Custom Search

Sep 26, 2009

“ป่าล้อมบ้าน” บ้านแสนสุข... พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์

เรื่อง สุทธิคุณ กองทอง 
ภาพ ชวรินทร์ เผงสวัสดิ์
 
บ้านกับต้นไม้มงคลคน ไทยเราแต่โบราณ
มีความเชื่อเรื่องการปลูกต้นไม้ในอาณาบริเวณบ้าน
ถ้าหากปลูกต้นไม้ถูกต้องตามโหราศาสตร์
ทั้งชื่อของต้นไม้และตำแหน่งทิศที่ปลูกภายในบ้าน
จะก่อให้เกิดศิริมงคลกับ บ้านและผู้อยู่อาศัย
เราจึงไปเสาะแสวงหาข้อมูลความรู้
ในเรื่องต้นไม้มงคลตามประเพณีไทยแท้แต่โบราณ
เช่น ทิศตะวันตก นิยมให้ปลูกมะขาม มะยม พุทรา
เชื่อว่าจะช่วยป้องกันคดีความ ผีซ้ำด้ำพลอย และคุณไสย
มีผู้คนนิยมชมชื่นไม่สร่างซา และยังมีบารมีเป็นที่เกรงขามสมดังชื่อ

วันนี้ได้มีโอกาสมาเยี่ยมชมบ้านของ พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์
รอง ผบ.ตร. ย่านนนทบุรี ที่หน้าบ้านก็หันหน้าไปทางทิศตะวันตกพอดี
ตามหลักบ้านคนโบราณแท้ๆ
ทำให้เจ้าของบ้านนิยมปลูกต้นไม้มงคลเอาไว้มากมาย
ทำให้บ้านอันแสนสุขตรงนี้อยู่ท่ามกลางแมกไม้นานาพันธุ์
บ้านสำคัญเท่าชีวิต







"บ้านหลังนี้มีความสำคัญกับครอบครัวผมมาก"
เป็นคำบอกเล่าของ พล.ต.อ.จงรัก
เนื่องจากได้มาซื้อที่ดินแล้วปลูกบ้านตั้งแต่
เมื่อครั้งที่เป็นรองผู้กำกับการ 1 กองปราบปราม
เป็นช่วงเวลาที่ตัดสินใจใช้ชีวิตคู่ร่วมกับภรรยา
(คุณอรอนงค์ จุฑานนท์)"



"สมัยนั้นที่ดินตารางวาละ 2,800-3,000บาท
ครั้งแรกที่ได้มาดูเชื่อไหมว่าเป็นอะไรที่เปลี่ยวมาก
เรียกว่า อยู่ห่างไกลจากกรุงเทพฯ มากพอสมควร
เมื่อตกเย็นไม่ค่อยมีใครกล้าออกไปไหน
เพราะแสงไฟไม่มีเหมือนยุคนี้วันเวลาผ่านไป
เริ่มมีผู้คนเข้ามาอยู่อาศัยกัน มากขึ้น
บวกกับมีการสร้างทางด่วนทำให้การเดินทางคมนาคมดีขึ้น เป็นลำดับ"

เมื่อถามถึงที่ดินในบ้านหลังนี้มีประมาณกี่ไร่ ท่านจงรัก
รีบพูดสวนกลับขึ้นมาทันทีว่า

"บ้านหลังนี้อยู่ในพื้นที่ไม่ถึงไร่สร้างมาตั้งแต่ปี2529 แล้ว
ทำเสียงบ่นเล็กๆนี่จะถามเพื่อตรวจสอบ
เหมือนคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกาหรือไง(หัวเราะ)
ซึ่งบ้านหลังนี้เป็นคนคิดให้สร้างแบบนี้
สมัยนั้นก่อนจะสร้างบ้านก็ได้ตระเวนไปดู
การสร้างบ้านตามหมู่บ้านต่างๆ แล้วได้
ขอแบบนำมาสร้างบ้านของตัวเอง
แต่ดูแล้วบ้านหลังนี้ก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไร บ้าน
หลังนี้ถ้าเทียบเป็นอายุคนก็กว่า22ปีแล้ว
คิดว่าเป็นบ้านเล็กๆธรรมดาๆ
เล็กกระทัดรัดไม่หรูหราอะไรเลย
แต่ทุกคนในครอบครัวอยู่แล้วมีความสุข
เป็นบ้านที่ใช้เริ่มต้นชีวิตครอบครัวกับ ศรีภรรยา
แต่ถ้าถามว่าไปเจอหรือไปชอบกันตอนไหน
ตรงนี้จำไม่ได้แล้ว(หัวเราะแบบเขินๆ)
แต่ขอเล่าข้ามช็อตเลยว่าไปเจอภรรยาคนนี้
ทำงานอยู่ที่ธนาคารศรีนคร"

"ชีวิตวันนี้ก็ถือว่าสมบูรณ์มีลูกชายสองคน
คนโตชื่อปุ้ย(มงคลรักษ์) และคนเล็กน้องป๊อป(จุฑาเทพ)
ที่โตกันหมดแล้ว โดยคนโตจบมหาวิทยาลัยศิลปากรทำงานส่วนตัว
คนที่สองกำลังเรียนนิติศาสตร์อยู่ปี1ที่ธรรมศาสตร์
ผมไม่ได้คาดหวังว่าลูกจะต้องเป็นอย่างที่เราอยากให้เป็น
ขอเพียงให้ทำงานที่เขารักและ
เป็นงานที่บริสุทธิ์เท่านี้ผมก็พอใจแล้ว
อย่างน้อยก็จะทำให้พ่อแม่หมดห่วง"

เขาเล่าถึงครอบครัวด้วยน้ำเสียงเปี่ยมด้วย
รอยยิ้มอย่างมีความสุข มุมต้นไม้คือมุมพักผ่อน
ตั้งแต่ หน้าบ้านเป็นต้นไปได้เห็นต้นไม้นานาชนิด
ที่ชูช่อสูงใหญ่จนบังบ้านสองชั้นที่พักอาศัย พล.ต.อ.จงรัก เล่าให้ฟังว่า
ส่วนตัวเป็นคนชอบต้นไม้
แต่สาเหตุหลักๆที่บ้านหลังนี้มีต้นไม้ขึ้นมากมายแบบนี้
เนื่องจากบ้านหลังนี้หันหน้าไปทางทิศตะวันตก
ตามหลักฮวงจุ้ยเขาเชื่อว่าจะไม่ดีนัก
จึงเป็นสาเหตุให้มีการปลูกต้นไม้เสริมดวงให้กับบ้านนั่นเอง
สมัยก่อนชอบต้นไม้แต่ไม่รู้ว่าเป็นต้นอะไรบ้าง
จึงไม่ค่อยได้ศึกษาซื้อต้นไม้มาปลูกพอถึงเวลา
ใบก็จะร่วงเต็มพื้นไปหมด แล้วทำความสะอาดค่อนข้างยาก แรกๆ
ยังปลูกต้นไผ่โตเร็วมากเจอแดดใบจะแตกชูช่อมาก
แต่ก็ต้องตัดออกเพราะใบจะร่วงเยอะมาก
ระยะหลังรู้แล้วว่าต้นไม้อะไรที่ปลูกแล้วใบไม่ค่อยร่วง
โดยทั่วไปจึงจะเห็นต้นไม้ยืนต้นมากมาย อาทิ
ต้นหมาก ต้นมะพร้าว ต้นแสงจันทร์ ไม้ผลต่างๆ

"เลิกทำงานกลับมาถึงบ้านชอบมานั่งอยู่ทุกมุมที่มีต้นไม้
อย่างน้อยจะได้ความร่มรื่นและร่มเย็นดี
บ้านในความหมายของผมก็จะเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ
เราทำงานมาทั้งวันพอถึงบ้านก็จะนอนพักผ่อน
ได้นั่งดูต้นไม้ที่ปลูกเองก็มีความรู้สึกสบายใจสบายตา"

ที่เป็นความหมายคำว่าบ้านของท่านรองจงรัก เสือโคร่งคู่บารมี ก่อน
ที่จะเดินเข้าไปภายในบ้าน สังเกตให้ดีประตูไม้หน้าบ้านสีน้ำตาลเข้ม
มีรูปปั้นเสือโคร่งลายพาดกลอนเหลืองสลับดำแสยะเขี้ยว
อยู่สองฟากฝั่งประตู เปรียบเสมือนผู้พิทักษ์รักษาบ้านหลังนี้เอาไว้
เพื่อความกระจ่างของการนำเสือมาตั้งโชว์เอาไว้มากมายแบบนี้
พล.ต.อ.จงรัก บอกว่า ใครที่ใกล้ชิดจะรู้ว่าเสือที่ตั้งโชว์
อยู่ทุกมุมบ้านนั้นหมายถึงเป็นผู้เกิด ปีเสือ
จึงรักและนิยมรูปปั้นเสือโคร่งเป็นชีวิตจิตใจ
นอกจากเสือโคร่งทั้งสองตัวนี้แล้วยังสามารถ
พบเห็นรูปปั้นเสือได้ในอีกหลายๆ แห่งของบ้าน
ไม่ว่าจะในห้องรับแขกหรือแม้แต่ในสำนักงาน
ตั้งแต่ยังเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจนครบาลมา
จนถึงรองผบ.ตร. รูปหล่อเสือโคร่ง
เสมือนหนึ่งผู้ร่วมทางเดินบนถนนของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ สายนี้
โดยคนที่รู้ว่าเกิดปีเสือ ใครมาหาก็จะนำมาฝาก
(ทำน้ำเสียงเข้มตัวไหนที่คนชื้อ มาฝากไม่เกิน 3,000 บาท)
พูดเหมือนเป็นนักการเมืองซะแล้ว
และเสือบางส่วนก็จะไปเดินหาซื้อมาเองที่สวนจตุจักร
 "
เสือหลายตัวที่มีไว้ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นตัวนำโชคอะไร
เพียงแต่เห็นว่าเสือเหมือนเป็นสัตว์ประจำตัวมากกว่า
แต่มีไว้มันก็สร้างความ สุขเล็กๆให้กับผมได้
จริงๆจะว่าไปแล้วงานอดิเรกส่วนตัวของ
ผมชอบไปเดินสวนจตุจักรถ้าไปเจอรูปปั้น
เสือก็จะซื้อกลับบ้านผมชอบไปเดินเพราะได้ทักทายพ่อค้าแม่ค้า
ส่วนใหญ่พ่อค้าแม่ค้าจะรู้จักผมทุกคน
แล้วยังได้เลือกซื้อต้นไม้มาปลูก
มันก็เป็นความสุขอย่างหนึ่งที่ได้ทำอะไรตามที่ใจอยากทำ
ผมเป็นคนติดดินไม่เคยใช้ชีวิตหวือหวา
และไม่เคยเรียกร้องโหยหาอำนาจ
หรือตำแหน่งทุกอย่างชีวิตการทำงานเป็นไปตามขั้นตอนที่เป็น"
เคยเกเรแบบลูกผู้ชาย พล.ต.อ.จงรัก เป็นคน จ.เพชรบุรี
โดยมีคุณปู่เป็นคุณหลวงหลวงบำราบประทุษฐ(นิล จุฑานนท์)
เป็นนามสกุลที่ได้รับพระราชทานจาก
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6
ครอบครัวตั้งแต่บรรพบุรุษก็ได้ถวายงานมาโดยตลอด
โดยเริ่มต้นเรียนที่โรงเรียนพรหมมานุสรณ์ จ.เพชรบุรี
พอเรียนจบมศ.3 ได้เข้ามาเรียนต่อที่ โรงเรียนอำนวยศิลป์ กรุงเทพฯ
สมัยนั้นเรียกได้ว่าเป็นเด็กที่เกเรแบบลูกผู้ชาย
เป็นลักษณะเหมือนได้หัดชกมวย ช่วยเหลือเพื่อนๆ ที่ถูกรังแก

"ผม เรียนที่อำนวยศิลป์ค่อนข้างเกเร
ชอบยกพวกตีกันตามประสาคนรักเพื่อน
ผมค่อนข้างจะหัวโจกคุณพ่อคุณแม่ไม่เคยรู้เลยว่า
เราไปเกเรด้วยการชกต่อยตาม เพื่อน แต่ท่านจะรู้ว่าผมเป็นคนสู้คน
เป็นคนไม่อ่อนแอ อะไรไม่ถูกต้อง
ต้องจัดการด้วยตัวเองหมด
จริงๆ นิสัยของคนเกิดปีขาลจะเหมือนกันหมด
หรือเปล่าถ้าใครมาหาเรื่องจะไม่หนีอยู่ แล้ว
แต่ต้องสู้แบบยิบตา
สิ่งที่ต่อสู้กับความไม่ถูกต้องจะไม่กลัวเลย"

ระหว่างถามย้ำว่า สมัยท่านเกเร ท่านจงรักตอบทันทีว่า
"อย่าบอกว่าเป็นคนเกเรแต่เป็นคนสู้คนมากกว่า
จะบอกว่าเป็นคนเกเรไม่ได้เพราะ
เป็นตำรวจต้องไว้ฟอร์มสักหน่อย(หัวเราะ)
แต่เมื่ออายุมากขึ้นโตเป็นผู้ใหญ่ก็ทำให้
นิสัยนักสู้มองดูเหตุและผลเป็นหลัก"

"ถ้าให้ผมคิดถึงวันนั้นที่ต้องช่วยเพื่อนเมื่อถูกรังแก
มันเป็นอะไรที่ชั่วแว๊ป หนึ่งของชีวิต
ทำให้เข้าใจว่าชีวิตในวัยเด็กตอนนั้นเป็นอย่างไร
สมัยอยู่นครบาลก็ยังถูกเรียกไปห้ามเด็กนักเรียนตีกัน
แม้แต่โรงเรียนเก่าตอนนั้นผมเป็น
ร้อยตำรวจโทอยู่ที่สน.พญาไทยังแจ้งมาที่ผม เลย(หัวเราะ)"

นี่เป็นบทเรียนชีวิตหนึ่งของนายตำรวจนักปราบหน้าหยก
ที่ยอมเผยมุมมืดของชีวิตให้เป็นอุทาหรณ์กับสังคม
บนเส้นทางสีกากี กว่า จะมีวันนี้พล.ต.อ.จงรัก
สำเร็จการศึกษาจากปริญญาตรีนิติศาสตร์บัณฑิต(เกียรติ นิยมดี)
จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ปริญญาโทนิติศาสตร์มหาบัณฑิตจากจุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัยสำเร็จเนติบัณฑิตไทย
จากสำนักอบรมการศึกษากฎหมายแห่งเนติบัญฑิตยสภา

วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร(วปอ.)รุ่นที่4111
เป็นผู้มีความรู้ด้านกฎหมายและการสอบสวนคนหนึ่ง
ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติมี
เพื่อนร่วมรุ่นที่มีชื่อเสียงในสังคมคือ
วิรัช ลิ้มวิชัย ประธานศาลฎีกา,สมโชค สุขารมณ์
รองประธานศาลฎีกา, สุรศักดิ์ ศรีวิเชียร
อธิบดีศาลอาญากรุงเทพใต้ ,
วัยวุฒิ หล่อตระกูล อนุชาติ คงมาลัย รองอัยการสูงสุด

"ชีวิต ราชการส่วนใหญ่อยู่ในนครบาลมาโดยตลอด
แล้วมีหลักที่ยึดในการทำงานคือ
พิจารณาคดีทุกคดีอย่างเป็นธรรมโดยไม่คิดกลั่นแกล้งใคร
ผู้กระทำความผิดจะร่ำรวยแค่ไหนก็ต้องดำเนินไป
ตามกระบวนการยุติธรรม ผมไม่ได้มองว่าคนทำผิด
จะเป็นคนรวยแล้วไม่จับนั้น ผมบอกไม่มีทาง
ทุกคนที่ทำผิดไม่ว่าจะเป็นคนจนคนรวยก็ต้องอยู่
ภายใต้กฎหมายเดียวกัน ทำผิดก็ต้องรับผิด ไม่มีการยกเว้น"

ตำรวจนักเจรจา หลังเกิดข่าวฉาวกับ
ต้นสังกัดบริษัทสหมงคลฟิล์มกรณีที่หายตัวไป
ขณะถ่ายทำภาพยนตร์เรื่ององค์บาก 2
โดยพระเอกชื่อดังอ้างว่าถูกชายชุดซาฟารีติดตาม
และมีโทรศัพท์จากบุคคลนิรนาม
นัดให้ไปหาเกรงจะไม่ปลอดภัย "จาพนม"
พระเอกนักบู๊ชื่อดังพร้อมด้วยทนาย
ได้เข้าพบ พล.ต.อ.จงรัก เพื่อ ปรึกษาและขอความช่วยเหลือ
สาเหตุที่มาขอความช่วยเหลือนั้น
พล.ต.อ.จงรัก เล่าว่า สมัยอยู่ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล
ใครที่เดือดร้อนก็จะมาหาเพราะก่อนหน้านั้น
ประชาชนทั่วไปจะรู้ว่าใครที่ได้รับความเดือดร้อน
ก็สามารถมาขอความช่วยเหลือได้ "
จา พนมคงคิดว่าผมจะสามารถช่วยเหลือเขาได้
และผมก็รู้จักกับเสี่ยเจียงก็ประสาน ให้ทั้งสองคนมาเจอกัน
เพื่อยุติปัญหาที่เกิดขึ้น
จริงๆผมมักจะทำงานในเชิงป้องกันมากกว่าปราบปราม
สมัยที่คุมตำรวจภูธรภาค2 ซึ่งเป็นดินแดนอิทธิพล
พอรู้ว่าคนนี้จะถูกปองร้าย
แล้วสงสัยว่าเป็นกลุ่มนั้นลงขันจะฆ่ากันผมจะไม่รอให้เหตุเกิด
แต่ผมจะเรียกทั้งฝ่ายเข้ามาคุยกันทันทีในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจกัน"
นี่เป็นอีกบทบาทหนึ่งของนายตำรวจมือปราบหน้าหยก
มารับหน้าที่เป็นนักเจรจา ถนนการเมืองเป็นหนึ่งทางเลือก
ก่อนหน้าที่ชีวิตจะเข้ามาเป็นตำรวจพล.ต.อ.จงรัก
เคยฝันเอาไว้เหมือนกันว่าอยากจะทำงาน
ด้านที่ช่วยเหลือชุมชนและประชาชน
จึงได้ไปสอบเป็นผู้พิพากษาอัยการพร้อมกับเพื่อนๆ
แต่สมัยนั้นมีหลักว่า
ใครที่สมัครในส่วนของศาลจะต้องมีอายุ25ปีขึ้นไป
ส่วนอัยการต้องอายุ23ปีขึ้นไป
สมัยนั้นเรียนจบเนติบัณฑิตมาอายุเพิ่ง21ปี
เมื่อตำรวจไม่ได้จำกัดอายุก็เลย
มาสอบเข้าเป็นตำรวจจนมาถึงทุกวันนี้เป็นอาชีพที่เลือกไม่ผิดเลย
เพราะเป็นอาชีพที่ช่วยเหลือประชาชนได้มาก
เห็นได้จากการเข้าไปคลี่คลายคดีดังๆ มากมาย
สำหรับ คดีที่ได้รับการกล่าวขานมากที่สุด
คือ คดีการเสียชีวิตของ
อดีต ส.ส.ห้างทอง ธรรมวัฒนะ การคลี่คลายคดี
นพ.วิสุทธิ์ บุญเกษมสันติ ผู้ต้องหาฆ่าหั่นศพ พญ.ผัสพร บุญเกษมสันติ
ภรรยา กระทั่งศาลมีคำพิพากษาประหารชีวิต
และคดีสมพงษ์ เลือดทหาร คดีจอมลวงโลก
จนได้รับฉายาจากสื่อมวลชนตำรวจนครบาลว่า
มือสอบสวนนครบาล และมือปราบหน้าหยก

"อยากจะเล่าให้ฟังว่า สมัยอยู่ต่างจังหวัดได้เห็น
ร้านถ่ายรูปตั้งรูปถ่ายสมัยเป็นพ.ต.อ.โชว์ไว้ หน้าร้าน
ไปเห็นทีไรก็มีความสุขทุกครั้ง(หัวเราะ)
มีความรู้สึกว่าชีวิตเดินมาถึงจุดนี้ก็น่าจะเพียงพอเกินความคาดหมายแล้ว"

"ชีวิต ที่ผ่านมาผมได้ทำงานหนักมาตลอดชีวิตตำรวจ
อยากบอกว่าต้องมีผิดหวังบ้าง
สมหวังบ้างขึ้นอยู่กับจังหวะและโอกาสจะเข้ามาในชีวิต
แต่ชีวิตตำรวจที่เจอมา คือ จะผิดหวังมากกว่าสมหวัง
มีทำให้ท้อถอยอยู่หลายครั้งเพราะว่ามีองค์ประกอบภายนอกเยอะเหลือเกิน
ทั้งการเมือง ทั้งองค์กรกว่าผมจะก้าวมาถึงวันนี้ก็ไม่ง่าย
เหมือนกันที่ผมมายืนอยู่ตรงนี้ได้ก็ต้อง
เป็นกำลังใจให้กับตัวเองมาตลอดสิ่ง
สำคัญผมเป็นคนยอมรับความเป็นจริงของชีวิต
ไม่เสียใจถ้าวันหนึ่งต้องหมดอำนาจ
เมื่อเกษียณจากตำรวจคิดว่าจะได้พักผ่อนเสียที"


สำหรับหลักประจำใจของพล.ต.อ.จงรัก
ที่ยึดถือเป็นแนวทางในการปฏิบัติงานมาโดยตลอด คือ
"จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
ปัดเป่าความเดือดร้อนของประชาชน
ทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย "
ตลอดชีวิตการทำงานบนเส้นทางมือปราบของ "พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์"
เป็นที่รักใคร่ของประชาชนทุกมุมเมือง
แต่ทว่าวันหนึ่งเราอาจเห็นนายตำรวจชื่อดัง
ฉายา "มือปราบหน้าหยก"
ผู้นี้เฉิดฉายบนสนามการเมืองในระยะเวลาอันใกล้ก็เป็นได้ 





















ในขณะที่ นายกฯอภิสิทธิ์ กำลังจะเดินทางกลับมาถึงเมืองไทย
และ ยังไม่รู้ว่า จะประชุม ก.ต.ช.วันไหน
เพื่อเลือก ผบ.ตร.คนใหม่ แต่สำนักวิจัยเอแบคโพลล์
สำรวจความคิดเห็นประชาชน
พบว่า ร้อยละ 21.3 สนับสนุน
พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รอง ผบ.ตร.
เหมาะสมกับตำแหน่งนี้
ขณะที่ ร้อยละ 18.6
สนับสนุนพล.ต.อ.ประทีป ตันประเสริฐ จเรตำรวจแห่งชาติ
ร้อยละ 16.6 สนับสนุน พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย
รองผบ.ตร. เท่ากับว่ายุครัฐบาลอภิสิทธิ์
อาจมี ผบ.ตร.โพล ก็เป็นไปได้

ประวัติบุคคลสำคัญชื่อ-สกุล : พลตำรวจเอก จงรัก จุฑานนท์
ชื่อเล่น - นามแฝง/ฉายา : ปุ๊ก-ปฏักเทวดา
วันเกิด : 6 เมษายน 2493 ที่จ.เพชรบุรี
ประวัติครอบครัว : สมรสกับ นางอรอนงค์ จุฑานนท์
มีบุตรชาย 2 คน นายจุฑาธรรม จุฑานนท์
และ นายจุฑาเทพ จุฑานนท์

การศึกษา :
-อบรมระยะสั้นจากเอฟบีไอ สหรัฐอเมริกา,
แคนาดา และดูงานตำรวจหลายประเทศ
-เป็นนายตำรวจสัญญาบัตรด้วยคะแนนยอดเยี่ยม
- โรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน (ได้ที่ 1)
-ปริญญาโท นิติศาสตร์ มหาบัณฑิต (เกียรตินิยม)
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
-เนติบัณฑิตไทย รุ่นที่ 24
-ปี 2514 ปริญญาตรีนิติศาสตร์บัณฑิต
(เกียรตินิยมอันดับ 1) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
เป็นบัณฑิตไทยรุ่น 24
-ชั้นมัธยมปลาย โรงเรียนอำนวยศิลป์

การทำงาน /ตำแหน่งหน้าที่ :
1 กันยายน 2551 รักษาการ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล
31 พฤษภาคม 2551 รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
1 ตุลาคม 2549 ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ปป.1)
6 เมษายน 2547 นายตำรวจราชสำนักเวร
1 ตุลาคม 2546 ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2
1 ตุลาคม 2545 ผู้บัญชาการประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
21 ตุลาคม 2543 รักษาการ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล
2 ตุลาคม 2541 รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (หัวหน้ารับผิดชอบงานสอบสวน)
28 มกราคม 2540 ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจนครบาล
25 ตุลาคม 2537 ผู้บังคับการ กองบังคับการวิชาการ
โรงเรียนนายร้อยตำรวจ
23 มกราคม 2537 ผู้บังคับการกองคดี
1 ธันวาคม 2533 รองผู้บังคับการกองคดี
7 พฤศจิกายน 2532 ผู้กำกับการกองคดี
(ช่วยราชการที่สำนักงานอธิบดีกรมตำรวจด้วย
ในด้านกฎหมายและกำลังพล
1 ตุลาคม 2528 รองผู้กำกับการ 1 กองปราบปราม
2526 สารวัตรสืบสวนสอบสวน สน.ปทุมวัน
2523 สารวัตรสืบสวนสอบสวน สน.บางรัก
2521 หัวหน้าแผนกกฎหมาย กองวิชาการ กรมตำรวจ
2516 สารวัตรปกครองป้องกัน สน.สำราญราษฎร์
ตำแหน่งอื่น ๆ :
15 มกราคม 2552 นายตำรวจราชสำนักพิเศษ
7 กรกฎาคม 2551 กรรมการคุ้มครองผู้บริโภค
- หัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีติดสินบนตุลาการ
- พนักงานสอบสวนคดีความมั่นคงฯ
ร่วมกับ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก (อ.ตร.)
เดินทางไป สอบสวนที่อังกฤษ
- พนักงานสอบสวนคดีสำคัญ ๆ ระดับประเทศ
- อาจารย์สอน โรงเรียนนายร้อยตำรวจ 2 ปี
- ผู้บังคับการวิชาการ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ