Custom Search

Sep 4, 2009

อิทธิ พลางกูร ...20 ปี อัลบั้มเดี่ยวครั้งแรกของเขา


ชื่อ
"อิทธิ พลางกูร" เป็นชื่อที่มิตรรักนักเพลงหลายต่อหลายท่านจดจำกันได้ดี
ในฐานะศิลปิน
ยอดนิยมในอดีต อย่างน้อย 20 ปีเห็นจะได้จากวันนั้นถึงวันนี้
บทเพลงที่เขาร้องไว้เป็นคนแรกก็ถูกนำไปเผยแพร่และร้องต่อกันอยู่เรื่อยๆ



บางเพลงก็ใช้เป็นเพลงประกอบการศึกษาหรือใช้ในทางธรรม
ขณะที่ชีวิตครอบครัวของเขา
ก็เหลือเพียงแต่ภรรยาและบุตรีสามใบเถา

ฐานะของพวกเขาก็กลับสู่สามัญ
ขายไก่ทอดอยู่ที่ตลาดยิ่งเจริญ
หากใครอยู่ย่านสะพานใหม่หรือใครสะดวกก็แวะ
ไปซื้ออุดหนุนกันได้
มีทั้งไก่ทอดเก็บตะวัน ไก่ป็อบร็อค ..
น่าชิมทั้งนั้น
หรือใครที่ได้ชมรายการเกมประชาชนเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา
เราคงได้รำลึกและซาบซึ้งไปกับชีวิตของครอบครัวที่บัดนี้เหลือเพียงหญิงล้วน
(ถึงวันที่เขียน รายการยังไม่จบตอน ยังมีเล่นเกมปลดหนี้ด้วย ... เอ๊ย เกมประชาชน)

เรื่องราวการถึงแก่กรรมของเขา และการดำรงชีวิตของสมาชิกครอบครัวที่เหลือ
คงจะเป็นที่ประจักษ์แก่ผู้รู้ ผู้พบเห็นไม่ว่าจะเป็นแฟนเพลงหรือไม่ก็ตาม

เราจะไม่พูดถึงเรื่องชีวิตครอบครัวหรือประวัติของเขาให้มากคนมากความ
แต่สิ่งสำคัญที่เราอยากพูดถึงต่อไปนี้ ... เป็นภาพแรกที่ทำให้คนนับล้าน
ได้ยินเสียงเพลงของเขาและรู้จักเขามากยิ่งขึ้น เมื่อปี พ.ศ.2531

ในปี พ.ศ. 2531 นอกจากเรามีหนัง "บุญชู ผู้น่ารัก", "ฉลุย" กลายเป็นหนังทำเงินแห่งปี ละครทีวีเรื่อง "อีสา", "สวรรค์เบี่ยง" รายการทีวีอย่าง "ท้าพิสูจน์", "ฝันที่เป็นจริง" กลายเป็นขวัญใจชาวบ้านชาวช่องแทบทุกครัวเรือน และที่สำคัญ...เราได้แสดงความยินดีไปกับนางสาวไทย "ปุ๋ย" ผู้ซึ่งกลายมาเป็นนางงามจักรวาลแล้ว ในวงการเพลงบ้านเราก็ยังมีศิลปินใหม่ๆ เข้ามาประดับวงการกันมากมาย ทั้งที่คลุกคลีอยู่ในวงการและนอกวงการ แม้แต่ผู้ที่อยู่เบื้องหลังก็หันมาลุยเบื้องหน้าบ้าง เพื่อให้คนนับล้านได้พิสูจน์การก้าวย่างที่เหนือกว่าของศิลปินนั้นๆ
"อิทธิ พลางกูร" ก็เป็นหนึ่งในนั้น...
กับเทปชุดแรกของเขา
บทเพลงที่ร้องว่า "ให้มันแล้วแล้วไป ก็แค่หักใจให้ลืมเท่านั้น..." มาพร้อมกับใบหน้าของผู้ร้อง คือ อาอิด และผู้แสดง คือ โด่ง ธานินทร์ ทัพมงคล(ว่าที่ศิลปินภายใต้การดูแลของอิทธิ) ในมิวสิกวิดีโอเปิดตัวด้วยเพลงที่ใช้ชื่อเดียวกับชื่ออัลบั้มว่า "ให้มันแล้วไป" ซึ่งเป็นชื่อที่ถูกต้อง มิใช่ "ให้มันแล้วแล้วไป" อย่างที่ใครๆเดาเมื่อได้ร้องเพลงนี้

อัลบั้มให้มันแล้วไป หรือ Itti Balangura Vol.1 นี้ ผลิตและจัดจำหน่ายโดย "อาร์เอส" อาอิดรับหน้าที่ร้องนำ - แต่งทำนอง - เรียบเรียงเสียงประสาน - ดีดกีตาร์ - คีย์บอร์ด และ โปรดิวซ์เองด้วย มีเพื่อนๆและญาติๆศิลปินมาร่วมงานกันคับคั่ง เพื่อให้เป็นผลงานอย่างมีมืออาชีพ ตั้งแต่พี่ชายของเขา คือ อุกฤษฏ์ พลางกูร เพื่อนๆ อย่าง ธนิต เชิญพิพัฒธนสกุล, กริช ทอมมัส(นักดนตรีจากแกรมมี่ที่เข้าร่วมงานกับอาร์เอสในฐานะเพื่อนศิลปิน), เรืองยศ พิมพ์ทอง, ศิริศักดิ์ ศิริโชตินันท์(หมู ร็อก), ชัชชัย สุขาวดี(หรั่ง ร็อกเคสตร้า) , สุกานดา บุณยธรรมิก, ธนพล อินทฤทธิ์, ปรัชญา ปิ่นแก้ว, ยงยุทธ คำยอด, นกเขา, เพชร(เฉยๆ) และ อนุวาท พลางกูร ที่ถึงแม้จะใช้นามสกุลเดียวกับอาอิด แต่เมื่อได้ดูประวัติของอาอิดแล้ว ถ้าเดาไม่ผิดคุณอนุวาทหรือคุณอี๊ดเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน มิได้เป็นพี่หรือน้องแต่อย่างใด เพราะอาอิดมีพี่ชายคืออุกฤษฏ์ และน้องชายคือ เอก พลางกูร อัลบั้มนี้บันทึกเสียงที่ห้องอัดประจำของเขาเอง คือที่ แจม สตูดิโอ คลองตัน (ชื่อห้องอัดมาจากชื่อลูกชายของพี่อุกฤษฏ์เขา)

เนื้อหาของบทเพลงในอัลบั้มนี้ มีทั้งเพลงที่เนื้อหาธรรมดาๆ เป็นชีวิตประจำวันประสาคนอกหักว่าอย่างนั้น ดนตรีก็ตามยุคสมัย มีบทเพลงที่ให้เนื้อหาเตือนสติ หรือน่าจะเรียกว่าเป็นเพลงธรรมะก็ได้ อย่างเพลงที่ใช้ชื่อแยกเป็นสองอย่าง "มากคน-มากความ" กับ "ใจเขา-ใจเรา" และแน่นอน... "เก็บตะวัน" อันเป็นบทเพลงแจ้งเกิดของเขา และยังเป็นผลงานแจ้งเกิดของผู้ประพันธ์เพลง คือนายเสือ ธนพล อินทฤทธิ์ (ว่าที่ศิลปินภายใต้การดูแลของอิทธิอีก)ด้วย แถมมิวสิกวิดีโอก็อาจจะเรียกได้ว่าเป็นเพลงแรกๆของไทยที่ใช้คอมพิวเตอร์กราฟิกช่วยให้สิ่งที่ถูกแต่งเติมดูสมจริงสมจัง จนถูกตาคณะกรรมการตัดสินรางวัลโทรทัศน์ทองคำ แล้วก็ได้รางวัลชนะเลิศมิวสิกวิดีโอดีเด่นมาครอบครอง และอีกบทเพลงที่เรียกความทรงจำได้ละมุนละไมและร่วมสมัยที่สุด "ยังจำไว้" ที่อาอิดร้องและเล่นเองแทบทั้งสิ้น
เก็บตะวันที่เคยส่องฟ้า
เก็บเอามาเก็บไว้ในใจ
เก็บพลัง เก็บแรงแห่งแสงยิ่งใหญ่
รวมกันไว้ ให้เป็นหนึ่งเดียว

เก็บเอากาลเวลาผ่านเลย
สิ่งที่เคยผิดหวังช่างมัน
หนึ่งตัวตน หนึ่งคนชีวิตแสนสั้น
เจ็บแค่นั้นก็คงไม่ตาย

* ธรรมดาเวลาฟ้าครึ้มเมฆหม่น
พายุฝนอยู่บนฟากฟ้า
คงไม่นานตะวันสาดแสงแรงกล้า
ส่องให้ฟ้างดงาม

** หากตะวัน ยังเคียงคู่ฟ้า
จะมัวมาสิ้นหวังทำไม
เมื่อยังมีพรุ่งนี้ให้เดินเริ่มใหม่
มั่นคงไว้ดังเช่นตะวัน

(ซ้ำ *, **)

มั่นคงไว้ดังเช่นตะวัน




Voloume 1 ให้มันแล้วไป - อิทธิ พลางกูร
นักร้อง : อิทธิ พลางกูร
อัลบัม : Voloume 1 ให้มันแล้วไป
ค่ายเพลง : RS Promotion

รายชื่อเพลง :
1.ให้มันแล้วไป
2.จบลงแล้ว
3.ยังจำไว้
4.คนอะไร

5.มากคน มากความ
6.เจ็บคราวนี้
7.เก็บตะวัน
8.ใจเขา ใจเรา
9.หากคิดจะรัก..ก็รัก
10.นิยายน้ำเน่า









ชีวิตวัยเด็กของลูกสาวอิทธิ พลางกูรในวันนี้
แตกต่างจากเด็กเมืองกรุงอีกหลายคน

เพราะต้องทำงานด้ินรนเพื่อให้มีบ้านอยู่..

วันเด็กปีนี้อาจจะไม่เหมือนปีก่อน ๆ สำหรับบุตรสาวสามคนของ
อิทธิ พลางกูร อดีตนักดนตรีผู้ยิ่งใหญ่ เพราะบุตรสาวคนกลาง
เกด-ปริญากร พลางกูร วัย 18 ปี ต้องรับจ้างเป็น
พิธีกรงานวันเด็กในพิพิธภัณฑ์เด็ก ย่านจตุจักร
ในขณะที่น้องสาว เกียร์-ภริชยา ต้องช่วยแม่ขายไก่ทอดในตลาดนัด
ส่วน แก้ว-ญาดา พี่สาวคนโตแม้จะเรียนในระดับมหาวิทยาลัย

แต่ก็ต้องทำงานร้องเพลงตามร้านอาหาร หารายได้ช่วยครอบครัวอีกแรง


เกด-ปริญากร พลางกูร นักเรียนชั้นม.6 โรงเรียน
ในฐานะเจ้าของตำแหน่งเด็กดีกรุงเทพฯ
ซึ่งเพิ่งได้รับตำแหน่งมาหมาดๆ เผยกับผู้สื่อข่าว ไทยรัฐออนไลน์
ในชุดนักเรียนที่โรงเรียนบดินทร์เดชาก่อนวันเด็กไม่กี่วัน
ว่าการที่พ่อของเธอเสียชีวิตไปเมื่อ 5 ปีก่อน
ทำให้ชีวิตวัยเด็กของเธอหายไป
และจากชีวิตที่สมบูรณ์แบบเป็นคุณหนูเมื่อ 5 ปีก่อน
วันนี้เธอกลับต้องโหนรถเมล์ไปโรงเรียนและต้องช่วยงานแม่สารพัด อาทิ
ขายของ และรับงานทุกอย่างเพื่อเป็นค่าอาหารที่โรงเรียน


ในขณะที่น้องเกียร์-ภริชยา น้องสาวคนเล็กวัย 11 ขวบ อยู่ชั้นม.1
โรงเรียนฤทธิยะวรรณาลัย ก็ไม่แตกต่างกัน
ต้องประหยัดอดออมทุกบาททุกสตางค์เพื่อที่จะมีเงินเก็บ
เป็นค่ารถค่าอาหารในวันต่อไป เรียกว่า
เป็นครอบครัวที่ต้องดิ้นรนในเมืองหลวงสมบูรณ์แบบ


น้องเกดเผยต่อไปอีกว่า เมื่อ 5 ปีก่อน ครั้งที่พ่ออิทธิ ยังมีชีวิตอยู่
ตนและพี่แก้ว มีพี่เลี้ยงสองคนดูแลเรียกว่าอยากได้อะไรก็ต้องได้
แต่วันนี้แม้แต่บ้านยังถูกยึด แถมยังต้องหาเงินด้วยลำแข้ง
ที่เจ็บปวดที่สุดในใจของเกดก็คือ อยากเรียนดนตรีแต่ก็ไม่มีเงิน


"ที่ทำให้น้อยใจมากๆ ก็เป็นเรื่องที่เราเป็นครอบครัวนักดนตรี
พ่อคืออิทธิ พลางกูร แต่เราไม่มีปัญญาหาเงินเรียนดนตรี
ทุกวันนี้ความรู้ด้านดนตรีที่ได้ก็ต้องครูพักลักจำ
เรียนรู้เอาเองจากประสบการณ์ที่ไปร้องตามงานต่างๆ
ถามเพื่อนพ่อบ้างตามประสา ถามเกดว่าอะไรที่เป็นแรงใจให้สู้
ก็คือเพลงของพ่อ ทุกครั้งที่ท้อใจ ทำไมเราถึงลำบาก
ก็ให้มองไปที่คนลำบากกว่าเรา แล้วก็นึกถึงเพลงเก็บตะวันของพ่อ"


เกด-ปริญากร บอกต่อไปอีกว่า 5 ปีที่ผ่านมาต้องปรับตัวอย่างหนัก
วัยเด็กตั้งแต่ 13 ขวบมาถึงวันนี้ต้องผ่านความลำเค็ญพอสมควร


"ถามว่าวัยเด็กของเกดทำอะไร ทำงานอย่างเดียว
ช่วยแม่ขายไก่ทอด ตามตลาดนัด ไม่เคยได้เที่ยวเลย
ไปเดินห้างยังรู้สึกว่าทำผิด เวลาจะใช้เงิน คิดแล้วคิดอีก
ไปเดินห้างอยากได้อะไรก็ต้องคำนวณดู ว่ามีเงินพอไหม
เรียกว่ายิ่งกว่าชีวิตพอเพียง เพราะเราอยู่ในกรุงเทพฯ
ต้องใช้เงินทุกวัน แต่หาได้ไม่มาก
เคยไปเที่ยวกลับมาเห็นแม่ไม่มีความสุข
น้ำตาจะไหล ไม่อยากทำให้แม่เป็นทุกข์
จะคิดเสมอว่าวันหนึ่งเราคงได้เที่ยว
ได้กินของอร่อยๆ กับเขาบ้าง"


สำหรับน้องเกดอนาคตของเธอจากนี้ไปยังไม่แน่
แม้อยากจะเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย แต่ก็ต้องสอบชิงทุน
เพราะเป็นช่องทางเดียวที่เธอมีอยู่ และตั้งใจไว้อีกว่า
จะหารายได้เสริมอีกทางช่วยส่งน้องที่ยังเรียน ม.1


"ไม่เคยน้อยใจเลย คิดเสมอว่ามีแม่เป็นแรงใจให้สู้
เอาจากพี่สาวเป็นตัวอย่างเพราะพี่สอบได้ทุนของมหาวิทยาลัยรังสิตได้
เราต้องทำได้บ้าง ที่ได้ทำเรื่องขอทุนไปก็ที่มหาวิทยาลัยศรีปทุม
ส่วนงานร้องเพลงนั้นบอกตรง ๆ ว่าอยากทำมาก
อยากเดินตามรอยเท้าพ่อ แต่ก็ขึ้นอยู่กับโอกาสในอนาคต
เพราะวันนี้คงทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องสู้ ดิ้นรนตามประสา"


น้องเกดน้ำตาคลอเมื่อนึกถึงบ้านที่ถูกยึดไปว่าจะหาทาง
ช่วยแม่ให้ได้อยากมีงานทำแม้จะยังเรียนไม่จบเพราะ
เมื่อมีงานก็รายได้จะขอกู้ธนาคารเพื่อช่วยไม่ให้บ้านถูกยึด


"พี่แก้วกับเกดต้องการรายได้ประจำ เพราะจะทำเรื่องขอกู้แบงก์
เราไม่อยากให้บ้านหลังนี้หลุดไป เพราะเป็นสิ่งที่พ่อสร้างขึ้นมา
แม่ตั้งใจว่าจะไปประมูลมาใหม่ เพราะเราเป็นหนี้แบงค์แค่ 2.7 ล้าน
ในขณะที่มูลค่าบ้านมีสูงถึง 6.7 ล้าน
คือเราต้องการประนอมหนี้ และจะขอสู้ถึงที่สุด" เธอเผย




ด้าน แก้ว-ญาดา พี่สาววัย 19 ปีเล่าประสบการณ์ชีวิตระหว่าง
ร้องเพลงเพื่อช่วยแม่ว่า ทุกวันนี้จะรับงานดูโอ คือ
เป็นคู่ หากเป็นงานในมหาวิทยาลัยเธอจะร้องเพลงเอง
แต่หากเป็นงานอีเว้นท์ก็จะให้น้องเกดไปด้วย


"รายได้อาจจะไม่มาก แต่สำคัญมากสำหรับครอบครัวเรา
ถ้าน้องเกดได้ทิป น้องก็จะเก็บเอาไว้อย่างทะนุถนอม
ถามว่าหนักไหม บางคืนไม่ได้นอนเพราะงานร้องเพลงบางทีก็ต้องดึก
โชคดีที่เพื่อนที่มหาวิทยาลัยเข้าใจ เพื่อนของน้องเกดเข้าใจ
ช่วยเหลือกันตลอดเรื่องการเรียน" แก้วเล่า


มาวันนี้ถามถึงรายได้จากคอนเสิร์ตอิทธิ พลางกูรที่ผ่านมา
แก้ว-ญาดา บอกว่าได้รับความช่วยเหลือจากพี่ๆ ศิลปินหลายคน
ก็ตื้นตันใจแล้ว แม้คอนเสิร์ตจะมีคนดูน้อยน่าผิดหวังก็ตาม


"ไม่เป็นไร แค่เห็นพี่ๆ เพื่อน ๆ ศิลปินของพ่อมาช่วยก็สุขใจ
มีเพื่อนศิลปินของพ่อแต่งเพลงให้ครอบครัวเราร้องชื่อว่า
แรงบันดาลใจ เสมือนเป็นเครื่องบอกแก่เราเหมือนกันว่าให้สู้
อย่าเพิ่งท้อ คงเหมือนเพลงของพ่อ เก็บตะวัน
เพราะฟังเพลงนี้หรือร้องเพลงนี้ทีไร ทำให้เรามีหวังและศรัทธาในชีวิต"