สัมภาษณ์ คุณโสภณ สุภาพงษ์
สัมภาษณ์และถอดบทสัมภาษณ์ โดย วิจักขณ์ พานิช
คุณโสภณ: เวลาที่เราเข้ามาที่นี่ จะมีสิ่งนึงที่เกิดขึ้นโดยเราไม่รู้สึกตัวเลย ก็คือ เรารู้สึกปลอดภัย คนรอบๆเนี่ย เรารู้สึกได้เลยว่าเรากำลังอยู่ในสังคมปลอดภัย เค้าเหมือนญาติชนิดนึงที่เรียกได้ว่า ญาติธรรม ในชีวิตเราถูก package ว่าญาติเนี่ยจะต้องเกี่ยวเนื่องกับพ่อแม่พี่น้อง ในชีวิตจริงๆแล้วไม่ใช่ คือ มนุษย์ทุกคนเป็นญาติ ความทุกข์เกิดจากสิ่งที่เกิดขึ้นตามความจริง พอมีอะไรเกิดขึ้น เราก็ไปโทษมันว่าทำให้เราทุกข์ ที่จริงไม่ใช่ ความทุกข์เกิดจากสิ่งที่เราคาด ถ้าเมื่อไหร่เราคาดผิดจากความจริง เราอาจจะสุข อาจจะทุกข์ แสดงว่าเราไม่เข้าใจความจริง มันมีบางอย่างที่คลุมจิตใจเราจนทำให้เราไม่เห็นความจริง ถ้าเราจิตใจสะอาดเราจะมองความจริงได้ชัด แล้วสิ่งที่ทำให้เรามัวไปหมด มันก็คือ ความอยากได้ อยากใหญ่ ใจแคบ อยากมี อยากให้เค้ารัก มันเกินความจริงของสิ่งที่มันเป็น เรามองไม่เห็นมัน การมีใจสะอาดก่อนเป็นสิ่งที่สำคัญมากเลย เราถึงจะมองเห็นความจริง แล้วชีวิตมันก็จะสุขน้อย ทุกข์น้อย การไม่เห็นความจริงทำให้เราเดี๋ยวก็สุขเดี๋ยวก็ทุกข์ โอ้โหแล้วมันจะแรง เพราะเรามองอย่างที่อยาก ไม่ได้มองความจริง เพราะฉะนั้นความทุกข์ไม่ได้เกิดจากสิ่งที่มันเกิดขึ้นจริง มันเกิดจากสิ่งที่เราคาด เราโง่เอง คาดไม่ตรงกับเรื่องจริง บางทีในเรื่องเดียวกัน อีกคนสุขอีกคนทุกข์ แสดงว่ามันมาจากที่คาด ลองสังเกตตรงนี้ดูแล้วเราจะมองทุกอย่างได้แจ่มใส เราเองต่างหากที่ผิดที่ ผิดความคิด สวนโมกข์นี่จะให้เรื่องความจริงได้เยอะ หากมองได้ตามความจริง ก็จะพ้นทุกข์
วิจักขณ์: ผมมีคำถามเรื่องนึงที่อยากจะถามคุณโสภณครับ เพื่อนผมหลายคนมีความเชื่อในการที่จะแสวงหาความสำเร็จในชีวิต และหลายคนที่มองธุรกิจเป็นคำตอบ คุณโสภณทำงานด้านธุรกิจ เป็นประธานบริษัทมากมายกว่ายี่สิบแห่ง อยากถามว่าคุณโสภณมีวิธีการทำธุรกิจอย่างไร ใช้ชีวิตอย่างไรให้สามารถทำธุรกิจได้โดยที่ไม่ต้องรู้สึกว่ายุ่งหรือเป็นทุกข์
คุณโสภณ: ผมเคยไปเมืองนอกอยู่สองเดือน กลับมาแล้วพบว่าบริษัทเค้ามีกำไรมากขึ้น ก็เลยรู้เลยว่าไม่ต้องมีเราก็ได้ ที่จริงแล้วเราไปยึดกับตัวเรามากไป ทิ้งไว้ให้คนอื่นเค้าบ้าง ผมสังเกตดูนะครับ มนุษย์จะมีวิถีคิดกับการใช้ชีวิตอยู่สามระดับ ที่เราคุ้นเคย เราจะใช้ชีวิตกับระดับที่ต่ำสุด คิดว่าอำนาจและเงินเท่านั้นที่ถูกต้อง เราจะทำอะไรเพราะมันเป็นอำนาจชั้น ตำแหน่งชั้น หรือทำอะไรเพราะมันได้เงิน ได้กำไร เราก็จะวัดว่าจะทำอะไรหรือไม่ทำอะไรเพียงเพราะอำนาจกับเงิน แต่ชีวิตมนุษย์ก็มีอีกระดับนึงที่ดีขึ้นไปหน่อย ก็ใช้กับระดับของ...ผมเรียกว่า Conventional Truth คือ ระดับของการใช้เหตุใช้ผล ใช้วิชา ใช้กฎหมาย เพื่อให้เราอยู่ด้วยกันโดยใช้กติกานี้ แต่ต้องสังเกตดูว่าเรื่องเหตุผลและวิชา มักจะมาจากว่าคนมีอำนาจเขียนขึ้นมา บางทีมันก็มาใช้ไม่ได้ เวลาที่อาจารย์หมอประเวศไปอวยพรคู่บ่าวสาวในงานแต่งงาน อาจารย์ก็จะบอกว่า ขอให้มีครอบครัวที่มีความสุข ขอให้คู่บ่าวสาวประสบความสำเร็จ ถ้ามีปัญหากันอย่าใช้เหตุใช้ผล ขอให้ใช้ความรักและหน้าที่ นี่เป็นระดับที่สามของมนุษย์ คือ ทำตามศีลธรรมและความเป็นมนุษย์ ว่าเรามีหน้าที่ เพราะเหตุผลบางทีมันถูกอ้างขึ้นมาเพื่อเอาชนะ มันเป็นอาวุธที่ซ่อนเร้นมากกว่าอาวุธตามปกติด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นแม่เนี่ยก็จะทำอะไรตามหน้าที่ ผมเคยถามรัฐมนตรีรัฐบาลที่แล้วว่า ถ้าท่านคิดว่าอำนาจและเงินเท่านั้นที่ถูกต้องเนี่ย แล้วเราจะเอาแม่ไปไว้ที่ไหน แม่ไม่ได้ทำอะไรโดยใช้อำนาจ ไม่ได้ทำเพราะว่าได้กำไร และบางครั้งแม่ก็ไม่มีเหตุไม่มีผล แต่เรารักแม่ ผมก็รักแม่เพราะแม่ร่วมสุขร่วมทุกข์ แม่ทำตามหน้าที่เสมอ ไม่ได้บอกว่ามันผิดมันถูก มันดีมันเลว
เพราะฉะนั้นมันมีความคิดอยู่สามระดับ แม่จะใช้ระดับบน เพราะฉะนั้นในชีวิตจริงๆ เราควรจะใช้ความคิดทางหลักศีลธรรมศาสนาเป็นตัวตั้ง แล้วเราก็มาใช้กำหนดเหตุกำหนดผล กำหนดวิชาความรู้ ตัวบทกฎหมาย แล้วเราก็ทำธุรกิจหากินเลี้ยงชีพในระดับที่สามภายใต้กรอบนั้น ธุรกิจส่วนใหญ่ที่ทำในลักษณะนี้ก็จะเป็นธุรกิจแบบช่วยกัน เพราะวิถีคิดมันถูกควบคุมด้วยร่วมสุขร่วมทุกข์หลักศาสนาทางธรรมชาติ เพราะฉะนั้นที่ผมดูแลธุรกิจเยอะเลย แล้วบอกอย่างไม่อายเลยนะว่า เวลาผมจุกเข้า จะต้องตัดสินใจอะไรเดี๋ยวนั้นเนี่ย ผมจะนึกว่าถ้าผมเป็นแม่ผมจะตัดสินใจตรงนี้ยังไง คนอ่อนแอต้องได้ก่อนเสมอ แล้วไม่เคยผิด มันจะเป็นอะไรที่ระยะยาว เรานอนหลับ เค้านอนหลับ มันเป็นความสุขที่ระยะยาวมาก แล้วไม่เคยผิดครับ ถึงแพ้ก็แพ้ด้วยกันด้วยความสุขทั้งหมด ไม่เคยผิดครับความคิดแบบแม่เนี่ย ถ้าเรากลับมาดูในโลกจริงๆ ในศาสนาอิสลาม เค้าก็จะใช้หลักศาสนาเป็นตัวตั้ง แล้วก็มาใช้เป็นหลักกฎหมาย มาใช้ทำการค้าขาย ที่นี้ในความคิดของตะวันตกที่เป็นทุนนิยมเนี่ย มีหลักเศรษฐกิจหรือหลักเศรษฐศาสตร์เดิมเนี่ยมันก็ดีนะ มันหมายถึง เป็นกระบวนการที่ทำให้ทุกคนมีความเป็นอยู่ดีขึ้น แต่มันด้วยการที่ใช้ทุนนิยมเข้ามาเนี่ย มันไม่มีที่สิ้นสุด มันก็กลายเป็นว่าจุดจบมันก็คือ ความเป็นอยู่ของบางคนดีขึ้นมาก แต่ส่วนใหญ่แย่ลง มันเป็นอีกรูปนึงเลย เพราะมันไม่สิ้นสุด ไม่มีพอเหมาะ เพราะฉะนั้นมันก็เกิดปัญหาของทุนนิยมแล้วมันก็ไม่จบ ทรัพยากรก็ถูกใช้ไปเรื่อยๆ ชั้นปล้น ชั้นใช้ ข้างเดียว เพราะฉะนั้นมันไม่มีหลักสมดุล เป็นหลักที่สุดๆ ทุกอย่างมันเป็นที่สุดหมด เมื่อมันไม่สมดุลวันนึงมันก็แย่แบบนี้
แต่ถ้าเราเริ่มด้วยหลักศาสนาเนี่ย เราจะคิดในลักษณะที่ว่า เราอยู่ร่วมกันได้ทั้งหมด งั้นเวลาที่ผมทำธุรกิจผมก็มองอย่างนั้นมากกว่า ผมก็มองว่าการที่เข้าไปอยู่ในบริษัท ทุกบริษัทเลยนะอันแรกเลยที่ผมตั้งก็คือว่า หนึ่ง สภาพการทำงานที่มีความสุข อันที่สอง ขอมีส่วนร่วมในความอยู่ดีกินดีของสังคมไทย ผมจะตั้งอยู่สองอัน กำไรเป็นผลพลอยได้ ผลจากการมีความสุขแล้วเราค่อยมีกำไร เราไม่ได้ตั้งกำไรแล้วฆ่ากันตายหมด ทุกข์หมด ที่จริงแล้วมันยั่งยืนกว่า การร่วมสุขร่วมทุกข์ ในเวลาที่เราทุกข์จริงๆแล้วเราก็ยังมีความสุขที่ยังได้ร่วมทุกข์กับคนที่เรารัก เหมือนแม่เนี่ย อยากจะเจ็บ อยากจะทุกข์แทนลูก แม่ไม่มีเหตุผลฮะ แต่รู้อย่างเดียวว่าแม่จะอยู่ข้างลูก ความสุขของแม่คือขอให้ได้ทุกข์แทนลูกแม้ลูกมันจะเลวยังไงก็เถอะ นั่นเป็นความสุขที่ยั่งยืน เพราะฉะนั้นเวลาทำงานผมจะใช้อย่างนั้น อยู่ข้างเดียวกัน ถ้าผิดเราผิดด้วยกัน แล้วเราจะเดินออกมาจากตรงนั้นพร้อมๆกัน แบบนั้นผมคิดว่าผมมีความสุขกว่า เพราะฉะนั้นความหมายทั้งหมดของการจัดการคือ เราจะเอาความสัมพันธ์ที่บ้าน มาใช้ในที่ทำงาน เราจะไม่เอาความสัมพันธ์แบบที่ทำงานมาใช้ที่บ้าน ไม่งั้นบ้านพัง แต่คนไทยเราลืม แล้วไปรับเอามาเฉยๆ หลายคนก็เอาความคิดจากที่ทำงานมาใช้ที่บ้าน แล้วก็บ้านแตกบ้านพังเยอะแยะ ผู้หญิงหลายคนกลับบ้านก็เป็นประธานไม่เลิก ผลก็คือบ้านแตก เพราะมันไม่ใช่ความสัมพันธ์ปกติของมนุษย์ ผมก็คิดว่ามันได้ประโยชน์แล้วมันง่ายด้วย ถ้าเราคุยกับใครเรื่องอย่างนี้ ผมคิดว่าทุกคนเข้าใจง่าย ทุกคนก็อยากแต่ก็ไม่กล้า ไปที่ไหนผมจึงต้องบอกว่า ผมก็อยากจะทำให้ที่นี่เป็นบ้าน เมื่อเวลาอะไรเกิดขึ้น เราไม่ต้องถามว่าใครเป็นคนทำ เราจะถามว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง แล้วมันจะแก้ไขร่วมกันไปได้ยังไง คนเขาก็จะมีกำลังใจ หรือเราจะลงโทษใคร เราก็รู้ว่าเราทำไปเพราะหน้าที่ ไม่ได้ทำเพราะเราเกลียด เราอยากจะสะใจ แต่เพราะเรามีหน้าที่ว่าเขาจะต้องไม่ไปกระทบคนอื่น เช่นเขาโกง เขาคอรัปชั่น ถ้าเราปล่อยไว้มันก็สูญเสียหมด เราก็ต้องคุยกับเขาตรงๆว่าเขาต้องถูกลงโทษแล้วนะ เพราะมันเป็นหน้าที่นะ แล้วเขาก็จะพอใจ เพราะว่าวันรุ่งขึ้นเขาจะตื่นขึ้นมาพร้อมกับจะมองตาคนอื่นได้อย่างสนิทใจ ได้เกิดใหม่มีอิสรภาพ มีชีวิตใหม่ ตามหน้าที่ของเค้าก็ถูกแล้วที่ต้องโดนลงโทษ แล้วเขาก็สบายใจ แทนที่จะหลบๆซ่อนๆ มองตาใครไม่สนิท พอเป็นเช่นนี้เขาก็ควรถูกลงโทษ ที่คนอื่นก็รู้ด้วย เราจึงเข้าใจว่าทำไมทางคริสต์เขาถึงต้องมีการแก้บาป กับใครสักคนนึง ถ้ามีแม่ก็พูดกับแม่ ถ้าไม่มีแม่ก็พูดกับพระ เพราะแม่เนี่ยถึงเราจะสารภาพว่าเราผิดยังไง แม่ก็จะเราอยู่ข้างเราเสมอ แล้วเราทำที่ทำงานเราอย่างนั้น ทุกคนก็จะเข้าใจหน้าที่ร่วมกัน ถ้าเราแข็งแรงกว่าเราก็มีหน้าที่ต่อเค้าที่อ่อนแอกว่า
เพราะฉะนั้นอยากจะบอกว่า ไม่ใช่เราปฏิเสธธุรกิจ แต่ให้เราอยู่ในกรอบนั้น เรายังมีที่ให้ทำอีกเยอะ แต่ไม่ใช่เราไปบอกว่า ไปศึกษาแล้วพบว่าบ่อนเสรีดี พนันบอลดี แล้วก็มาตั้งกฎเกณฑ์กฎหมายแล้วเราก็ไปละเมิดศีลธรรม นี่เป็นการคิดแบบอำนาจกับเงิน มันก็อ้างเหตุผลไปได้เพื่อบอกว่าสิ่งนั้นดี จริงๆแล้วเรารู้ เรารู้ทันที เพราะเรื่องอย่างนี้ ถามเราเราก็ไม่อยากให้ลูกเราทำ เพียงเพราะความอยากได้เงิน ความมีอำนาจ มันทำให้เรามองไม่เห็น ถ้ามองอย่างเข้าใจ เราก็จะรู้ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นแท้จริงเกิดมาจากอะไร พวกที่คิดแบบนี้เราก็ไม่โกรธเขา แต่เรารู้ว่าความจริงมันคือยังไง สี่งที่เกิดมันมาจากรากอะไร ถ้าเราอยากจะเปลี่ยนเค้า เราต้องเติมปัจจัยอะไรให้เค้าได้กลับมาคิดได้ถูกต้อง การเห็นความจริงเนี่ยช่วยเยอะเลย