เขียนโดย เยาวเรศ หยดพวง
วันพุธที่ 13 มกราคม 2010
“อนาคตของเด็กอยู่ในมือครู
เช่นเดียวกับอยู่ในมือของพ่อแม่และสังคม
ครูดีสามารถช่วยชดเชยความบกพร่อง
ของพ่อแม่และสังคมได้เป็นอันมาก
และการจะเป็นครูดีได้นั้น
ต้องเริ่มต้นที่มีความมุ่งมั่นแน่วแน่ปรารถนา
จะเป็นครูที่มีคุณค่าเป็นเบื้องต้น
และตั้งใจเป็นต้นแบบที่ดีสำหรับเด็กทั้งหลาย”
รศ.ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ เขียนไว้ในหนังสือเล่มเล็กๆ
แต่ทรงคุณค่า ชื่อ “สิ่งละอันพันละน้อย”
ที่มอบไว้ในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ 2553
ในฐานะอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
หนึ่งในสมาชิกเครือข่ายสถาบันทางปัญญา
ผู้เป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนสร้างระบบการศึกษา
ซึ่งขณะนี้ได้รับมอบหมายให้เป็นกรรมการที่ปรึกษาคณะกรรมการบริหาร
โครงการผลิตครูพันธุ์ใหม่ในการปฏิรูปการศึกษารอบสอง
ได้เปิดโอกาสให้เราได้พูดคุยหลังจากปีที่ผ่านมา
ได้ทำงานหลากประเภท หลายระดับความรับผิดชอบ
ท่ามกลางการขับเคลื่อนปฏิรูปการศึกษาใน ทศวรรษที่สอง
วันนี้รศ.ดร.วรากรณ์ มองเรื่องการปฏิรูปการศึกษารอบสอง
ในประเด็นการผลิตครูพันธุ์ใหม่ที่ผ่านครม .ไปเมื่อเร็วๆ นี้ ว่า
“เป็นเรื่องที่ผ่านหลายๆ คน หลายๆ ฝ่าย คิดว่าดูอย่างรอบคอบแล้ว
โดยเป็นรูปแบบการศึกษาที่เป็นเส้นทางปกติของทางราชการ
ขณะที่การปฏิรูปประเทศไทยในเรื่อง
สร้างระบบการศึกษาที่พาชาติออกจากวิกฤต
ของ ภาคีเครือข่ายสถาบันทางปัญญา
ก็เป็นคนละแนวที่ไม่จำเป็นต้องเป็นทางการ"
หากจะถามถึงประสบการณ์ตลอด 1 ปีที่ผ่านมากับการร่วม
ขับเคลื่อนปฏิรูปประเทศไทยโดยเฉพาะในเรื่องการศึกษา
“เวทีนี้ทำให้ได้ความรู้ได้มุมมองที่แตกต่าง
และยังเปิดโอกาสให้ได้ทำงานวิจัยเรื่องการศึกษา
ซึ่งที่ผ่านมามีการจัดประชุมเพื่อ
รับฟังความคิดเห็นของกลุ่มต่างๆ ไปแล้ว 9-10 ครั้ง
เชิญบุคคลจากที่ต่างๆ มาแลกเปลี่ยน เล่าประสบการณ์
ทั้งการศึกษานอกหลักสูตร การศึกษาบอกระบบ
พูดถึงครูที่มีการปฏิบัติเป็นเลิศ การบริหารจากท้องถิ่น
ทำให้เข้าใจกระบวนการที่เป็นอุปสรรคต่อ
การพัฒนาคุณภาพการศึกษาไทยมากยิ่ง ขึ้น”
ถ้าจะให้มองการศึกษาไทยในอีก10 ปีข้างหน้า
"อีก10 ปีข้างหน้าจะมีครูเกษียณอายุประมาณ 188,000 คน
ในฐานะที่เป็นกรรมการที่ปรึกษาคณะกรรมการบริหารโครงการผลิตครูพันธุ์ใหม่
คิดว่า แม้โครงการผลิตครูพันธุ์ใหม่จะเกิดขึ้นมา
เพื่อผลิตนักศึกษาครูชดเชยอัตรา เกษียณเหล่านั้น
แต่ก็ทำได้เพียง 36,000 คน หรือประมาณ 19% เท่านั้น
ปี 2552 ที่ผ่านมาจึงเป็นปีแรกรับนักศึกษาชั้นปีที่ 4
เรียกว่าครูพันธุ์ใหม่แบบทดลองนำร่อง
บรรจุเข้ารับราชการในปี 2554 จำนวน 2,000 คน
ป้อนให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) 1,800 คน
และสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) อีก 200 คน
ถือว่าน้อยเมื่อเทียบกับครู
ที่จะเกษียณอายุในปีนั้นประมาณ 9,000-10,000 คน ”
อดีตรมช.ศธ.อธิบายถึงขั้นตอนการคัดเลือกครูพันธุ์ใหม่ว่า
“จะเริ่มคัดเลือกตั้งแต่ยังอยู่ในมหาวิทยาลัย ทั้งประเภทให้ทุน
และประเภทรับประกันการทำงาน
โดยผู้สนใจอาชีพครู มีถึง 4 ช่องทางที่จะสามารถก้าวเข้าสู่อาชีพนี้ได้
ประตูแรก เรียนครู 5 ปีในมหาวิทยาลัยต่างๆ
มีสิทธิได้ทั้งทุนและเมื่อเรียนจบแล้วสามารถบรรจุเข้ารับราชการได้
ประตูที่ 2 คือ คนที่จบปริญญาตรีแล้วไป
เรียนประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครู
สำหรับสถาบันการศึกษาที่คัดเลือกมาแล้ว
ประตูที่ 3 สอบคัดเลือก ซึ่งดำเนินการเปิดสอบและบรรจุเข้าเฉพาะ
สนามอัตราจ้างที่มีอัตราเกษียณอายุ
ประตูที่ 4 คือ คนทั่วไปจบปริญญาตรีสาขาใดก็ได้
ที่เลือกจะเป็นครูด้วยการไปสอบอัตรา
หรือแม้แต่คนที่จบประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครู
โครงการผลิตครูรูปแบบ 4+1
ที่เรียนวิชาชีพครูแล้วอยากจะมาสอบเข้ามาเป็นครู"
ขณะที่เรื่องการบริหารจัดการการศึกษาก็สำคัญ
ไม่แพ้เรื่องการพัฒนาคุณภาพครูเช่นกัน
“การพัฒนาครูใหม่ เรื่อง ครูดีก็ทำไป
แต่เรื่องการบริหารจัดการก็ต้องทำ
หมายความถึงปฏิรูปการบริหารงานที่ปัจจุบันพบว่า
มีปัญหามากทั้งในเรื่องของการเกลี่ยอัตรากำลัง
การบริหารงานของคณะกรรมการสภาการศึกษา
ที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาครูกระจุกตัว ได้
ความเป็นอิสระของโรงเรียน
ความเป็นนิติบุคคลของโรงเรียนเพื่อให้สามารถบริหารงานเอง
เลือกครูดีเอง สิ่งเหล่านี้จะทำให้โรงเรียนมีคุณภาพดีขึ้นทันที
“ การศึกษาของชาติเป็นเรื่องของทุกคน
และสำคัญเกินกว่าจะทิ้งไว้ในมือนักการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ
หรือคณะกรรมการปฏิรูป หรือหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งเท่านั้น
การศึกษาจะเปลี่ยนแปลงได้ต้องอาศัยสื่อมวลชน
และสังคมมองเห็นความสำคัญแล้ว ช่วยกันผลักดัน
ขณะที่การเปลี่ยนนโยบาย หรือเจ้ากระทรวงบ่อยครั้ง
ประกอบกับการขาดความมุ่งมั่นของสังคมไทย
ในการที่จะยกระดับคุณภาพการศึกษา
พูดอย่างเดียวแล้วไม่ทำยังคงเป็นปัญหาใหญ่ของระบบการศึกษาไทย
หากได้รับการแก้ไขก็จะทำให้สังคมเข้มแข็งขึ้น
และหันมามองเรื่องของการศึกษาสำคัญลำดับต้นๆ”
สำหรับมุมมองเรื่องการบริหารจัดการด้านการศึกษาอีก 10 ปีข้างหน้า
ในฐานะกรรมการที่ปรึกษาคณะกรรมการบริหารโครงการผลิตครูพันธุ์ใหม่
“ การบริหารจัดการด้านการศึกษาอีก 10 ปีข้างหน้า
จะต้องมีประสิทธิภาพมากกว่านี้
การเกลี่ยอัตรากำลัง ปัญหาการขาดแคลนครู
การมีครูที่เพียงพอต้องให้ความสนใจด้วย
ไม่ใช่เน้นเรื่องของคุณภาพครูเพียงอย่างเดียว
ขณะที่การดึงดูดคนดีมาเป็นครูด้วยการให้ผลตอบแทน
จะทำอย่างไรให้วิชาชีพครูได้รับผลตอบแทนที่ทัดเทียมกับอาชีพอื่นๆ
รวมทั้ง เรื่องทัศนคติและการควบคุมกำกับของสังคมที่มีต่อครู
เรื่องของการดูแล การติดตามประเมินผลครู
เรื่องของชุมชนในการที่จะมีส่วนร่วมในเรื่องของการศึกษา
เพราะการศึกษาไม่ใช่เพียงเรื่องของครู เพียงอย่างเดียว
พ่อแม่ผู้ปกครองสามารถมีส่วนช่วยได้มาก
ด้วยการดูแลลูกแทนที่มอบภาระให้ครูทั้งหมด”
ส่วนความคาดหวังกับนาย ชินวรณ์ บุณยเกียรติ ว่าที่รมว.ศธ.คนใหม่นั้น
“จากประสบการณ์ที่นายชินวรณ์ เคยเป็นครูมาก่อน
ทำให้รู้ดีว่า อาชีพครูมีปัญหาอะไรบ้าง
จากการติดตามเรื่องการศึกษามาโดยตลอดกับบทบาทสำคัญอย่างเช่น
การร่างกฎหมายครู รู้เรื่องเกี่ยวกับครู
และเคยร่วมงานกับดร.วิจิตร ศรีสอ้าน อดีตรมว.ศธ.มาหลายปี
ส่วนนโยบายด้านการศึกษาก็หวังว่า จะมีความต่อเนื่อง
ทั้งในเรื่องการเรียนฟรี การพัฒนาโรงเรียนที่มีคุณภาพ
การปิดช่องว่างระหว่างคุณภาพของโรงเรียนในเมืองกับนอกเมือง
และการปราบปรามทุจริตที่เกิดขึ้น
ในกระทรวงศึกษาธิการที่ยังคาราคาซังอยู่ให้ จบสิ้นไป”
สุดท้าย 16 มกราคม วันครูปีนี้
อาจารย์วรากรณ์ ยังฝากให้ครูได้กลับมานั่งคิด
ทบทวนถึงบทบาทของตัวเองว่า
ควรจะต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอย่างไร
ความผูกพันธ์ระหว่างครูกับสังคม
ในส่วนของสังคมก็ควรใช้โอกาสนี้ตระหนักถึงบทบาทของครู
โดยเฉพาะพ่อแม่ผู้ปกครอง
ควรมีบทบาทในการสนับสนุนครูได้อย่างไร
“ ในเมื่อความหมายของคำว่า “ครู”
ไม่ได้จำกัดความเฉพาะที่ต้องบรรจุเป็นครูเท่านั้น
พ่อแม่สามารถเป็นครูได้โดยธรรมชาติ ไม่ต้องเป็นวิชาชีพ อยากให้วันครูปีนี้
ระลึกถึงการเป็นครูมากกว่าตัวครู เพราะโลกปัจจุบันนี้ครูมีมากมาย
ทั้งอินเทอร์เน็ตก็เป็นครู วิกิพีเดียก็เป็นครู
อยากให้มองไปที่บทบาทของครู
ลักษณะที่เป็นทั้งนามธรรมและรูปธรรมที่ไม่จำเป็น ต้องเป็นตัวคน”
ทั้งหมดนี้ คือ มุมมองของผู้ที่จะมาเป็น
อธิการบดีมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ในวันที่ 1 มีนาคม 2553 นี้