Custom Search

Aug 31, 2013

Architect Expo 13' : สัมภาษณ์ 6 สถาปนิกชั้นนำของไทย



สัมภาษณ์ 6 สถาปนิกชั้นนำของไทย กับมุมมองการเตรียมพร้อมที่สถาปนิกไทยจะก้าวสู่ AEC

Video produced by NUTTERmotiOn 
https://www.facebook.com/NUTTERmotion

NUTTER MOTION
Service : Video Presentation, Wedding Cinema,
Short Film, Music Video
: NUTTANON HOMVICHIAN
: Tel.08-9916-7019
: NUTTERmotiOn@gmail.com
: www.NUTTERmotiOn.com
: Facebook.com/NUTTERmotiOn

THANKS
- ASA [http://www.asa.or.th/]
- SOA +D @ KMUTT [http://www.arch.kmutt.ac.th/]
- TTF [http://www.ttfintl.com/]


เมธา บุนนาค


คุณเมธา บุนนาค เป็นสถาปนิกไทยผู้ที่ได้รับ
การยอมรับอย่าง­กว้างขวางจาก
ผลงานการออกแบบรีสอร์ททั้งในแ­ละนอกประเทศ 

คุณเมธาประยุกต์ใช้ความสนใจของตน 
ในด้านการ­อนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมและความเป็นท้องถิ­่น
สอดแทรกอยู่ในแนวคิดและรูปลักษณ์ของผลงา­นต่างๆ
ที่สร้างสรรค์อย่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
แต่ยังคงอยู่บนพื้นฐานของความร่วมสมัย
ผลงานการออกแบบภายใต้บริษัท Bunnag Architects International Consultants
มีจุดเด่นในการถ่ายทอดบรรยากาศและประสบการ­ณ์ให้กับผู้ใช้โครงการ
มีการใส่ใจในรายละเอียดโดยเฉพาะลำดับของกา­รเล่าเรื่องผ่านทางสถาปัตยกรรม
เพื่อให้เกิดอารมณ์ความรู้สึกสงบผ่อนคลายห­รือเป็นที่จดจำ
บางครั้งธรรมชาติทำหน้าที่เป็นเครื่องมือ
ใ­นการสร้างสุนทรียภาพและความเป็นถิ่นที่เหล­่านี้
หรือแม้แต่ถูกกำหนดให้เป็นจุดหมายตาอย่างต­ั้งใจ
คุณเมธา บุนนาค ศึกษาสถาปัตยกรรมในระดับปริญญาตรีจากมหาวิ­ทยาลัยศิลปากร
ก่อนจะศึกษาต่อด้านความคิดสถาปัตยกรรม
จาก University of Manitoba ประเทศแคนาดา
และด้านการอนุรักษ์เมืองจาก Harvard University ประเทศสหรัฐอเมริกา
นอกจากนี้ ยังมีประสบการณ์เป็นอาจารย์สอนสถาปัตยกรรม­ที่
University of Hong Kong และ the National University of Singapore
รวมทั้งทำงานในสำนักงานสถาปนิกหลายแห่งในป­ระเทศแคนาดา ฮ่องกง และสิงคโปร์
จากนั้นจึงกลับมายังประเทศไทยและก่อตั้งสำ­นักงานออกแบบของตนเอง ในปี พ.ศ. 2533
ผลงานการออกแบบรีสอร์ทของคุณเมธาและ
บริษัท Bunnag Architects International Consultants
เป็นที่กล่าวขวัญถึงและได้รับรางวัลมากมาย­จากในและต่างประเทศ อาทิ
Best Hotel Design from the Indonesian Institute of Architects
จากผลงาน Novotel Bukittinggi, West Sumatra ในปี 2539
รางวัลอนุรักษ์สถาปัตยกรรมจากสมาคมสถาปนิก­สยาม
จากผลงาน Four Seasons Resort เชียงใหม่ ในปี 2541
และ รางวัล Design for Asia Award 2009 -DFA Merit
Recognition
ในประเภท Hospitality and Leisure จาก Hong Kong
Design Centre (HKDC), Hong Kong จากผลงาน The
Barai at Hyatt Regency Hua Hin
ในปี 2552 คุณเมธา บุนาค 
ได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติเป็นศิลปินแห­่งชาติ สาขาทัศนศิลป์
(สถาปัตยกรรม) ในปี 2554


archsu

Aug 27, 2013

เพื่อชีวิตที่ดีกว่า

วรากรณ์ สามโกเศศ 
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ 
(รวม 2 หน้า) 

https://www.facebook.com/varakornsam/posts/221622381327243


เพื่อนผมคนหนึ่งเป็นพลเรือเอกเคยเล่าให้ฟังว่า
เมื่อตอนเป็นเด็กนั้นเกเรมาก เป็นเด็กกำพร้าพ่อแม่
อาศัยอยู่กับลุงและป้า ไม่ยอมเรียนหนังสือ เอาแต่ชกต่อยและคบเพื่อนไม่ดีตอนเริ่มต้นวัยรุ่นจนลุงป้าและญาติ ๆ ระอา ไม่มีแววเลยว่าวันหนึ่งจะได้เป็นพลเรือเอก

วันหนึ่งในตอนอายุประมาณ 15 ปี ได้มีโอกาสคุยกับพระที่นับถือท่านถามว่าจะทำตัวอย่างนี้ไปได้อีกกี่ปี อนาคตจะเป็นอย่างที่เป็นนี้หรือจะด้วยบุญเก่าหรือวาสนาบารมี หรือการคิดเป็นก็ไม่ทราบได้
เพื่อนผมกลับตัวกลับใจกลายเป็นอีกคนหนึ่งเพื่ออยากมีชีวิตที่ดีกว่าเดิม เลิกคบเพื่อนเกเร ตั้งอกตั้งใจเรียนหนังสือ วางแผนชีวิตและสอบเข้าโรงเรียนนายเรือได้ ผ่านไป 40 ปี 

เพื่อนเก่าที่เคยคบกันมานั้นติดคุกติดตะรางก็หลายคน ถูกฆ่าตาย ติดเหล้าติดยาก็มี เขาบอกว่าถ้าเขาไม่ตัดสินใจเปลี่ยนชีวิต ชะตากรรมก็คงไม่ต่างไปจากเพื่อนเหล่านี้อย่างแน่นอน
เมื่อฟังเรื่องจริงเรื่องนี้แล้วก็เกิดความคิดขึ้นว่ามนุษย์คงมีจุดเปลี่ยนชีวิตเช่นนี้ด้วยกันเกือบทุกคนจะขึ้นสวรรค์หรือลงนรกก็จุดนี้แหละ ถ้าได้คิดขึ้นมาและฮึดมุ่งมั่นในใจว่าตนเองต้องมีชีวิตที่ดีกว่าเดิมให้ได้และปฏิบัติตามแนวทางที่ตนเองคิดได้อย่างบากบั่นมานะไม่ท้อถอยแล้ว ชีวิตต้องดีกว่าเดิมแน่ มนุษย์ทุกคนมีโอกาสคิดฮึกเหิมและปฏิบัติเช่นนี้ได้ทุกคน

แต่คำถามก็คืออะไรที่จะพลิกผันให้เขาเกิดความคิดที่จะมีชีวิตที่ดีกว่าเดิมขึ้นมาได้
คำตอบมีหลายประการ อาจมาจากคำพูดของคนที่เรารักนับถือ การอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เอื้อให้เราเกิดความคิดเช่นนั้นขึ้น การอ่านหนังสือดี ๆ ที่ให้กำลังใจ การพบปะบุคคลที่มีบุคลิกจูงใจให้เปลี่ยนแปลงชีวิต
การได้ดูภาพยนตร์หรือละครที่กินใจจนจูงใจให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ฯลฯ
ไม่ว่าจะเป็นคำตอบใดก็ตาม ประเด็นสำคัญอยู่ที่การเปลี่ยนแปลงในความคิดว่าต้องการมีชีวิตที่ดีกว่าเดิม ถ้าความคิดและความปรารถนานี้ไม่เกิดแล้ว “ชีวิตที่ดีกว่าเดิม” ไม่มีวันเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน
ความต้องการที่จะมี “ชีวิตที่ดีกว่าเดิม” ประกอบด้วยอย่างน้อย 3 องค์ประกอบดังนี้
 (1) การตระหนักว่าทุกคนมีชีวิตเดียวเท่านั้น มีโอกาสมีอายุ 20 หรือ 30 หรือ 40 เพียงครั้งเดียว
 หากปล่อยให้วันเวลาของชีวิต่ผานไปอย่างไร้ความหมายและไร้ประโยชน์แล้ว
 ก็จะเป็นที่น่าเสียดายอย่างที่สุด เพราะมันจะไม่มีวันหวลกลับมาอีก
(2) การคำนึงถึงความจริงว่าถ้าไม่มีการปฏิบัติที่ผิดแปลกไปจากเดิมแล้ว ผลที่เกิดตามมาก็ย่อมเหมือนเดิม
เราไม่อาจหวังว่าจะมีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นกว่าเก่าได้ ถ้าไม่ทำอะไรต่างไปจากที่เคยทำมา
(3) การเชื่ออย่างไม่มีข้อสงสัยว่าการมี “ชีวิตที่ดีกว่าเดิม”
นั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปได้สำหรับ ทุกคน การมองโลกในแง่ดีเช่นนี้จะทำให้เกิดพลังใจที่จะลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงชีวิต

ทั้ง 3 องค์ประกอบนี้จะช่วยให้ตระหนักถึงความจริงในเรื่องการเปลี่ยนแปลงชีวิต คุณค่าของชีวิต การสร้างโอกาสให้แก่ตนเองในการมี “ชีวิตที่ดีกว่าเดิม”
และการมีกำลังใจที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิต
เมื่อได้คิดที่จะฮึดสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตให้ดีขึ้นกว่าเดิมแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็คือการปฏิบัติ การเพียงนั่งคิดนอนคิดว่าตนเองต้องเปลี่ยนแปลงชีวิตไม่อาจทำให้เกิดการพลักผันไปในทางที่ดี ขึ้นได้หากไม่มีการลงมือปฏิบัติจริง
ขั้นแรกของการลงมือปฏิบัติก็คือการวางแผนว่าจะมีเป้าหมายในแต่ละขั้นตอนของชีวิตอย่างไรใช้เวลาในการปฏิบัติยาวนานเท่าใด เช่น ปัจจุบันมีอาชีพที่ทำงานหนักและมีรายได้ไม่มากนัก

การวางแผนที่อยู่บนพื้นฐานความจริงและมีความเป็นไปได้เท่านั้
นทจะทำให้เดินทางไปสู่เป้าหมายของการมีรายได้สูงขึ้นและเหน็ดเหนื่อยน้อยลงได้
ขั้นสอง ลงมือปฏิบัติตามแผนอย่างมุ่งมั่นและจริงจัง เช่น เพิ่มเติมทักษะและความรู้ของตนเอง หากขับรถบรรทุกธรรมดาก็ต้องขวนขวายเลื่อนระดับเพื่อหารายได้ด้วยการพัฒนาทักษะเพิ่มเติม
โดยการหัดขับรถบรรทุกสมัยใหม่ที่มีระบบไฮเท็คช่วยควบคุม
ขั้นสาม ประเมินผลสำเร็จของแผนการที่ได้กำหนดไว้ในแต่ละขั้นตอนอย่างซื่อสัตย์ต่อตนเอง
และปรับการดำเนินงานอยู่ตลอดเวลา เช่น การพัฒนาทักษะขับรถไฮเท็ค ถ้าพบว่าไม่ง่ายอย่างที่คิดก็จำเป็นต้องไปหาความรู้เกี่ยวกับ
การใช้คอมพิวเตอร์เพิ่มเติมเพื่อให้สามารถขับรถสมัยใหม่ได้ในที่สุด
การจะมี “ชีวิตที่ดีกว่าเดิม” ได้นั้นเป็นไปได้เสมอ
ตราบที่มีความฮึดสู้เพื่อปรับเปลี่ยนชีวิตให้ดีขึ้นโดยมีแผนการปฏิบัติการอย่างชัดเจนและมีการลงมือปฏิบัติอย่างมุ่งมั่นและจริงจัง 


รศ.ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) 
ได้กล่าวให้โอวาทในวันปฐมนิเทศนักศึกษาใหม­่ประจำปี 2556

Aug 20, 2013

มานะ ศรัทธา และปัญญา



ปรัญญาของมนุษย์แม้จะเกิดต่างที่ ต่างภาษา ต่างอุดมการณ์ก็อาจมีบางสิ่งที่สอดคล้องกันได้ ลองมาฟังนิทานธรรมะของพม่าดูก่อน 
 

ชายคนหนึ่งได้พายเรือไปในลำคลองเพื่อที่จะตกปลามาเป็นอาหารเค้าสามารถตกปลาได้สามตัว เวลาที่เค้าตกปลาได้ เค้าก็จะเอาปลาไปไว้ในท้องเรือซึ่งมีน้ำขังอยู่ในระดับหนึ่ง ทำให้ปลาไม่ตาย

ปลาตัวแรกมีชื่อว่า เฉย ปลาตัวนี้ไม่ทำอะไรเลยเพราะปลาตัวนี้คิดว่า อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด
ปลาตัวนี้ก็นอนนิ่งงงง

ปลา ตัวที่สองมีชื่อว่า มานะ ปลาตัวนี้แตกต่างจากตัวแรกอย่างสิ้นเชิง ปลาตัวนี้จะพยายามทุกวิถีทางเพื่อที่จะรอดพ้นจากการถูกกิน
ปลาตัวนี้จะพยายามกระโดดเพื่อที่จะได้ออกจากเรือลำนี้ กระโดด
แล้วกระโดดเล่า ชายคนที่ตกปลาเห็นปลาตัวนี้ก็คิดในใจว่า ปลาตัวนี้ช่างมีความพยายามสูงจริงๆ ถ้ากระโดดไปเรื่อยๆ คงจะกระโดดออกจากเรือเพื่อกลับลงไปในคลองได้แน่ๆ ดังนั้นแล้ว ชายคนนี้จึงเอาไม้พายฝาดหัวปลาตัวนี้เลย ปลาก็ตายก่อนเพื่อน

ปลา ตัวที่สามมีชื่อว่า ปัญญา ปลาตัวนี้ก็ทำตัวนิ่งๆ เหมือนกับปลาตัวแรก ไม่ทำอะไร รอ รอ รอ แต่พอจังหวะที่คนตกปลาถึงบ้าน เวลาที่เค้าลุกขึ้นเพื่อที่จะเอาเรือไปผูกไว้กับเสา เรือจะเกิดการโคลงเคลงขึ้น เมื่อเรือเอนไปเอนมาในจังหวะที่ดี ปลาตัวนี้ก็กระโดดสุดชีวิต ทำให้สามารถกระโดดพ้นออกมาจากตัวเรือได้ภายในครั้งเดียว

นิทาน เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม สิ่งแรกที่เราจะต้องใช้คือปัญญาและสติ เมื่อเราใช้ปัญญาและสติอย่างเต็มที่แล้ว
เราจะรู้ว่าเมื่อไรที่เราควรจะนิ่ง และเมื่อไรที่เราควรจะใช้ความ
พยายามและความขยันอย่างสุดกำลัง

น่าแปลกที่ทางฝั่งตะวันตกก็มีปรัชญาประมาณนี้เหมือนกันแต่มาจากจอมโหดอย่างฮิตเลอร์

ฮิตเลอร์เปรียบเปรยทหารในกองทัพนาซีแบ่งแยกออกเป็น 4 ประเภท

ฉลาด-ขยัน คนเหล่านี้สมควรให้เป็นนายร้อย-นายพัน คุมการรบภาคสนาม
ฉลาด-ขี้เกียจ คนเหล่านี้สมควรให้เป็นนายพล คุมกลยุทธ์ในภาพใหญ่
โง่-ขี้เกียจ คนเหล่านี้ควรให้เป็นพลทหาร ใช้เลือดเนื้อแรงงานตามคำสั่ง

ส่วนกลุ่มคนสุดท้าย...
โง่-ขยัน คนเหล่านี้สมควรจับไปยิงเป้าเสียให้หมด เพราะสร้างความเสียหายจากความไม่รู้แก่กองทัพได้มากที่สุด

โชคดีของนาซีที่ฮิตเลอร์ไม่ได้ทำอย่างนั้นจริงๆ ไม่งั้นกองทัพนาซีจะพ่ายแพ้เร็วกว่านี้ (แต่อาจเป็นโชคร้ายของชาวโลก -_-)

แม้ แนวคิดสุดโต่งแบบนี้จะออกจากปากจอมโหดอย่างฮิตเลอร์ แต่ก็สอดคล้องแนวคิดทางพุทธศาสนา แสดงให้เห็นว่าไม่ว่าจะเป็นสายธรรมะหรือสายอธรรมก็ให้ความสำคัญกับปัญญา เหนือกว่ามานะ (ศรัทธา)

ปัญญาจะเป็นตัวกำหนดให้เราเดินเส้นทางที่ถูก
ส่วนมานะจะเป็นตัวผลักดันให้เราเข้าสู่จุดหมายได้เร็วขึ้น
มานะที่ขาดปัญญานี่น่ากลัวมาก เพราะจะนำเราไปสู่ความวิบัติได้อย่างรวดเร็วโดยที่เราไม่รู้ตัว
พุทธศาสนาจึงจะสอนมานะ (หรือศรัทธา) ไว้คู่กับปัญญาเสมอ

แม้พระธรรมแห่งพุทธศาสนาเอง พระพุทธเจ้าก็มุ่งหวังให้สัตว์โลกพิจารณาคำสอนของพระองค์ให้ดีก่อนศรัทธา
สมัยที่พระพุทธเจ้ายังประทับอยู่บนโลก ก็ยินดีจะตอบข้อซักถาม และข้อโต้แต้งของผู้ไม่เห็นด้วย โดยเหตุและผล
ไม่ได้บังคับโดยอิทธิฤทธ์ หรืออ้างปาฎิหารย์เพื่อชักจูงให้ผู้ไม่เห็นด้วยคล้อยตาม
ถ้าใช้เหตุและผลถึงที่สุดแล้วไม่สามารถโปรดสัตว์รายใดได้ ก็จะ
ปล่อยวาง เพรากรรมของสัตว์ตนนั้นบดบังโอกาสดวงตาเห็นธรรม


www.facebook.com/pages/Faithbook

พระพุทธเจ้าสอนให้ใช้หลักวินิจฉัยด้วยตนเองโดยมิให้ปลงใจเชื่อถือ ด้วยเหตุ ๑๐ ประการ (กาลามาสูตร) ดังต่อไปนี้ 
๑) มาอนุสสะเวนะ อย่าเชื่อถือเพียงเพราะได้ยินได้ฟังอยู่เนือง ๆ
๒) มาปรัมปรายะ อย่าเชื่อถือเพียงเพราะเป็นไปตามประเพณีสืบ ๆ กันมา
๓) มาอิติกิรายะ อย่าเชื่อถือตามคำที่เขาเล่าลือกัน
๔) มาปิฏะกะสัมปะทาเนนะ อย่าเชื่อถือเพียงเพราะตรงกับตำรา
๕) มาตักกะเหตุ อย่าเชื่อถือเพราะคาดคะเนเอา
๖) มานะยะเหตุ อย่าเชื่อถือเพราะมีนัยเทียบเคียงกันได้
๗) มาอาการะปริวิตักเกนะ อย่าเชื่อถือเพียงเพราะคิดไปตามอาการที่ได้เห็น
๘) มาทิฏฐินิชฌานักขันติยา อย่าเชื่อถือเพียงเพราะเข้ากันได้กับทฤษฎี
๙) มาภัพพะรูปะตายะ อย่าเชื่อถือเพียงเพราะคนพูดน่าเชื่อถือ
๑๐) มาสะมะโณ โนคะรูติ อย่าเชื่อถือเพียงเพราะผู้พูดเป็นสมณะหรือครูอาจารย์

พระพุทธเจ้าท่านสอนไม่ให้เชื่ออะไรง่าย ๆ เพียงเพราะเหตุใดเหตุหนึ่งใน ๑๐ ประการดังกล่าวข้างต้น แต่ให้ใช้สติปัญญาไตร่ตรองอย่างรอบคอบ
ก่อนจะใช้มานะ(หรือศรัทธา)ในเรื่องใด ควรใช้ปัญญาพิจารณาให้ถ้วนถี่เสียก่อนเสมอ :)

ขอบคุณ Thailand Investment Forum ที่นำนิทานธรรมพม่ามาเล่าสู่กันฟัง

ประชากรฟิลิปปินส์ใกล้เหยียบร้อยล้าน


วรากรณ์ สามโกเศศ
มติชนรายวัน
วันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2551
ปีที่ 31 ฉบับที่ 11079

ถ้าคนไทยจะหาชาติคู่แฝดชนิดที่หน้าตาเหมือนกัน มีค่านิยมหลายอย่างเหมือนกัน รักความสนุกสนานเหมือนกัน ฯลฯคำตอบก็คือฟิลิปปินส์แต่สิ่งหนึ่งที่แต่เดิมใกล้เคียงกันแต่ปัจจุบันทิ้งกันห่างไกลก็คือจำนวนประชากรในขณะที่ประชากรไทยปัจจุบัน อยู่ที่ 63 ล้านคนฟิลิปปินส์พุ่งขึ้นเป็น 90.5 ล้านคน แล้ว

ด้วยอัตราการเพิ่มขึ้นของประชากรในพิสัยกว่าร้อยละ 2 เป็นเวลายาวนานทำให้ ประชากร 77 ล้านคนในปี 2001 เพิ่มเป็น 90.5 ล้านคนในปี 2008(สูงสุดอันดับ 12 ของโลก)และด้วยอัตราเช่นนี้คาดว่าใน
เวลาไม่เกิน 10 ปีข้างหน้า จะเหยียบหลักร้อยอย่างแน่นอน

พื้นที่ฟิลิปปินส์ประกอบด้วย 7,100 เกาะ มีพื้นที่รวมกันประมาณร้อยละ 60 ของไทย ดังนั้น จึงมีความหนาแน่นสูงถึง 294 คนต่อตาราง

กิโลเมตร อยู่ในอันดับ 32 ของโลก
สาเหตุสำคัญที่ทำให้ประชากรฟิลิปปินส์เพิ่มสูงขึ้นเช่นนี้เป็นที่ทราบกันดีว่ามาจากความเป็นคริสตังหรือคริสเตียนนิกายโรมันคาทอลิก ซึ่ง
ถือว่าความสัมพันธ์ทางเพศเป็นไปเพื่อการมีลูกเท่านั้น

ในเอเชียนั้นมีอยู่เพียง 2 ประเทศเท่านั้นที่คนส่วนใหญ่เป็นคริสตัง
ได้แก่ ฟิลิปปินส์ และติมอร์ตะวันออกร้อยละ 90 ของคนฟิลิปปินส์
เป็นคริสเตียน โดยร้อยละ 81 เป็นคริสตังและเป็นคริสตังที่เคร่งในคำสอนเรื่องห้ามคุมกำเนิดอย่างมาก (ร้อยละ 97 ของประชากรติมอร์ตะวันออกเป็นคริสตัง)

ก่อนหน้าศตวรรษที่ 20 การป้องกันการตั้งครรภ์หรือการคุมกำเนิด (contraception)เป็นสิ่งต้องห้ามของทุกนิกายของศาสนาคริสต์
ไม่ว่าผู้นำคนสำคัญ เช่น มาร์ติน ลูเธอร์ หรือจอห์น แคลวิน
ล้วนมั่นคงในคำสอนเช่นนี้ทั้งสิ้น แต่ในช่วงศตวรรษที่ 20 คริสต์
นิกายต่างๆก็มีคำสอนในเรื่องนี้ที่แตกต่างกันออกไป ส่วนใหญ่ไปใน
ทิศทางของการยอมรับการคุมกำเนิดมีแต่นิกายโรมันคาทอลิกหรือคริสตังเท่านั้นที่ยังเคร่งครัดในเรื่องนี้อยู่

อย่างไรก็ดี คริสตังในหลายประเทศในยุโรป อเมริกาใต้ อเมริกาเหนือ
เพิกเฉยต่อคำสอนในเรื่องดังกล่าว โดยปรับตนให้สอดคล้องกับความจำเป็นในการดำรงชีวิต
การสำรวจในปี 1998 พบว่าร้อยละ 96 ของคริสตังหญิง ได้ใช้วิธีการคุมกำเนิดอย่างน้อยในช่วงหนึ่งของชีวิตและร้อยละ 72 ของคริสตังเชื่อว่าบุคคลสามารถเป็นคริสตังที่ดีได้โดยไม่เชื่อฟังในเรื่องการห้ามคุมกำเนิด ในการสำรวจคริสตังในสหรัฐอเมริกันในปี 2005พบว่าร้อยละ 90 สนับสนุนการคุมกำเนิด

ความเข้มแข็งและอิทธิพลของผู้นำศาสนาที่มีต่อคนฟิลิปปินส์ ทำให้คริสตังฟิลิปปินส์ยังคงเชื่อฟัง
ในเรื่องการห้ามคุมกำเนิด ผู้นำสังคมที่ไม่เห็นด้วยในเรื่องการห้ามคุมกำเนิดหรือห้ามวางแผนครอบครัวไม่อาจออกมาต่อสู้กระแสคำสอนได้ พวกเหล่านี้อยู่ได้เพียงชายขอบของสังคม
โดยดำเนินงานในเรื่องคุมกำเนิดให้แก่ผู้ที่ไม่ได้เป็นคริสตัง และบางส่วนของคริสตังเท่านั้น

คนฟิลิปปินส์เป็นผู้ที่เข้าใจเรื่องการเมืองภาคประชาชนเป็นอย่างดี
การอยู่ภายใต้อาณัติดูแลของสหรัฐอเมริกาเป็นเวลากว่า 40 ปีทำให้เข้าใจเรื่องประชาธิปไตยโดยทั่วไปดีกว่าคนไทย การโค่นล้มประธานาธิบดีมากอส ("people power" ในปี 1986)และประธานาธิบดีแอสตราดา ในปี 2001 ไม่มีวันสำเร็จได้เลยถ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือจากผู้นำทางศาสนา
นี่คือตัวอย่างของอิทธิพลผู้นำศาสนาที่มีต่อสังคมฟิลิปปินส์

อย่างไรก็ดี ในสภาวการณ์ปัจจุบันที่ข้าวปลาอาหารและพลังงานมีราคาสูงขึ้นอย่างมากในเวลาอันสั้น
ท่ามกลางประชากรเพิ่มขึ้น ถึงร้อยละ 2.04 ต่อปี (ลดลงจากร้อยละ 2.64 ในปี 2001)ผู้นำสังคมฟิลิปปินส์บางคน มีเสียงดังขึ้นทุกทีในเรื่องการห้ามคุมกำเนิดอย่างขัดแย้งกับเสียงผู้นำศาสนา

ผู้นำทางศาสนามีความเห็นว่าความยากจนของคนฟิลิปปินส์ (ประมาณร้อยละ 40 มีรายได้ประมาณวันละ 2 เหรียญสหรัฐ)มีสาเหตุจากคอร์รัปชั่นของภาครัฐ การดำเนินนโยบายของรัฐที่ผิดพลาด(ฟิลิปปินส์นำเข้าข้าว 5 แสนตันเมื่อปีที่แล้วทั้งๆ ที่พื้นที่เหมาะต่อการปลูกข้าว และมีแรงงานในภาคเกษตรกรมากมาย)ไม่ใช่การมีประชากรมาก ในทางตรงกันข้าม การมีประชากรมากทำให้มีแรงงานภาคเกษตรและอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นด้วย

Thomas Merrick ผู้ปรึกษาธนาคารโลกได้ระบุในข้อเขียนชิ้นสำคัญของธนาคารโลกในปี 2002 ว่า"ถึงแม้นโยบายเกษตร นโยบายการค้า และระบบการแบ่งสรรอาหาร ที่ผิดพลาดอาจเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดความหิวโหยแต่การมีประชากรที่มากขึ้นในอัตราที่สูงจะช่วยซ้ำเติมนโยบายที่เลวร้ายเหล่านั้น อัตราการเพิ่มขึ้นของประชากรที่ต่ำอาจช่วยซื้อเวลาให้นโยบายที่ดีๆ ก่อนที่จะผลิดอกออกผล....." คำกล่าวนี้น่าจะมีส่วนถูกอยู่มากในกรณีของฟิลิปปินส์

อาจเรียกได้ว่าฟิลิปปินส์ไม่มีระบบการวางแผนครอบครัวที่ภาครัฐเป็นผู้ริเริ่ม ซึ่งต่างจากเพื่อนบ้านในเอเชีย
ไม่ว่าจะเป็นไทย อินโดนีเซีย หรือจีน ประเทศเหล่านี้ตระหนักว่าการคุมกำเนิดคือเครื่องมือช่วยไม่ให้ความยากจนถูกซ้ำเติมให้หนักหนาสาหัสยิ่งขึ้นจากการมีประชากรมากเกินไป

การทำหมันชายไม่ได้ผลในฟิลิปปินส์เพราะผู้ชายกลัวว่าจะทำให้หมดน้ำยา ฝ่ายหญิงเกรงว่าการทำหมันจะเท่ากับเป็นการมอบเสรีภาพให้แก่ฝ่ายชาย ในการออกไปหลงระเริงสนุกสนานนอกบ้าน(ปกติก็อาจทำอยู่แล้วโดยภรรยาไม่ทราบ) การส่งเสริมให้ใช้ถุงยางอนามัยเพื่อคุมกำเนิด ก็ดูจะไม่ได้ผลเพราะผู้เคร่งในศาสนาจริงๆ ไม่ยอมรับ เพราะถือว่าความสัมพันธ์ทางเพศต้องเป็นไปเพื่อการมีลูกเท่านั้น

บุคคลหนึ่งที่กำลังมีบทบาทส่งเสริมการใช้ถุงยางอนามัยอย่างขะมักเขม้นก็คือ อดีตประธานาธิบดีแอสตราดาผู้ได้รับนิรโทษกรรมแล้ว เขาเดินทางไปทั่วประเทศ ประชาสัมพันธ์เรื่องการวางแผนครอบครัวการรณรงค์ของเขาเป็นที่น่าสนใจสำหรับคนฟิลิปปินส์ เพราะเขาเองมีลูกไม่ต่ำกว่า 11 คน จากผู้หญิง 3 คน

นักเศรษฐศาสตร์ด้านการพัฒนาหลายคนเห็นพ้องกันว่าอุปสรรคของการพัฒนาประเทศมิได้มาจากการขาดแคลนเงินทุนและ/หรือการมีทรัพยากรมนุษย์ที่ด้อยคุณภาพเท่านั้น หากในหลายกรณีวัฒนธรรมและค่านิยมเป็นตัวกีดกั้นการพัฒนาประเทศ

ฟิลิปปินส์เป็นประเทศกำลังพัฒนาขนาดใหญ่เดียวในโลกที่ประชากรมีความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษเป็นอย่างดีการศึกษามีคุณภาพมากกว่าหลายประเทศในสิ่งแวดล้อมคล้ายกัน ประชากรมีคุณภาพ พอที่จะไปทำงานในต่างประเทศทั่วโลกถึง 11 ล้านคนซึ่งเป็นชุมชนคนไปทำงานต่างประเทศที่ใหญ่สุดของโลก ทุกปีวีรบุรุษวีรสตรีเหล่านี้รวมกันส่งเงินกลับประเทศเพื่อช่วยเหลือครอบครัวและญาติพี่น้องมากกว่าเงินจากการลงทุนจากต่างประเทศ

ฟิลิปปินส์มีโครงสร้างพื้นฐานไม่ว่าในด้านทรัพยากรมนุษย์หรือกฎเกณฑ์ในการดูแลเศรษฐกิจที่ดีพอควร (ยกเว้นในเรื่องนโยบายสินค้าเกษตร)แต่ปัญหาสำคัญคือคอร์รัปชั่น เราเห็นชัดว่าคอร์รัปชั่น และความยากจนเป็นปัญหาหนักอก ที่บั่นทอนเศรษฐกิจของบ้านเราอย่างยิ่ง ถ้าเราเอาปัญหาประชากรเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วไปเพิ่มเข้าอีก ก็พอจินตนาการได้ว่าฟิลิปปินส์นั้นมีปัญหาหนักหน่วงเพียงใด

หน้า 6

Aug 17, 2013

Lee Kuan Yew

ฯพณฯ นาย ลี กวน ยู
บุคคลที่นำประเทศสิงคโปร์เจริญก้าวหน้า 


Aug 11, 2013

๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๖

ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

"สดุดี มหาราชา"
http://teetwo.blogspot.com/2010/08/12.html



เนื่องในโอกาสปีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (ร.๙) ๘๖ พรรษา ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ และเนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ๘๑ พรรษา ๑๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๖
ศิลปินไทยในหลากหลายแขนงจึงมารวมใจกันแสดง­ความ "รู้รักสามัคคี"นำเพลงสำคัญของแผ่นดิน "สดุดี มหาราชา" มาขับร้องใหม่เพื่อเทิดพระเกียรติแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (ร.๙) และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ

ดำเนินการผลิตโดย
บริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด(มหาชน)

งานของแม่ไม่เคยหมด...ไม่ว่าจะเป็นแม่ของครอบครัวเล็กๆ...
หรือว่าแม่ของชาติ...ทรงพระเจริญ
 ~นิติพงษ์ ห่อนาค 



 เอ้า...แม่มาเยี่ยม...ทุกคน...นี่แม่ฉัน...แม่..นี่ทุกคน ~นิติพงษ์ ห่อนาค

ฉันเป็นคนตาบอดข้างซ้ายข้างเดียวมาตั้งแต่ห้าขวบ..โดนไม้หัวตะขอเหล็กที่เขาไว้สอยกันสาดตึกแถวแทงเอาโดยเป็นอุบัติเหตุ....อีกห้าปี โดนหินที่เพื่อนโมโหที่ฉันไม่ให้มันเล่นขว้างร่มด้วย..มันเอาหินขว้างร่มของฉันที่อยู่บนฟ้า สูงสักตึกสามชั้น...หินมาโดนตาซ้ายฉัน....ที่ยืนอยู่กับพื้นนี่แหละ.........อีกปีสองปี...ไปบ้านยาย..ไปยืนรอเรือหางยาวมารับ อยากกลับบ้านแล้ว...อยู่บนชั้นสองแบบเรือนไทย ชั้นใต้ถุนเลี้ยงควาย...ชั้นบนมีรั้วกั้น ฉันก็ชะโงกหน้าพ้นรั้วได้แค่ระดับสายตา.. หมามันเห่านัก ใต้ถุนบ้านน่ะ...ลูกชายป้าฉันรำคาญ ก็เอาไม้ขว้างหมา...ใต้ถุนบ้านนะ...แต่มันลอยมาได้ไง...มันโดนตาข้างซ้ายฉันที่เดิม...ตาซ้ายฉัน ได้พบกับทั้งเหล็ก หิน ไม้....ฉันเจ็บนะ จำได้แต่ฉันรู้สึกได้ว่า แม่รู้สึกเจ็บกว่า...เจ็บที่ไม่รู้จะทำยังไง...ฉันร้องครวญคราง...แม่ก็นอนไม่ได้...แล้วก็มาสารภาพว่า แม่ไม่รู้จะทำยังไงให้หนูหายเจ็บ...แม่ไม่รู้จริงๆ ตอนนั้นฉันสิบกว่าขวบนิดๆ เจ็บที่แผลไหม...เจ็บ...แต่รู้สึกได้เลยว่า...แม่เจ็บกว่ามากจนไม่รู้จะทำไง...น่ะ แล้วมันก็ผ่านไป....คุณนายเปรื่องของฉัน.... 
นิติพงษ์ ห่อนาค

The Iron Lady

ผมได้ดูภาพยนตร์เรื่อง The Iron Lady ชึ่งเป็นชีวประวัติของ
Baroness Margaret Thatcher
อดีตนายกรัฐมนตรีหญิงของอังกฤษที่เพิ่งล่วงลับไป
เธอครองอำนาจถึง 11 ปีต่อเนื่องกันอย่างมีความหมาย



Meryl Streep ผู้แสดงเป็นเธอเล่นได้ยอดเยี่ยมจนได้ตุ๊กตาทอง
Oscar ในบทที่เธอเล่นนี้

บทสนทนาตอนหนึ่งในเรื่องน่าสนใจมาก
ผมขอแปลและนำมาเล่าต่อดังนี้ครับ : 

จงระวังความคิดเพราะมันจะกลายเป็นคำพูด
จงระวังคำพูดเพราะมันจะกลายเป็นการกระทำ
จงระวังการกระทำเพราะมันจะกลายเป็นนิสัย
จงระวังนิสัยเพราะมันจะกลายเป็นบุคคลิกอุปนิสัย( character)ของคุณ
จงระวังบุคคลิกอุปนิสัยของคุณเพราะมันจะกลายเป็นชะตากรรม(destiny)ของคุณ
เราคิดอะไรก็จะเป็นสิ่งนั้น (What we think, we become)

~วรากรณ์ สามโกเศศ 
@  https://www.facebook.com/varakornsam



Aug 2, 2013

ในหลวง ร.๙ และพระราชินี เสด็จกลับวังไกลกังวล ๑ สิงหาคม ๒๕๕๖




พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร.๙ และสมเด็จพระราชินีในรัชกาลที่ 9 
เสด็จกลับวังไกลกังวล อำเภอ หัวหิน
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2556