Custom Search

Jun 5, 2021

'บุญล้อม'เกษตรกรทฤษฎีใหม่ เดินตามรอย 'พ่อหลวง ร.9 '




นภาพร พานิชชาติ

napapornp@dailynews.co.th

อาทิตย์ที่ 16 ตุลาคม 2559

ที่มา https://www.dailynews.co.th/article/530317

“ตอนนี้เราปลูกข้าวแค่ 4 ไร่

ก็เพียงพอกับการกินอยู่ของครอบครัว

สีข้าวกินเอง แกลบ รำข้าวเอาไว้เลี้ยงเป็ดไก่ และทำปุ๋ยหมัก

พืชผักนอกจากปลูกไว้ทานเองในครอบครัวก็นำไปขาย

นำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาแปลงเป็นบันได 9 ขั้น

รายได้หลักมาจากการขายพืชผัก เหลือจากกิน เก็บ”

เดิมบ้านเราทำนา 100 ไร่ ที่ดินของตัวเอง 20 ไร่

ที่เหลือเช่าเขา

แต่ทำเท่าไหร่ก็ไม่พอจ่ายค่าเช่าและหนี้สิน

เราเลยคืนที่เขา ทำแค่ 20 ไร่ ยึดตามทฤษฎีของในหลวง

ปลูกข้าว ปลูกพืชผักที่ให้ผลผลิตเร็ว เช่น

ตะไคร้ ข่า มะเขือ พริก เลยมีของกินในบ้าน

ลดเรื่องการใช้จ่ายที่ต้องไปซื้อเขากิน

พอเรามีกินในบ้าน ก็ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายมากขึ้น

นี่เป็นแนวทางของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่วางไว้ให้

ปวงชนชาวไทย คือ

“พอกิน พอใช้ พออยู่”


นายบุญล้อม เต้าแก้ว เกษตรกรชาว

ต.หนองโน อ.เมือง จ.สระบุรี

เล่าถึงชีวิตที่ผ่านมา จากเกษตรกรที่มีหนี้สินล้นพ้นตัวจาก

เกษตรเคมี สู่การมีชีวิตที่ลืมตาอ้าปากได้ด้วยเกษตรอินทรีย์

และทำตามกำลังที่มี ตามปรัชญาของพ่อหลวง

จากชีวิตครอบครัวที่เกือบล่มสลาย

จนตอนนี้นับว่าประสบความสำเร็จในอาชีพ

เพราะพื้นที่ของเขาได้กลายเป็น

ศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงหนองโน

เป็นแบบอย่างให้กับชุมชนรอบข้างได้มาศึกษา

บุญล้อมก็คงเหมือน ๆ กับคนทั่วไปที่ต้องการ

มีฐานะความเป็นอยู่ที่ดี

จึงขวนขวายเช่าที่ดินมาทำนาเพิ่ม เพราะคิดว่าทำมา

เงินก็คงมากตามไปด้วย ปุ๋ยเคมี สารบำรุงดินต่าง ๆ

จึงถูกซื้อมาใส่นาเพื่อเพิ่มผลผลิต

แต่เมื่อเกี่ยวข้าวเสร็จกลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะเงินที่ได้มา

ไม่เพียงพอกับหนี้ ธ.ก.ส.และหนี้นอกระบบ ที่กู้มาลงทุน

ยิ่งปีไหนฝนแล้ง หนี้ก็เพิ่มพูน

จนเมื่อปี 2535 พ่อของบุญล้อมได้ไปดู

โครงการทฤษฎีใหม่แห่งแรกของประเทศไทย ที่

วัดมงคลชัยพัฒนา อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.สระบุรี

ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว(ร.9)

ทำไว้เป็นแปลงสาธิตให้เกษตรกรเข้าไปศึกษาดูงาน

โดยแบ่งพื้นที่เป็น 4 ส่วน คือ

การขุดหนองน้ำ นาข้าว ปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ และทำที่อยู่อาศัย

จึงได้นำทฤษฎีของพระองค์มาใช้กับที่ดิน 20 ไร่ของครอบครัว

“เรากลับปรับเปลี่ยนพื้นที่ 20 ไร่ของเราตาม

ที่พระเจ้าอยู่หัว (ร.9) วางไว้

แต่ยังคงไว้ 4

ส่วนตามทฤษฎีของพระองค์ท่าน คือต้องมีน้ำในการอุปโภค

บริโภค และทำการเกษตร

ก็เลยขุดหนองน้ำ และยังมีแปลงนาข้าวซึ่งเป็น

อาหารหลักของคนไทยเรา

และท่านยังบอกอีกว่าให้ปลูกของกิน ของใช้ ก็คือ ป่า 3 

อย่างประโยชน์ 4 อย่าง

เลยมาปลูกพืชผักสวนครัวคือสิ่งที่เรากินใช้ในชีวิตประจำวัน

และเลี้ยงปศุสัตว์

สร้างที่อยู่อาศัย ปลูกบ้านหลังเล็ก ๆ พอพักพิงได้

และใช้พื้นที่ก่อเกิดประโยชน์มากที่สุด


ช่วงแรกยังใช้ปุ๋ยเคมีบ้างเพราะยังไม่มีความรู้

แต่วันหนึ่งมาประสบปัญหากับครอบครัวตัวเอง คือ

ละอองสารเคมีจากแปลงข้าง ๆ ปลิวมาถูกเห็ดฟางที่ปลูกไว้

ทำให้ผลผลิตเสียหายทั้งหมด

ทั้งที่กำลังจะเก็บขาย รายได้กำลังจะเข้าครอบครัว

แต่สารเคมีทำให้ครอบครัวเกือบล่มสลาย

ครอบครัวของบุญล้อมจึงตั้งปณิธานว่า

ต่อจากนี้จะไม่เอาสารเคมีเข้าบ้าน

จากนั้นก็เริ่มศึกษาอย่างจริงจัง

โดยไปอบรมจากศูนย์กสิกรรมธรรมชาติที่มาบเอื้อง

กับ อ.ยักษ์- ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร เรียนรู้เรื่องการทำน้ำหมัก

สมุนไพรขับไล่แมลง และฮอร์โมนต่าง ๆ

เพื่อจะเร่งการเจริญเติบโตของพืช

งดปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลงโดยสิ้นเชิง

หมักน้ำหมักเพื่อปรับปรุงบำรุงดิน

ใช้ที่ดินที่มีอยู่เป็นแปลงทดสอบและสาธิต

และนำน้ำนมดิบที่เหลือทิ้งจากโรงงานมา

ต่อยอดทำปุ๋ยหมักเพื่อเร่งการเจริญเติบโตของพืช

ปรับเป็นสูตรต่าง ๆ เรียนรู้ลองผิดลองถูก

จนปัจจุบันสามารถนำความรู้มาฝึกอบรม

เรื่องการทำปุ๋ยหมักจากน้ำนม

ให้เกษตรกรที่สนใจได้ ปัจจุบันที่ดินของเขาได้กลายเป็น

“ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงสวนล้อม ศรีรินทร์”

มีประชาชนและหน่วยงานเข้ามาศึกษาดูงานทุกวัน

“ตอนนี้เราปลูกข้าวแค่ 4 ไร่ก็เพียงพอ

กับการกินอยู่ของครอบครัว

สีข้าวกินเอง แกลบ รำข้าวเอาไว้เลี้ยงเป็ดไก่ และทำปุ๋ยหมัก

พืชผักนอกจากปลูกไว้ทานเองในครอบครัวก็นำไปขาย

นำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาแปลงเป็นบันได 9 ขั้น

รายได้หลักมาจากการขายพืชผัก เหลือจากกิน เก็บ

ก็มาขายและแบ่งปัน และขายน้ำหมักที่มาจากน้ำนมเหลือใช้”

บุญล้อมกล่าวอย่างภาคภูมิใจ

บุญล้อมบอกว่า

เขาวางแนวทางการดำเนินชีวิตตามคำสอนของพ่อหลวง(ร.9)

และยึดเป็นแบบอย่างเสมอมา

พระองค์ท่านทำงานหนักโดยไม่หยุด

เพราะอยากให้พสกนิกรของท่านอยู่อย่างพอเพียงและสุขสบาย

เราพยายามสานต่อพระปณิธานของท่าน

แม้จะเป็นเพียงคนตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง

แต่มีความตั้งใจมุ่งมั่นที่จะทำงานตรงนี้ให้

ก่อเกิดประโยชน์ได้มากที่สุด

จะสานต่อจนกว่าจะถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต

ไม่ว่าจะเป็นการขับเคลื่อนงานที่เป็นประโยชน์ต่อเกษตรกร

เผยแพร่องค์ความรู้ ช่วยแก้ปัญหาพื้นที่

และเปลี่ยนวิธีคิดของชาวบ้านให้กลับมาใช้ชีวิตอย่างพอเพียง

มีความเป็นอยู่ที่มั่นคงสมบูรณ์

สำหรับเขาได้วางรากฐานครอบครัวไว้มั่นคงแล้ว

เขาจึงพร้อมที่จะออกไปช่วยเหลือทุกคน

ที่มีความมุ่งมั่นและตั้งใจเดินตามรอยในหลวง(ร.9)

“การทำงานตรงนี้ และต้องออกไปช่วยเหลือคนอื่น

ถามว่าเหนื่อยไหม เหนื่อย แต่เมื่อนึกถึงในหลวง

ท่านเหนื่อยยากกว่าเราหลายร้อยล้านเท่า

ที่ต้องดูแลพสกนิกรทั้งประเทศ

ความเหนื่อยของผมถือว่านิดเดียว

ผมทำงานโดยยึดหลักคำสอนในหลวงใส่ใจเสมอ

ถ้าเหนื่อยและท้อให้นึกถึงท่านก็จะมีแรงผลักดันต่อไป”

บุญล้อม ยังเป็นเกษตรกรกำลังสำคัญอีกคน

ที่เข้าร่วมในโครงการสร้าง “ป่าสักโมเดล”

ที่จะกลายเป็นศูนย์การเรียนรู้ต้นแบบการจัดการน้ำตาม

แนวทางศาสตร์พระราชา

และภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

ที่จะถ่ายทอดแนวพระราชดำริ

และเผยแพร่พระอัจฉริยภาพของ

พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดช

มหาราช บรมนาถบพิตร

ให้เกริกเกียรติ

และเดินตามรอยพระราชาสู่การมีชีวิตพอเพียงอย่างยั่งยืน