พระเทพฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
พระราชทานภาพถ่ายฝีพระหัตถ์
ที่ทรงบันทึกไว้ในช่วงปี 2551-2552 จำนวน 187 ภาพ
จัดแสดงนิทรรศการ
"ถ้าเดินเรื่อยไปย่อมถึงปลายทาง"
...พระอัจฉริยภาพของ
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
เป็นที่ประจักษ์แก่ชาวไทยว่า ทรงพระปรีชาสามารถในหลากหลายด้าน
ทั้งด้านวิชาการ, ภาษา, ศิลปะ, ดนตรีไทย ฯลฯ
นอกจากนี้ ยังทรงมีความสนพระทัยเฉกเช่นเดียวกับ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระบรมราชชนก
ในเรื่องการถ่ายภาพอีกด้วย
ดังจะปรากฏให้เห็นอยู่เป็นเนืองๆ ที่
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
ทรงคล้องกล้องติดพระศอ 1-2 กล้อง ยามที่เสด็จพระราชดำเนินไป
ยังสถานที่ต่างๆ ทั้งทรงจดรายละเอียดสิ่งที่ได้ทอดพระเนตร
ขณะเดียวกัน ก็จะทรงเก็บภาพเพื่อทรงนำมาถ่ายทอด
ในหนังสือพระราชนิพนธ์ให้คนไทยได้รับความรู้และเรื่องราวที่ได้
เสด็จฯไปในสถานที่ต่างๆด้วย ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ต่างๆมากมายที่ทรงถ่ายไว้
ได้สะท้อนถึงความใส่พระทัย แม้จะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ
แต่บอกถึงพระอารมณ์ขันของพระองค์
และนับเป็นโอกาสอันดีอีกครั้งที่ประชาชนชาวไทยจะได้มีรอยยิ้ม
จากการชมภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ใน
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
พระราชทานภาพถ่ายฝีพระหัตถ์
ที่ทรงบันทึกไว้ในช่วงปี 2551-2552 จำนวน 187 ภาพ
เพื่อนำมาจัดแสดงนิทรรศการในชื่อว่า
"ถ้าเดินเรื่อยไปย่อมถึงปลายทาง"
นิทรรศการครั้งนี้จัดโดยสมาคมถ่ายภาพแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์
ร่วมกับกรุงเทพมหานครและสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย
กระทรวงวัฒนธรรม ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร
และพร้อมกันนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
พระราชทานภาพถ่ายฝีพระหัตถ์จากนิทรรศการจำนวน 25 ภาพ
แก่สมาคมถ่ายภาพแห่งประเทศไทยฯ
เพื่อประมูลหารายได้สนับสนุนกิจกรรมของสมาคมอีกด้วย
ในโอกาสนี้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
ได้เสด็จพระราชดำเนินทรงเป็นประธานเปิดงาน
พร้อมทั้งทรงบรรยายถึงภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ด้วยพระองค์เอง
ที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร
เมื่อวันที่ 10 ธ.ค. ทำให้ทราบถึงเกร็ดและมุมมอง
จากช่วงขณะที่ทรงถ่ายภาพนั้นๆ
และแสดงถึงความมีพระอารมณ์ขันของพระองค์
โดยได้ทรงเกริ่นในตอนต้นถึงชื่อนิทรรศการ
"ถ้าเดินเรื่อยไปย่อมถึงปลายทาง" ว่า
เป็นคำพูดในนิทานพม่าเรื่องหนึ่งที่
ใช้คำพูดนี้บอกในเรื่องของความสำเร็จ
แต่คำนี้คนที่ชอบใช้มากที่สุดคงเป็นพวกบริษัททัวร์
ที่รถจะพาเลี้ยวไปที่ไหน เดินทางต่อไปเดี๋ยวก็ถึงเอง
ซึ่งถ้ามีจุดมุ่งหมายอะไร ถ้าไม่ย่อท้อ
ก็จะถึงจุดมุ่งหมายตามที่ปรารถนา
พร้อมกันนี้ยังได้รับสั่งอีกว่า
"ที่จริงก็อันตราย จะถึงไม่ถึงจุดมุ่งหมายขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง
ภาษิตที่ดีๆอย่างความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั้น
และพึงรู้จักประมาณตนจะดีกว่าอยู่อย่างนี้
อยากเป็นนักวิทยาศาสตร์โนเบลไพร์สก็ลำบาก
ถึงจุดมุ่งหมายอันยิ่งใหญ่ที่เป็นไปไม่ได้
ทำอะไรมีข้อคิดเยอะ อย่างปกหนังสือ
ผู้ออกแบบบอกว่า หมายถึงการเดินทาง มีฟ้า มีน้ำ กลัวคนไม่รู้
เลยต้องมีพระจันทร์เสี้ยวมาใส่ให้เห็น"
จากนั้นได้ทรงเล่าถึงภาพถ่ายฝีพระหัตถ์บางส่วนที่ได้พระราชทานฯ
มาจัดแสดงนิทรรศการด้วยว่า ทรงชอบถ่ายภาพเมฆบนเครื่องบิน
เพราะเมื่อทรงพระเยาว์ ทรงเรียนเรื่องเมฆ
คุณสมบัติของเมฆ การเกิดเมฆ
และเมื่อทอดพระเนตรเมฆ
จะทรงปั้นเรื่องไปต่างๆนานาว่าเหมือนภูเขา เหมือนไอศกรีม
นอกจากนี้ ยังมีภาพที่ทรงถ่ายไว้
ขณะที่เสด็จพระราชดำเนินไปต่างแดน
ทั้งการเสด็จฯไปทรงร่วมงานพิธีเปิดการแข่งขันโอลิมปิก 2008
ที่ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน มีทั้งภาพลูกโลกที่เปลี่ยนสี
ที่ทรงตั้งชื่อภาพว่าโลกสีแดง, โลกสีเหลือง, มนุษย์หลอดไฟ
รวมทั้งภาพนักกีฬายกน้ำหนักไทยที่ทรงตั้งชื่อว่า "แข็งแรง"
โดยทรงเล่าว่า
"พิธีเปิดโอลิมปิกเป็นสิ่งที่ทำให้เห็นจีนเจริญขึ้นได้
ทำให้คนเราสะสมความคิดได้ถึงการติดต่อกับคนทั่วโลก
การเปิดซีเกมส์ของลาวมีการแสดงต่างๆที่น่าดูเช่นกัน
นอกจากนี้ได้ไปดูยกน้ำหนักเป็นกีฬาที่เราได้เหรียญ
แต่คนที่ถ่ายภาพมาไม่ได้เหรียญ
เขายกอยู่ตอนถ่าย แต่ก็ยกอยู่ไม่ได้นานตามกำหนด"
ในครั้งที่เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศสเปน
ในช่วงกลางเดือนกันยายน ปี 2551 ได้ทรงถ่ายภาพไว้มากมาย
ทั้งรูปคนเล่นกับโลมา, ทะเลเมฆ,
นอกจากนี้ มีรูปที่ไปประเทศสเปนและหมู่เกาะคานารีของสเปน ทรงเล่าว่า
"รูปโลมานี้เดินทางไปที่เกาะ เป็นสวนสนุก
เจ้าของเป็นคนเยอรมันไปทำธุรกิจที่สเปน
ภูมิศาสตร์ของเกาะนี้อยู่ในแอฟริกา
ดูภาพแล้วเหมือนคนกระซิบกับโลมา ที่นี้มีสวนนกสวย
เลยได้ถ่ายภาพนกหันหน้าจากกันและหันหน้าไปทางเดียว กัน
ไม่มีที่หันหน้าเข้าหากัน ไม่รู้ว่าทำไม"
นอกจากนี้ ยังทรงเล่าเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของภาพ "ดาวตก"
ที่ทรงถ่าย ณ ประเทศสเปน เป็นภาพท้องฟ้ามืดมิด
เห็นพระจันทร์ ดวงเล็กและมีดาวตกหนึ่งดวง ซึ่งเรียกรอยยิ้มให้แก่คนฟังว่า
"บังเอิญถ่ายท้องฟ้าแล้วมีดาวตกขึ้นมา
ได้เอาหนังสือภาพถ่ายไปถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทุกรูปจะทรงมีพระราช ดำรัสว่า
"ที่ถ่ายนี้กดไปเรื่อยๆ ไม่คิดอะไรนักหนา หรือมีการวางแผน"
ได้กราบบังคมทูลว่า
"กดไปเรื่อยๆเป็นส่วนใหญ่ วางแผนเล็กน้อย
มีการวางองค์ประกอบบ้างนิดหน่อย" พร้อมกันนี้ ทรงรับประกันอีกว่า
"รูปถ่ายทั้งหมดไม่มีการตกแต่งภาพเอาแบบธรรมชาติ
เอาความบังเอิญมาเป็นตัวช่วย" ซึ่งเรียกเสียงหัวเราะให้แก่ผู้ฟังจำนวนมาก
อีกภาพหนึ่งที่สร้างความประทับใจและทรงนำมาเล่าคือ
ภาพถ่ายที่ทรงบันทึกระหว่างเสด็จฯไปประเทศ อินเดีย
เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2552 ที่ทรงถ่ายภาพผู้คนที่นำกล้อง
และโทรศัพท์มือถือมาฉายพระรูปพระ องค์ท่าน
และการต้อนรับพระองค์ของชาวไทอาหมที่รัฐอัสสัม
มาต้อนรับพร้อมชูป้าย "ขอรับเสด็จเจ้าฟ้าหญิง สู่แผ่นดินตะกูลไท"
และ "เจ้าฟ้าหญิงที่รักยิ่ง จงเจริญ" ฯลฯ โดยทรงเล่าว่า
"ไทอาหมเป็นมิตรกับคนไทย วันนั้นคนมาต้อนรับเป็นหมื่นเป็นแสน
ว่ากันว่าผู้นำอินเดียไป ยังไม่มาต้อนรับอย่างนี้เลยอยู่ 2-3 วัน
ได้รับของขวัญมาเป็นทิวเลย"
ประเทศมองโกเลีย เป็นอีกประเทศที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
เสด็จฯเยือนและทรงบันทึกภาพไว้ ซึ่งได้ทรงเล่าให้ฟังพร้อมพระสรวลว่า
"ไปมองโกเลียเผ่าซาตาน เป็นชื่อเผ่าเร่ร่อน เลี้ยงกวางเรนเดียร์ ได้กินนมวัว,
นมแพะ, นมแกะ, นมม้า, นมอูฐ มาแล้ว ตอนนี้ได้กินนมเรนเดียร์
อร่อยกว่าทั้งหมด และได้ขี่เรนเดียร์ด้วย เราก็ตัวหนัก
เรนเดียร์สะบัดต้องลงก่อนที่จะตกลงมา"
ทรงเล่าให้เห็นภาพจนคนฟังต้องอมยิ้มในพระอารมณ์ขันของพระองค์
ส่วนภาพสัตว์ที่น่าสนใจที่ทรงนำมาเล่าอีกภาพหนึ่งคือ
ภาพ "คุณพระครับ เจี้ยมเจี้ยมจ๋อ" ที่ทรงกล่าวถึง
"คุณพระเศวต" พระเศวตอดุลยเดชพาหนฯ
พระยาช้างเผือกประจำรัชกาลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า
"คุณพระเศวตอายุ 57-58 ปีแล้ว เป็นเชือกแรกในรัชกาล
เฝ้าอยู่ที่หัวหิน ว่ายน้ำทะเลทุกวัน คุณพระเศวตขนาดใหญ่ขนาดนี้
มีพี่เลี้ยงบอกให้นั่ง ยืน คุณพระก็ทำตาม
ตอนสถาปนาคุณพระ มีประวัติเล่าลือว่า
หันไปกราบบังคมพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโดย ไม่มีคนบอกเลย"
ภาพที่สร้างรอยยิ้มให้กับคนฟังอีกภาพคือ
เรื่องราวของแมว สุนัข และกาในวังสระปทุม ที่ทรงถ่ายไว้
โดยทรงเล่าว่า "แมวเป็นพลเมืองชั้น 2 ในวังสระปทุม
หมาจะได้สิทธิพิเศษกว่า แมวจะเลี้ยงดูตัวเอง
แมวจะมี 2 กลุ่มคือหางกุดและหางยาว
เคยมีแมวสวยอย่างแมววิเชียรมาศ
คิดอยากประกวดแต่ไล่จับเขาไม่ได้ หมากับแมวเห็นกัน
หมาก็จะไล่ ต้องพยายามไม่ให้ 2 ฝ่ายพบกัน
ในบ้านเราเดินไปทางเดิน บาง ทีเจอในสิ่งไม่เคยเจอ
เคยเจอพังพอนวิ่งตัด หน้า ส่วนกาในวังสระปทุม
ไม่เยอะเท่าที่วังสวนจิตรลดา กาชอบมาตีผลไม้
แล้วก็ชอบร้องกา กา จากเสียงต่ำไปสูงได้"
ระหว่างที่ทรงเล่าก็ทรงเลียนเสียงร้องของกา
ด้วยพระสุรเสียงจากต่ำไปสูง
สร้างบรรยากาศสนุกสนานเป็นกันเองอย่างยิ่ง
เป็นเวลากว่าครึ่งชั่วโมงที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
ทรงเล่าถึงภาพถ่ายฝีพระหัตถ์พระราชทานแก่ผู้เข้าร่วมในพิธีเปิดนิทรรศการ
สร้างความเพลิดเพลินและสนุกสนาน
ทำให้มีรอยยิ้มทุกครั้งเมื่อได้เห็นภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ทุกภาพไป
นิทรรศการภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ "ถ้าเดินเรื่อยไปย่อมถึงปลายทาง"
หรือ "DESTINATION" ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
จะเปิดให้เข้าชมโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายจนถึงวันที่ 31 มกราคม 2553
ในเวลา 10.00-21.00 น. (หยุดทุกวันจันทร์) ณ ชั้น 9
หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร สี่แยกปทุมวัน
(ใกล้สถานีรถไฟฟ้าสยามและสนามกีฬาแห่งชาติ)
นิทรรศการนี้คงสร้างรอยยิ้มให้กับคนไทยในช่วงเทศกาลแห่งความสุขนี้อย่างแน่นอน!!
ทีมข่าวหน้าสตรี