นภาพร พานิชชาติ
napapornp@dailynews.co.th
อาทิตย์ที่ 16 ตุลาคม 2559
ที่มา https://www.dailynews.co.th/article/530317
“ตอนนี้เราปลูกข้าวแค่ 4 ไร่
ก็เพียงพอกับการกินอยู่ของครอบครัว
สีข้าวกินเอง แกลบ รำข้าวเอาไว้เลี้ยงเป็ดไก่ และทำปุ๋ยหมัก
พืชผักนอกจากปลูกไว้ทานเองในครอบครัวก็นำไปขาย
นำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาแปลงเป็นบันได 9 ขั้น
รายได้หลักมาจากการขายพืชผัก เหลือจากกิน เก็บ”
เดิมบ้านเราทำนา 100 ไร่ ที่ดินของตัวเอง 20 ไร่
ที่เหลือเช่าเขา
แต่ทำเท่าไหร่ก็ไม่พอจ่ายค่าเช่าและหนี้สิน
เราเลยคืนที่เขา ทำแค่ 20 ไร่ ยึดตามทฤษฎีของในหลวง
ปลูกข้าว ปลูกพืชผักที่ให้ผลผลิตเร็ว เช่น
ตะไคร้ ข่า มะเขือ พริก เลยมีของกินในบ้าน
ลดเรื่องการใช้จ่ายที่ต้องไปซื้อเขากิน
พอเรามีกินในบ้าน ก็ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายมากขึ้น
นี่เป็นแนวทางของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่วางไว้ให้
ปวงชนชาวไทย คือ
“พอกิน พอใช้ พออยู่”
นายบุญล้อม เต้าแก้ว เกษตรกรชาว
ต.หนองโน อ.เมือง จ.สระบุรี
เล่าถึงชีวิตที่ผ่านมา จากเกษตรกรที่มีหนี้สินล้นพ้นตัวจาก
เกษตรเคมี สู่การมีชีวิตที่ลืมตาอ้าปากได้ด้วยเกษตรอินทรีย์
และทำตามกำลังที่มี ตามปรัชญาของพ่อหลวง
จากชีวิตครอบครัวที่เกือบล่มสลาย
จนตอนนี้นับว่าประสบความสำเร็จในอาชีพ
เพราะพื้นที่ของเขาได้กลายเป็น
ศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงหนองโน
เป็นแบบอย่างให้กับชุมชนรอบข้างได้มาศึกษา
บุญล้อมก็คงเหมือน ๆ กับคนทั่วไปที่ต้องการ
มีฐานะความเป็นอยู่ที่ดี
จึงขวนขวายเช่าที่ดินมาทำนาเพิ่ม เพราะคิดว่าทำมา
เงินก็คงมากตามไปด้วย ปุ๋ยเคมี สารบำรุงดินต่าง ๆ
จึงถูกซื้อมาใส่นาเพื่อเพิ่มผลผลิต
แต่เมื่อเกี่ยวข้าวเสร็จกลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะเงินที่ได้มา
ไม่เพียงพอกับหนี้ ธ.ก.ส.และหนี้นอกระบบ ที่กู้มาลงทุน
ยิ่งปีไหนฝนแล้ง หนี้ก็เพิ่มพูน
จนเมื่อปี 2535 พ่อของบุญล้อมได้ไปดู
โครงการทฤษฎีใหม่แห่งแรกของประเทศไทย ที่
วัดมงคลชัยพัฒนา อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.สระบุรี
ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว(ร.9)
ทำไว้เป็นแปลงสาธิตให้เกษตรกรเข้าไปศึกษาดูงาน
โดยแบ่งพื้นที่เป็น 4 ส่วน คือ
การขุดหนองน้ำ นาข้าว ปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ และทำที่อยู่อาศัย
จึงได้นำทฤษฎีของพระองค์มาใช้กับที่ดิน 20 ไร่ของครอบครัว
“เรากลับปรับเปลี่ยนพื้นที่ 20 ไร่ของเราตาม
ที่พระเจ้าอยู่หัว (ร.9) วางไว้
แต่ยังคงไว้ 4
ส่วนตามทฤษฎีของพระองค์ท่าน คือต้องมีน้ำในการอุปโภค
บริโภค และทำการเกษตร
ก็เลยขุดหนองน้ำ และยังมีแปลงนาข้าวซึ่งเป็น
อาหารหลักของคนไทยเรา
และท่านยังบอกอีกว่าให้ปลูกของกิน ของใช้ ก็คือ ป่า 3
อย่างประโยชน์ 4 อย่าง
เลยมาปลูกพืชผักสวนครัวคือสิ่งที่เรากินใช้ในชีวิตประจำวัน
และเลี้ยงปศุสัตว์
สร้างที่อยู่อาศัย ปลูกบ้านหลังเล็ก ๆ พอพักพิงได้
และใช้พื้นที่ก่อเกิดประโยชน์มากที่สุด”
ช่วงแรกยังใช้ปุ๋ยเคมีบ้างเพราะยังไม่มีความรู้
แต่วันหนึ่งมาประสบปัญหากับครอบครัวตัวเอง คือ
ละอองสารเคมีจากแปลงข้าง ๆ ปลิวมาถูกเห็ดฟางที่ปลูกไว้
ทำให้ผลผลิตเสียหายทั้งหมด
ทั้งที่กำลังจะเก็บขาย รายได้กำลังจะเข้าครอบครัว
แต่สารเคมีทำให้ครอบครัวเกือบล่มสลาย
ครอบครัวของบุญล้อมจึงตั้งปณิธานว่า
ต่อจากนี้จะไม่เอาสารเคมีเข้าบ้าน
จากนั้นก็เริ่มศึกษาอย่างจริงจัง
โดยไปอบรมจากศูนย์กสิกรรมธรรมชาติที่มาบเอื้อง
กับ อ.ยักษ์- ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร เรียนรู้เรื่องการทำน้ำหมัก
สมุนไพรขับไล่แมลง และฮอร์โมนต่าง ๆ
เพื่อจะเร่งการเจริญเติบโตของพืช
งดปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลงโดยสิ้นเชิง
หมักน้ำหมักเพื่อปรับปรุงบำรุงดิน
ใช้ที่ดินที่มีอยู่เป็นแปลงทดสอบและสาธิต
และนำน้ำนมดิบที่เหลือทิ้งจากโรงงานมา
ต่อยอดทำปุ๋ยหมักเพื่อเร่งการเจริญเติบโตของพืช
ปรับเป็นสูตรต่าง ๆ เรียนรู้ลองผิดลองถูก
จนปัจจุบันสามารถนำความรู้มาฝึกอบรม
เรื่องการทำปุ๋ยหมักจากน้ำนม
ให้เกษตรกรที่สนใจได้ ปัจจุบันที่ดินของเขาได้กลายเป็น
“ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงสวนล้อม ศรีรินทร์”
มีประชาชนและหน่วยงานเข้ามาศึกษาดูงานทุกวัน
“ตอนนี้เราปลูกข้าวแค่ 4 ไร่ก็เพียงพอ
กับการกินอยู่ของครอบครัว
สีข้าวกินเอง แกลบ รำข้าวเอาไว้เลี้ยงเป็ดไก่ และทำปุ๋ยหมัก
พืชผักนอกจากปลูกไว้ทานเองในครอบครัวก็นำไปขาย
นำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาแปลงเป็นบันได 9 ขั้น
รายได้หลักมาจากการขายพืชผัก เหลือจากกิน เก็บ
ก็มาขายและแบ่งปัน และขายน้ำหมักที่มาจากน้ำนมเหลือใช้”
บุญล้อมกล่าวอย่างภาคภูมิใจ
บุญล้อมบอกว่า
เขาวางแนวทางการดำเนินชีวิตตามคำสอนของพ่อหลวง(ร.9)
และยึดเป็นแบบอย่างเสมอมา
พระองค์ท่านทำงานหนักโดยไม่หยุด
เพราะอยากให้พสกนิกรของท่านอยู่อย่างพอเพียงและสุขสบาย
เราพยายามสานต่อพระปณิธานของท่าน
แม้จะเป็นเพียงคนตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง
แต่มีความตั้งใจมุ่งมั่นที่จะทำงานตรงนี้ให้
ก่อเกิดประโยชน์ได้มากที่สุด
จะสานต่อจนกว่าจะถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต
ไม่ว่าจะเป็นการขับเคลื่อนงานที่เป็นประโยชน์ต่อเกษตรกร
เผยแพร่องค์ความรู้ ช่วยแก้ปัญหาพื้นที่
และเปลี่ยนวิธีคิดของชาวบ้านให้กลับมาใช้ชีวิตอย่างพอเพียง
มีความเป็นอยู่ที่มั่นคงสมบูรณ์
สำหรับเขาได้วางรากฐานครอบครัวไว้มั่นคงแล้ว
เขาจึงพร้อมที่จะออกไปช่วยเหลือทุกคน
ที่มีความมุ่งมั่นและตั้งใจเดินตามรอยในหลวง(ร.9)
“การทำงานตรงนี้ และต้องออกไปช่วยเหลือคนอื่น
ถามว่าเหนื่อยไหม เหนื่อย แต่เมื่อนึกถึงในหลวง
ท่านเหนื่อยยากกว่าเราหลายร้อยล้านเท่า
ที่ต้องดูแลพสกนิกรทั้งประเทศ
ความเหนื่อยของผมถือว่านิดเดียว
ผมทำงานโดยยึดหลักคำสอนในหลวงใส่ใจเสมอ
ถ้าเหนื่อยและท้อให้นึกถึงท่านก็จะมีแรงผลักดันต่อไป”
บุญล้อม ยังเป็นเกษตรกรกำลังสำคัญอีกคน
ที่เข้าร่วมในโครงการสร้าง “ป่าสักโมเดล”
ที่จะกลายเป็นศูนย์การเรียนรู้ต้นแบบการจัดการน้ำตาม
แนวทางศาสตร์พระราชา
และภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
ที่จะถ่ายทอดแนวพระราชดำริ
และเผยแพร่พระอัจฉริยภาพของ
พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มหาราช บรมนาถบพิตร
ให้เกริกเกียรติ
และเดินตามรอยพระราชาสู่การมีชีวิตพอเพียงอย่างยั่งยืน