หญิงต้องคอยซัพพอร์ตอยู่เบื้องหลัง ห้ามเกินหน้าเกินตา (ช้างเท้าหลัง)” ยังเป็นที่นิยมแพร่หลายกันอยู่ ผิดกับปัจจุบันที่สังคมมองว่า “ในครอบครัวไม่มีใครนำใครแล้ว ผู้นำและผู้ตามเป็นบทบาทที่สมาชิกทุกคนสามารถเป็นได้ ขึ้นอยู่กับบริบทของแต่ละบ้าน ” ซึ่งชุดความคิดในลักษณะนี้ น้าเต๋อท่านเคยเล่าไว้ผ่าน “สองเราเท่ากัน”
.
หลายหลายคนคิดว่า
ผู้ชายควรจะเป็นช้างเท้าหน้า
ส่วนผู้หญิงควรจะเป็นช้างเท้าหลัง
แต่สำหรับผมแล้ว
ผมคิดว่าเราน่าจะเดินไปพร้อมพร้อมกัน
เดินไปอย่างเท่าเทียมกัน
.
ท่อนพูดก่อนร้องของ “สองเราเท่ากัน” เป็นส่วนที่นำเสนอความหัวก้าวหน้าของน้าเต๋อในประเด็นนี้ได้เด่นชัดที่สุด
.
สำหรับผม “น้าเต๋อเป็นสุภาพบุรุษตัวจริง” และเป็นคนน่ารักที่สุดคนหนึ่งในชีวิตที่เคยรู้จัก
.
ผู้อ่านลองคิดจินตนาการว่า หากท่านถามเพื่อนสักคนว่า “อยากเห็นอะไรเป็นจริงมากที่สุด”
แล้วเขาตอบว่า “ผมอยากเห็นคุณมีความสุขอย่างที่ผมมีอยู่ตอนนี้”
ท่านจะไม่รักคนแบบนี้ได้จริงหรือ?
.

อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ นายเรวัต พุทธินันทน์
https://digital.library.tu.ac.th/.../Info/item/dc:181076
.
"เรวัต พุทธินันทน์ : ‘เต๋อ’ ผู้ปฏิวัติวงการเพลงไทย" จาก ยอดมนุษย์..คนธรรมดา (The Normal Hero)
https://www.thenormalhero.co/rewat-buddhinan/