- นูโว : NUVO
- http://teetwo.blogspot.com/2014/03/byrd-heart.html
- http://teetwo.blogspot.com/2020/04/byrd-heart.html
เบิร์ด กุลพงษ์ ประทับใจคนลูกทุ่ง มีโอกาสทำคลื่นวิทยุ
30 ตุลาคม 2551
แฟนเพลง รุ่นเก่าเมื่อ20 ปีที่แล้วคงคุ้นกันดีสำหรับ
ดูโอที่ชื่อเบิร์ดกับฮาร์ท ตอนนี้ต่างคนต่างแยกย้ายกันไป
ปัจจุบัน เบิร์ด กุลพงศ์ บุนนาค มีหน้าที่การงานเป็นถึง
ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บ. ไลฟ์ ทีวี จำกัด
ดูแลรายการทีวีดาวเทียมถึง 5ช่องรวมถึงช่องไทยไชโย ด้วย
ซึ่งเป็นช่องลูกทุ่ง
“สวัสดีครับ ตอนนี้ก็ต้องหันมาฟังเพลงลูกทุ่งมากขึ้น
เพราะดูแลตรงนี้ แต่ผมประทับใจคนลูกทุ่งมากๆนะครับ
เวลาเราจัดกิจกรรมไปที่ไหน ก็มีแฟนๆมาต้อนรับ
มาดูพวกเรา ฝนตกก็ไม่หนี น่ารักมากๆ รู้สึกปลื้มครับ
เราทำมา2ปีแล้วคิดว่าในปีหน้าคงจะมีกิจกรรมที่ไปสัญจรกันมากขึ้น
เพราะเห็นว่าการทำกิจกรรมแบบนี้จะได้เจอกับคนที่ชมรายการเราจริงๆ
แน่นอนว่าคงได้เจอกันทั่วประเทศแน่นอน”
แฟนเพลง รุ่นเก่าเมื่อ20 ปีที่แล้วคงคุ้นกันดีสำหรับ
ดูโอที่ชื่อเบิร์ดกับฮาร์ท ตอนนี้ต่างคนต่างแยกย้ายกันไป
ปัจจุบัน เบิร์ด กุลพงศ์ บุนนาค มีหน้าที่การงานเป็นถึง
ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บ. ไลฟ์ ทีวี จำกัด
ดูแลรายการทีวีดาวเทียมถึง 5ช่องรวมถึงช่องไทยไชโย ด้วย
ซึ่งเป็นช่องลูกทุ่ง
“สวัสดีครับ ตอนนี้ก็ต้องหันมาฟังเพลงลูกทุ่งมากขึ้น
เพราะดูแลตรงนี้ แต่ผมประทับใจคนลูกทุ่งมากๆนะครับ
เวลาเราจัดกิจกรรมไปที่ไหน ก็มีแฟนๆมาต้อนรับ
มาดูพวกเรา ฝนตกก็ไม่หนี น่ารักมากๆ รู้สึกปลื้มครับ
เราทำมา2ปีแล้วคิดว่าในปีหน้าคงจะมีกิจกรรมที่ไปสัญจรกันมากขึ้น
เพราะเห็นว่าการทำกิจกรรมแบบนี้จะได้เจอกับคนที่ชมรายการเราจริงๆ
แน่นอนว่าคงได้เจอกันทั่วประเทศแน่นอน”
ในเรื่องงานเพลงส่วนตัวจะทำคอนเสิร์ตอีกไหม
“คงต้องรอสักปีสองปีครับเรื่องคอนเสิร์ต
เพราะเพิ่งจัดครบรอบ20 ปี ไปเมื่อไม่นาน
คงรอให้เป็น 25 ปีเลยทีเดียว
คุยกับฮาร์ทไว้แล้วครับ ตอนนี้ก็ปล่อยให้นูโวเขาก่อน”
ดูแลเรื่องงานที่เกี่ยวกับเพลงลูกทุ่ง
คิดจะทำคลื่นวิทยุ เปิดเพลงลูกทุ่งไหมครับ
“ถ้าเป็นไปได้ ก็ฝันอยู่ อยากทำครับ
เพราะเราก็เคยทำมาระยะหนึ่งสั้นๆแต่มีปัญหาเลยหยุดไป
ถ้ามีโอกาส รับรองทำแน่นอน
จะรีบไปคว้าคลื่นมาทำให้ได้อาจจะเร็วๆนี้ก็ได้ครับ”
ก็คงต้องติดตามและให้กำลังใจกันต่อไป
สำหรับบทบาทที่เปลี่ยนไปของผู้ชายคนนี้ เบิรด์ กุลพงษ์ บุนนาค
เคเบิลตาวาว ชิงเค้กพันล. รับใบอนุญาต
ผู้ประกอบการเคเบิลอีก 100-200 ราย แห่ชิงเค้ก
หลังใบอนุญาตชัด ไลฟ์ ทีวี ชี้ตลาดคอนเทนต์-โฆษณาโตอีกเท่าตัว
นายกุลพงษ์ บุนนาค กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไลฟ์ ทีวี เปิดเผยว่า
หลังจากพ.ร.บ.หลักเกณฑ์ระเบียบการดำเนินธุรกิจเคเบิลทีวี
ประกาศใช้อย่างเป็นทางการ คาดจะมี
ผู้ประกอบการเคเบิลทีวีเพิ่มอีก 100-200 ราย
จากปัจจุบันที่มี 300 ราย เนื่องจากใบอนุญาตชั่วคราวอายุ 1 ปี
คิดค่าธรรมเนียมเพียง 2.5 หมื่นบาทต่อรายต่อปี
ซึ่งถือว่าถูกมาก สำหรับแนวโน้มตลาดโฆษณาผ่านเคเบิลทีวีและทีวีดาวเทียม
เชื่อว่าจะเติบโตอีกเท่าตัว หรือจากมูลค่าราว 500 ล้านบาท
คาดว่า จะเพิ่มเป็น 1,000 ล้านบาท
ส่งผล ให้ผู้ผลิตรายการทั้งในและต่างประเทศเข้ามาแข่งขันในตลาดอีกมาก
จากปัจจุบันมีผู้ผลิตรายการช่องไทยประมาณ 40 ช่อง
และจะมีผู้ผลิตรายการคุณภาพเป็นที่ต้องการของ
ผู้ประกอบการเคเบิลทีวี รายใหม่ๆ เกิดขึ้นด้วย
“เบื้องต้นเคเบิลทีวีอาจแข่งขันด้านราคาเป็นหลัก
แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งต้องแข่งขันด้วยคุณภาพและรายการที่แตกต่าง
ซึ่งกฎระเบียบใหม่บังคับให้ผู้ประกอบการ
ต้องมีรายการที่มีลิขสิทธิ์ถูกต้อง
ทำให้คอนเทนต์ที่มีลิขสิทธิ์ถูกต้อง
เป็นที่ต้องการของตลาดมากขึ้น” นายกุลพงษ์ กล่าว
ผู้ประกอบการเคเบิลอีก 100-200 ราย แห่ชิงเค้ก
หลังใบอนุญาตชัด ไลฟ์ ทีวี ชี้ตลาดคอนเทนต์-โฆษณาโตอีกเท่าตัว
นายกุลพงษ์ บุนนาค กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไลฟ์ ทีวี เปิดเผยว่า
หลังจากพ.ร.บ.หลักเกณฑ์ระเบียบการดำเนินธุรกิจเคเบิลทีวี
ประกาศใช้อย่างเป็นทางการ คาดจะมี
ผู้ประกอบการเคเบิลทีวีเพิ่มอีก 100-200 ราย
จากปัจจุบันที่มี 300 ราย เนื่องจากใบอนุญาตชั่วคราวอายุ 1 ปี
คิดค่าธรรมเนียมเพียง 2.5 หมื่นบาทต่อรายต่อปี
ซึ่งถือว่าถูกมาก สำหรับแนวโน้มตลาดโฆษณาผ่านเคเบิลทีวีและทีวีดาวเทียม
เชื่อว่าจะเติบโตอีกเท่าตัว หรือจากมูลค่าราว 500 ล้านบาท
คาดว่า จะเพิ่มเป็น 1,000 ล้านบาท
ส่งผล ให้ผู้ผลิตรายการทั้งในและต่างประเทศเข้ามาแข่งขันในตลาดอีกมาก
จากปัจจุบันมีผู้ผลิตรายการช่องไทยประมาณ 40 ช่อง
และจะมีผู้ผลิตรายการคุณภาพเป็นที่ต้องการของ
ผู้ประกอบการเคเบิลทีวี รายใหม่ๆ เกิดขึ้นด้วย
“เบื้องต้นเคเบิลทีวีอาจแข่งขันด้านราคาเป็นหลัก
แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งต้องแข่งขันด้วยคุณภาพและรายการที่แตกต่าง
ซึ่งกฎระเบียบใหม่บังคับให้ผู้ประกอบการ
ต้องมีรายการที่มีลิขสิทธิ์ถูกต้อง
ทำให้คอนเทนต์ที่มีลิขสิทธิ์ถูกต้อง
เป็นที่ต้องการของตลาดมากขึ้น” นายกุลพงษ์ กล่าว
ปัจจุบันไลฟ์ ทีวี มีช่องรายการ 7 ช่อง
และเน้นจับมือเป็นพันธมิตรกับผู้ผลิตรายการรายอื่นๆ
ที่มีคอนเทนต์อยู่แล้ว โดยปีหน้าจะเปิดช่องอีก 7 ช่อง
ซึ่งจะมีทั้งพันธมิตรที่เป็นผู้ผลิตรายการในประเทศและต่างประเทศ
หรืออาจจะเป็นการร่วมลงทุน ส่วนผลการดำเนินงาน
ปีนี้ คาดว่าจะมีรายได้ 250 ล้านบาท
และคาดว่าในปีหน้าจะเติบโต อีก 20-30%
มาถึงวันนี้คงไม่มีใครรู้จัก ฮาร์ท สุทธิพงศ์ ทัดพิทักษ์กุล
นักร้องหนุ่มใหญ่ที่โด่งดังมากว่า 20 ปี ด้วยบทเพลงอมตะในนาม
เบิร์ดกะฮาร์ท เช่น ลืม ซูซานโจน ฝน หรือเพลงรุ่นหลังๆ
อย่าง รักสีส้ม ถอนตัว ที่อยู่ในใจใครต่อใครหลายคน
นอกจากเป็นพิธีกรชื่อดังแล้ว ข่าวล่าสุดยังออกมาว่า
เขากำลังจะผันตัวเองไปทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
แต่วันนี้ ฮาร์ท ขี่จักรยานเสือภูเขา
มาพบกับเราที่ โรงแรม แกรนด์เมอร์เคียว ปาร์คอเวนิว สุขุมวิท 22
เพื่อให้สัมภาษณ์ด้วยความเป็นกันเอง
ประวัติ ผมชื่อ สุทธิพงศ์ ทัดพิทักษ์กุล
ปัจจุบันอายุ 41 ปี
เกิดเมื่อ 27 พ.ย. 2507 ที่ รพ.ศิริราช
สมัยนั้นเขาเรียกจังหวัดธนบุรี มีน้องชาย 1 คน
ตอนเด็กๆ ผมเรียนที่เซ็นต์จอห์น
จนกระทั่งจบประถมปีที่ 7
ผมเป็น ป.7 รุ่นสุดท้ายก่อนที่เขาจะเปลี่ยนเป็นม.1
พออายุได้ 13 ก็ไปเรียนต่อที่อเมริกา
จนกระทั่งจบปริญญาตรีที่ มหาวิทยาลัย UCLA ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย
แล้วก็เรียนโทต่อที่ UFC แคลิฟอร์เนียเหมือนกัน (สาขาเศรษฐศาสตร์)
ไปอเมริกาปี 2521 แล้วก็กลับมาเมืองไทยอย่างถาวรเมื่อปี 2534
ทำงานในภาคราชการก่อน จากนั้นก็มาอ่านข่าวทีวี
ปัจจุบันเป็นพิธีกรอยู่ 3 รายการ
มีรายการชูรักชูรส คู่กับคุณหมอพิมลวรรณ หรือหมอต้อ ทางช่อง 3
เมืองไทยวาไรตี้ ช่อง 5 เป็นรายการสดจันทร์ถึงศุกร์คู่กับคุณหนุ่มกรรชัย
อีกรายการหนึ่งคือรายการ SME ชี้ช่องรวย ช่อง 11
ระหว่างที่ผมอยู่อเมริกา ปี 2528 ได้กลับมาเมืองไทยออกเทปอยู่ 2 ชุด
ในนาม “เบิร์ดกะฮาร์ท” ก็ได้รับความสำเร็จในระดับหนึ่ง
ทราบมาว่าเป็นคนแรกในประเทศไทยที่ใช้อินเตอร์เน็ตทำเพลง
ย้อนกลับไปประมาณปี 2536-2538
ตอนนั้นผมกลับมาอยู่เมืองไทยแล้ว
แล้วก็มีเพื่อนคนหนึ่งชื่อ วราวุธ เขาเป็นเจ้าของยูซิคอน
ขายคอมพิวเตอร์แอปเปิล เขาก็แนะนำผมให้รู้จักกับ Internet
ผมก็ไปเปิด แอคเคาท์ กับทาง เน็คเทค
ซึ่งเป็นองค์กรของรัฐ สมัยนั้นผมยังทำงานราชการอยู่
แล้วก็ติดต่อกับเพื่อนที่อเมริกา ส่งไฟล์กันไปมา
สมัยนั้นค่อนข้างลำบากเพราะมันช้า
แต่ก็ทำได้ ผมก็ไม่ทราบว่าคนอื่นเขาทำไปกันถึงไหน
ผมอาจเป็นคนแรกๆ ที่ทำแล้วพูดออกทีวี
คืออาจจะมีคนทำก่อนผมแล้วก็ไม่ได้เล่าให้ใครฟังก็ได้ (หัวเราะ)
ถ้าถามว่าตอนนี้ทำอาชีพอะไร ?
ทุกวันนี้ผมเป็นพิธีกรรับจ้าง
ไม่ใช่รับจ้างผลิตรายการนะ
รับจ้างเป็นพิธีกร อาชีพผมตอนนี้มีอยู่ 2-3 อาชีพ
อาชีพแรกคือรับจ้างเป็นพิธีกรทางทีวีและตามงานรื่นเริงต่างๆ
พิธีกรคือคนที่ปรากฏตัวต่อหน้าคนจำนวนหนึ่ง
แล้วก็พูดดำเนินรายการ
อาชีพที่สองคือเป็นคนอ่านสปอตโฆษณาทั้งทีวีและวิทยุ
แล้วก็อ่านสารคดี คือขายเสียงน่ะครับ
อาชีพที่สามคือเป็นนักร้อง ผมได้รับการว่าจ้างอยู่เป็นระยะๆ
จากร้านอาหาร ผับ บางทีก็มีจัดคอนเสิร์ต
สำหรับผมเรามาทางถนนสายอาชีพเส้นนี้แล้ว
อะไรก็แล้วแต่ถ้ามันนำมาซึ่งรายได้
ถ้าเราทำได้แล้วก็มีคนยินดีที่จะจ้างเราก็ทำ
มีบางคนเหมือนกันเขาจะจ้างให้ผมไปสอน
เล่าเรื่องประวัติส่วนตัว
บางทีเราก็ไป นานๆ ที เคยรับราชการ
ผมรับราชการครั้งแรกที่กรมส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์
ประมาณปี 2534 อยู่ได้ไม่ถึงปี ก็ออก
แล้วก็ไปทำอยู่บริษัท U&I คอเปอร์เรชั่น
เป็นเหมือนกับคนจัดเพลง ไม่ใช่ดีเจนะ
แต่หมายถึงคัดสรรเพลงให้ดีเจเขาเล่นอีกที
จากนั้นก็ไปรับราชการอีก ไปอยู่สำนักงานปลัด กระทรวงมหาดไทย
ตอนนั้นถ้าจำไม่ผิดรู้สึกจะปี 2536
แล้วก็ย้ายจากกระทรวงมหาดไทยไปอยู่กระทรวงอุตสาหกรรม ประมาณปี 2537
พอปี 2538 ก็ลาออกจากราชการไปสมัคร ส.ส. พรรคประชากรไทย เขตบางกะปิ
เขตเดียวกับคุณสุดารัตน์ พอไม่ได้รับเลือกตั้งก็ไปทำงานเป็นผู้อ่านข่าวอยู่ช่อง 7
ทำงานอยู่ 3 ปีก็ไปอยู่ช่อง 3 ตั้งแต่ปี 2541
จนกระทั่งปัจจุบันมาเป็นพิธีกรอิสระ
แต่ก็ยังทำรายการให้กับช่อง 3 อยู่ ก็คือชูรักชูรส
รู้สึกจะทำมาตั้งแต่ปี 2543 ตอนนี้ 2549 ก็เกือบ 6 ปีแล้ว
คิดยังไงถึงมาขี่จักยาน
มันเป็นวิธีการเดินทางที่ผมรักนะ
ถึงแม้ยอมรับว่ามันอันตรายก็จริง
เพราะว่าสิ่งปกป้องเราจากการถูกชน
ถูกกระแทกมันแรงกว่ารถยนต์ ผมเริ่มมาขี่เมื่อ 3 ปีที่แล้ว
โดยขี่ไปทำงาน คือก่อนหน้านี้ การจราจรในกรุงเทพฯ
โดยเฉพาะในช่วงเย็นๆ โอ้โห! มันติดขัด มันแย่มากครับ
ผมอยู่ในอาชีพพิธีกรเวลารับงานตอนเย็นลำบากมากถ้าใช้รถยนต์
ต้องมาพึ่งมอเตอร์ไซค์ บางทีมอเตอร์ไซค์ก็ไม่สามารถฝ่ารถติดไปได้
ด้วยขนาดของมอเตอร์ไซด์บางทีมันใหญ่
ช่องว่างทางจราจรมันเล็ก
มีอยู่วันนึงก็นึกคึกขึ้นมายังไงไม่รู้ไปซื้อจักรยานเสือภูเขา
แล้วก็มาขี่ ตอนแรกก็เริ่มจากคันละไม่กี่ตังค์ก่อน
ตอนหลังก็พัฒนามาเรื่อยๆ จนกระทั่งปัจจุบันนี้ ทาง
บริษัทโปร ไบค์ (PRO BIKE)
เขาก็ให้การสนับสนุนผมโดยให้จักรยานเสือภูเขา
แล้วก็ชุดมาขี่ คือการขี่จักรยานผมเริ่มมาจากเกรดล่างๆ
ก่อนด้วยกำลังทรัพย์ คือเรายังไม่เคยจับจักรยานเราเห็นราคาแล้วก็ตกใจ
มันสูงถึงเป็นแสนก็มี บางคันแพงกว่ามอเตอร์ไซค์อีกนะ
ตอนแรกผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องแพง
ก็อาจจะเป็นวัสดุที่มันเบา ทน แข็งแรง
แต่ผมก็มาเลือกซื้อระดับที่ไม่แพงมาก
ขี่ไปสักระยะหนึ่งเราก็ลองขยับไปขี่ของเพื่อนที่มันดีขึ้นๆ
ก็เลยรู้ว่าระดับราคามันบ่งบอกถึงความสนุกในการขี่
จนกระทั่งสุดท้ายก็มาขี่เสือภูเขาของ GARY FISHER
ซึ่งเป็นยี่ห้อแรกเลยที่บุกเบิกจักรยานเสือภูเขา
จักรยานชนิดนี้มันเพิ่งมามีในโลกนี้เมื่อ 20 กว่าปีก่อน
แต่ก่อนมันจะเป็นเสือหมอบ ผมก็มาติดใจเจ้าจักรยานเสือภูเขา
เพราะว่าคันที่ผมขี่มันมีโช๊คหน้าและหลัง
ทำให้ขี่นิ่ม แล้วก็มีเกียร์ทดทำให้ไม่กินแรง
ผมขี่คันนี้เร็วสูงสุดประมาณเกือบ 40 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ถือว่าเร็วมากนะ ถูกกับแพงต่างกันอย่างไร
มันเป็นความเที่ยงของอุปกรณ์ที่ใช้ เกียร์ กะโหลก
แล้วก็น้ำหนักของตัวถัง ยิ่งประณีตยิ่งเบา ราคายิ่งแพง
คันที่ผมขี่ถือว่าอยู่ระดับกลางค่อนไปสูง
คันนี้ที่ใช้ราคาประมาณ 70,000 บาท
เสือภูเขาราคาสูงถึง 300,000 บาทก็มีนะครับ
แต่มันต้องคนที่รักจริงๆ นะ
มีจักรยานทั้งหมดกี่คัน
ที่ผมมีที่บ้านทั้งหมดประมาณ 6 คันครับ
ใช้ทุกคันรึเปล่า ก็แล้วแต่สถานการณ์
ถ้าผมขี่ระยะไกลผมจะใช้ GARY FISHER
เสือภูเขาจาก PRO BIKE คันนี้
แต่ถ้าเดินทางไกลแล้วต้องใช้รถไฟฟ้าทั้งใต้ดินและลอยฟ้า
ผมจะใช้จักรยานพับได้ ยี่ห้อ STRIDA
ดูแลจักรยานอย่างไร นานๆ ก็ไปให้ร้านเขาดูทีนึง
อย่างถ้าเป็นเช็ดถูก็ธรรมดา แต่นานๆ ไปมันอาจจะมี
ความกระแทกทำให้เหล็กหรือโลหะบางชิ้นมันคดงอ
ซี่ล้อเบี้ยวไป เราก็เอาไปให้เขาจูนซะทีนึง
เหมือนเข้าศูนย์ประมาณนั้น
ขี่จักรยานมีผลต่อความหล่อหรือเปล่า
ผมเป็นคนที่ไม่กังวลเรื่องนี้เท่าไหร่ ว่าแดดมันจะแผดเผา
หรือควันมันจะทำให้เราหน้าคล้ำ
ผมเฉยๆ อาจจะเป็นเพราะผมเป็นแค่พิธีกรมั้ง
ไม่ได้เป็นพระเอกหนังหรือละคร คือดูดีแต่ก็แค่ระดับหนึ่ง
ไม่ต้องถึงเยอะมาก แต่ถ้าเป็นพระเอกหนัง พระเอกละคร
ก็อาจจะต้องโพกหัวปิดให้มิดชิด ก็แล้วแต่
แล้วเวลาผมขี่ไปถึงแม้จะเหงื่อโทรมกาย
แต่พอไปถึงที่หมายเราก็ชำระล้างร่างกาย หวีผม แต่งหน้าแต่งตา
มันก็ดูดีเหมือนเดิม ประโยชน์ของการขี่จักรยานไปทำงาน
อย่างแรกเลยที่ผมได้คือความรู้สึกเป็นอิสระในระหว่างเดินทาง
ผมรู้สึกว่าเราไม่ได้ถูกผูกมัดหรือมีข้อจำกัด
ซึ่งแตกต่างจากการเดินทางโดยรถยนต์โดยสิ้นเชิง
คือการเดินทางโดยรถยนต์มันก็มีอยู่ 3 ระดับ
รถยนต์ส่วนตัวซึ่งเราขับเอง กับนั่งแล้วมีคนอื่นขับ
และรถยนต์สาธารณะ อิสระไม่เหมือนกัน
รถที่เราขับเองกังวลครับ รถติด แต่ใจไปถึงงานแล้ว
สมมติว่ากายอยู่ในรถติดอยู่ที่ 4 แยก
แต่ใจมันอยู่ที่งานแล้ว เราจะทิ้งรถตอนนั้นก็ไม่ได้
เพราะมันเป็นรถเราแล้วเราขับ ถ้าเป็นรถของเราเองมีคนขับให้
อิสระมานิดนึง แต่เมื่อถึงเวลาที่เราต้องเผ่น OK
คนรถเขาสามารถขับต่อได้เราก็ไปก่อน
อาจจะนั่งมอเตอร์ไซด์หรืออะไรก็แล้วแต่
แต่ใจมันก็ยังห่วงรถอยู่ว่ามันจอดที่ไหน มันปลอดภัยหรือเปล่า
อิสระขึ้นมาหน่อยแต่ก็ยังวิตกอยู่ นั่งแท็กซี่สบายใจ
ค่าน้ำมัน ค่าบำรุงรักษา เงินเดือนคนขับมันอยู่ในค่าโดยสารหมด
ถ้าเทียบกับซื้อรถเองประหยัดกว่ามาก
ผมจะนิยมนั่งแท็กซี่ถ้าเทียบกับขับรถ
คิดดูแล้วในระยะกลางๆ มันคุ้ม
แต่นั่งรถยนต์ไม่ว่าจะส่วนตัวหรือแท็กซี่มันมีข้อจำกัด
เมื่อเราเจอรถติด รถยนต์จะไม่สามารถนำพาเราไปถึงที่หมายในเวลารวดเร็วได้
เราต้องเผื่อเวลา อย่างสมติว่าถ้าเราจะไปใจกลางเมืองตอน 6 โมงเย็น
เราอาจจะต้องออกจากบ้าน 4 โมง
เพื่อที่จะเผื่อเวลารถติดในเมืองประมาณ 2 ชั่วโมง
ซึ่งอันนี้ผมไม่ชอบ ไม่อยากที่จะเสียเวลาไปกับการนั่งอยู่ในรถแล้วก็อ่านหนังสือ
คือคนที่นั่งอยู่ในรถนานๆ ไม่รู้จะทำอะไร
ไม่คุยโทรศัพท์ก็อ่านหนังสือ ผมชอบอ่านหนังสือ
ผมชอบคุยโทรศัพท์แต่ไม่ใช่ขณะติดอยู่ในรถ
ถ้าเกิดผมเลี่ยงรถติดได้ผมจะเลี่ยง
ก็เลยเลือกวิธีขี่จักรยานโดยที่เราสามารถที่จะเผื่อเวลา
สมมติว่าผมจะเดินทางจากบ้านไปสุขุมวิท
ผมก็จะขี่จักรยานไป ถ้าระยะทางไกลมากแล้วหนทางไม่สะดวก
ผมจะอาศัยจักรยานพับได้แล้วก็นั่งรถไฟฟ้า
โดยเอาจักรยานพับได้ไปด้วย
แล้วเมื่อไปถึงที่หมายก็ขี่ไปไม่ไกลเท่าไหร่ 400-500 เมตร
เมื่อถึงที่หมายผมก็พับจักรยานแล้วก็ฝากไว้ที่ยามแล้วเราก็เข้าไปทำงาน
ถ้าเกิดหนทางมันสะดวก น่าขี่ ร่มรื่น อย่างเช่น
เลียบทางด่วนรามอินทรา-เอกมัย ไปออกแถวๆทาวน์อินทาวน์
ผมก็จะเอาเสือภูเขาขี่รวดไปเลย ขี่ไปเรื่อยๆ ปรับสปีดแล้วแต่
ขึ้นสะพาน ขึ้นเนิน แม้กระทั่ง One way มันเหมือนกับคนเดินถนน
คุณจะเดินฝั่งซ้ายของถนนหรือฝั่งขวาของถนนหรือ
คุณจะเดินเข้าในตรอกเล็กๆ ได้หมดเลย จักรยานนี่ก็เหมือนกัน
ขี่บนทางเท้าก็ได้ บนฟุตบาทก็ได้ แต่คนเดินอาจจะไม่ชอบนะ
แต่ก็ต้องระวัง อย่างที่สองคือเวลาเลิกงานแล้วกำลังจะเดินทางกลับบ้าน
ผมรู้สึกเลยว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่เป็นรางวัลชีวิต
ในขณะที่ผมเสร็จงานประมาณ 4 ทุ่ม
แล้วขี่จักรยานจากสตูดิโอของเมืองไทยวาไรตี้
ที่อยู่ลาดพร้าวซอย 1 กลับบ้าน ผมก็จะขี่เข้ามาในซอยนั้น
คือลาดพร้าวซอย 1 ซอย 15 และซอยพหลโยธิน 24
มันเชื่อมต่อกันหมด บ้านผมอยู่ซอยพหลโยธิน 30
ผมก็จะขี่จากลาดพร้าวซอย 1 ไล่มาเรื่อย
แล้วก็มาโผล่ออกตรงพหลโยธิน 24 อยู่เยื้องๆ ศุภาลัย
ถ้าออกซอย 24 เลี้ยวซ้ายก็ไปแดนเนรมิตร
ถ้าเป็นรถยนต์จะเลี้ยวขวาไม่ได้
ต้องเลี้ยวซ้ายแล้วไปกลับรถตรงหน้ากรมตำรวจ
แต่จักรยานเลี้ยวขวาได้เลย
ผมขี่ออกมาบางที 4 ทุ่มจะเห็นเลยว่ารถติดจาก
แยกรัชโยธินยาวมาทางเซ็นทรัลลาดพร้าว
ไฟท้ายแดงเต็มปื้ดเลย ผมก็ขี่ของผมอย่างสบายใจ
ในขณะที่ผมหันไปมองซ้ายรถติดเป็นแพเลย
ผมก็ไปของผมเรื่อยๆ พอถึง 4 แยกรัชโยธินผมก็ค่อยๆ ข้าม
ไม่ได้จูงจักรยานข้ามนะ คือขี่จักรยานข้าม
แต่ต้องระวังไม่ให้เหม่อ
และขณะเดียวกันก็ต้องระวังไม่ให้คนอื่นมาชนเราด้วย
คือมันต้องระวังหลายชั้น พอข้ามมาเสร็จปุ๊บ
นี่ผมขี่ทวนย้อนศรตลอดเลยนะ
เพราะว่าถ้าผมขี่ตามกฎจราจรผมต้องข้ามฟากไปอีกด้านหนึ่ง
ผมขี่บนฟุตบาทบ้าง บนถนนบ้าง
คือถ้าเกิดตอนนั้นช่วงการจราจรเขากั้นถนนมันจะโล่ง
ผมก็ขี่บนถนนสวนทิศทางการจราจร
ถ้าเขาปล่อยรถมาผมก็ขี่บนฟุตบาท
ไปจนถึงหน้าปากซอยพหลโยธิน 30
ผมก็เลี้ยวขวาเข้าซอยไปเลย
ใช้เวลาน้อยกว่าขับรถเยอะหรือเปล่า
โอ้โห!..เยอะเลยครับ เวลาผมไปช็อปปิ้งที่เซ็นทรัล
ผมก็ขี่จากบ้านผม พหลโยธิน 30
หน้าเมเจอร์รัชโยธิน ข้ามถนนมาขี่ฝั่ง ร.ร.หอวัง
พอถึงเซ็นทรัล ปุ๊บผมก็ไปล็อคจักรยานตรงที่จอดมอเตอร์ไซด์
แล้วก็เดินขึ้นลิฟต์ ซื้อของเสร็จปุ๊บผมขี่จักรยานกลับบ้าน
ประโยชน์สุดท้ายเลยก็คือประหยัดน้ำมัน
ประหยัดรายจ่ายเรื่องการเดินทาง
โทษของการขี่จักรยาน
เห็นเขาว่า...เขาว่านะ เป็นหมัน
เขาบอกว่านั่งแล้วมีการกดทับลูกอัณฑะนานๆ
บางครั้งมันทำให้จำนวนเสปิร์มลดลง
อันนี้ผมว่าเคยมีคนศึกษาเขาว่าจริงนะ
แต่วัยนี้แล้วผมเฉยๆ ขอให้มันมีกระสุนยิง
กระสุนมันจะด้านก็ไม่เป็นไร (หัวเราะ)
แล้วก็ถ้าขี่ในเมืองก็อันตราย
ชักชวนใครให้มาร่วมขี่จักรยานบ้างหรือเปล่า
ไม่เคยชวนให้คนขี่จักรยาน
เพราะผมคิดว่ามันอยู่ที่จริตและนิสัยของแต่ละคนซึ่งชอบและไม่ชอบต่างกัน
ผมชอบที่จะเหงื่อโทรมกาย ตากแดด ตากฝุ่น ตากลม แล้วก็ขี่ไป
บางคนเขารู้สึกมันสกปรกเหนอะหนะ
แล้วก็ไม่สบายตัว คือผมไม่ได้ขี่เพื่อความเพลิดเพลิน
ความเพลิดเพลินเป็นผลพลอยได้
แต่วัตถุประสงค์หลักคือเพื่อนำตัวผมจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งเพื่อทำงาน
ไม่ใช่จากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งเพื่อความเพลิดเพลิน
แต่ในระหว่างที่ผมขี่ผมเพลิดเพลินไปด้วยแค่นั้นเอง
ถ้างานผมน้อยลงหรือผมอำลาจากวงการนี้
ผมอยากจะไปขี่จักรยานเสือภูเขาในสถานที่ที่อากาศบริสุทธิ์
แล้วก็ห่างไกลจากตัวเมือง เช่น
ที่เชียงราย ที่เมืองปาย แม่ฮ่องสอน ขี่ตามเขา
อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ที่นิวซีแลนด์ ที่ออสเตรเลีย ผมอยากไปมาก
แต่ทุกวันนี้ได้แต่ขี่เพื่อไปทำงาน
คิดยังไงถ้าลูกมาขี่จักรยานด้วย
ถ้าขี่ในเมือง ขี่บนถนน ผมขี่ได้ แต่ถ้าเป็นคนที่ผมรักผมจะห้ามเขา
เพราะผมรู้สึกว่าผมไม่ไว้วางใจเขา
ไม่ไว้ใจคนที่เรารักนอกเหนือจากตัวเราว่าเขาจะมีความระมัดระวัง
มีสติ เหมือนอย่างที่เรามีหรือเปล่า
เพราะว่าขี่จักรยานในเมืองมันอันตราย
ถ้ามีคนอยากจะใช้จักรยานบ้างจะแนะนำยังไง
แนะนำให้คุณลองขี่จักรยานดูก่อน
เริ่มจากขี่จากบ้านแล้วก็ขี่ในซอยเล็กๆ
ขี่ในที่ที่รถไม่เยอะ แล้วขณะที่ขี่ไม่ว่าจะเป็นซอยหรือถนนใหญ่
พยายามเอาใจเราไปใส่คนขับรถอื่นด้วย อย่างเช่น
เวลาผมขี่จักรยานมาทางฟุตบาทและสวนกับทิศทางการจราจร
ทุกๆ ครั้งที่คุณวิ่งมาถึงซอยคุณจะต้องเอาใจคุณไปใส่ใจคนขับรถ
คือพอข้างหน้ามีซอยอยู่ขวามือ
คุณจะต้องชะลอจักรยานคุณเลยนะ
คุณจะฉิวไปไม่ได้ เพราะเวลารถเขาจะออกจากซอยเขาจะมองขวา
เพราะเขาไม่คาดหวังหรอก
ว่าทางซ้ายจะมีไอ้บ้าที่ไหนมันจะขี่จักรยานมา
คิดว่าจักรยานเป็นภาระหรือเปล่า ไม่ครับ
ถ้าจอดในที่ที่มียาม มี รปภ.เฝ้า แล้วเรามีล็อคอย่างดี
แล้วก็ไม่ได้จอดเป็นประจำที่ไหน แล้วอีกอย่างหนึ่ง
ไม่รู้นะ...ผมว่าจักรยานมันก็หายกันได้ถ้าคนเขาจะเอากันจริงๆ
ดูแลสุขภาพอย่างไร
นอกจากขี่จักรยานแล้วผมว่ายน้ำด้วย
คือผมค้นพบความวิเศษของการออกกำลังกายอย่างหนึ่ง
ผมเริ่มออกกำลังกายด้วยการว่ายน้ำเมื่อประมาณ 4-5 ปีที่แล้ว
ผมรู้สึกเลยว่าถ้าเราสามารถบังคับร่างกายของเราให้หายใจลึกๆ ยาวๆ
สูดหายใจเข้าเต็มปอด ผ่อนหายใจออกให้หมดปอด
เป็นเวลาครึ่งชั่วโมง แล้วอากาศต้องบริสุทธิ์นะ
ผมเชื่อเลยว่ามันเป็นการทำให้เลือดในร่างกายมันเวียน
แล้วพอเลือดมันไหลเวียนทุกอย่างมันจะดีโดยอัตโนมัติ
ผมเพิ่งมาค้นพบตอนที่ผมเริ่มว่ายน้ำ
คือว่ายอย่างจริงจัง ว่ายเพื่อการออกกำลังกาย
ไม่ใช่ว่าว่ายเพราะว่าร้อนพอกระโดดตูมเย็นแล้วก็ขึ้น
ตอนแรกผมว่ายแล้วรู้สึกมันเหนื่อย
เพราะเราไม่เคย การว่ายมันไม่สัมพันธ์กับการหายใจ
มันเหมือนกับว่าในขณะที่เราอยากจะหายใจถี่แต่ตัวมันอ่อนแอ
มันว่ายช้า ผมก็เลยใช้ สน๊อคเกิล ช่วยหายใจ
ปรากฏว่าว่ายได้ดี ว่ายได้นาน ถึงจะเหนื่อยเราก็ว่ายช้าๆ
ไม่ได้หยุดว่ายนะ ว่ายเหมือนกับเอื่อยๆ
แต่ให้ครบกำหนด 30 นาที
โอโห ! หลังจากที่ผมว่ายน้ำมานะผมไม่ป่วย
ร่างกายฟิตโดยเห็นได้ชัดเลย พอได้ว่ายน้ำหัวใจมันเต้น
เลือดมันสูบฉีด ผมว่าร่างกายเรามันถูกออกแบบมาให้ทำอย่างนี้อยู่แล้วนะ
เพียงแต่ว่าบางคนยังไม่รู้ อะไรที่ทำให้มีความสุขในชีวิต
ทุกวันนี้ผมมีความสุขกับการได้อยู่คนเดียวเงียบๆ
ผมจะมีความสุขมากถ้าผมได้มีเวลาพัก
แล้วก็อยู่คนเดียวเงียบๆ นั่งดูตัวเอง
อย่างตอนที่ผมนั่งคุยกับคุณอยู่ที่นี่ผมก็มีความสุข
ผมเรื่อยๆ ไม่มีแรงบีบคั้น ไม่มีแรงกดดันจากความคาดหวังของคนอื่นๆ
แต่ถ้าเป็นระหว่างงานหรือมีงานรออยู่ใจผมจะไม่นิ่งแล้ว
มันจะรู้สึกมีแรงกดดัน
อย่างวันนี้ผมรู้สึกสบาย รู้สึกผ่อนคลาย
นี่คือความสุขของผม ส่วนความสุขที่นิ่ง
และแน่นอนน่าจะเป็น
หนึ่ง การไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ
สอง การไม่มีหนี้
สาม การที่เรามีความสามารถที่จะเลี้ยงดูตัวเอง
และคนที่เขาพึ่งพาเราให้มีความสุข
นี่คือความสุขของผม ฝากถึงผู้อ่าน
ผมว่าสุขภาพที่ดี ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ
เป็นความร่ำรวยที่สุดของมนุษย์เรา
คือผมมีความเชื่อว่าการที่เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้แล้ว
เราสามารถที่จะทำอะไรที่เราอยากทำแล้วร่างกายของเราเอื้ออำนวยได้
ผมว่ามันเป็นสิ่งที่ประเสริฐ
แต่หลายๆ คนที่มีร่างกายสมประกอบกลับไม่ได้รู้สึกซาบซึ้งตรงนี้เท่าไหร่
ผมได้มองเห็นจากผู้ใหญ่รอบๆ ข้างหลายคน
ซึ่งในที่สุดสังขารร่างกายมันไม่เอื้ออำนวยในวัยชรา
ทำให้คล้ายๆ เหมือนกับเคลื่อนไหว
หรือจะทำอะไรด้วยตัวเองก็ลำบาก
อันนี้สามารถป้องได้ด้วยการดูแลร่างกายให้แข็งแรง
ตั้งแต่วัยเด็กหรือหนุ่มสาว ที่สำคัญคือต้องออกกำลังกาย
ร่างกายมันเหมือนกับเครื่องดนตรี
มันต้องจูน ต้องทำให้อยู่ในเชฟที่ดี ฟิตอยู่เสมอ
และก็ต้องใช้มันเป็นระยะๆ ใช้หนักหักโหมก็ไม่ดี
ต้องใช้ให้พอดีๆ ฝึกให้สม่ำเสมอแล้ว
คุณก็จะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ได้อย่างมีความสุข
แล้วก็ยาวนาน แต่สุดท้ายมันก็ไม่ตลอดไปนะ
ทุกอย่างมันก็มีจุดเสื่อมดับสลายไปตามธรรมชาติ
แต่ในขณะที่คุณยังไม่ดับสลายคุณก็จะมีชีวิตอยู่อย่างมีคุณภาพ
ซึ่งตรงนี้เงินทองกี่ร้อยกี่พันล้านก็ซื้อหาไม่ได้
ฉะนั้นต้องดูแลร่างกายให้ดี เขาว่าถ้าทำตั้งแต่ในวัยเยาว์
วัยหนุ่มสาวมันดี มันก็เหมือนกับฝากเงินออมไว้ในแบงค์
แล้วก็สบายในยามแก่
ถ้าคิดจะทำตอนอายุมาก
แล้วบางครั้งมันก็สายเกินไป.
"ฮาร์ท"อดีตนักร้องดังรุกธุรกิจอสังหาฯผนึกทุนท้องถิ่นเชียงใหม่ทำบ้านเดี่ยว4-10ลบ.ขาย
ผู้จัดการรายวัน
18 พฤษภาคม 2549
"ฮาร์ท" อตีดนักร้องดูโอ "วงเบิร์ดกับฮาร์ท" รุกธุรกิจอสังหาฯ
หลังผันตัวเองจากนักร้องเป็นพิธีกรชื่อดัง
เตรียมเปิดกรุที่ดินมรดกที่บิดามอบให้
ทำโครงการจัดสรร ชิมลางจับมือจัดสรรพื้นที่อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่
ผุดโครงการบ้านเดี่ยวราคา3-10ล้านบาท
มูลค่าขายกว่า 360 ล้านบาท ต่อด้วยการจูงมือภรรยา
เปิดรีสอร์ท ริมทะเลย่านชะอำ รุกธุรกิจเช่า
จับกลุ่มลูกค้าต่างชาติกระเป๋าหนัก นายสุทธิพงศ์ ทัดพิทักษ์กุล
นักร้องและพิธีกรชื่อดัง
เปิดเผยว่าได้นำที่ดินมรดกที่บิดาซื้อไว้ ที่ อ.สันแพง จ.เชียงใหม่
ประมาณ 120 ไร่ ไปพัฒนาเป็นโครงการบ้านจัดสรร
โดยร่วมทุนกับนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ท้องถิ่น
ที่มีประสบการณ์ในการพัฒนาทั้งบ้านเดี่ยว รีสอร์ท และคอนโดมิเนียม
โดยรูปแบบการพัฒนาจะแบ่งเป็น 3 เฟสๆแรก
พัฒนาบนพื้นที่ 25 ในรูปแบบของบ้านเดี่ยวสไตล์ล้านนาโมเดิร์น
รูปแบบคล้ายๆโรงแรมดาราเทวีฯ จำนวน 60 ยูนิต
ราคาขาย 4-10 ล้านบาท มูลค่าประมาณ 360 ล้านบาท
ซึ่งขณะนี้ ความคืบหน้าอยู่ระหว่างการออกแบบและก่อสร้างระบบสาธารณูปโภค
ส่วนแผนการเปิดขายโครงการนั้น
ยังอยู่ระหว่างการหารือร่วมกับผู้ร่วมทุนก่อน
ซึ่งคาดว่าต้องรอให้สถานการณ์การเมืองนิ่งเสียก่อน
รวมไปถึงภาวะอัตราดอกเบี้ย,น้ำมันและวัสดุก่อสร้าง
ที่ส่งผลต่อการพัฒนาโครงการ เพราะตัวเลขยังไม่หยุดนิ่ง
สำหรับที่ดินบางส่วนที่เหลือยังมีแผนที่จะแบ่งพื้นที่เป็นบูติครีสอร์ทอีกด้วย
โดยจะต้องหาพันธมิตรชาวต่างชาติเข้ามาร่วมบริหาร
ขณะนี้อยู่ในระหว่างการเจรจา
โดยเป็นกลุ่มทุนจากสหรัฐอเมริกาและมีโครงการอยู่ที่ดูไบ
ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ด้วย
ซึ่งเขาค่อนข้างมีเงื่อนไขมากพอสมควร
นอกจากนี้ยังจะพัฒนาที่พักแบบลองสเตย์
มุ่งเน้นกลุ่มเป้าหมายที่เป็นชาวญี่ปุ่น ยุโรปและสหรัฐอเมริกา อีกด้วย
ซึ่งทั้งโครงการตั้งเป้าปิดการขายภายในระยะเวลา 3 ปี
นายสุทธิพงศ์ กล่าวว่า
นอกจากนี้ตนยังมีที่ดินสะสมอีกหลายแปลงทั้งในกทม.
และต่างจังหวัดที่ล้วนเป็นที่ดินมรดกทั้งสิ้น
แต่คงต้องทยอยออกนำมาพัฒนา
โดยเฉพาะในกทม.มีแผนที่จะนำที่ดินบริเวณซอยเสือใหญ่อุทิศ
บนพื้นที่ประมาณ 5 ไร่ มาพัฒนาในรูปแบบของอพาร์ตเม้นท์ให้เช่า
จำนวน 1 อาคารก่อนเพื่อเป็นการชิมลาง
โดยมีความสูงประมาณ 8 ชั้น รวม 79 ยูนิต
ขนาดพื้นที่ประมาณ 26-40 ตารางเมตร
ราคาอยู่ที่ประมาณ 4,000 บาทขึ้นไปต่อเดือน
มูลค่าการลงทุนประมาณ 30-40 ล้านบาท
มุ่งเน้นกลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนทำงาน
ขณะนี้อยู่ในระหว่างการออกแบบ
คาดว่าจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างได้ในอีก 3 เดือนข้างหน้า
" ถ้าปล่อยที่ดินไว้เฉยๆ ก็เสียภาษี
สู้มาพัฒนาเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มจะดีกว่า
ถามว่าจะเข้ามาสู่ธุรกิจอสังหาฯอย่างเต็มตัวนั้น
คิดว่าคงไม่ เพราะตอนนี้ก็อายุมากแล้ว
ไม่รู้จะก่อหนี้ไปทำไหม แต่ตนจะค่อยๆทำ
ดูความเสี่ยงและความคุ้มค่าเป็นสำคัญ "
พิธีกรชื่อดังกล่าวและว่า ตนยังได้ร่วมกับภรรยา
เปิดบริษัท สบายา กรุ๊ป โดยตนทำหน้าที่เป็นกรรมการบริหาร บริษัท
เพื่อพัฒนาที่ดินสะสมซึ่งเป็นมรดกที่บิดามอบให้
ซึ่งหากเก็บไว้เฉยๆก็จะต้องเสียภาษีที่ดินทุกปีโดยเปล่าประโยชน์
ดังนั้นในช่วงที่ผ่านมาตนและภรรยา
คือนางเดือนเพ็ญ ทัดพิทักษ์กุล
จึงได้เริ่มศึกษาการบริหารงาน โดยนำที่ดินที่มีศักยภาพ
แต่ละแปลงมาศึกษาถึงความเป็นไปได้
ซึ่งได้เริ่มจากการนำที่ดินประมาณ 5 ไร่
บริเวณถนนหนองแจง อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี
มาพัฒนาโครงการ"สบายา จังเกิล รีสอร์ท"
ซึ่งโครงการดังกล่าวเป็นการร่วมทุนกับกองทุน
เพื่อร่วมลงทุนในวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมโดย
บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุนวรรณ (บลจ.วรรณ)
โดยกลุ่มของตนถือหุ้นในสัดส่วน 70%
ที่เหลืออีก 30%เป็นของกลุ่มผู้ร่วมทุน
โดยพัฒนาโครงการในรูปแบบของรีสอร์ทในนามบริษัท สบายา กรุ๊ป
ด้วยทุนจดทะเบียน 8 ล้านบาท
และในเร็วๆนี้มีแผนที่จะเพิ่มทุนเป็น 15 ล้านบาท
สำหรับรูปแบบการพัฒนาโครงการจะเป็นบ้านพักทั้งหมด 17 หลัง
ปัจจุบันเปิดให้บริการแล้ว 7 หลังและอยู่ในระหว่าง
การดำเนินการก่อสร้างอีก 10 หลัง
อัตราค่าบริการอยู่ที่ประมาณ 2,399 บาทต่อคืน
"โดยส่วนตัวแล้วตนและภรรยาเป็นคนที่ชอบเดินทางและชอบการดีไซน์
ดังนั้นจึงอยากทำรีสอร์ทที่ไม่ใช่เพื่อการพาณิชย์ขึ้นมา
ประกอบกับมีที่ดินอยู่แล้วจึงนำมาพัฒนาเป็นการชิมลางก่อน
โดยคาดว่าจะเปิดโครงการสบายาอย่างเป็นทางการประมาณเดือนมิ.ย.นี้
นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะนำที่ดินมรดกอีก9ไร่
บริเวณ ถ.เจ้าลาย อ.ชะอำ มาจัดสรรขายอีกด้วย
มุ่งเน้นกลุ่มลูกค้าที่เป็นชาวต่างชาติ
โดยเฉพาะชาวยุโรป ที่ปัจจุบันมาอาศัยอยู่ในชะอำเป็นจำนวนมาก
บางรายก็มีภรรยาเป็นคนไทย
ซึ่งอาจจะแบ่งขายแปลงละประมาณ 120-150 ตารางวา
และมีแบบบ้านให้ลูกค้าเลือกประมาณ 4-5 แบบ
ส่วนราคาขายนั้นยังไม่ได้กำหนดแต่อย่างใด
เนื่องจากอยู่ในระหว่างการสำรวจความต้องการในตลาด
โดยปัจจุบันราคาประเมินในย่านดังกล่าว
อยู่ที่ประมาณ 1.5 หมื่นบาทต่อตารางวา
(ที่ดินอยู่ห่างจากชายหาดประมาณ 100 เมตร)
ซึ่งหากสรุปข้อมูลได้ทั้งหมดก็คงต้องมีการตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมาบริหารงาน
รวมถึงมีแผนที่จะนำที่ดินแปลงงามบริเวณบ้านบางเกตุ อ.ชะอำ
(ถนนสายปึกเตียน-ชะอำ)ซึ่งติดทะเลและถนนสายหลัก
บนพื้นที่ 50 ไร่ ซึ่งบิดาได้ซื้อไว้เมื่อประมาณปี18
ราคาประเมินในปัจจุบันอยู่ที่ไร่ละประมาณ 7-8 ล้านบาท
มาพัฒนาในรูปแบบของรีสอร์ทและจัดสรร ระดับ 6 ดาว
เทียบเท่าเอวาซอนฯหัวหิน เจาะกลุ่มเป้าหมายระดับบน
ขณะนี้อยู่ในระหว่างการออกแบบโครงการ
สำหรับที่ดินแปลงดังกล่าวได้มีกลุ่มนายหน้า
และนักลงทุนเข้ามาติดต่อขอซื้อเป็นจำนวนมาก
แต่ราคาที่นำเสนอนั้นไม่เป็นที่พอใจ
โดยส่วนใหญ่จะเสนอในราคาประมาณ 200 ล้านบาท
ซึ่งตนคิดว่านำมาพัฒนาเองจะดีกว่า
"ฮาร์ท" อตีดนักร้องดูโอ "วงเบิร์ดกับฮาร์ท" รุกธุรกิจอสังหาฯ
หลังผันตัวเองจากนักร้องเป็นพิธีกรชื่อดัง
เตรียมเปิดกรุที่ดินมรดกที่บิดามอบให้
ทำโครงการจัดสรร ชิมลางจับมือจัดสรรพื้นที่อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่
ผุดโครงการบ้านเดี่ยวราคา3-10ล้านบาท
มูลค่าขายกว่า 360 ล้านบาท ต่อด้วยการจูงมือภรรยา
เปิดรีสอร์ท ริมทะเลย่านชะอำ รุกธุรกิจเช่า
จับกลุ่มลูกค้าต่างชาติกระเป๋าหนัก นายสุทธิพงศ์ ทัดพิทักษ์กุล
นักร้องและพิธีกรชื่อดัง
เปิดเผยว่าได้นำที่ดินมรดกที่บิดาซื้อไว้ ที่ อ.สันแพง จ.เชียงใหม่
ประมาณ 120 ไร่ ไปพัฒนาเป็นโครงการบ้านจัดสรร
โดยร่วมทุนกับนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ท้องถิ่น
ที่มีประสบการณ์ในการพัฒนาทั้งบ้านเดี่ยว รีสอร์ท และคอนโดมิเนียม
โดยรูปแบบการพัฒนาจะแบ่งเป็น 3 เฟสๆแรก
พัฒนาบนพื้นที่ 25 ในรูปแบบของบ้านเดี่ยวสไตล์ล้านนาโมเดิร์น
รูปแบบคล้ายๆโรงแรมดาราเทวีฯ จำนวน 60 ยูนิต
ราคาขาย 4-10 ล้านบาท มูลค่าประมาณ 360 ล้านบาท
ซึ่งขณะนี้ ความคืบหน้าอยู่ระหว่างการออกแบบและก่อสร้างระบบสาธารณูปโภค
ส่วนแผนการเปิดขายโครงการนั้น
ยังอยู่ระหว่างการหารือร่วมกับผู้ร่วมทุนก่อน
ซึ่งคาดว่าต้องรอให้สถานการณ์การเมืองนิ่งเสียก่อน
รวมไปถึงภาวะอัตราดอกเบี้ย,น้ำมันและวัสดุก่อสร้าง
ที่ส่งผลต่อการพัฒนาโครงการ เพราะตัวเลขยังไม่หยุดนิ่ง
สำหรับที่ดินบางส่วนที่เหลือยังมีแผนที่จะแบ่งพื้นที่เป็นบูติครีสอร์ทอีกด้วย
โดยจะต้องหาพันธมิตรชาวต่างชาติเข้ามาร่วมบริหาร
ขณะนี้อยู่ในระหว่างการเจรจา
โดยเป็นกลุ่มทุนจากสหรัฐอเมริกาและมีโครงการอยู่ที่ดูไบ
ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ด้วย
ซึ่งเขาค่อนข้างมีเงื่อนไขมากพอสมควร
นอกจากนี้ยังจะพัฒนาที่พักแบบลองสเตย์
มุ่งเน้นกลุ่มเป้าหมายที่เป็นชาวญี่ปุ่น ยุโรปและสหรัฐอเมริกา อีกด้วย
ซึ่งทั้งโครงการตั้งเป้าปิดการขายภายในระยะเวลา 3 ปี
นายสุทธิพงศ์ กล่าวว่า
นอกจากนี้ตนยังมีที่ดินสะสมอีกหลายแปลงทั้งในกทม.
และต่างจังหวัดที่ล้วนเป็นที่ดินมรดกทั้งสิ้น
แต่คงต้องทยอยออกนำมาพัฒนา
โดยเฉพาะในกทม.มีแผนที่จะนำที่ดินบริเวณซอยเสือใหญ่อุทิศ
บนพื้นที่ประมาณ 5 ไร่ มาพัฒนาในรูปแบบของอพาร์ตเม้นท์ให้เช่า
จำนวน 1 อาคารก่อนเพื่อเป็นการชิมลาง
โดยมีความสูงประมาณ 8 ชั้น รวม 79 ยูนิต
ขนาดพื้นที่ประมาณ 26-40 ตารางเมตร
ราคาอยู่ที่ประมาณ 4,000 บาทขึ้นไปต่อเดือน
มูลค่าการลงทุนประมาณ 30-40 ล้านบาท
มุ่งเน้นกลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนทำงาน
ขณะนี้อยู่ในระหว่างการออกแบบ
คาดว่าจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างได้ในอีก 3 เดือนข้างหน้า
" ถ้าปล่อยที่ดินไว้เฉยๆ ก็เสียภาษี
สู้มาพัฒนาเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มจะดีกว่า
ถามว่าจะเข้ามาสู่ธุรกิจอสังหาฯอย่างเต็มตัวนั้น
คิดว่าคงไม่ เพราะตอนนี้ก็อายุมากแล้ว
ไม่รู้จะก่อหนี้ไปทำไหม แต่ตนจะค่อยๆทำ
ดูความเสี่ยงและความคุ้มค่าเป็นสำคัญ "
พิธีกรชื่อดังกล่าวและว่า ตนยังได้ร่วมกับภรรยา
เปิดบริษัท สบายา กรุ๊ป โดยตนทำหน้าที่เป็นกรรมการบริหาร บริษัท
เพื่อพัฒนาที่ดินสะสมซึ่งเป็นมรดกที่บิดามอบให้
ซึ่งหากเก็บไว้เฉยๆก็จะต้องเสียภาษีที่ดินทุกปีโดยเปล่าประโยชน์
ดังนั้นในช่วงที่ผ่านมาตนและภรรยา
คือนางเดือนเพ็ญ ทัดพิทักษ์กุล
จึงได้เริ่มศึกษาการบริหารงาน โดยนำที่ดินที่มีศักยภาพ
แต่ละแปลงมาศึกษาถึงความเป็นไปได้
ซึ่งได้เริ่มจากการนำที่ดินประมาณ 5 ไร่
บริเวณถนนหนองแจง อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี
มาพัฒนาโครงการ"สบายา จังเกิล รีสอร์ท"
ซึ่งโครงการดังกล่าวเป็นการร่วมทุนกับกองทุน
เพื่อร่วมลงทุนในวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมโดย
บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุนวรรณ (บลจ.วรรณ)
โดยกลุ่มของตนถือหุ้นในสัดส่วน 70%
ที่เหลืออีก 30%เป็นของกลุ่มผู้ร่วมทุน
โดยพัฒนาโครงการในรูปแบบของรีสอร์ทในนามบริษัท สบายา กรุ๊ป
ด้วยทุนจดทะเบียน 8 ล้านบาท
และในเร็วๆนี้มีแผนที่จะเพิ่มทุนเป็น 15 ล้านบาท
สำหรับรูปแบบการพัฒนาโครงการจะเป็นบ้านพักทั้งหมด 17 หลัง
ปัจจุบันเปิดให้บริการแล้ว 7 หลังและอยู่ในระหว่าง
การดำเนินการก่อสร้างอีก 10 หลัง
อัตราค่าบริการอยู่ที่ประมาณ 2,399 บาทต่อคืน
"โดยส่วนตัวแล้วตนและภรรยาเป็นคนที่ชอบเดินทางและชอบการดีไซน์
ดังนั้นจึงอยากทำรีสอร์ทที่ไม่ใช่เพื่อการพาณิชย์ขึ้นมา
ประกอบกับมีที่ดินอยู่แล้วจึงนำมาพัฒนาเป็นการชิมลางก่อน
โดยคาดว่าจะเปิดโครงการสบายาอย่างเป็นทางการประมาณเดือนมิ.ย.นี้
นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะนำที่ดินมรดกอีก9ไร่
บริเวณ ถ.เจ้าลาย อ.ชะอำ มาจัดสรรขายอีกด้วย
มุ่งเน้นกลุ่มลูกค้าที่เป็นชาวต่างชาติ
โดยเฉพาะชาวยุโรป ที่ปัจจุบันมาอาศัยอยู่ในชะอำเป็นจำนวนมาก
บางรายก็มีภรรยาเป็นคนไทย
ซึ่งอาจจะแบ่งขายแปลงละประมาณ 120-150 ตารางวา
และมีแบบบ้านให้ลูกค้าเลือกประมาณ 4-5 แบบ
ส่วนราคาขายนั้นยังไม่ได้กำหนดแต่อย่างใด
เนื่องจากอยู่ในระหว่างการสำรวจความต้องการในตลาด
โดยปัจจุบันราคาประเมินในย่านดังกล่าว
อยู่ที่ประมาณ 1.5 หมื่นบาทต่อตารางวา
(ที่ดินอยู่ห่างจากชายหาดประมาณ 100 เมตร)
ซึ่งหากสรุปข้อมูลได้ทั้งหมดก็คงต้องมีการตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมาบริหารงาน
รวมถึงมีแผนที่จะนำที่ดินแปลงงามบริเวณบ้านบางเกตุ อ.ชะอำ
(ถนนสายปึกเตียน-ชะอำ)ซึ่งติดทะเลและถนนสายหลัก
บนพื้นที่ 50 ไร่ ซึ่งบิดาได้ซื้อไว้เมื่อประมาณปี18
ราคาประเมินในปัจจุบันอยู่ที่ไร่ละประมาณ 7-8 ล้านบาท
มาพัฒนาในรูปแบบของรีสอร์ทและจัดสรร ระดับ 6 ดาว
เทียบเท่าเอวาซอนฯหัวหิน เจาะกลุ่มเป้าหมายระดับบน
ขณะนี้อยู่ในระหว่างการออกแบบโครงการ
สำหรับที่ดินแปลงดังกล่าวได้มีกลุ่มนายหน้า
และนักลงทุนเข้ามาติดต่อขอซื้อเป็นจำนวนมาก
แต่ราคาที่นำเสนอนั้นไม่เป็นที่พอใจ
โดยส่วนใหญ่จะเสนอในราคาประมาณ 200 ล้านบาท
ซึ่งตนคิดว่านำมาพัฒนาเองจะดีกว่า