ประวัติในช่วงเป็นฆราวาส
พระอาจารย์คึกฤทธิ์ เกิดวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๐๖
ที่โรงพยาบาลจุฬาฯ กรุงเทพฯ
ท่านจบปริญญาตรี นายร้อย จปร. สาขาวิศวกรรมเครื่องกล
และ ปริญญาโท จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะรัฐศาสตร์
จากนั้นท่านได้รับราชการทหาร
โดยมียศหลังสุดในชีวิตฆราวาสเป็นพันตรี
จุดเริ่มต้นในเส้นทางธรรม
ในปี พ.ศ. ๒๕๒๒
ขณะท่านเรียนอยู่เตรียมทหาร ชั้นปีที่ ๑ ระหว่างปิดเทอม
โยมแม่ของท่านได้พาไปบวชกับ
หลวงพ่อชา สุภัทโท ที่วัดหนองป่าพงเป็นเวลา ๑ เดือน
เป็นครั้งแรกที่ไปสู่ดินแดนแห่งความสงบวิเวก
ที่ยังใช้ชีวิตแบบง่ายๆ ตามกุฏิ ใช้การจุดเทียนให้แสงสว่าง
เดินตามทางใช้ไฟฉาย น้ำอุปโภค
ใช้เชือกผูกกับปิ๊บหย่อนไปในบ่อดิน
ช่วยกันดึงขึ้นแล้วเทใส่ถังในรถเข็นไปไว้ตามกุฏิ ศาลา
และที่ต่างๆ อาหารขบฉันที่มีไม่มาก
ต้องใช้พระตัวแทนสงฆ์มาจัดแจกแบ่งปันส่วน
เพื่อให้เพียงพอกับทุกชีวิตในวัด
และได้พบหลวงพ่อชา ได้ใกล้ชิด
และสัมผัสกับธรรมะ รวมถึงข้อวัตรปฏิบัติที่เคร่งครัด
งดงามน่าเลื่อมใสของท่าน สัมผัสกับจิตบริสุทธ์ทีมีอยู่จริง
เกิดใคร่สนใจอยากศึกษา จึงเริ่มมีศรัทธาในพระพุทธศาสนา
เมื่อครบกำหนดลาสิกขากลับมาสู่การศึกษาเล่าเรียน
จึงตั้งใจเริ่มฝึกหัดรักษาศีล ๕ อย่างเคร่งครัด
ตามสติกำลังอยู่ตลอดมามิได้ขาด
ท่านได้กลับไปยังวัดหนองป่าพงในทุกช่วงเวลาปิดเทอม
จนกระทั่งได้มีโอกาสบวชอีกที
ในตอนปิดเทอมชั้นปีที่ ๔ ของนายร้อย จปร. ในครั้งนี้
ท่านได้ตั้งจิตอธิษฐานต่อหลวงพ่อชา ว่า
จะใช้ชีวิตฆราวาสอีกเพียง ๑๐ ปี
แล้วขอให้มีเหตุปัจจัยผลักดันให้ได้
ครองเพศบรรพชิตไปตลอดชีวิต
ชีวิตในเพศบรรพชิตครั้งสุดท้าย
หลังจากได้ตั้งอธิษฐานกับหลวงพ่อชาในครั้งนั้น
ท่านก็ใช้ชีวิตทางโลกอย่างปรกติเรื่อยมา
ท่านเล่าว่าการใช้ชีวิตโดยมีสติและธรรมะอยู่กับตัว
ช่วยให้การดำเนินชีวิตทางโลกของท่านเป็นไปอย่างสะดวก
ไม่เศร้าหมอง และมีส่วนสนับสนุนความเจริญรุ่งเรือง
ในหน้าที่การงานเป็นอย่างมาก
แต่บางครั้งการมีสติ ก็ทำให้การไปเที่ยวเตร่
หรือการเที่ยวเล่นเริ่มไม่เป็นเรื่องสนุกเหมือนอย่างเคย
เพราะท่านมองเห็นแต่โทษภัยของการขาดสติ
โทษของการที่เผลอเพลินไปกับกิเลสต่างๆ
จนในที่สุด เมื่อครบ ๑๐ ปี ตรงกับที่ได้ตั้งอธิษฐานไว้
และเป็นปีที่หลวงพ่อชาได้มรณภาพ
ในกาลนั้นเองท่านได้เห็นสัจธรรม
ความไม่เที่ยงของสรรพสัตว์ทั้งหลายในโลกนี้
ไม่เว้นแม้แต่ครูบาอาจารย์ที่ท่านเคารพ
ท่านจึงอาศัยสิ่งนี้เป็นอันดับแรก
เป็นอนุสติเครื่องกระตุ้นเตือนใจ
ผลักตัวเองให้ออกจากชีวิตทางโลก
ประกอบกับเกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย
และไม่ค่อยเห็นประโยชน์ในการใช้ชีวิตฆราวาสเป็นอย่างยิ่ง
อีกทั้งได้รู้สึกถึงความก้าวหน้าของผลการปฏิบัติ ที่ค่อยๆ
ฝึกหัดกระทำมาตลอด ๑๔ ปี
นับแต่เจอหลวงพ่อชา
สิ่งเหล่านี้จึงรวมมาเป็นเหตุปัจจัยผลักดัน
ให้ท่านเข้ามาบวชอีกครั้ง ครั้งนี้
ท่านเข้าสู่ร่มผ้ากาสาวพัตร์
ที่สำนักสงฆ์บุญญาวาส จังหวัดชลบุรี
ปัจจุบันเป็นวัดสาขาของวัดหนองป่าพง
มีพระอาจารย์ตั๋น (พระอาจารย์อัครเดช ถิรจิตฺโต)
เป็นเจ้าอาวาส หลังจากบวชได้ระยะหนึ่ง
ในระหว่างออกปลีกวิเวกธุดงค์ร่วมกับพระเถระอีก ๒ รูป
ท่านได้มาบำเพ็ญภาวนา
พำนักอยู่ยังผืนนาอันเป็นของโยมแม่ท่านยกถวาย
ณ.บริเวณถนนลำลูกกา คลองสิบ จังหวัดปทุมธานี
เรื่อยมาจนท่านได้ ๕ พรรษา
จากนั้นเป็นช่วงเวลาที่ท่านได้พำนัก
อยู่เพียงลำพังผู้เดียว
ท่านจึงอาศัยความสันโดษวิเวกนี้
เป็นโอกาสแห่งการปฏิบัติภาวนาอย่างเต็มกำลังความสามารถ
พร้อมทั้งศึกษาธรรม และวินัยจากพระโอษฐ์ควบคู่กันไป
ในช่วงหน้าแล้งของแต่ละปี
ท่านได้หาโอกาสออกวิเวกตามป่าเขา
จนในพรรษาที่ ๗ หลังออกวิเวกธุดงค์
โดยเดินจากเมืองกาญจนบุรีผ่านทุ่งใหญ่นเรศวร
ขึ้น จังหวัดตาก และเมื่อกลับมาถึงคลองสิบ
ได้เป็นไข้มาลาเรีย นอนป่วยอยู่ผู้เดียวเป็นเวลา ๗ วัน
จึงมีคนมารับไปรักษา ผลจากอาพาธครั้งนี้
ทำให้ท่านมีอาการอ่อนเพลียต่อเนื่องมาอีก ๕ ปี
จึงเริ่มหายเป็นปกติ ในระหว่างนั้นสถานที่ดังกล่าวค่อยๆ
ได้รับการพัฒนาตามลำดับ ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๔๕
หรือประมาณ ๘ ปี นับแต่ท่านได้มาอยู่บำเพ็ญภาวนาสถานที่แห่งนี้
จึงได้ขึ้นทะเบียนตั้งเป็นวัดนาป่าพงจวบจนถึงปัจจุบัน
ท่านได้วางแนวทางการปฏิบัติของพระสงฆ์
ในวัดได้อย่างชัดเจน โดยยึดแต่คำสอนที่เป็น
พุทธวจนะของพระพุทธเจ้าเป็นแนวทาง
ท่านได้วางนโยบายในวัดให้มีความสงบสอดคล้อง
เหมือนกับการออกวิเวกธุดงค์
กำหนดกิจข้อวัตรของพระในวัดให้กระชับที่สุด
และเป็นกฎเกณฑ์ของหมู่คณะที่ต้องเคร่งครัด
เพื่อเปิดโอกาสให้พระได้มีเวลาในการภาวนามากๆ
ผู้ที่จะบวชในวัดนี้ควรจะต้องมีเวลาอย่างน้อย ๑ เดือน
เพื่อเตรียมตัวอยู่เป็นผ้าขาวก่อนประมาณ ๒ อาทิตย์
จากนั้นบรรพชาเป็นสามเณรอีกประมาณ ๑ อาทิตย์
แล้วจึงสามารถบวชเป็นพระได้
ทั้งนี้เพื่อฝึกฝนข้อวัตรปฏิบัติ
และเป็นการชำระกายใจให้บริสุทธิ์เสียก่อน
เนื่องเพราะท่านเห็นว่าการบวชในระยะสั้นๆ นั้นเกิดประโยชน์น้อย
และเสี่ยงต่อการทำผิดในเพศบรรพชิตได้ง่าย
ท่านเน้นย้ำมากในเรื่องการศึกษาและปฏิบัติธรรมะว่า
ควรศึกษาโดยตรงในธรรมะจากพระโอษฐ์เท่านั้น
เพราะที่ทรงตรัสถึงขีดจำกัดของสาวกที่เป็นเพียงผู้เดินตามมรรค
การแสดงความเห็นของสาวกย่อมมีข้อผิดเพี้ยน
ซึ่งเป็นเหตุเสื่อมและเป็นความอันตรธานแห่งธรรมวินัย
ของตถาคตในกาลยืดยาวนาน ฝ่ายอนาคต
และเป็นเหตุแห่งการนับถือศาสนาพุทธที่ผิดเพี้ยนไปด้วย
รวมถึงการนำพระพุทธศาสนาไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง
ท่านแนะนำการศึกษาพระพุทธศาสนาจากพระโอษฐ์
จากหนังสือที่ท่านพุทธทาสได้รวบรวมเฉพาะคำพูด
จากพระโอษฐ์ของพระผู้มีพระภาค เจ้าโดยตรง
ไม่ปนความเห็นของผู้ใด มี ๕ เล่ม คือ
๑.อริยสัจจากพระโอษฐ์ ภาคต้น
๒.อริยสัจจากพระโอษฐ์ ภาคปลาย
๓. ขุมทรัพย์จากพระโฮษฐ์
๔.พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ และ
๕.ปฏิจฺจสมุปฺบาทจากพระโอษฐ์ ซึ่ง
ทางธรรมสภาได้รวบรวมและจัดส่งให้โดยสะดวกแก่ผู้โทรสั่งซื้อ
ท่านกล่าวว่า การที่พุทธบริษัทศึกษา
และปฏิบัติจากคำสอนของพระพุทธเจ้าโดยตรงนี้
จะทำให้การภาวนาเจริญก้าวหน้า
และเป็นทางเดียวที่จะช่วยสืบต่ออายุ
พระพุทธศาสนาที่บริสุทธิ์ได้อย่างสมบูรณ์
YouTube ทูไนท์โชว์ ธรรมจากพุทธวจนะ 24 05 10