เมื่อเวลา 11.00 น.
ที่บ้านพักสี่เสาเทเวศร์
พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์
ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เปิดบ้าน
ให้คณะนักเรียนทุนมูลนิธิพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์
เข้าแสดงมุทิตาจิต
เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันเกิดครบรอบ 90 ปีในวันที่ 26 ส.ค.นี้
โดยมี พล.ต.วิชัย แชจอหอ
ผู้บังคับการจังหวัดทหารบกบุรีรัมย์(ผบ.จทบ.บุรีรัมย์)
และนพ.จันโท ศรีนา อดีตนักเรียนทุน
เป็นผู้นำคณะนักเรียนทุนทั่วประเทศจำนวน 3,221 คน
เข้าอวยพร โดยพล.อ.เปรม กล่าวว่า รู้สึกดีใจมาก
ที่ได้มาพบกับทุกคนที่มีความผูกพันกัน
วันนี้ถือเป็นวันแห่งความรักและความศรัทธาที่คนไทยมีต่อกัน
คนที่มูลนิธิได้ให้ความช่วยเหลือเป็นเพราะได้ยึดมั่น
ในการตอบแทนบุญคุณแผ่นดินที่เราอาศัยเกิดมา
มูลนิธินี้เริ่มก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2511
โดยคนแรกที่รับทุนวันนี้ก็มาคือนายไพโรจน์ ราวานุช
ได้รับทุนส่วนตัวตั้งแต่ปี 2511 และเติบโตขึ้นมา
ขณะนี้ดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์
ถือเป็นตำแหน่งที่ใหญ่มาก
คนที่มาวันนี้บางคนจบแล้วบางคนเรียนอยู่
คนที่จบแล้วเมื่อก่อนเป็นผู้รับ เด็กที่กำลังเรียนอยู่ก็เป็นผู้รับ
แต่ต่อไปเมื่อจบแล้วต้องเปลี่ยนสถานะตัวเองเป็นผู้ให้
และต้องให้ในสิ่งที่เราคิดว่าเป็นประโยชน์ยิ่งใหญ่
พล.อ.เปรม กล่าวว่า
ทุกคนคงจำได้ว่าตนเคยพร่ำสอนทุกคนว่าให้ทำความดี
เพื่อทำให้ชาติบ้านเมืองมีคนดีมากๆ
จึงอยากขอให้ผู้ใหญ่ที่จบแล้วพยายามให้ความดีกับคนอื่น
และให้เขารู้ว่าความดีคือสิ่งที่ชาติบ้านเมืองต้องการ
และแสดงตัวอย่างว่าที่ตนเติบโตมาวันนี้เพราะเป็นคนดี
ทำแต่ความดีให้กับส่วนรวม และขอให้ทำต่อไปเหมือนอย่างที่ตนทำ
คือการให้ความดีกับคน
ให้เขารู้จักว่าความดีคือสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อครอบครัว
ชีวิตและชาติบ้านเมืองของเราขอให้พยายามในสิ่งนั้นเพราะนั้นคือ
การตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน
สำหรับเด็กๆที่ยังเรียนอยู่ให้คนที่จบแล้วดูแล
ให้เขารู้จักว่าความดีเป็นอย่างไร
และให้เขาเข้าใจว่าคนเราเกิดมา สิ่งที่ต้องทำคือความดี
ให้กับสังคมและชาติบ้านเมือง
เคยพูดว่าการทำความดีว่ายากก็ยาก
แต่ทุกคนมีสิทธิที่จะทำได้ และเมื่อทำแล้วสิ่งที่ยากที่สุด
คือการรักษาความดีให้อยู่กับเราจนตาย
ถือเป็นเรื่องยากมากๆ
ดังนั้นอยากตั้งความหวังว่าพวกเราจะทำได้ทุกคน
“วันนี้ ถือเป็นวันที่ลูกๆนำความสุขมาให้ผม
เป็นความสุขที่เกิดขึ้นเพราะเราช่วยเหลือซึ่งกันละกัน
และรักกัน ปรารถนาดีต่อชาติบ้านเมืองเหมือนกัน
ทางมูลนิธิฯมีความคิดว่าผมคิดถึงลูกๆทั้งหลาย
หากนำมาพบกันจะทำให้มีความ เพลิดเพลิน
ซึ่งดีใจที่ได้พบกัน ผมเชื่อในพระสยามเทวาธิราช
เชื่อว่าพระสยามเทวาธิราชมีจริง
และเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ชาติบ้านเมือง
เชื่อว่าพระสยามเทวาธิราชจะปกป้องคุ้มครอง
คนที่ประกอบคุณงานความดี
และสาปแช่งคนที่คิดไม่ดีต่อชาติบ้านเมือง
ผมสัญญาว่าจะทำความดีให้เป็นตัวอย่างแก่ลูกๆทุกคน
และขอให้ลูกๆทั้งหลายทำความดีตลอดชีวิตจะหาไม่”
ประธานองคมนตรีระบุ
สำหรับ วันคล้ายวันเกิดของ พล.อ.เปรม ในวันที่ 26 ส.ค.
ซึ่งในปีนี้พล.อ.เปรม งดที่จะเปิดบ้านให้คณะนายทหาร ข้าราชการ
พ่อค้า และประชาชน เข้าอวยพรที่บ้านพักสี่เสาเทเวศร์
ที่ทำเป็นประจำเกือบทุกปี
เนื่องจากไม่ต้องการให้เป็นที่จับตาของสังคม
คมชัดลึก : พ.ศ.2543 - 10 ปีที่แล้วครั้งที่ “ป๋าเปรม” มีอายุครบ 80 ปี
ผู้รับทุนการศึกษาจากท่านได้ช่วยกันจัดทำหนังสือ
“บันทึกความรู้สึกผู้รับทุนการศึกษา พลเอกเปรม ติณสูลานนท์” ขึ้น
และนี่คือบางความรู้สึกในนั้น...พันเอกวิชัย แชจอหอ
(ปัจจุบันพลตรี ผู้บังคับการจังหวัดทหารบกบุรีรัมย์)
“...หากถามถึงความ รู้สึก ที่มีต่อ ฯพณฯ พลเอก เปรม
ผมตอบได้ทันทีเลยว่าผมรักเคารพและเทิดทูนบูชาท่าน
เสมือน “พ่อ” ผู้ให้กำเนิดผมคนหนึ่ง
เพราะความสำเร็จในชีวิตหน้าที่การงานและครอบครัวของผมทุกวันนี้
มีรากฐานมา จากการศึกษา โดยมี ฯพณฯ พลเอกเปรม
เป็นผู้อุ้มชูดูแลเรื่องทุนการศึกษาแก่ผมมาโดยตลอด
นับตั้งแต่วัยเด็กจนกระทั่งสำเร็จโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า
นับได้ว่า ฯพณฯ พลเอกเปรม เป็นผู้สร้าง ผู้ชุบ
ผู้ให้โอกาสและให้อนาคตแก่ผมจาก
เด็กชายวิชัย แชจอหอ จนมาเป็น พันเอกวิชัย แชจอหอ ทุกวันนี้
และด้วยสำนึกที่ว่า ฯพณฯ พลเอกเปรม
เป็นผู้มีพระคุณอย่างใหญ่หลวงยิ่งจน
ไม่สามารถตอบแทนให้หมดสิ้นในชาติเดียวภพ เดียวได้
ดังนั้นในทุกครั้งเมื่อมีโอกาสที่เหมาะสม
ผมจะเข้าไปบรรจงกราบแทบเท้าท่านด้วยความตั้งใจ
และเต็มใจโดยไม่ลังเล
ด้วยคิดว่าเป็นการกราบบุคคลที่มีพระคุณบุคคลที่ผมรัก ผมเคารพ...”
นายแพทย์จันทร์โท ศรีนา
(ปัจจุบันผู้อำนวยการโรงพยาบาลชุมแพ ขอนแก่น)
“...ทุนที่ได้รับช่วยเสริมทุนทรัพย์ที่มีอยู่เพียงน้อยนิด
ให้พอเพียงที่จะพยุงให้เรียนต่อจนจบชั้นปริญญาได้
เป็นเสมือนผู้ชุบชีวิตใหม่ให้เด็กจนๆ
ในชนบทได้มีโอกาสเรียนต่อจนจบปริญญาได้
และถ้าไม่มี ฯพณฯ พลเอกเปรม
คงเรียนได้สูงสุดแค่มัธยมต้นแล้วออกมาทำนา ทำไร่ หรือลูกจ้างเท่านั้น”
นายแพทย์สุทธิพงษ์ ปาระคะ
(ปัจจุบันนายแพทย์ผู้ชำนาญการ โรงพยาบาลศรีสังวร สุโขทัย)
“พ่อแม่มีอาชีพทำนา มีรายได้เดือนละประมาณ 500 บาท
มีพี่น้อง 3 คน ได้รับทุนพลเอกเปรม
สนับสนุนตั้งแต่เรียนมัธยมต้น มัธยมปลาย และมหาวิทยาลัย
ทำให้สามารถศึกษาได้จบระดับมหาวิทยาลัย
หากไม่ได้รับทุนจะไม่มีโอกาสได้ศึกษาต่อ
เพราะพ่อแม่มีรายได้เดือนละ 500 บาท
ขณะที่การเรียนในสถาบันต้องใช้เงินสนับสนุน
มากกว่าเดือนละ 1,500 บาท
ท่านเปรียบเสมือนพ่อพระที่ช่วยเด็กผู้ขาดโอกาส
เนื่องจากไม่สามารถเลือกเกิด ได้ ทำให้ครอบครัว
และผู้รับทุนสามารถดำรงชีวิตในสังคม
อย่างมีความสุขหลังจากผู้รับทุนได้ทำงาน
หรือประสบผลสำเร็จ”
นางสาวสถาพร กมล
“ข้าพเจ้าศึกษาในสถาบันราชภัฏอุบลราชธานีได้
เพราะสอบเข้าได้ แต่ไม่มีเงินไปจ่ายค่ามอบตัว
และเสียค่าใช้จ่ายอื่นๆ ตามระเบียบสถาบันฯ
มารดาต้องไปยืมเงินเพื่อนบ้าน
เมื่อมอบเป็นนักศึกษาระดับอุดมศึกษาก็ไม่มีเงินค่าเทอม
ค่าหอพัก และค่าดำรงชีพ
จึงเข้าไปปรึกษาอาจารย์ฝ่ายแนะแนวสนเทศและบริการอาชีพ
อาจารย์ได้ให้ความช่วยเหลือและคำปรึกษา
ตลอดจนจัดหาทุนมูลนิธิพลเอกเปรมฯ ให้
ในระหว่างที่ยังไม่ได้ทุนนี้
ข้าพเจ้าก็ผ่อนผันค่าเทอมกับทางสถาบัน
การดำรงชีวิตก็ต้องประหยัดสุดๆ อดมื้อกินมื้อ ลำบากมาก
ขอขอบคุณ ฯพณฯ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์
ที่ท่านเมตตาให้ทุนนี้กับคนที่กำลังหมดหวังในชีวิตได้มีเงินเรียนต่อ
มีเงินจ่ายค่าหอพัก มีอาหารการกินครบทุกมื้อ
ขอเรียกท่านว่า “พ่อ”
เพื่อทดแทนความรู้สึก
ความเมตตาที่ท่านมีให้ข้าพเจ้าตลอดมา”
ปี นี้ “ป๋าเปรม” ของพวกเขามีอายุครบ 90 ปี
พลตรีวิชัย แชจอหอ และนายแพทย์จันทร์โท ศรีนา
และผู้เคยรับทุนอีกหลายท่านจึงได้ปรึกษา
และเห็นชอบร่วมกันเชิญชวนผู้ที่เคยรับทุน
และผู้ที่กำลังรับทุนทั้งจากท่านโดยตรง
และผ่านมูลนิธิพลเอกเปรม ติณสูลานนท์
ซึ่งมีอยู่จำนวนมากทั่วประเทศมารวมตัวกัน
เพื่อแสดงมุทิตาจิตต่อท่าน ณ บ้านพักสี่เสาเทเวศร์ กทม.
ในวันอาทิตย์ที่ 22 สิงหาคม 2553 นี้ เวลา 10.00 น.
โดยมีมูลนิธิรักเมืองไทยเป็นศูนย์กลางติดต่อประสานงาน
โทร.0-2628-5276
นอกจากร่วมแสดงมุทิตาจิตต่อ “ป๋าเปรม” แล้ว
พวกเขาจะมายืนยันต่อท่านด้วยว่า
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาพวกเขาล้วนมุ่งมั่นทำ
แต่ความดีเพื่อตอบแทนบุญคุณแผ่นดินตามปณิธาน
“เกิดมาต้องตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน”
ของท่าน และจะเป็นเช่นนี้ตลอดไป...
จึงขอเรียนเชิญทุกท่านมาร่วมงานโดยพร้อมเพรียงกันบัญชร ชวาลศิลป์
จากใต้สู่อีสาน ผลึกแห่งชีวิต พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์
"เกิดมาต้องทดแทนคุณแผ่นดิน"
ถามคนสงขลาถึงความภาคภูมิใจคือสะพานติณสูลานนท์
ถึงขั้นเป็นคำขวัญจังหวัด และ บุคคลที่เป็นที่รักของจังหวัดคงไม่พ้น
พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ป๋า ของพวกเรา
แต่เป็นความน้อยใจของคนสงขลา ที่ป๋าไม่มีบ้านที่สงขลา
แต่มีบ้านที่โคราช ทำให้ชาวสงขลาต้องสร้างบ้านให้ป๋า
นั่นเป็นความทรงจำสมัยเด็กๆ เกี่ยวกับตัวป๋าและบ้านของท่านที่สงขลา
หลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้ทำ ให้รู้ความผูกพันธ์ของท่านกับภาคอีสาน
เนื่องจากท่านเป็นแม่ทัพภาคที่ ๒ ซึ่งเป็นทางอีสาน
และเป็นตำแหน่งที่ท่านภูมิใจที่สุด ดังเช่นประโยคที่ว่า
"ผมภาคภูมิใจมากที่สุดคือตอนที่ได้เป็นแม่ทัพ"
และในช่วงนั้น (พ.ศ. ๒๕๑๖-๒๕๒๐)
ต้องต่อสู้กับคอมมิวนิสต์จนกลายเป็นสงครามกลางเมือง
จนค้นพบแนวความคิด "การเมืองนำการทหาร" นำไปสู่นโยบายระดับชาติ
หนังสือ เล่มนี้เอากลับมาพิมพ์ใหม่ หลังจากพิมพ์ครั้งแรก
แจกจ่ายในวงจำกัด และพิมพ์อีกครั้งในวาระครบรอบวันเกิด ๘๕ ปีของ ป๋า
ในวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๔๔๙
จุดดึงดูดของเล่มนี้คือผู้เรียบเรียง (พล.อ.บัญชร ชวาลศิลป์)
ซึ่งหากเคยอ่านหนังสือของท่านจะมีสีสันน่าติดตาม เลยเลือกเล่มนี้
โดยในท้องตลาดจะมีเล่มอื่นที่เป็นประวัติของ ป๋า รู้สึกจะหนากว่าเล่มนี้
เล่ม นี้ไม่มีประวัติตอนเด็ก เริ่มก็บอกเลยว่า ป๋า อยากเป็นหมอ
แต่ ด้วยฐานะทางบ้านไม่อำนวยเลยต้องมาเรียนทหาร
เพิ่งรู้จากเล่มนี้ว่าท่านเรียนสวนกุหลาบในชั้นมัธยม
สิ่งที่ได้จากโรงเรียนทหาร "รั้วแดงกำแพงเหลือง"
น่าสนใจมาก เป็นห้วงเวลาในการสร้างสำนึก
และอยู่ในความทรงจำตลอด มีคำปฏิญานที่ให้ไว้แก่เสด็จพ่อรัชกาลที่ ๕ ที่ว่า
"ข้าพระพุทธเจ้าจักรักษาพระองค์ท่านไว้ด้วยชีวิต"
ที่อยู่ในนายทหารทุกนายจากรั้วนี้
ในเล่มบอกเรื่องการเข้าสงครามหลายครั้ง ของ ป๋า
ซึ่งแต่ละครั้งก็สร้างความแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
ในเล่มเล่าเรื่องช่วงที่ ป๋า ไปเรียนเมืองนอกอีกด้วย
ช่วงชีวิตที่ดีอีกช่วงของท่านคือ ทหารม้า
สามารถปรับทัศนคติของทหารม้าให้ดีขึ้นได้ และ
คำเรียก ป๋า ก็มาจากตอนเป็นทหารม้านี่แหละ
อ่านช่วงนี้ทำให้รู้ว่า ป๋า ชอบกอล์ฟมาก
ว่าแล้วทำไมมีรูปปั้นที่ค่ายอดิศร สระบุรี
อ่านช่วงนี้ทำให้เห็นความสมถะ
เรียบง่าย ประณีต ของ ป๋า
และช่วงที่ดีที่สุดในชีวิต คือไปอีสาน
อ่านแล้วทำให้รู้แนวความคิด "การเมืองนำการทหาร"
เข้าใกล้ชิดประชาชนเข้าไว้ เขาถูกรังแกมานานเลยกลัว
หากคนใหญ่สุดเข้าไปคลุก และให้คำมั่นสัญญา เขาจะค่อยๆเชื่อ
มีคำเด็ดๆ "กองทัพของเราไม่ใช้ปืนแต่ใช้ปากในการทำงาน"
บางหมู่บ้านต้องใช้เวลาร่วม ๗ เดือน
ชาวบ้านถึงจะยอมให้เข้าหมู่บ้าน และลำบากตลอด ๗ เดือน
หน้าด้านๆ ช่วยเขาไป มีคำเด็ด
"ความอดทนเป็นของขมขื่น
แต่ผลของมันหวานชื่นและยืนนานเสมอ"
ป๋าบรรยายชาวบ้านแถวอีสานว่ามี ๓ ใจ คือ เข้าใจ, ร่วมใจ และ จริงใจ
ชอบประโยคนี้ครับ "เป็นทหารครั้งหนึ่ง เป็นทหารตลอดไป"
และ "ข้าพระพุทธเจ้าจักรักษาพระองค์ท่านไว้ด้วยชีวิต"
ขอคารวะทหารของพระราชาทุกคนครับ
อ่านเล่มนี้แล้วผมเลิกงอน ป๋า แล้วครับ
-----------------------------------------------------------
ชื่อหนังสือ : จากใต้สู่อีสาน ผลึกแห่งชีวิต (พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์)
หมวด : บุคคล
ผู้แต่ง : บัญชร ชวาลศิลป์,พล.อ.
จัดพิมพ์โดย : สนพ.มติชน
พิมพ์ครั้งที่ 2 : สำนักพิมพ์มติชน ตุลาคม 2549
กระดาษปอนด์เหลือง
ปกอ่อน
จำนวนหน้า : 136 หน้า
ขนาดหนังสือ : 14.6 cm. x 25 cm.
ISBN : 974-323-782-8
ชีวประวัติของ พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ ที่
"เกิดมาต้องทดแทนคุณแผ่นดิน"
รายละเอียด
"ถ้าใครเป็นทหารแล้วไม่มีเลือดเนื้อความเป็นทหาร ขออย่าได้เป็นดีกว่า"
ทหารอาชีพคือทหารที่เลือดเนื้อจิตวิญญาณแห่งความเป็นทหาร
มีอยู่ในตนครบถ้วนสมบูรณ์
กล่าวคือ รักและเชิดชูสถาบันทหาร เทิดทูน
และจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์
ดำรงความซื่อสัตย์และสุจริตต่อตน ต่อครอบครัว ต่อสถาบัน
และต่อชาติบ้านเมืองอย่างมั่นคง
เป็นทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโดยแท้
ไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองและนักการเมือง
ภูมิใจในเกียรติศักดิ์ของทหาร
และความเป็นทหารรักและดำรงไว็ซึ่งศักดิ์ศรีของทหาร
และสถาบันทหารด้วยชีวิต รู้และเข้าใจว่า
"เกิดมาต้องตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน"