7 มิถุนายน 2553
หากถามว่า ความรวย ความสำเร็จ
และความสุขสามารถเกิดขึ้นได้พร้อมๆ กัน
หรือไม่นั้น
คุณตัน ภาสกรนที หรือตัน โออิชิ
ถือเป็นบุคคลตัวอย่างที่สามารถสร้างความร่ำรวย ความสำเร็จ
และมีความสุขได้ในขณะเดียวกัน ลองมาดูสิว่า
ทำอย่างไรจึงจะประสบความสำเร็จในแบบฉบับของตัน ภาสกรนที
และ
วันนี้เราก็ได้คำตอบ โดยเฉพาะเคล็ดวิชาแห่งลูกเต๋า ที่ว่ากันว่า
ถ้าเข้าใจแล้วทำอะไรได้หมด รวมทั้งพลังชีวิตที่มาจากครอบครัว
ซึ่งหลายคนอาจหลงลืมไป
ดังนั้นทุกวันนี้ภารกิจสำคัญที่ขาดไม่ได้ของเขาก็คือ
การไปรับลูกสาวตัวน้อยจากโรงเรียนอนุบาลในช่วงบ่าย
แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่สิ่งนี้เหมือนเป็นการเติมเต็มให้เขา
เดินหน้าทำงานต่อไปได้อย่างไม่หยุด ยั้ง
ตอนนี้ลูกๆ มีใครนิสัยเหมือนคุณตันบ้างไหมคะ
ลูกสาวเขายังเล็ก
ยังเฮฮา น่ารัก ยังดูไม่ออก
แต่ลูกชายอายุเจ็ดขวบย่างแปดขวบนี่
อาจจะเหมือนผม คือ
เขาชอบทางด้านธุรกิจ เวลาไปไหนเห็นอะไร
เขาจะคอมเม้นต์ตลอด
บางครั้งผมยังคิดว่า
นี่เป็นความคิดของเด็กเจ็ดขวบหรือ
แต่ทุกคนมีดีมีด้อย
ลูกชายผมให้เขาเรียนหรือเขียนหนังสือเหมือนจะไม่เอาดีทางนี้
แต่ถ้าให้วาดรูปหรือเรื่องธุรกิจจะมีแวว
อย่าง
เมื่อเร็วๆ นี้เราไปที่ร้าน Melt Me
ขายช็อกโกแลตสไตล์ฮอกไกโด
ที่ทองหล่อซอย 10
เราทำโปรโมชั่น
โดยให้พนักงานแจกช็อกโกแลตลูกค้าอยู่หน้าร้าน
แต่พอกลับบ้านเขาคอมเม้นต์จนทุกคนตกใจ เขาบอกว่า
ปาป๊าเราไม่ควรแจกช็อกโกแลตเกินจากหน้าร้านมากไป
แค่ประมาณ 5 เมตรก็พอ เขาบอกว่า เราไม่ควรล้ำเส้นลูกค้า
หรือตื๊อลูกค้ามากไป เอ๊ะ...นี่มันเด็ก 7 ขวบพูด
หรือเรื่องเล็กๆ น้อยๆ
อย่างร้านเราเปิดแล้ว
แต่หน้าร้านยังมีป้าย Open soon ติดอยู่
เขามองปุ๊บ
เขาบอกเลยว่า ต้องแก้แล้ว เป็น Open now
คุณตันคิดว่าเกิดจากอะไรคะ อยู่ที่การเลี้ยงดูหรือเปล่า
ผม ว่าสิ่งแวดล้อมมีส่วนสำคัญ
เวลาเราอยู่กับลูกเราอาจไม่รู้สึกว่าเขารู้หรือเขาเข้าใจ
การที่เขาเห็น เขาได้ยินเราพูดทุกวัน ได้ยินเราคุยกับคนอื่น
หรือคนอื่นพูดถึงเรา มันเป็นการเก็บสะสม
อยู่บ้านผมก็คุยกับภรรยา
เพราะฉะนั้นอย่าคิดว่าเขาไม่รู้เรื่อง
อย่างถามว่าทำไมเด็กพูดได้
เพราะเขาฟังทีละคำๆ
จนถึงจุดหนึ่งเขาก็เรียงคำออกมา
เขาพูดได้แล้ว
มันก็เหมือนกัน เขาเห็นเราทุกวัน
ช่วง ปิดเทอม
ลูกก็อยู่กับผมเกือบทั้งวัน บางวันก็มาออฟฟิศไปที่ร้านเขาเห็นเราทำงาน
เห็นเราประชุม ดูเทปที่เราไปบรรยาย
อย่างผมไปบรรยายแล้วเขามาฟัง
เขาก็คอมเม้นต์ผมเยอะเลย...
จริงๆ แล้วชีวิตคนเรา
สิ่งแวดล้อมนี่สำคัญ
ไม่ใช่มาจากพ่อแม่ ที่ทำงาน ที่บ้านอย่างเดียว ดูหนัง
เพื่อน
ทุกอย่างเป็นตัวหล่อเลี้ยงให้เป็นตัวเขาในอนาคต
เพราะฉะนั้นต้องระวัง
อย่ามองข้ามเวลาที่เขาอยู่กับใคร
ทำอะไร เล่นอะไร เพราะอย่างที่บอก
สุดท้ายมันจะเป็นตัวเขา
อาจจะมีกฎเกณฑ์มีระเบียบนิดหน่อย เช่น
ต้องทำการบ้านก่อนดูหนัง วันหยุดเล่นเกมได้พอสมควร
อะไรกินได้
อะไรไม่ควรกินมาก แต่ไม่ใช่อะไรก็ไม่ได้เลย
เป็นเรื่องธรรมชาติ
อะไรที่ห้ามมากเขายิ่งอยากกิน
ลูกชายผมชอบกินบะหมี่สำเร็จรูปมากเลยนะ
แต่เราไม่อยากให้กิน เวลาที่เขาได้กินก็เหมือนกับได้รางวัล
ผมว่าไม่แน่นะ ถ้าเราปล่อยเขาอาจไม่อยากกิน
มันเป็นธรรมดา
คือเรายิ่งห้ามเขาก็ยิ่งชอบ
แล้วคุณตันเหมือนคุณพ่อคุณแม่ในเรื่องไหนบ้างหรือเปล่าคะ
แม่ผมเป็นแม่บ้าน ไม่ได้เรียนหนังสือ พ่อผมเป็นนักบัญชี
ไม่เคยทำธุรกิจส่วนตัว ชีวิตประจำวันแม่ผมลำบากมามาก
ไม่เคยซื้อบ้านเป็นของตัวเอง พ่อก็ลำบาก
เพราะเป็นลูกจ้างมาทั้งชีวิต
ทำให้ผมรู้ว่าความลำบากเป็นอย่างไร
เพราะเห็นพ่อแม่ลำบาก
ต้องหาเงินจ่ายค่าเช่าบ้าน
ตรงนี้เราได้จากพ่อแม่
พ่อ ผมเป็นคนพูดน้อย
แต่ท่านก็สอนผมเรื่องมุมมองทางธุรกิจ
หลักง่ายๆ
สองข้อที่ผมนำมาใช้ทั้งชีวิตและได้ประโยชน์เยอะมากอย่างแรกคือ
คุณพ่อหยิบรูปให้ผมดูรูปหนึ่ง เป็นภาพผู้ชายอ้วนๆ ถือเงินสด
ผู้ชายผอมๆ ถือเช็ค
ด้วยความที่พ่อเป็นนักบัญชี
ทำบัญชีให้กับหลายๆ บริษัท
เขาเห็นความเจริญและเห็นการล้มละลาย
เพราะบริษัทค้าขายแล้วมีแต่เครดิต
พ่อเลยสอนว่า
เวลาทำธุรกิจอย่าไปวัดว่าธุรกิจใหญ่หรือเล็กแค่ไหน
แต่ควรวัดว่าขายแล้วได้เงินสดเท่าไร
ตราบใดที่ยังเป็นเช็คหรือเป็นเครดิตอยู่
คุณยังไม่ได้กำไร
เพราะฉะนั้นผมทำธุรกิจ
ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้จะถือเงินสดเป็นส่วนใหญ่
ข้อ สอง พ่อผมเขาใช้ลูกคิด เขาสอนผมเรื่องทฤษฎีลูกคิด
หมายความว่า
ถ้าเราเข้าใจหนึ่งทฤษฎี
ซึ่งก็คือการเข้าใจหลักการแล้ว
ทำอะไรก็ได้ ตอนที่พ่อผมสอน
ท่านให้ผมท่องสูตรลูกคิดไปด้วย
ผมถามปาป๊าทำไมต้องท่อง
เขาบอกท่องไปเถอะ
ตอนนั้นผมไม่รู้ แต่ก็ท่องนะ
พอมาทำธุรกิจแล้วถึงเข้าใจ
พ่อยังให้เม็ดลูกคิดไว้เป็นที่ระลึกเลย
ช่วยขยายความเรื่องของทฤษฎีลูกคิดหน่อยได้ไหมคะ
พ่อ สอนไว้ว่า ถ้าเข้าใจในหลักการหรือเข้าใจหนึ่งทฤษฎี
จะทำได้ทุกอย่าง
เหมือนที่ผมเข้าใจสูตรลูกคิด
ก็สามารถบวกลบคูณหาร
ไม่ว่าโจทย์จะพลิกไปพลิกมาก็ทำได้
นั่นก็คือ
ผมเข้าใจหลักการของธุรกิจ ผมก็เลยทำได้ทุกธุรกิจ
ทุกบริษัทที่ผมทำมาจากทฤษฎีนี้เอง
ถ้าได้หลักตรงนี้และมีการศึกษาที่ดีด้วยจะเป็นอย่างไรคะ
ก็จะดีกว่าผมเยอะ เรื่องนี้สำคัญมาก เวลาที่ผมไปบรรยายตามสถานศึกษา
พูดเสร็จก็จะมีคนถามว่า งั้น
การเรียนไม่สำคัญหรือ
การเรียนนี่สำคัญ
เพราะทุกอย่างมันต้องมีทั้งพื้นฐานและประสบการณ์
พอดีพื้นฐานผมไม่มี ผมก็เลยลงลึกในแง่ของประสบการณ์เยอะหน่อย
ผมขอเปรียบเทียบประสบการณ์ก็เหมือนกับคลอง
คลองยิ่งใหญ่ยิ่งดีเวลาไปต่างจังหวัดผมเห็นเขาขุดคลองไว้ใหญ่มาก
ยังไม่ถึงหน้าฝนเลยไม่มีน้ำ แต่ทำไมเขาขุด
เพราะตอนที่ฝนตก พายุเข้า คลองคุณใหญ่เท่าไร
คุณก็รับน้ำได้มากเท่านั้น
มันเหมือนกับการที่คุณมีความรู้
มีประสบการณ์เยอะแค่ไหน
ประสบการณ์คืออะไร
คือสิ่งที่อยู่ในชีวิต
ประจำวัน ดนตรี ศิลปะ คนรอบข้าง ตัวเรา
ความคิด
การอ่าน เพื่อนฝูง สิ่งเหล่านี้เป็นประสบการณ์
คุณก็มี
คลองใหญ่ วันที่เกิดวิกฤติ คุณมีเพื่อนเยอะ
คุณก็มีทางออก การแก้ไขก็เยอะขึ้น
ส่วนการศึกษาสำคัญมากกว่า คลองอีก ถ้าคุณมีการศึกษาสูง
พื้นฐานดี
แล้วคุณมีประสบการณ์อีก คุณจะเป็นเหมือนทะเล
รับน้ำได้ไม่จำกัด ตรงนี้สำคัญมาก มันเป็นวิธีคิด
อย่างลูกสาวคนโตผมเคยบอกว่าว่างๆ ให้มาประชุม
มาฟังเรื่องโฆษณา เรื่องโปรเจ็คท์ต่างๆ เขาบอกว่าไม่เห็นเกี่ยวกับเขา
ก็ เหมือนวันนี้คุณขุดคลอง คุณยังไม่ได้ใช้ แต่วันหนึ่งเมื่อมันมีปัญหา
มีอุปสรรคเข้ามาแล้ว คุณมีคลองที่ใหญ่ก็แก้ปัญหาได้เยอะ
ว่างๆ คุณก็ขุด อ่านหนังสือ คลองคุณก็ใหญ่ขึ้นๆ
ถ้าคุณเรียนหนังสือเยอะ คุณก็จะกลายเป็นทะเล
ผมรู้ว่าตัวเองมีข้อจำกัดเยอะ คลองผมใหญ่พอสมควร
แต่เทียบกับคนที่มีการศึกษา ผมสู้เขาไม่ได้ ผมมี
ลิมิต
ผมเจียมตัว ผมจบแค่ ม.3 มีพนักงาน 4 - 5 พันคน
มียอดขาย 7 - 8 พันล้าน ผมคงไม่ใหญ่ไปกว่านี้แล้วละ
คือถ้าใหญ่กว่านี้ผมก็เอาไม่อยู่แล้ว
ทั้งๆ ที่ผมพยายามแต่ด้วยข้อจำกัดที่ผมมี ผมเป็นคลอง
ไม่ใช่ทะเล
ความกล้าเป็นส่วนประกอบสำคัญด้วยหรือเปล่าคะ
ผม กล้าเพราะผมเข้าใจทฤษฎี ลูกคิดตรงนี้
ผมยืนยันว่าผมพร้อมจะทำทุกอย่างที่ผมไม่เคยทำ
ขอเพียงคุณเข้าใจหลักการของความสำเร็จคุณก็จะทำได้ทุกธุรกิจ
ที่เหลือคือ เมื่อรู้ว่าเราไม่รู้อะไร
ก็หาคนมาทำแทนได้
สำคัญที่สุดคือวิธีคิด สำคัญกว่าความสามารถ
ความเชี่ยวชาญ วิชาการ เทคโนโลยี
เราสามารถซื้อหามาเพิ่มเติม
หรือเรียนรู้จากคนอื่นได้ แต่ถ้าคุณไม่มีวิธีคิด
คุณก็ไปไม่ได้
ผมสำเร็จได้ด้วยวิธีคิด ถ้าบอกอะไรอย่าตกใจนะ
...
ผมทำร้านอาหารมา 30 ปี เปิดร้านขนมปังมา 28 ปี
ทำธุรกิจร้านถ่ายรูปมา 16 ปี และเปิดร้านอาหารมาเป็นร้อย
แต่ผมไม่ได้เรียนมาทางนี้เลย ไม่เคยเรียนมาร์เก็ตติ้งไม่เคยเรียน
แมเนจเม้นท์
ไม่เคยทำครัว ไม่เคยผ่านอุตสาหกรรมโรงงานมา
แต่ผมทำด้วยวิธีคิด ภายใต้หลักการว่า
คิดอย่างไรให้ประสบความสำเร็จ
คุณตันมีคนต้นแบบหรือเปล่าคะ
เยอะ ครับ อย่างตอนวัยรุ่นที่ผมมีปมด้อย
ผมก็คิดถึงคำพูดของเหมาเจ๋อตุง
ที่บอกว่า
แมวสีไหนไม่สำคัญ ขอให้จับหนูได้
ทำให้ผมคิดว่า
คนเราไม่จำเป็นต้องเก่ง รวย หรือหน้าตาดี
ถึงจะประสบความสำเร็จได้ เพียงแต่เราต้องทำ
เราไม่เก่ง ฐานะไม่ดี หน้าตาไม่ดี
เราอาจจะต้องเหนื่อยมากกว่าสองสามเท่า
สมัย ที่ผมทำงานในเครือสห พัฒน์ฯ ประธานบริษัทคือ
คุณเทียม โชควัฒนา ก็เป็นตัวอย่างหนึ่ง ท่านจบ ป.4
ท่านยังเป็นเจ้าของสหพัฒน์ฯได้
ซึ่งวันนั้นความคิดที่อยากเป็นเจ้าของธุรกิจของผมคือ
การเป็นเจ้าของร้านร้าน เดียว
ไม่ใช่บริษัทโออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
ถึงอย่างไรวันนี้ผมก็ยังทำได้ไม่ถึง 5 เปอร์เซ็นต์ของ
สหพัฒน์ฯ
หรือทำได้แค่เศษๆ
แต่ผมยึดแนวทางและเป็นตัวอย่างทำให้ผมมีวันนี้ได้
อีกตัวอย่างหนึ่งคือ ผมรู้จักกับลูกชาย คุณวันชัย จิราธิวัฒน์
สมัยก่อนผมได้ไปนอนอยู่บ้านท่าน ผม
ประทับใจและได้อะไรเยอะเลย
เรารู้กันอยู่แล้วว่า
คุณวันชัยและตระกูลของท่าน
ประสบความสำเร็จมา 60 - 70 ปี ร่ำรวยแค่ไหน
แต่เวลาอยู่บ้านท่านสมถะมาก ท่านจะเน้นเรื่องความประหยัด
อย่างโทรศัพท์ก็ใช้รุ่นเก่า เวลาคุยต้องใช้สองมือนะ
หรือมีคนโทร.หาลูกชาย
ท่านก็จะเปิดหน้าต่างแล้ว
ใช้กระดิ่งเรียกให้ลูกชายมารับสาย
ซึ่งตอนนี้โทรศัพท์ที่มีสายพ่วงก็หลักหมื่นเท่านั้น
แต่ท่านประหยัด
ท่านทำงานตั้งแต่เช้าถึงดึก อันนี้เป็นตัวอย่างให้ผม
ทุกวันนี้ผมประหยัดก็ได้มาจากท่าน สมัยก่อนไม่มีเงินก็ต้องประหยัดอยู่แล้ว
แต่วันนี้เห็นคุณวันชัยประหยัดก็พยายามทำตาม
ทำไปทำมากลายเป็นนิสัย ขยัน อดทน ไม่ใช่ว่าอยากทำแล้วทำได้นะ
ทุกอย่างอยู่ที่การฝึกฝน ทำไปนานๆ จะติดเป็นนิสัย
กลายเป็นสิ่งที่ติดตัวเพราะฉะนั้นความสำเร็จไม่ได้หล่นจากฟ้า
มันมีรายละเอียดอีกเยอะ ถ้าเรามีโอกาสใกล้ชิด
ศึกษาชีวิตของคนประสบความสำเร็จมันมีอะไรให้เรียนรู้
คุณตันเคยพูดไว้ว่าจะเกษียณตัวเองเมื่ออายุ 55
แต่ก็ยังมีโครงการใหม่ๆ ออกมา
เป้าหมายยังเหมือนเดิมคือเกษียณตอนอายุ 55
แต่หลังเกษียณก็ไม่ได้หมายความว่าต้องเข้าวัดอย่าง
เดียว
แต่ผมจะทำในสิ่งที่ผมอยากทำและมีความสุข
อย่างเช่นทำ
ตลาดกล้วยกล้วย ที่ลพบุรี พื้นที่ 70 ไร่ ใช้
เงินไป 700 - 800 ล้าน
ตอนนี้มีต้นไม้เต็มเลย
มีแม่ค้ามาขายของเป็นพันเจ้า สวยงาม
งานนี้ลงทุนแล้วไม่
คุ้มค่าสำหรับผม แต่ผมมีความสุข
เป็นตลาดที่ผมสร้างมาจากที่นา
ตอนนี้ในวันตลาดนัด
อังคารกับวันศุกร์ มีเงินสะพัดวันหนึ่งสิบล้านยี่สิบล้าน
มีคนอาศัยตรงนี้เป็นที่ทำมาหากิน เป็นที่เลี้ยงครอบครัวได้
รายได้เป็นของเขา ไม่ใช่ของผม
เงินของผมไม่จำเป็นต้องทำกำไรให้ผมก็ได้
อีก โปรเจ็คท์คือ
ที่ปราณบุรีผมทำโรงแรมชื่อ Villa Maroc
คนอื่นทำโรงแรมเพราะมีแหล่งท่องเที่ยวอยู่แล้ว
ที่ปราณบุรีมีทะเลสวยมีภูเขา
แต่ผมไม่ได้ไปหาประโยชน์
จากทะเลตรงนั้นอย่างเดียว
ผมไปสร้างประติมากรรม
สถาปัตยกรรมชายหาดเพื่อให้คนมาเที่ยว
ผมทำแค่ 15 ห้องเอง
แต่ผมลงทุนมหาศาล
ถ้าใครไปเห็นจะรู้สึกว่าทำไมเป็นอย่างนี้
มันมาจากวิธีคิดที่แตกต่างกัน
เพราะผมกำลังคิดว่าจะสร้างให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว
ไม่ใช่สร้างโรงแรม
เหมือนกับว่าสร้างบ้านหลังหนึ่งให้สวย ให้คนมาดู และอยู่ได้ด้วย
และตอนนี้ผมหันมาปลูกต้นไม้เอง
ผมได้แรงบันดาลใจจากวิดีโอ
เรื่อง Home ของ Yann Arthus-Bertrand
ผมดูไม่ต่ำกว่า 20 รอบ
ในรอบ 40 ปี ผมไม่เคยสนใจเรื่องธรรมชาติ
เพราะผมตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากิน ทำงาน
พอผ่านไปผมพบว่าผมไม่เคยปลูกต้นไม้สักต้นหนึ่งเลย
ผมเคยซื้อต้นไม้ต้นละหลายแสน
แต่ตอนนี้ผมไม่ซื้อแล้ว
กลับกันผมเริ่มจะเพาะเอง ปลูกเอง
เพราะหนังเรื่องนี้สอนผมว่า
โลกนี้ธรรมชาติสร้างมาเป็นล้านๆ ปี
มนุษย์ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา
ตัดต้นไม้ทุกวัน ถ้าผมเป็นโลก
ผมจะบอกว่าไม่ไหวแล้วนะ
ที่ผ่านมามีทั้งสึนามิ แผ่นดินไหว
ตายเป็นแสนๆ
จริงๆ เป็นสิ่งที่เราทำไว้ทั้งนั้น เราเจาะน้ำมัน เหล็ก ทองคำ
ธรรมชาติที่สร้างมาเราใช้เกินพอดี ถ้าเรามีโอกาสควรจะคืนสู่ธรรมชาติบ้าง
ถ้าคุณทำแล้วมีความสุข หรือคุณอยากทำ ตอนนี้ผมทำ
แม้จะรู้ว่ามันไม่ช่วยโลกได้หรอก ผมอยากปลูกป่า 60 ไร่
ช่วยโลกได้หรือไม่ได้
แต่ก็ดีกว่าไม่ได้ทำ แต่ถ้าทุกคนทั้งโลกทำ มันช่วยได้นะ
หนังเรื่องนี้ทำให้ผมเข้าใจว่าต้นไม้มีประโยชน์อะไรกับเรา
บทสนทนาเกี่ยวกับโครงการที่คุณตัน ภาสกรนที
คิดจะทำเพื่อความสุขไม่ได้จบลงเพียงเท่านี้ และจะไม่จบแค่ตรงนี้
เขายังเดินหน้ามอบความรู้ในทางธุรกิจให้กับคนรุ่นหลังอยู่เสมอ
เพราะเขาหวังจะให้คนเดินตามเขาไปอย่างไม่ขาดสาย
แต่หากใครไม่มีโอกาสได้ฟังหรือพบกับเขา
ลองอ่านซ้ำและทำตามดู
ความสำเร็จแบบเจ้าพ่อชาเขียวผู้นี้ก็คงอยู่ไม่ไกล...
โออิชิช่วยผู้ประสบภัยญี่ปุ่น (Hai) ในภาษาญี่ปุ่นหมายความว่า ใช่ แต่จากนี้ ชาวญี่ปุ่นจะได้รู้จักกับความหมายใหม่ คำว่า “ให้” คือน้ำใจ...จากคนไทยทุกคน โออิชิ ขอชวนคนไทยมาร่วมกัน “ให้” น้ำใจช่วยเหลือผู้ประสบภัยในประเทศญี่ปุ่น
โดยการสมทบทุนผ่านกล่องรับบริจาคหน้าร้าน กด Like ใน facebook.com/oishigroup ทุก 1 คลิก จะเปลี่ยนเป็นเงินบริจาค 10 เยน จากเรา นอกจากนั้น โออิชิ ขอร่วมบริจาคเงินรายได้ 5% จากทุกร้านอาหารในเครือ เพื่อให้คนญี่ปุ่นเข้าใจความหมายของคำว่า “ให้” จากคนไทยทุกคน