Custom Search

Feb 14, 2010

คอลัมน์ ลายแทงความสุข


บทความจากหนังสือพิมพ์มติชน
ฉบับวันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10570

โดย วารุณี สิทธิรังสรรค์
warunee11@yahoo.com


ทุกวันนี้เหลียวไปทางไหนมีแต่คำว่า "เศรษฐกิจพอเพียง"
หรือ "การดำรงอยู่อย่างพอเพียง"
แต่จะมีสักกี่คนที่เข้าใจคำๆ นี้ และนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างจริงจัง…
ธนกร ฮุนตระกูล หรือ "กบ" เป็นผู้หนึ่งที่รู้จักคำว่า "พอเพียง"
"เพียงพอ" เขาบอกว่า คนเราหากรู้จักคำว่า "พอ" ชีวิตจะมีความสุขขึ้น

เมื่อเริ่มเปิดฉากสนทนาภายในห้องรับรองของสำนักงานโรงแรมบ้านท้องทราย
ย่านสุขุมวิท 38 เขาบอกว่า เมื่อกลางปี 2549
เขาได้สละที่ดินเนื้อที่กว่า 5,000 ไร่ บนเกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี
ให้กับทางราชการเพื่อทำพื้นที่ป่าชุมชน
โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ
ด้วยเหตุผลเพียงต้องการให้พื้นที่เหล่านี้คงสภาพ
เป็นป่าธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ และเป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร
และเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า


"กบ" ปัจจุบันอายุ 33 ปี เป็นทายาทของ

คุณอากรและคุณชุมพูนุช ฮุนตระกูล ผู้ก่อตั้งโรงแรมบ้านท้องทราย
อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี

เขาศึกษาจบระดับปริญญาตรี ด้านเศรษฐศาสตร์
ที่ University of East Anglia กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
แม้เขาจะเป็นถึงระดับผู้บริหารโรงแรมบ้านท้องทราย
ในตำแหน่งผู้จัดการทั่วไป แต่เขาก็ทำหน้าที่ทุกสิ่งสรรพ
ตั้งแต่งานในห้องครัวไปจนถึงงานระดับผู้บริหาร


"ตอนผมอายุ 23-24 ปี ถือเป็นช่วงเวลาแห่งความสนุกสนาน
มีอิสระในตัวเอง อยากทำอะไรก็ทำ
ความคิดที่จะรับผิดชอบอะไรมากมายแทบจะไม่มี
ยิ่งการสืบทอดธุรกิจโรงแรมแล้ว ยิ่งเป็นเรื่องที่ไกลตัวผมมาก
จำได้ว่าจบมาใหม่ๆ รู้สึกอยากทำงานที่ไว้ผมยาวได้

ซึ่งก็ได้งานที่บริษัทโฆษณาแห่งหนึ่ง
ช่วงนั้นดูเหมือนทุกอย่างจะไปได้ดี

ได้ทำงานที่เป็นตัวของตัวเอง มีเพื่อนฝูงเยอะแยะ
จนกระทั่งคุณพ่อต้องเข้าผ่าตัดมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ครั้งที่ 2
และขอให้ผมไปทำงานที่โรงแรมบ้านท้องทราย บนเกาะสมุย
จะปฏิเสธก็ไม่ได้ ทั้งๆ ที่ใจไม่อยากไป
ต่อมาปี 2543 ผมต้องสูญเสียพ่อไปอย่างไม่มีวันกลับ"

เมื่อเสาหลักของครอบครัวล้มหายตายจาก ทุกคนในบ้านแทบไม่มีอันจะทำอะไร
"ขณะนั้นหน้าที่การงานของผมก็ยังไม่ลงตัว
แถมภรรยา "กอหญ้า" สายสิริ ชุมสาย ณ อยุธยา
ก็ต้องมาสูญเสียคุณพ่อของเธอไปอีกคน

ดูเหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัดอย่างไม่จบสิ้น
ถือเป็นช่วงชีวิตที่เลวร้ายจริงๆ ผมรู้สึกเหนื่อย
ทั้งเรื่องคุณพ่อและเรื่องงาน บอกตรงๆ
ตอนนั้นไม่รู้จะเดินอย่างไรให้มั่นคงต่อไปได้
แต่ผมก็ถือว่าโชคดีมาก เพราะมีคุณแม่คอยให้คำแนะนำตลอด
และยังมีภรรยาคอยให้กำลังใจเสมอ
เราใช้เวลาให้กำลังใจซึ่งกันและกัน
ไม่นานผมก็เริ่มเข้าใจว่า การ "จมปรัก" อยู่แต่อดีต

ให้ความเศร้าเสียใจมาครอบงำทั้งชีวิตคงไม่ได้"

คนที่มีชีวิตอยู่ก็ยังต้องดำเนินชีวิตต่อไปให้ได้...
"ผมตัดสินใจทำงานอย่างจริงจัง

ผมจำได้ว่าวันนั้น...ผมไปบอกคุณแม่ว่า
ผมพร้อมแล้ว ผมขอทำหน้าที่เป็นผู้จัดการทั่วไป
ของโรงแรมบ้านท้องทราย ซึ่งต้องดูแลทุกอย่างภายในโรงแรมทั้งหมด"


หลังจากผ่านเรื่องร้ายๆ ในชีวิต เขาตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่
ทำงานตั้งแต่ระดับล่างไปจนถึงระดับผู้บริหาร
พัฒนาโรงแรมในพื้นที่ 70 ไร่ ให้ห้อมล้อมไปด้วยป่าไม้เขียวขจี
มีห้องพักเพียง 83 ห้อง ด้วยเหตุผลเพียง
เพราะต้องการ "อนุรักษ์ธรรมชาติ"

ที่ซึ่งมนุษย์รุกล้ำกล้ำกลายมาโดยตลอด

"ถึงแม้การดำเนินธุรกิจโรงแรมรูปแบบเชิงอนุรักษ์
จะไม่สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำมหาศาล
แต่ก็พออยู่ได้อย่างสบาย สามารถเลี้ยงครอบครัวและพนักงาน 250 ชีวิต
ได้อย่างไม่ลำบาก มีคนพยายามเกลี่ยกล่อม
ให้ผมขยายกิจการให้ใหญ่โต แต่ผมปฏิเสธมาโดยตลอด
เพราะผมพอใจในสิ่งที่มี แค่ธุรกิจเล็กๆ ก็ไม่ได้ลำบากอะไร
สร้างรายได้เหมือนกัน แต่หากขยายห้องพักก็ต้องใช้พื้นที่เพิ่มขึ้น
ทั้งเสี่ยงด้านเงินลงทุน และยังเป็นการทำลายธรรมชาติ"


กบเชื่อเสมอว่า การดำเนินธุรกิจไปพร้อมๆ
กับการรักษาธรรมชาติเป็นแนวทางที่ดี และ "สมดุล" ที่สุด

"ผมมีนโยบายเพิ่มพื้นที่ป่า ไม่ก่อสร้างอาคารใดๆ เพิ่มเติม
รวมทั้งออกกฎห้ามพนักงานทุกคนในโรงแรมตัดไม้ทำลายป่า
หรือทำร้ายชีวิตสัตว์ทุกชนิด ผมและภรรยายังได้จัดตั้ง
หน่วยพิทักษ์สัตว์และสิ่งแวดล้อมขึ้นภายในโรงแรม
ขณะนี้มีสมาชิกราว 30 คน ทุกคนมาด้วยความสมัครใจ
สมาชิกทุกคนจะมีหน้าที่คอยสอดส่องดูแลสิ่งแวดล้อม
ไม่ให้มีการตัดไม้ทำลายป่าหรือฆ่าสัตว์
สิ่งเหล่านี้ทำให้พื้นที่รอบๆ โรงแรมเต็มไปด้วยป่าไม้ที่เขียวขจี
และเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ต่างๆ
ทั้งกระรอก และนกนานาพันธุ์กว่า 58 ชนิด"


กว่าจะเป็นโรงแรมที่กลมกลืนกับธรรมชาติ
ต้องอาศัยความร่วมมือและเวลา


"สิ่งที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นแล้วว่า
ย่อมมีคุณค่ามากกว่าการเพิ่มเติมห้องพักหรือขยายโรงแรมเป็นไหนๆ ได้ขนาดนี้
เพราะพนักงานทุกคนพร้อมใจกัน ช่วยดูแลต้นไม้ ใบหญ้า
หรือแม้กระทั่งสัตว์ทุกตัว หน่วยพิทักษ์สัตว์ฯจะตรวจตราทุกวัน
ครั้งหนึ่งผมเคยตรวจพบนกเขาเป้าถูกยิงตาย
ทำให้ผมต้องเรียกประชุมพนักงาน
เพื่อหาตัวผู้กระทำผิดกันยกใหญ่ แต่ก็หาไม่พบ
จนต้องออกกฎเหล็กว่า "ใครมาทำร้ายสัตว์
จะไม่ขออยู่ร่วมกับคนเหล่านี้เด็ดขาด"
ต่อมาผมก็พบอีกว่ามีนกถูกยิงตายภายในเขตโรงแรมอีก
ผมติดตามสืบจนทราบว่าก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน
มี รปภ.(เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย)
ที่ผมจ้างมาจากบริษัทภายนอกเพิ่งมาทำงาน
เขาอาจจะไม่รู้กฎกติกาของโรงแรมดีพอ
ผมเลยแจ้งไปยังบริษัทให้เปลี่ยนตัว รปภ.ใหม่
ยอมรับว่าเหนื่อย แต่ก็เต็มใจทำ
เพราะทุกครั้งที่ได้ยินแขกที่มาพักออกปากชมว่าโรงแรมสวยงาม
และมีความเป็นธรรมชาติ ผมหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง"


กบบอกว่า ความเครียดเป็นเรื่องปกติของการทำงาน
ทุกคนต้องเจอ เพียงแต่เราต้องรู้จักหาทองออกให้ชีวิต
หากชีวิตยึดติดอะไรมากไป ความสุขจะไม่เกิดขึ้น
เขาเป็นผู้หนึ่งที่ "ไม่ยึดติด" โดยเฉพาะวัตถุ


"ผมใช้ในสิ่งที่มี โทรศัพท์มือถือมีเครื่องเดียวไว้ติดต่องาน
ส่วนคอมพิวเตอร์ก็มีไว้ทำงาน เช็คอี-เมล์ และเล่นเกม
รถมีเพียงคันเดียวไว้ขับไปสถานที่ต่างๆ เมื่อจำเป็น
ไม่จำเป็นต้องดิ้นรน อยากได้หรืออยากมี
ทุกคนทำงานก็ต้องมีเครียดกันบ้าง
แต่ผมจะไม่ดิ้นรนคลายเครียดโดยการบินไปเที่ยวต่างประเทศ
หรือหาสถานที่เที่ยวให้วุ่นวาย ที่ที่ผมชอบที่สุดคือ
"บ้าน" มันมีกิจกรรมให้ทำเยอะแยะ
ทั้งดูทีวี กินข้าว เล่นเกม เล่นกับสุนัข
ได้พูดคุยกับคนในครอบครัว แค่นี้ก็สบายใจแล้ว
หากเรารู้จักคำว่า "พอ" ความสุขก็จะเกิดขึ้นเอง
เหมือนดั่งคำสอนของเจ้าชายสิทธัตถะ
หรือพระพุทธเจ้า ที่ว่า "ความต้องการ" คือ
"กิเลส" ซึ่งก่อให้เกิด "ทุกข์"
หากต้องการดับทุกข์ก็ต้องดับความต้องการเสีย


แต่มนุษย์เรากลับทำตรงกันข้าม
พยายามหาสิ่งต่างๆ มาเติมเต็มให้กับชีวิต
แต่สำหรับกบแล้ว เขาบอกว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง
แต่หากรู้จักพอมีพอกิน ไม่ขวนขวายเกินกำลัง
ความสุขก็เกิดขึ้นไม่ยาก


วันนี้ กบมีความสุขจากการใช้ชีวิตอย่างรู้จัก "พอ"
และได้ทำในสิ่งที่เขาเชื่อว่ามีประโยชน์ต่อส่วนรวม
ส่วนเส้นทางการเมือง…จะเดินตามรอยพ่อหรือไม่
ไม่ใช่เป้าหมายสำคัญในชีวิต
เพราะเขาคิดเสมอว่า การจะเป็นคนดี
ทำประโยชน์ให้สังคมและบ้านเมือง
ไม่จำเป็นต้องเล่นการเมือง
หากแต่อยู่ที่ไหนก็ทำดีได้ทั้งนั้น


ตะลึง....ช็อค....เจ้าสัวยกที่ดิน 5,000 ไร่ คืนรัฐเพื่อรักษาป่า [ 15 ก.ย. 2549 ]

นายธวัชชัย เทอดเผ่าไทย รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี
ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 13 กันยายน
กรณีนายธนกร ฮุนตระกูล ผู้จัดการทั่วไปโรงแรมบ้านท้องทราย
ต.บ่อผุด อ.เกาะสมุย บุตรชายนายอากร ฮุนตระกูล
อดีตนักธุรกิจชื่อดัง เจ้าของโรงแรมอิมพีเรียล
มอบเอกสารที่ดินกว่า 100 แปลง เนื้อที่ 5,000 ไร่ บนเกาะสมุย
ให้ทางราชการทำพื้นที่ป่าต้นน้ำว่า
จังหวัดรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่
ทายาทมอบสิทธิการครอบครองที่ดินจำนวนมาก

มาสร้างประโยชน์แก่ส่วนรวมนับวันจะหาได้ยากยิ่งในสังคม
จะนำเรื่องนี้ไปหารือกับนายวิจิตร วิชัยสาร
ผู้ว่าราชการจังหวัด เพื่อมอบโล่เกียรติคุณให้
ในฐานะบุคคลตัวอย่างพร้อมรายงานให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
และรัฐบาลทราบต่อไป
"โดยส่วนตัวเคยพบนายธนกรกับแฟนสาวพูดคุยเรื่องนี้มาครั้งหนึ่งแล้ว
เห็นว่านายธนกรเป็นนักธุรกิจรุ่นใหม่
สืบทอดเจตนารมณ์ของบิดาอย่างแน่วแน่เป็นแบบอย่างแก่คนรุ่นใหม่ได้
เพราะหากทุกคนมีความเสียสละหรือยึดแนวทางพอเพียงเช่นนี้
ปัญหาการบุกรุกที่ดินบนเกาะคงจะไม่วุ่นวาย
หลังจากนี้หากจะมีชาวเกาะหรือนักธุรกิจต้องการมอบที่ดินให้ก็ยินดี"
นายธวัชชัยกล่าว

นายสำเริง ทองเรือง แกนนำคัดค้านการออก
เอกสารสิทธิที่ดินบนภูเขาเกาะสมุย และกรรมการชุมชนบ้านบางรักษ์
หมู่ 4 ต.บ่อพุด กล่าวว่า ชาวเกาะสมุยขอสดุดีในน้ำใจอันยิ่งใหญ่ของนายอากร
และทายาทตระกูลฮุนตระกูล
เพราะที่ดินบนเกาะสมุยแต่ละแปลงมีค่ามหาศาล
นักลงทุนหวังครอบครอง ที่ดินของรัฐยังไม่เว้น
แต่นายอากรกลับมองการณ์ไกล
เอาเงินตัวเองซื้อที่ดินเพื่อรักษาป่าไว้
ไม่เช่นนั้นสมุยคงแห้งแล้งกว่านี้แล้ว
"ผมไม่เคยรู้จักนายอากร แต่เคยเห็นนำพนักงานโรงแรม
ทำความสะอาดถนน ชายหาด และทำงานสาธารณประโยชน์
เสนอความคิดในการทำกิจกรรมบ่อยครั้ง
น่าเสียดายที่เสียชีวิตไป หากยังอยู่คงจะได้เห็นเกาะสมุยพัฒนากว่านี้
ทราบว่าเอกสารที่ทายาทนายอากรมอบให้มีความหนากว่า 1 ฟุต
ยังไม่ทราบอยู่จุดใดบ้าง"
นายวิรัช พงศ์ฉบับนภา
เจ้าของโรงแรมสมุยพาวิลเลี่ยนบูติกรีสอร์ท
หาดละไม กล่าวว่า นายอากรได้ควักเงินส่วนตัวซื้อที่ดิน
จากชาวบ้านกันไว้เป็นเขตป่าถึง 10,000 ไร่
เพราะตั้งใจรักษาป่าไม้บนภูเขาเอาไว้
แต่ถูกนายหน้าแอบขายและถูกบุกรุกจนเหลือเพียงครึ่งเดียว
นายอากรไม่ได้ต่อว่า ยังคงทำงานตามเจตนารมณ์ที่ตั้งไว้
หากเป็นคนอื่นคงนำไปจัดสรรขายนานแล้ว

"ยอมรับว่านายอากรเป็นคนจริง ปากร้ายแต่ใจดีมาก
เป็นห่วงสังคม และช่วยวางแนวทางพัฒนาการท่องเที่ยว
เกาะสมุยในเชิงอนุรักษ์ไว้มาก"
นายวิรัชกล่าว
ข่าวแจ้งว่า โรงแรมบ้านท้องทราย
ประกาศห้ามพนักงานฆ่าสัตว์
รังแกสัตว์และห้ามตัดต้นไม้
โดยจากการสำรวจป่ารอบโรงแรมในปี 2548
พบสัตว์ป่าอาศัยอยู่ประมาณ 50 ชนิด
เช่น นางอาย ตัวเงินตัวทอง นกหลายชนิด